3

ลูกค้าวีไอพี

3

ลูกค้าวีไอพี

 

“สวัสดีค่ะ สำเริงสำราญโฮมสเตย์ค่ะ วันเสาร์นี้เหรอคะ ว่างหนึ่งห้องห้าร้อยบาท ค่าอาหารสามมื้อสองร้อยต่อท่านค่ะ ได้ค่ะ ให้ทางรีสอร์ตไปรับที่ตัวอำเภอหรือว่าเดินทางมาเองคะ ได้ค่ะ แล้วพบกันนะคะ”

        หกเดือนผ่านไป

        เหมือนมาลีไม่เจอผีปู่สำเริง และไม่พบวิญญาณบรรพบุรุษใดๆ แต่สิ่งหนึ่งเธอพบคือสัจธรรมอย่างหนึ่งในชีวิต 

        สูงสุดคืนสู่สามัญ

และอาจเป็นสามัญที่เปลี่ยนชีวิตเหมือนมาลีจากหน้ามือเป็นหลังมือ 

เธอค้นพบว่าการอยู่บ้านนอกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร อาจจะดีกว่าตอนที่อยู่กรุงเทพฯ เสียด้วยซ้ำ เธอไม่ต้องเผชิญรถติด ไม่ต้องวุ่นวายกับการเบียดเสียดซื้ออาหาร ไม่ต้องใช้จ่ายไปกับทุกๆ อย่างตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน เธอมีผลไม้จากสวนหลังบ้านกินตลอดปี กับเล้าไก่ไข่อีกเล้าหนึ่งที่ป้าสมพิศช่วยให้อาหารมันระหว่างที่ไม่มีคนอยู่บ้าน มีผักสวนครัวที่งอกงาม และมิตรภาพจากเพื่อนบ้านที่เหมือนมาลีมั่นใจแล้วว่าเป็นมิตรแท้ ไม่มีสิ่งแอบแฝง 

สถานที่ซึ่งเธอหลีกหนีในคราวแรกอาจกลายเป็นเรือนตายของเธอเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง 

เหมือนมาลีกลับมาเปิดโฮมสเตย์อีกครั้ง โดยทำช่องทางโพรโมตแบบออนไลน์ เมื่อก่อนปู่สำเริงใช้วิธีการแจ้งกับผู้ใหญ่บ้านให้โฆษณาผ่านเว็บไซต์ของจังหวัด มีคนมาพักบ้างประปราย และส่วนมากลูกค้าจะรู้จักที่พักจากการรีวิวของคนที่มาพักก่อนหน้า 

เหมือนมาลีทำเพจเฟซบุ๊กเพื่อโพรโมตอีกทาง แน่นอนว่าการโพรโมตแบบนี้เข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากกว่า แต่คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเพจจะมียอดคนติดตามมากพอ 

เอาเป็นว่า ณ เวลานี้ ห้องพักจำนวนสองห้องของเธอก็มีคิวจองในแต่ละเดือนมากพอให้เธอใช้ชีวิตอยู่บ้านนอกได้สบายๆ โดยไม่เดือดร้อนอะไรเลย 

“พี่แยม ตื่นได้แล้ว เช้าแล้ว ตื่นๆๆ” 

เสียงเรียกที่เหมือนมาลีเริ่มจะคุ้นเคยดังมาแต่ไกล เธอเริ่มชินกับวัฒนธรรมของคนละแวกนี้บ้างแล้ว ทั้งการตะโกนเรียกกันเสียงดังโหวกเหวกและเข้านอกออกในบ้านช่องกันได้ตามสบายใจชอบ ตอนแรกเธอตกใจอยู่เหมือนกัน แต่อยู่ไปอยู่มาจึงได้รู้ว่าเขาอยู่กันเช่นนี้ 

หญิงสาวชะโงกหน้าไปที่ระเบียง เห็นไข่หวานยืนอยู่ข้างล่างพร้อมกับตะกร้าผลไม้ 

“ตื่นแล้ว เรียกเบาๆ ก็ได้” 

“ก็คิดว่ายังไม่ตื่นนี่จ๊ะ กลัวไม่ได้ยิน”

เหมือนมาลีถอนหายใจ เธอตื่นเจ็ดโมงเช้าทุกวัน แต่ก็ยังสายสำหรับคนที่นี่ เพราะฟ้ายังไม่ทันสางถนนหน้าบ้านก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งไปมาแล้ว เพราะเป็นทางผ่านไปตลาดสดที่เปิดขายของตั้งแต่ตีสี่ 

คิดดูแล้ว ชาวบ้านที่นี่ตื่นเช้ามากเกินไปต่างหาก 

ไข่หวานวิ่งขึ้นเรือนมาแล้ววางตะกร้าที่บรรจุมะละกอสุกและขนุนสุกผ่าครึ่งลูกบนโต๊ะ 

“ได้ข่าวจากยายว่ามีแขกจองห้องพักรวดเดียวเดือนนึงเลยเหรอพี่แยม” ไข่หวานออกอาการตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง 

อันที่จริงตอนเธอรู้ว่ามีคนจองห้องเพื่อเข้าพักยาวหนึ่งเดือนก็แปลกใจมากเหมือนกัน ถึงขนาดต้องถามย้ำตั้งหลายรอบเพื่อความแน่ใจ แต่พอรู้ว่าแขกที่จะเข้ามาพักเป็นนักเขียนที่ต้องการมาเก็บข้อมูลสำหรับเขียนหนังสือจึงเข้าใจได้ไม่ยาก 

ดีเสียอีก...เพราะบ้านของเธอรับนักท่องเที่ยวได้มากในวันศุกร์และวันเสาร์ การมีแขกเข้าพักยาวทั้งเดือนจึงเป็นเรื่องน่ายินดี 

“ใช่! เห็นมั้ยว่าฝีมือการเขียนเพจท่องเที่ยวของฉันไม่ธรรมดา” เหมือนมาลียักคิ้วสองที เธอทำงานสายข่าวมาก่อน มีทักษะในการสร้างคอนเทนต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคอยู่พอควร 

“ว่าแต่...แขกเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงอะ” 

“ผู้ชาย”

“ผู้ชาย!” ไข่หวานย้ำคำตอบนั้นด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอีกระดับ บ่งบอกถึงความตกใจ “ไม่อันตรายเหรอพี่แยม ผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาอยู่ร่วมชายคาเป็นเดือนๆ” 

“กลัวอะไร ที่ผ่านมาลูกค้าก็เป็นผู้ชายเป็นส่วนมากนะไข่หวาน”

“ก็คนอื่นมาคืนสองคืนก็ไป คนนี้อยู่เป็นเดือนเลยนะ” 

“อยู่นานสิถึงน่าวางใจมากกว่า คนที่มาแป๊บๆ ไป ดูน่าจะก่ออาชญากรรมได้มากกว่าอีกนะ” เหมือนมาลีบอกตามที่คิด “อีกอย่าง เขาบอกว่าเป็นนักเขียน คงอยากจะหาแรงบันดาลใจนั่นแหละ” 

“อ๋อ...” ไข่หวานลากเสียงยาวเหมือนเข้าใจ แต่ดูแล้วไม่น่าจะเข้าใจ เพราะคิ้วของเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีขมวดกันคล้ายคลางแคลงใจอะไรบางอย่าง 

“อ๋อแล้ว แต่ทำไมทำหน้าเหมือนไม่อ๋อ”

“ไข่หวานไม่เคยเห็นนักเขียนตัวเป็นๆ มาก่อน คงจะเป็นคนแปลกๆ ไม่เหมือนพวกเราเนอะ” 

“นักเขียนก็คนเหมือนเรา จะไม่เหมือนได้ยังไง เขาจะมีสี่ตา สามขาหรือไง” เหมือนมาลีโคลงศีรษะ แล้วหันมาสนใจสมุดจดตารางห้องพัก ที่นี่ไม่มีระบบจัดการห้องพักแบบออนไลน์ อีกอย่างจำนวนห้องแค่สองห้อง จดเอาน่าจะเข้าใจง่ายกว่า 

“ไม่ใช่แบบนั้น ไข่หวานหมายถึงว่าคงจะเป็นผู้ชายตัวซีดๆ ผอมๆ ใส่แว่นหนา แต่งตัวเชยๆ หลีกหนีสังคมอะไรทำนองนั้น”

เหมือนมาลีคิดตามจินตนาการของไข่หวานแล้วทำหน้าไม่ถูก ใจหนึ่งก็โต้แย้ง อีกใจ...ก็คล้อยตาม ถึงเธอจะเคยอยู่ในวงการนักข่าวมาก่อน ดูเหมือนจะเป็นสายงานใกล้เคียงกัน แต่เธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกลุ่มคนอาชีพนี้เลย 

“ก็คงเทือกๆ นั้นแหละนะไข่หวาน แต่อันที่จริงไม่เห็นต้องเดาให้เสียเวลาเลย ประมาณเที่ยงๆ เขาก็เดินทางมาถึงละ รอดูมั้ยล่ะ” 

ไข่หวานหรี่ตามองสาวรุ่นพี่ผู้ซึ่งนับเป็นเพื่อนใหม่ที่สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว 

“เห็นว่าไข่หวานว่างมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร เขาอยู่เป็นเดือนต้องได้เห็นหน้ากันอยู่แล้ว”

“ว่างค่ะ” 

“เอ้า!” เหมือนมาลีวางดินสอลงแล้วเท้าเอวมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่คล้ายจะถามว่า ‘จะเอายังไงกันแน่’

อีกฝ่ายยิ้มไม่รับรู้แววตาไม่สบอารมณ์นั่น ไข่หวานคว้าหมอนใบเล็กบนเก้าอี้ตัวยาวมาจัดให้อยู่ในมุมที่สามารถหนุนนอนได้ เอนร่างลงแล้วบอกกับเจ้าบ้าน 

“ระหว่างรอ ขอกาแฟร้อนสักแก้วนะคะพี่”

 

            ความเห็นไม่ตรงกัน...การพนันจึงเกิด 

            เหมือนมาลีกับไข่หวานถกเถียงกันเรื่องรูปร่างหน้าตาของแขกผู้จองห้องพักยาวถึงหนึ่งเดือนอยู่สักพักใหญ่ ไข่หวานจินตนาการว่าชายผู้มาเยือนจะเป็นหนุ่มตี๋ ผิวขาว ร่างผอมกะหร่อง หัวโต ไส้แห้ง และสวมแว่นสายตา ส่วนเหมือนมาลีแย้งว่าเขาต้องเป็นชายผู้มีใบหน้ารกครึ้มด้วยหนวดเครา ผมยาวถึงกลางหลัง รูปร่างเตี้ยม่อต้อ 

                “พนันกันมั้ยล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่า ฉันจะจัดมื้อเย็นเลี้ยงยาวเจ็ดวันไม่ให้ซ้ำเมนูเลย แต่ถ้าเป็นไปตามที่ฉันคิด เธอต้องงดคุยกับแฟนเจ็ดวัน”

                “โห...ไม่เห็นยุติธรรมเลย ไข่หวานห้ามคุยกับพี่ป๊อกตั้งเจ็ดวัน ทรมานกว่าพี่แยมเยอะเลย แค่เลี้ยงข้าวเย็นเจ็ดวัน”

                “เอ้า! ก็ฉันไม่มีแฟน เอาน่า ขำๆ เธออาจจะทายถูกก็ได้” 

                “ถูกแน่นอนค่ะ”

                “งั้นจะกลัวอะไร”

                “ก็ได้ แต่ว่านอกจากข้าวเย็นแล้ว ต้องมีลอดช่องกะทิทุกมื้อด้วยนะ” ไข่หวานต่อรอง 

                เหมือนมาลีได้แต่ทำหน้าเมื่อย แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง 

ดังนั้นทั้งคู่จึงใจจดจ่อรอคอยคนกำลังเดินทางมายิ่งกว่าเดิม 

                กระทั่งเที่ยงตรงกับอีกห้านาที รถสองแถวลุงจากเจ้าเดิมก็เคลื่อนมาหยุดที่หน้าบ้าน เหมือนมาลีกับไข่หวานกุลีกุจอลงไปต้อนรับด้วยความละอายเล็กๆ ว่าที่กระตือรือร้นขนาดนี้ มากกว่าจิตบริการคือ อยากเห็นหน้าแขกเพื่อลุ้นเอาชนะพนัน 

                “ถึงแล้วครับคุณ สำเริงสำราญโฮมสเตย์”

                ร่างสูงร้ายแปดสิบเจ็ดเซนติเมตรลุกขึ้น เพราะความสูงในระดับนั้นทำให้ชายหนุ่มต้องค้อมหลังแล้วค่อยๆ พาตัวเองลงจากรถสองแถว 

เหมือนมาลีกับไข่หวานมองชายหนุ่มตาค้าง ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีเทามีรอยยับเล็กน้อยที่ชายเสื้อ บ่งบอกว่าเจ้าตัวนั่งท่าเดิมมานานหลายชั่วโมง กางเกงยีนสีเข้มมีรอยฝุ่นจางๆ น้อยกว่ารองเท้าผ้าใบสีขาวที่ฝุ่นแดงเลอะจนแทบไม่เห็นเค้าเดิม สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่มากๆ ไว้ที่หลัง แต่เจ้าตัวก็ทำเหมือนว่ากระเป๋าใบเขื่องไม่ได้หนักอะไร เพราะแบกมันไว้บนบ่ากว้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

เหมือนมาลีกับไข่หวานต่างจับจ้องชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งมาถึงตาไม่กะพริบ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ลุงจากเดินมาโบกมือตรงหน้าหญิงสาวทั้งสอง 

“ยายหนู นี่แขกที่ให้ลุงไปรับมา เห็นว่าจะมาอยู่เป็นเดือนเลยเรอะ ยังไงก็ดูแลแขกเขาดีๆ เขาจะได้ประทับใจ ครั้งหน้าจะได้ชวนเพื่อนชวนฝูงมาเที่ยวอีก” ลุงจากบอกอย่างอารมณ์ดี แต่พอเห็นว่าเหมือนมาลีไม่พูดไม่จา เอาแต่มองผู้โดยสารตาไม่กะพริบ จึงเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้นอีกนิด 

“ยายหนู เป็นอะไรไป ทำไมตาค้างแบบนั้นล่ะ” 

“หล่อ” ไข่หวานหลุดคำพูดที่คิดออกมา 

เหมือนมาลีกะพริบตาปริบๆ เธอรู้สึกเหมือนไข่หวานไม่มีผิด แต่ไม่กล้าพูดออกมา หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะยกมือสวัสดีผู้อาวุโส 

“หวัดดีจ้าลุงจาก ขอบคุณมากๆ นะลุงที่ช่วยดูแลแขกให้หนู”

“ไม่เป็นไร หน้าที่ลุงอยู่แล้ว ลุงได้เงินนี่” 

เธอปล่อยลมหายใจยาวเหยียด นึกโมโหตัวเองที่เผลอมองผู้ชายตาไม่กะพริบขนาดนั้น ต้องอยู่ร่วมชายคากันตั้งเดือนหนึ่ง ถ้าผู้ชายรู้ตัวว่าเธอบ้าผู้ชาย จะพานเผ่นแน่บหนีไปตั้งแต่วันแรกเอาได้ ต่อไปนี้เธอจะทำให้เขาประทับใจ เพราะในฐานะที่ชายหนุ่มไว้วางใจจองห้องพักยาวนานถึงหนึ่งเดือน เธอจะยกให้เขาเป็น ‘ลูกค้าวีไอพี’

“คุณมีของอะไรให้ช่วยขนมั้ยคะ” เหมือนมาลีส่งยิ้มให้ลูกค้าวีไอพี แล้วชะโงกหน้ามองข้ามหัวไหล่เขาไปยังรถว่ามีสัมภาระอะไรอีกบ้าง โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ‘ลูกค้าวีไอพี’ ของเธอนั้นมีสีหน้าอย่างไร ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเขาจ้องมองเธอโดยไม่ละสายตา 

“เอ่อ...พี่แยมๆ” ไข่หวานเห็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มก็รีบสะกิดสาวรุ่นพี่

“ฮะๆ” เหมือนมาลีผู้ตกอยู่ในอาการประหม่า ทำหน้าเหลอหลา หันไปมองคนเรียก 

ไข่หวานทำนิ้วโป้งชี้ไปยังคนตัวโต เหมือนมาลีมองตาม จึงได้เห็นว่าเจ้าของดวงหน้าคมเข้มกำลังจ้องเธอด้วยแววตา...ที่ไม่ใช่แววตาแบบเดียวกับที่เธอมองเขา มันคล้ายกับตกใจปะปนด้วยความเคร่งเครียดที่เธอเองก็คาดเดาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่

“คุณ...มีอะไรเหรอคะ” เหมือนมาลีถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ 

ชนกันต์ไม่ตอบ เพราะเวลานี้ชายหนุ่มกำลังหูอื้อ ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับมีใครมาจุดไฟเผาหัว ผู้หญิงตรงหน้าคือนักข่าวจรรยาบรรณติดลบคนนั้น 

เขาจำได้แม่นราวกับความทรงจำฝังลึกลงไปในก้านสมองของเขาเลยทีเดียว 

ชาตินี้ทั้งชาติชนกันต์ก็ไม่มีวันลืมหน้าคนที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักของเขาต้องตายได้ 

ใบหน้าของเธอ น้ำเสียงของเธอ แววตาของเธอเหมือนวิญญาณร้ายที่ตามหลอกหลอนเขาทุกเมื่อเชื่อวัน ทุกคืนเขาเฝ้าแต่คิดว่าหากเขาปล่อยให้เธอตาย ภควัตคงรอด หากเขาไม่ช่วยเหลือเธอวันนั้น เขาก็อาจจะช่วยภควัตได้ทันเวลา 

ไม่คิดเลย...ว่าคนชั่วแบบนี้จะโผล่มาให้เขาพบเจอถึงสองครั้งสองครา

ตำรวจหนุ่มในคราบของนักท่องเที่ยวพยายามระงับโกรธที่พลุ่งพล่าน และเพราะว่าเขาถูกฝึกฝนจิตใจมาอย่างเข้มข้น มากพอให้รู้จักจัดการความรู้สึกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มจึงปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้โดยไม่เผยความเกลียดชังออกมาตามความรู้สึกจริงๆ 

“เปล่าครับ ผมแค่นึกเรื่องงาน ก็เลยเครียดขึ้นมานิดหน่อย” 

เหมือนมาลีนิ่วหน้า 

‘หล่อแต่ประหลาด อยู่ดีๆ มาคิดเรื่องงานเนี่ยนะ’ 

แต่เอาเถอะ เธอไม่ได้คาดหวังว่าแขกที่จองห้องพักยาวร่วมเดือนจะเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปอยู่แล้ว 

“งั้นเข้าที่พักได้เลยนะคะ เดินทางมาเหนื่อย ดื่มน้ำลอยมะลิเย็นๆ ก่อนค่ะ”

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ สีหน้าเรียบเฉย 

เหมือนมาลียังคงส่งยิ้มเรี่ยราดโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าหายนะกำลังจะมาเยือน

 

“โฮมสเตย์ที่นี่มีห้องพักสองห้องอย่างที่แจ้งไปแล้วนะคะ อีกห้องนึงมีแขกจองมาแค่ศุกร์เสาร์ วันธรรมดายังว่างอยู่” เธอบอกเพื่อให้แขกได้เตรียมใจว่าอาจจะไม่เป็นส่วนตัวในบางวัน 

“ครับ” 

“อาหารแต่ละมื้อคุณสามารถแจ้งได้นะคะว่าอยากทานอะไร ถ้าไม่ยากเกินไปฉันจะจัดหาให้ แต่ถ้านึกไม่ออกเรามีตารางอาหารรายสัปดาห์ให้ล่วงหน้า อ้อ! แต่ถ้ามื้อไหนไม่รับ อยากทานข้างนอกก็แจ้งได้เช่นกันนะคะ ค่าใช้จ่ายคิดตามที่ทานเท่านั้นค่ะ”

“ครับ” 

“บ้านนี้ไม่มีเครื่องซักผ้า แล้วก็ไม่มีบริการซักรีด ถ้าหากว่า...”

“เรื่องนั้นผมจัดการเองได้” ชนกันต์ตัดบท เพราะความสามารถในการเก็บอารมณ์ของเขากำลังจะหมดลง หากฝืนใจทนคุยกับคนตรงหน้าต่อไป เขาอาจพลั้งมือบีบคอเธอตายได้ 

เหมือนมาลีกลืนคำพูดทุกคำลงกระเพาะไป เธอส่งกุญแจห้องให้เขาแล้วยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มจริงใจ

แต่ชนกันต์ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉย เขารับกุญแจมาเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องไปทันที ก่อนจะลงกลอนประตูอย่างรวดเร็ว 

ชายหนุ่มโยนกระเป๋าเป้ลงบนเตียงขนาดห้าฟุตแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มากดโทร. หาใครบางคน 

“ว่าไง ถึงที่หมายแล้วหรือผู้กอง” 

“ถึงแล้วครับท่าน แต่ผมอยากขอเปลี่ยนแผน” ชนกันต์บอกกับผู้การณัฐพล ผู้บังคับบัญชาของตนด้วยน้ำเสียงร้อนรน ในใจเขาเต้นรัวด้วยความโกรธ

“อะไรกัน มีอะไรผิดพลาดหรือไง” 

“พลาดมากครับ” 

“ยังไงล่ะผู้กอง รีบๆ พูดมาเถอะ” น้ำเสียงจากปลายสายดูร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด 

“ก็เพราะว่าโฮมสเตย์ที่ผมมาพักเป็นของ...” ชนกันต์กระดากปากเกินกว่าจะพูดชื่อเธอ “...ยายนักข่าวหิวเงินคนนั้น”

“นักข่าวหิวเงิน?” ณัฐพลต้องนึกอยู่ครู่หนึ่งว่าชนกันต์หมายถึงใคร “คนที่ลอบเข้าพื้นที่เกิดเหตุปล้นธนาคารน่ะเหรอ” 

“ครับ”

“ซวยอะไรแบบนี้นะผู้กอง” 

“ใช่สิครับ ซวยฉิบหายเลยละ ผมจะย้ายไปพักที่อื่น ไม่อย่างนั้นคงได้พลั้งมือฆ่าคนตายแน่ๆ เลย” 

ปลายสายเงียบไปคล้ายอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า ชนกันต์แทบจะไม่รอฟัง เขาอยู่ไม่ได้ หากต้องเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นทุกวัน งานที่วางแผนมาหลายเดือนจะต้องล่มอย่างแน่นอน 

“ผมคิดว่าเราหาจุดปฏิบัติการใหม่ดีกว่าครับท่าน” 

“ไม่มีแล้ว หมู่บ้านนั้นมีโฮมสเตย์อยู่ที่เดียว อีกอย่างเราวางแผนทุกอย่างมาแล้วนะผู้กอง มืออาชีพหน่อย” 

หน่วยปฏิบัติการลับลิตเติ้ลไทเกอร์มีปฏิบัติการล่อจับพ่อค้ายาข้ามชาติ ซึ่งสายรายงานว่าคนร้ายมีแหล่งกบดานอยู่ในเขตพื้นที่นี้ แต่ไม่ว่าตำรวจจะจับนักค้ายารายย่อยได้ก็ราย แต่ละรายก็มีอันต้องตายไปทุกคน ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ให้ตำรวจได้สอบปากคำเพื่อสาวไปถึงตัวการรายใหญ่เลย

หลังจากเก็บหลักฐานอยู่พักใหญ่ก็แน่ใจว่าคนร้ายพักอาศัยอยู่ในละแวกนี้ แผนก็คือชนกันต์แฝงตัวเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วทำตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้านในละแวกนี้ แน่นอนว่าก่อนมาถึงเขาและทีมงานได้ศึกษาประวัติของชาวบ้านแถบนี้ รวมถึงผู้นำชุมชนมาแล้วเป็นอย่างดีเพื่อความสะดวกในการทำงาน แต่คนเดียวที่ไม่รู้ประวัติกลับเป็นเจ้าของโฮมสเตย์ เพราะเธอเป็นหลานของเจ้าของเดิมที่เพิ่งตายไป เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานจึงไม่มีข้อมูล

นั่นนับเป็นความสะเพร่าที่ไม่น่าให้อภัย 

“แต่ว่าผมทำงานไม่ได้จริงๆ แค่เห็นหน้ายังเกลียดแทบตายแล้ว” 

“ต้องได้ ลืมเรื่องนั้นไปซะผู้กอง” น้ำเสียงเด็ดขาดดังมาตามสาย ชนกันต์แทบจะเอาโขกพื้นให้หายคับแค้น “อย่าว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นสาเหตุให้เพื่อนคุณตายเลย ต่อให้เธอเป็นคนลั่นไกฆ่าเพื่อนคุณ คุณก็ต้องอยู่ทำงานนี้ให้สำเร็จ เข้าใจที่พูดใช่มั้ย” 

ผู้การณัฐพลวางสายไปแล้ว แต่ชนกันต์ยังยืนอึ้ง ถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น เพราะที่ผู้บังคับบัญชาบอกเป็นสิ่งที่ถูกต้องทุกประการ 

เพียงแต่เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหมือนมาลีมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร เขาไม่คิด...ว่าโลกจะกลมได้มากขนาดนี้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น