2

มรดก

2

มรดก

 

                ข้าวสารถ้วยสุดท้ายถูกเทใส่หม้อหุงข้าวไฟฟ้า มือบางเกือบเห็นกระดูกสั่นเทาด้วยความหิว เหมือนมาลีมองข้าวในหม้อแล้วน้ำตาก็รื้นด้วยความรันทดอดสู

                นับจากเหตุการณ์คนร้ายบุกปล้นธนาคารถึงวันนี้ก็หนึ่งปีแล้ว เหมือนมาลีใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและเริ่มเข้าขั้นอดอยากยากแค้น 

                ตอนถูกไล่ออกจากงานเธอยังหยิ่งทะนงว่าสามารถหางานสายนักข่าวได้ไม่ยาก คิดว่าตนยังเป็นที่ต้องการเพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง สำนักข่าวอื่นมาขอซื้อตัวเธอหลายต่อหลายครั้ง 

ทว่าเธอคิดผิด เพราะครั้งนี้ไม่มีสำนักข่าวใดรับเธอเข้าทำงานเลย เงินที่มีหมดไปกับการประวิงเวลาไม่ยอมหางานอื่นทำไปพลางๆ ทำให้เธอเป็นคนตกงานคนหนึ่งที่กำลังจะอดตาย เงินที่เหลืออยู่ในบัญชีตอนนี้แค่พอจ่ายค่าคอนโดเดือนนี้เท่านั้น 

                หญิงสาวกดสวิตช์หุงข้าว แล้วเดินมานั่งหมดอาลัยตายอยาก

                เหมือนมาลีไม่มีพ่อ ท่านตายไปตั้งแต่เธอเรียนชั้นมัธยมปลายด้วยพิษสุราเรื้อรัง ส่วนแม่หนีไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่เธอยังเล็ก และไม่เคยกลับมานานกว่าสิบปีห้าปีแล้ว ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เธอไม่มีญาติพี่น้อง และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ...เธอไม่มีมิตรแท้ที่พอจะบากหน้าไปพึ่งพิงได้ 

                เหมือนมาลีไม่เคยไว้วางใจใคร เธอรักแค่ตัวเอง วันๆ ดิ้นรนปากกัดตีนถีบให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เคยเห็นคนรอบกาย ดังนั้นแล้ว พอถึงคราวลำบาก เธอก็คิดชื่อใครไม่ออกเลยสักคนเลยที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้

                เพราะเธอเองก็ไม่เคยช่วยเหลือใครเหมือนกัน 

                คิดดูแล้ว เธอดิ้นรนจนพาตัวเองมาอยู่ในคอนโดหรูหราได้ขนาดนี้ หากจะต้องกลับไปทำงานพนักงานตามสถานประกอบการต่างๆ เหมือนเมื่อก่อน ก็ยากเหลือเกินที่จะทำใจ 

                จิตใจเหมือนมาลีห่อเหี่ยว เธอคิดอะไรไม่ออกกระทั่งเมื่อโทรศัพท์ของเธอที่เงียบเหงามานานก็ดังขึ้นจนทำเอาร่างบางสะดุ้งตัวโยน 

                ‘เจ้าหนี้แหงๆ’ 

                เธอมองหมายเลขโทรศัพท์ด้วยหัวใจเต้นรัว ค่าบัตรเครดิตเจ็ดใบของเธอก็หมุนจนปวดเศียรเวียนเกล้า คราวนี้ไม่รู้ว่าเจ้าหนี้จากสถาบันการเงินไหนอีก

                ติ๊ดๆๆ ติ๊ดๆๆ ติ๊ดๆๆ

                สายเรียกเข้าดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง คราวนี้หญิงสาวจำใจกดรับแล้วกรอกเสียงลงไป 

                “ฮัลโหล” 

                “สวัสดีครับ คุณเหมือนมาลี ส้มเกลี้ยง หรือเปล่าครับ” 

                เหมือนมาลีชะงักไป เพราะนามสกุล ‘ส้มเกลี้ยง’ นั้นเป็นนามสกุลเก่าที่เธอเปลี่ยนมาเกินสิบปี ฉะนั้นพอมีคนเรียกชื่อนามสกุลนี้ หญิงสาวจึงงุนงงเป็นอย่างมาก 

                “คุณ” 

                “เอ่อๆ ขอโทษค่ะ ฉันเองค่ะ เหมือนมาลี...” เธอเว้นจังหวะกลั้นหายใจ “...ส้มเกลี้ยง”

                ยอมรับตามตรงเลยก็ได้ว่าเธออายนามสกุลบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก เธอก็เหมือนใครหลายคน อยากได้ อยากเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม ไม่อยากถูกมองว่าเป็นคนบ้านนอกคอกนา และก็คิดมาตลอดว่าการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้ทันสมัยดูมีคลาสก็เป็นเรื่องที่ควรทำ 

                “ผมทนายความของคุณสำเริง ส้มเกลี้ยง ขอแจ้งข่าวร้ายให้คุณทราบนะครับ ว่าตอนนี้คุณปู่ของคุณได้เสียชีวิตลงแล้ว” 

                “อะไรนะคะ” เปล่าเลย เหมือนมาลีไม่ได้ตกใจ แต่ประหลาดใจ เธอมีปู่กับเขาตอนไหน พ่อเธอเล่าว่าปู่เสียไปนานแล้วก่อนที่เธอจะเกิดเสียอีก 

                “คุณคงเข้าใจผิดแล้วละค่ะ ปู่ฉันเสียไปนานแล้วค่ะ”

                “ไม่เข้าใจผิดหรอกครับ คุณสำเริงเสียชีวิตไปไม่ได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ ในพินัยกรรมระบุแต่เพียงว่าให้แบ่งมรดกทั้งหมดให้ทายาทโดยชอบธรรม ซึ่งจากการสืบสายเลือดดูแล้ว คุณน่าเป็นทายาทคนสุดท้ายเพียงคนเดียวที่จะเป็นผู้รับมรดกทั้งหมด” 

                เหมือนมาลีหูอื้อตาลาย เธอคงหิวข้าวจัดจนหูฝาด ไม่ก็ฝันไปแน่ๆ ที่ได้ยินอะไรแบบนี้ 

                “คุณเหมือนมาลี ฟังผมอยู่หรือเปล่าครับ”

“ฟะ...ฟะ...ฟังคะ ฉันฟังอยู่” หญิงสาวไม่อาจห้ามเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นได้เลย คนดวงตกอย่างเธอน่ะหรืออยู่ดีๆ ก็บุญหล่นทับ ญาติที่ไหนไม่รู้โผล่มาพร้อมกับสมบัติก้อนโต “แต่ว่า...ฉันจะเชื่อได้ยังไงคะ ว่าที่คุณพูดเป็นเรื่องจริง สมัยนี้มิจฉาชีพเยอะจะตายไป” 

                “ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าคุณเดินทางมาพบผมที่กรมที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีในอีกสองวัน ผมจะทำเรื่องโอนที่ดินให้เป็นของคุณที่นั่นเลย ถ้าไม่ไว้ใจก็พาใครมาเป็นเพื่อนก็ได้ครับ” 

                “ที่ดินเหรอคะ ที่ดินอะไรคะ” เหมือนมาลีอยากจะร้องกรี๊ด เธอกำลังจะได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ 

                “ครับ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นกิจการรีสอร์ตที่จังหวัดกาญจน์ น่ะครับ ไม่ทราบว่าวันที่นัดคุณสะดวกไหม” 

แม้ท้องไส้จะว่างเปล่า ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า แต่สมองเธอโลดแล่นเป็นอย่างมากในเวลานี้ ภาพรีสอร์ตสวยงามบนเนื้อที่ร้อยไร่ริมแม่น้ำแควลอยมา 

ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง 

“คุณทนายคะ ฉันมีคำถามอย่างหนึ่งอยากจะถามคุณ”

“ครับ ยินดีครับ” 

“วันนัดฉันต้องเตรียมเอกสารอะไรไปบ้างคะ” 

 

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาชีวิตของเหมือนมาลีราวกับเรืออับปางกลางคลื่นพายุมรสุมรุนแรง เธอลอยคว้างมองไม่เห็นฝั่ง ในชีวิตของเธอไม่มีใครเป็นฝั่งให้เธอได้แม้แต่ในจินตนาการ 

เรื่องการแอบเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุจนกลายเป็นการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ เป็นคดีความซึ่งทางการฟ้องร้องกับสำนักข่าวต้นสังกัด ทำให้สำนักข่าวแซมบาร์เดียร์นิวส์ต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงินที่มากโข และนับว่าเป็นโชคดีนิดหน่อยที่เหมือนมาลีไม่ต้องติดคุกติดตะรางอย่างที่หวั่นกลัวในตอนแรก 

อย่างไรก็ตามมันทำให้เธอไม่มีที่ยืนในสังคม เหมือนกับว่าหมดอนาคตไปเลย 

แต่เธอยังคงพอมีบุญเก่าที่สั่งสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนอยู่กระมัง วันนี้จึงได้รับโชคก้อนโตเป็นรีสอร์ตหรูท่ามกลางธรรมชาติ 

เอิ่ม...อันที่จริงเธอไม่แน่ใจว่ารีสอร์ตที่เธอได้รับมรดกนั้นเป็นอย่างไร เพราะค้นหาในอินเทอร์เน็ตไม่พบ

‘รีสอร์ตชื่อว่าอะไรเหรอคะ’ เธอถามทนายความผู้จัดการมรดก 

‘สำเริงสำราญ...อะไรสักอย่างนี่แหละครับ’ ทนายความที่เธอยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อตอบแบบขอไปที ‘เอาเป็นสิบโมงเจอกันนะครับ เดี๋ยวรายละเอียดอื่นๆ ค่อยมาคุยกันทีเดียว ผมอาจยุ่งสักเล็กน้อยช่วงนี้ ลูกความผมทยอยตายเป็นว่าเล่นเลย’ 

เอาเถอะ รีสอร์ตจะชื่ออะไรก็ช่างมัน เพราะสำหรับคนที่กำลังจะจมน้ำตาย ได้พบกับเรือเร็ววิ่งมารับขึ้นฝั่งก็นับว่าโชคดีจนบรรยายไม่ออกแล้ว

พอถึงสำนักงานที่ดิน ทนายความก็จัดการทุกอย่างให้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จนเหมือนมาลีดูอะไรไม่ทัน ไม่นานซองสีน้ำตาลซึ่งบรรจุโฉนดที่ดินและระบุเจ้าของเป็นชื่อเธอก็มาอยู่ในมือเธอเรียบร้อย 

เหมือนมาลีนั่งรถโดยสารมา พอบอกลาทนายความผู้มาไวไปไว เธอก็ยืนคว้างอยู่นั้นครู่หนึ่ง หญิงสาวหยิบโฉนดออกมาดูแล้วถอนหายใจ 

จะบอกว่าฉลาดน้อยก็ได้ เพราะตลอดชีวิตไม่เคยมีโฉนดที่ดินเป็นของตัวเองมาก่อน เธอจึงไม่แน่ใจเลยว่าที่ดินผืนนี้ใหญ่น้อยเพียงใด 

“บ้านนอกขนาดนี้ใครจะไปอยู่ได้ ขอโทษนะคะคุณปู่ แยมคงต้องส่งมันไปอยู่กับคนอื่น ขึ้นชื่อว่าเป็นรีสอร์ต คงจะขายได้สักสิบยี่สิบล้านอยู่มั้ง”

พอคิดถึงจำนวนเงิน หญิงสาวก็ตาโต รอยยิ้มกระจ่างระบายบนใบหน้า 

‘ไปดูให้เห็นกับตาตอนนี้เลย ไม่แน่ว่าอาจจะขายได้ถึงห้าสิบล้านก็เป็นได้’ 

 

ฝุ่นดินแดงฟุ้งกระจายจนบังรถสองแถวสีขาวแทบมองไม่เห็น ก่อนรถคันกลางเก่ากลางใหม่จะเบรกจนคนโดยสารพากันหัวทิ่มหัวตำ 

“โอ๊ย! ลุง เบาๆ หน่อยก็ได้ ลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ฉันพันกันหมดแล้วเนี่ย” เหมือนมาลีโวยวาย ไม่นานลุงคนขับรถก็เปิดประตูลงมาบอกกับเธอ 

“ถึงแล้วคุณ ที่นี่แหละ”

เหมือนมาลีไอค็อกแค็ก โบกมือปัดละอองฝุ่นให้พ้นจากจมูก หยีตามองบรรยากาศรอบๆ แล้วต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด 

“แน่ใจเหรอลุง ชื่อคล้ายกันหรือเปล่า”

“สำเริงสำราญโฮมสเตย์ มีที่นี่ที่เดียวแหละคุณ”

“ไม่ใช่! ไม่ใช่โฮมสเตย์ รีสอร์ตค่ะ พามาผิดแล้วลุง นึกอยู่แล้วว่าไม่ใช่ทางนี้หรอก ถนนลูกรังแบบนี้จะมีรีสอร์ตมาเปิดอยู่ได้ยังไง โอ๊ย! เสียเวลาฉันจริงๆ เลย ลุงนะลุง รีสอร์ตที่ฉันบอกน่ะ เป็นของปู่สำเริง ส้มเกลี้ยง คนที่เพิ่งตายไปเดือนที่แล้วต่างหาก” 

“ปู่สำเริง ส้มเกลี้ยง ก็มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละคุณ ในหมู่บ้านนี้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้จักกันทั้งนั้น คุณไปถามใคร เขาก็พาคุณมาที่นี่แหละ คนที่เสียเวลาน่ะเป็นผมมากกว่า คุณรีบลงมาเลย ผมจะไปส่งผู้โดยสารต่อ”

พอถูกเจ้าถิ่นขึ้นเสียงใส่ คนเก่งก็หน้าจ๋อยสนิท เธอหยิบเงินส่งให้ลุงเจ้าของรถสองแถวแล้วลงจากรถทันที 

พอรถแล่นจากไป เจ้าของร่างบอบบางในชุดเชิ้ตสีขาว นุ่งกางเกงยีนขาเดฟก็เดินไปยังประตูไม้เก่าๆ ที่เขียนป้ายด้วยลายมือที่บรรจงว่า

สำเริงสำราญโฮมสเตย์ ยินดีต้อนรับ

“ฉันอยากจะร้องไห้แล้ว” 

 

หลานสาวผู้พลัดพรากตั้งแต่เยาว์วัยกลับมารับมรดกร้อยล้านของเจ้าคุณปู่ 

‘นิทานหลอกเด็ก นิยายน้ำเน่า ละครหลังข่าว โกหกสุดๆ’

เหมือนมาลีไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาสบถ ถึงจะสาสมกับสิ่งที่เธอเจอ เพราะมรดกของคุณปู่สำเริงเป็นแค่โฮมสเตย์เก่าๆ ที่เข้าพักได้คืนละสองห้อง เก็บค่าเช่าแค่ห้าร้อยบาทต่อคืน 

บ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ดีๆ เรือกู้ภัยที่เข้ามาช่วยเธอขณะลอยคออยู่กลางทะเลกลับเป็นแค่เรือแจวที่ใกล้จะจมไม่จมแหล่ 

เหมือนมาลีน้ำตาร่วงแหมะๆ อย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ 

“โถ...คุณ เสียใจที่คุณปู่สิ้นไปก่อนที่จะได้พบหน้ากันสินะคะ” นางสมพิศ หญิงวัยกลางคนผู้ดูแลโฮมสเตย์แห่งนี้กล่าวด้วยความสงสาร 

คนร้องไห้เหลือบมองคนพูดซึ่งดูจะน้ำตารื้นแล้วต้องร้องไห้หนักกว่าเดิม 

“ฮือ...บ้าบอ เวรกรรมอะไรของฉันถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้”

“ไม่เอานะคะ คนตายไปแล้ว อาลัยอาวรณ์ไปก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกค่ะ ถือว่าคุณปู่ท่านไปสบายก็แล้วกันนะคะ”

“ใช่! บางทีฉันก็อยากจะตายๆ ไปให้รู้แล้วรู้รอด” คราวนี้เหมือนมาลีบ่นกับตัวเองคนเดียว ทำให้อีกฝ่ายได้ยินไม่ชัดเจนต้องถามซ้ำ 

“คุณว่าอะไรนะคะ” 

“เปล่าค่ะป้า...” เธอถอนหายใจแล้วเช็ดน้ำตา “ป้าพักอยู่ที่นี่เหรอ” 

“บ้านป้าอยู่ถัดไปจากนี้ประมาณสองสามร้อยเมตรค่ะ ป้าทำงานที่นี่ ดูแลทำความสะอาดห้องพัก แล้วก็จัดอาหารการกินให้แขก เสร็จงานก็กลับไปนอนบ้าน”

เหมือนมาลียิ่งหนักใจ โฮมสเตย์เล็กๆ แบบนี้ กำไรก็น้อยมากพอแล้ว ยังจะต้องจ่ายค่าจ้างคนดูแลอีก จะเอากำรี้กำไรมาจากที่ไหน 

“ป้า ฉันเองก็ไม่ใช่คนที่นี่ ป้าคงต้องหางานอื่นทำแล้วละ เพราะอีกหน่อยฉันจะประกาศขายแล้ว” 

“อ้าว!” นางสมพิศทำหน้าเศร้า “คุณไม่ได้อยากมาสืบทอดกิจการหรอกหรือคะ”

“ไม่หรอก ถ้าป้ากลัวตกงาน ฉันจะบอกกับคนที่มาซื้อก็ได้ ว่าให้จ้างป้าต่อ แต่ไม่รับปากหรอกนะว่าเขาจะจ้างหรือเปล่า” 

“เรื่องนั้นป้าไม่ห่วงหรอกคะคุณ ห่วงก็แต่ว่า...จะมีใครมาซื้อกันล่ะคะ บ้านเก่าๆ โทรมๆ แบบนี้” 

“มีสิ” เหมือนมาลีตอบอย่างไม่มั่นใจนัก ความหนักใจก่อเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 

เธอกวาดตามองรอบๆ ภาพที่เห็นคือบ้านไม้หลังนี้เป็นบ้านโบราณขนาดสองชั้น พื้นที่บ้านกว้างขวาง ชั้นสองของบ้านเป็นระเบียงกว้างที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน มองเห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อนงดงามเป็นอย่างมาก แต่ทุกอย่างภายในบ้านแห่งนี้ทรุดโทรมเก่าแก่จนเดาไม่ออกเลยว่าที่นี่รับแขกครั้งสุดท้ายเมื่อไร 

จากที่คิดว่าจะขายสมบัติได้หลักสิบล้าน ตอนนี้แค่หลักแสนยังไม่แน่ใจเลยว่าจะขายได้หรือเปล่า 

คิดแล้วน้ำตาก็พลันจะไหลอีกระลอก 

เหมือนมาลีเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘สวรรค์กลั่นแกล้ง’ ก็คราวนี้ 

 

            สามเดือนผ่านไป

                โครม! 

                ชายฉกรรจ์สามคนโยนของออกมาจากคอนโดใจกลางกรุง เหมือนมาลียืนหน้าซีดเผือดอยู่หน้าคอนโด มองข้าวของของตัวเองที่วางระเกะระกะบนพื้นด้วยความกลัวผสมปนเปกับความอับอาย เพราะตอนนี้คนเริ่มมองมาที่เธอเป็นตาเดียว 

                “นี่คุณ ทำแบบนี้ฉันแจ้งความจับคุณได้นะ” เหมือนมาลียังใจกล้าด่าคนที่ขนของเธอมาทิ้งอย่างไม่เห็นแก่มนุษยธรรม 

                “ไปแจ้งเลย ตำรวจจะได้จับแกข้อหาไม่ยอมจ่ายค่าเช่าห้อง” เจ้าของคอนโดที่ปล่อยเช่าให้เธอเดินตามออกมา 

                “คุณหวาน แยมบอกแล้วไงคะ ว่าขายที่ได้จะเอาเงินมาจ่ายทีเดียว” 

                “ขายที่? แกคิดว่าฉันจะโง่ให้แกหลอกเหรอ ที่ดินอะไรของแก คนอย่างแกจะมีทรัพย์สินอะไรเหลือติดตัว อีกอย่าง ถ้าแกขายที่ไม่ได้ ฉันไม่ต้องรอไปทั้งชาติเลยหรือไง”

                “นี่! จะดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ”  

                “ก็ดูถูกสิวะ นักข่าวเลวๆ อย่างแก ฉันไม่อยากให้มาอยู่คอนโดฉันให้สกปรกหรอก รีบเก็บข้าวของออกไปนะ ลำบากช่วยขนมาขนาดนี้ก็บุญแล้ว ส่วนทีวีตู้เย็นฉันจะยึดไว้แทนค่าเช่าที่แกค้างไว้สามเดือนก็แล้วกัน” 

“ฮะ!”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว รำคาญ” 

ดวงตากลมโตมองเจ้าของคอนโดที่ครั้งหนึ่งเคยดีต่อกันตอนสมัยที่เธอยังเฟื่องฟูตาค้าง และยังเห็นด้วยว่าคนอื่นๆ กำลังมองมาด้วยแววตาว่างเปล่า บางคนยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายภาพ ไม่มีใครคิดจะเดินเข้ามาถามไถ่ช่วยเหลือเธอในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย 

ในตอนนั้นสิ่งแรกที่เธอคิดก็คือกลับบ้าน แต่บ้านที่ไหนกันล่ะ ในเมื่อเธอไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง 

 

รถสองแถวคันเดิมพาเธอกลับมายังสถานที่แห่งนี้ 

‘สำเริงสำราญโฮมสเตย์ ยินดีต้อนรับ’

“ถึงแล้วครับคุณ” 

ลุงจากคนขับรถสองแถวจอดรถแล้วเดินอ้อมมาบอก คราวนี้ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นนอกจากเหมือนมาลี ลุงเลยพอมีเวลาจะคุยด้วยนิดหน่อย

“มาสองรอบแล้วแบบนี้ไม่ผิดที่แล้วใช่มั้ย”

“ค่ะ” เหมือนมาลีทำหน้าเมื่อย แต่ลุงยิ้มจนเห็นฟันหลอ เธอคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบแล้วลากลงจากรถอย่างทุลักทุเล ลุงมีน้ำใจเข้ามาช่วยยกมาวางไว้ใต้ร่มไม้หน้าบ้าน 

“ขอบคุณค่ะ นี่ค่าโดยสาร” เธอยื่นเงินให้ ตั้งท่าจะเข้าบ้าน แต่ถูกเรียกเอาไว้ก่อน 

“เอาของมาเยอะแบบนี้คงจะมาอยู่เลยสิท่า” 

“ใช่ค่ะ” เธอหยุดแล้วหันมาตอบ 

“เห็นชาวบ้านแถวนี้เขาบอกว่าหลานคุณปู่สำเริงประกาศขายบ้านไปแล้ว แต่ขายไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคุณ ไม่เป็นไรหรอก เห็นบ้านนอกคอกนาแบบนี้อยู่ๆ ไปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย ผมเนี่ยขับแท็กซี่อยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่ม ลำบากลำบน รถก็ติด คนก็หงุดหงิดง่าย กลับบ้านมาขับรถสองแถวนี่รายได้น้อยกว่าก็จริง แต่มีกินมีใช้ สุขภาพจิตก็ดี สบายกว่าอยู่กรุงเทพฯ เยอะ”

เหมือนมาลีไม่ตอบอะไร อันที่จริงเธอไม่ค่อยได้คุยกับใครยาวๆ แบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง การได้ฟังคนอื่นพูดบ้างก็ทำให้รู้สึกดีไปอีกแบบ 

“มีอะไรให้ช่วยก็เดินไปบ้านคนแถวนี้ เขามีน้ำใจกันทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องกลัวอันตรายอะไร”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวบอกอย่างจริงใจเป็นครั้งแรก เพราะเห็นว่าครั้งก่อนลุงคนขับรถสองแถวทำฮึดฮัดโมโหเธอแทบตาย แต่กลับกลายเป็นว่าแกเป็นคนเดียวที่พูดดีกับเธอในช่วงเวลาหลายเดือนมานี้ 

“โชคดีนะคุณ”

รถสองแถวคันเดิมแล่นออกไป ฝุ่นควันฟุ้งกระจายตามทางที่รถเคลื่อนผ่าน เหมือนมาลีทอดถอนใจ แม้เธอจะมองว่าบ้านหลังนี้เป็นเรือเก่าผุพัง แต่คนจะจมน้ำตายอยู่รอมร่อ ก็คงต้องเกาะมันไว้ก่อนเพื่อให้ลอยคอรอดชีวิตอยู่ได้ 

หญิงสาวหยิบกุญแจดอกสีเหลืองทองออกมาไขประตูรั้ว เปิดเข้าไปก็พบกับฝุ่นที่เกาะหนาเตอะ ตั้งแต่เธอได้รับมอบบ้านหลังนี้มา ที่นี่ก็ไม่เคยเปิดรับแขกเข้ามาพักอีกเลย สภาพของบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัยจึงทรุดโทรม ดีที่เธอยังจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไม่เช่นนั้นคงลำบากแน่ๆ หากต้องเข้ามาอยู่บ้านร้างที่ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ 

หญิงสาววางกระเป๋าลงแล้วเดินขึ้นไปสำรวจข้างบนบ้าน เธอบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไร หัวใจมันโหวงแปลกๆ ที่ต้องมาอยู่อาศัยในที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ 

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นทายาทโดยชอบธรรม ได้รับมรดกอย่างถูกต้อง แต่เธอก็ไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าบ้านหลังนี้คือบ้านของเธอ 

เธอไม่คุ้นเคย ไม่มีความผูกพัน และรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลาเมื่อแต่ละย่างก้าวเหยียบลงบนแผ่นไม้ที่ฝุ่นเกาะหนา อ้างว้างจนต้องกุมหัวใจตัวเองอย่างปลอบประโลม 

“อ้าว! คุณ”

ป้าสมพิศเยี่ยมหน้าโผล่เข้ามาตรงช่องบันได เหมือนมาลีเห็นก็ยิ้มออกเป็นครั้งแรก 

“ป้านี่เอง” 

“ก็ตาจากคนขับสองแถวแวะบอกป้าเมื่อกี้เอง ว่าคุณมาก็เลยเข้ามาคุยด้วยเสียหน่อย ขายบ้านหลังนี้ได้แล้วหรือ” ป้าสมพิศเดินกระย่องกระแย่งขึ้นบันไดบ้านมา ถกผ้าถุงขึ้นก่อนจะนั่งลงพิงเสาต้นหนึ่งกลางบ้าน “เอ้อ! บ้านโทรมไปมากเลย ไม่มีคนมาดูแล นี่ถ้าคุณอนุญาต ป้าจะมาทำความสะอาดให้ก็ได้” 

“ฉันไม่มีเงินจ้างหรอกจ้ะป้า” เหมือนมาลีเดินมานั่งบนพื้นห่างจากที่ป้าสมพิศนั่งอยู่พอประมาณ สีหน้าเหน็ดเหนื่อย 

“โอ๊ย! ไม่ต้องจ้างหรอก ฉันกับหลานมาทำให้แป๊บเดียวก็เสร็จ ไม่เอาค่าจงค่าจ้างอะไรหรอกคุณ”

เหมือนมาลีไม่ได้ตอบอะไร แต่ในใจเธอไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ‘ของฟรี’ ไม่มีในโลก 

การเติบโตมาอยากยากลำบากในห้องเช่าเล็กของชุมชนแออัด คนรอบกายต่างปากกัดตีนถีบ ดิ้นรนเอาตัวรอด ไม่มีใครสนใจใคร หากไม่หวังผลประโยชน์ เธอไม่ศรัทธากับคำว่า ‘น้ำใจ’ เพราะไม่เคยได้รับมันจากใครเลย 

“ฉันเกรงใจน่ะป้า เมื่อก่อนป้าเป็นแม่บ้านที่นี่ เคยได้รับเงินเดือนจากคุณปู่นี่นา จะมาทำให้ฟรีๆ ได้ยังไง” เธอตอบไปตามมารยาท “อีกอย่าง ฉันยังขายบ้านไม่ได้ คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ซะเอง เดี๋ยวทำไปเรื่อยๆ ก็คงเสร็จ”

“มาอยู่เองก็ดีแล้ว บ้านหลังนี้งามมากนะคะคุณ ไม้สักทั้งหลัง ขายไปเสียดายตายเลย” ป้าสมพิศกวาดตามองสภาพบ้านที่ทรุดโทรม ใจหายขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเจ้าของบ้านที่เฝ้าดูแลมันอย่างดีจนลมหายใจสุดท้าย 

“ตาสำเริงแกรักบ้านหลังนี้มาก ดูแลอย่างดีจนแกจะตายก็ยังห่วงขนาดขอหมอกลับมาตายที่บ้าน ญาติพี่น้องล้มหายตายจากกันไปหมด นี่ป้าก็เพิ่งรู้ว่าตาสำเริงแกมีหลานกับเขาเหมือนกัน ถ้ารู้เร็วกว่านี้คุณจะได้ช่วยกลับมาทำศพส่งวิญญาณแก แกจะได้หมดห่วงไปสบาย” 

เหมือนมาลีอึ้งไปตั้งแต่ที่นางสมพิศบอกว่าปู่สำเริงของเธอเสียชีวิตที่บ้านแล้ว อยู่ดีๆ ขนแขนเธอก็ลุกชูชันจนต้องยกมือขึ้นมาลูบแรงๆ 

“ป้า พูดอะไรแบบนั้น คนตายแล้วก็ต้องไปสบายทุกคนสิ” 

“ไม่ทุกคนหรอกคุณ คนแถวนี้ เขายังเห็นว่าตาสำเริงแกเดินวนเวียนอยู่ในบ้าน เหมือนยังไม่ยอมไปผุดไปเกิด”

คราวนี้เหมือนมาลีตาลุกโพลง รีบถดกายเข้าไปหาหญิงสูงวัยแล้วคว้าหมับเข้าที่แขนนุ่มนิ่ม ตัวสั่นงันงก 

“ฮือ...ป้า พูดจริงๆ เหรอ” 

“เอ้า! คุณกลัวผีหรอกรึ โอ๊ย! ไม่รู้ ไม่งั้นไม่เล่าหรอก” 

‘โอ๊ย! ป้า ใครจะไม่กลัว พูดมาขนาดนี้ คนไม่กลัวคงบ้าไปแล้ว’

         เหมือนมาลีได้แต่บ่นในใจ เธอไม่แน่ใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่เป็นที่คุ้มกะลาหัวไปก่อน หรือจะหนีไปตายดาบหน้าดี แค่คิดภาพตัวเองต้องนอนอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ที่มีสภาพโบราณคร่ำครึขนาดนี้ หัวใจก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม 

        “กลัวสิป้า คืนนี้ฉันจะนอนยังไงล่ะ”

        “เอ้าๆ ยังอีกหลายชั่วโมงกว่าจะค่ำ เดี๋ยวฉันให้เด็กแถวนี้มาช่วยกันเก็บกวาด แล้วคืนนี้ให้นังไข่หวาน หลานฉันมานอนเป็นเพื่อนก็แล้วกันนะ” คนจุดประเด็นเรื่อง ‘วิญญาณปู่สำเริง’ มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด 

        เหมือนมาลีเคือง แต่เห็นว่าอีกฝ่ายยังยืนยันจะช่วยเหลือเธอ หญิงสาวจึงข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ก่อน

“ฉันไม่มีเงินนะป้า” 

        “ไม่คิดเงินหรอกคุณ คุณเป็นคนตัวคนเดียวเพิ่งมาอยู่ที่นี่ จะปล่อยไว้ไม่ช่วยเหลือได้ยังไง ปู่สำเริงแกจะหาว่าป้าน่ะ แล้งน้ำใจ”

“โอ๊ย! ป้าอย่าไปพูดถึงปู่แกเลยนะ พูดบ่อยๆ เดี๋ยวแกมา” 

“เออๆ ไม่พูดแล้วไม่พูด ปล่อยแขนป้าได้แล้ว จะได้ลุกไปเรียกหลานมัน” 

         เหมือนมาลียกมือไหว้ปลกๆ ป้าสมพิศจะช่วยด้วยการหวังผลอะไรก็ตาม ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอะไรมากนักจึงควรรับน้ำใจนี้ไว้ เพราะลำพังตัวเองคนเดียวคงทำความสะอาดบ้านทั้งหลังไม่ไหวแน่ๆ อีกอย่าง เธอก็นอนคนเดียวไม่ได้ด้วย แกให้หลานมานอนเป็นเพื่อนก็ถือว่าดีมากแล้ว 

ส่วนเรื่องที่คิดว่าหญิงสูงวัยเข้ามาช่วยเพราะหวังสิ่งใดจากเธอ สักวันเธอคงรู้คำตอบทุกอย่างแน่นอน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น