6

เกลียดรอยยิ้มของเธอ

6

เกลียดรอยยิ้มของเธอ

 

ตอนค่ำเหมือนมาลีทราบข่าวจากเพื่อนบ้านที่ไปเยี่ยมลูกแก้วว่าเด็กหญิงปลอดภัยแล้ว หมอวินิจฉัยว่ามีอาการของโรคหัวใจ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันท่วงที อาจจะหัวใจวายเสียชีวิตได้ คนในครอบครัวไม่มีใครทราบเลยว่าลูกแก้วมีภาวะของโรคดังกล่าวจนอาการของโรคแสดงออกมา 

นางน้อย มารดาของลูกแก้ว รวมถึงคนในครอบครัวทุกคนเข้ามาขอบอกขอบใจเธอยกใหญ่ ทั้งนำของข้าวของกำนัลมากมายมาให้ เหมือนมาลีไม่เคยช่วยเหลือใครอย่างจริงใจ ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่เธอได้ทำเพื่อใครสักคนโดยไม่หวังผลตอบแทน และเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าใจคุณค่าของคำว่า ‘ขอบคุณ’

ที่ใครหลายคนบอกว่า ‘อิ่มอกอิ่มใจ’ เป็นแบบนี้นี่เอง 

“ลูกแก้วปลอดภัยแยมก็ดีใจแล้วค่ะ ไม่ต้องเอาอะไรมาให้แล้ว” 

“ถ้าไม่ได้คุณ ฉันอาจจะเสียลูกไปแล้ว” นางน้อยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จนนายถวิล สามีของนางต้องลูบไหล่ลูบหลังปลอบใจ 

ชนกันต์นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น เขามองที่สองสามีภรรยาอย่างสะท้อนในอก สายตานั้นยังเผื่อแผ่ไปยังเหมือนมาลีด้วย นางน้อยพูดถูก หากไม่ใช่เหมือนมาลี แต่เป็นคนอื่นที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำซีพีอาร์ เด็กน้อยการถึงแก่ชีวิตไปแล้ว 

“แล้วนี่น้าสองคนจะทำยังไงต่อไปคะ เป็นโรคหัวใจ ลูกแก้วคงต้องรักษาอีกนานเลย”

“ครับคุณแยม ยังไงก็ต้องรักษาให้ถึงที่สุด ต่อให้ต้องหมดเนื้อหมดตัวก็ต้องยอม กลัวอย่างเดียว” ถวิลมีสีหน้าสลดลง “กลัวแกจะรักษาไม่หาย” 

“หายสิคะ หมอเดี๋ยวนี้เก่งจะตายไป มีอะไรให้แยมช่วยก็บอกได้เลย แยมเต็มใจ”

“คุณแยมก็เหมือนกันนะครับ มีอะไรให้พวกเราช่วยก็บอกมาเลยนะครับ พวกเราเป็นหนี้บุญคุณคุณ”

เหมือนมาลียิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ สำหรับเหมือนมาลีการเติบโตมาในชุมชนแออัด ในเมืองที่คนรอบข้างมีชีวิตเพื่อต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอดไปวันๆ จนไม่มีเวลาที่ใครจะมาสนใจใคร เธอเคยคิดด้วยซ้ำว่า ‘น้ำใจ’ นั้นเป็นแค่คำคำหนึ่งที่หมดความหมายไปแล้ว 

ความจริงแล้ว เพียงแค่เธอไม่เคยพบมัน...ก็ใช่ว่าจะไม่มี

สองสามีภรรยากลับไปแล้ว แต่เหมือนมาลียังมีสีหน้าเป็นกังวล จนชนกันต์ต้องเดินมาถาม 

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“คะ?” เธอไม่รู้ตัวว่าชนกันต์มองเธออยู่ตั้งแต่แรก คำถามของเขาจึงทำให้เธอค่อนข้างงง 

“ผมเห็นว่าคุณนั่งเงียบอยู่นานแล้ว เลยถามดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่สงสารลูกแก้ว แกตัวเท่านี้เอง ต้องมาเป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้ ต่อไปคงลำบากมากๆ เลยนะคะ จะเล่นสนุกเหมือนเด็กคนอื่นก็คงไม่ได้ด้วย”

ชนกันต์คิดตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย เขาเห็นเด็กลูกแก้วต้องมาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารมากๆ เหมือนกัน 

“ชีวิตจริงมันไม่ได้สวยงามเหมือนในนิยาย”

“เรื่องนั้นฉันรู้ซึ้งดีค่ะ” เหมือนมาลีนึกถึงความยากลำบากของชีวิตตัวเอง ในตอนเด็กนั้นเธอลำบากถึงขนาดไม่มีข้าวกินเกือบสามวัน “จริงสินะคะ คุณเป็นนักเขียน คงดีนะคะ ถ้าเราเขียนชีวิตของตัวเองได้เหมือนเขียนนิยาย” 

“ทุกคนเขียนชีวิตของตัวเองได้ครับ แต่เขียนชีวิตคนอื่นไม่ได้ ต่อให้เราเดินบนทางที่ถูกต้องมาโดยตลอด ก็มักจะมีคนบางคนที่เราไม่อยากเจอเข้ามาในชีวิต และบางครั้งคนคนนั้นก็อาจเป็นคนที่ทำให้เรา...ตาย”

แม้จะรู้สึกขนลุกหน่อยๆ กับคำเปรียบเปรยของชนกันต์ แต่เหมือนมาลีก็ดูไม่ออกว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันกับเธอ

ส่วนชนกันต์มองเห็นเหมือนมาลีผู้แสนดีซ้อนทับเงาของคนที่เขาเจอตรงบันไดทางหนีไฟวันนั้น 

 

ตกบ่ายแก่ๆ เหมือนมาลีทำความสะอาดบ้านเรียบร้อยจึงลงมารดน้ำแปลงผักคะน้าเหมือนปกติท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นของหมู่บ้านเนินมะปราง หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้มีอากาศเย็นทั้งปี ยิ่งช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิช่วงบ่ายสามโมงกว่าจะลดต่ำเร็วกว่าปกติ 

เหมือนมาลีคิดว่าวันนี้เธอจะต้มนมอุ่นๆ ดื่มสักแก้ว คงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลย 

“ว้าย!” 

คนกำลังรดน้ำต้นไม้กรีดร้องด้วยความตกใจ เพราะมัวแต่คิดถึงของกินเพลินๆ จนไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเดินมาข้างหลัง เธอถือบัวรดน้ำอยู่ พอหันหลังแบบไม่ระวังจึงชนกับร่างสูงของ ‘ลูกค้า’ คนเดียวของโฮมสเตย์เข้าอย่างจัง น้ำในบัวกระฉอกถูกเขาจนเสื้อเปียกไปแถบหนึ่ง

ชนกันต์ที่ตั้งใจแค่เดินผ่านไปถึงกับอึ้งไปเลยกับอุบัติเหตุอันไม่คาดฝัน 

“ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันไม่ทันมอง” เหมือนมาลียกมือไหว้ปลกๆ อารามตกใจเธอรีบเข้าไปปัดน้ำที่เลอะเสื้อของเขาออก ทั้งที่ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย 

ชนกันต์รังเกียจเหมือนมาลีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม พอเธอเอามือมาถูกตัวก็รีบผลักออกจนหญิงสาวชะงักไป 

คนถูกผลักทำหน้าไม่ถูก เธอไม่เคยโดนผู้ชายรังเกียจอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้มาก่อนเลยชีวิต เหมือนมาลีได้แต่ทำหน้าเจื่อน กล่าวคำขอโทษอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าเดิม 

“ขอโทษค่า”

“ไม่เป็นไรครับ” 

แม้จะได้รับคำตอบแบบนั้น แต่เหมือนมาลีก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ยกโทษให้เธอเลยสักนิด 

“คุณกำลังจะไปไหนเหรอคะ”

ชนกันต์ยังหน้าหงิกอยู่ แต่ก็ยอมตอบคำถามของเธอ 

“ผมจะไปข้างนอก”

“ไปยังไงคะ ให้ฉันพาไปมั้ย” ถามอย่างกระตือรือร้น เพราะรู้สึกผิดที่ดันซุ่มซ่ามทำน้ำหกใส่เขา 

ชนกันต์ตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว งานของเขายังไม่คืบหน้าเลยตั้งแต่มาที่นี่ แผนการพาตัวเองเข้าไปทำความรู้จักกับคนในชุมชนยังไม่ได้ดำเนินการเลยสักนิดเดียว 

ถึงจะเกลียดสักเพียงใด แต่เวลานี้เหมือนมาลีเป็นแค่คนเดียวที่พอจะช่วยเขาได้ ท่าทีเครียดขึงจึงเปลี่ยนแปลงไป 

“ผม...อยากไป...ตลาด” 

 

ย่างเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน อากาศพื้นที่ซึ่งรายล้อมด้วยหุบเขาเริ่มหนาวเย็น แผงร้านค้าในตลาดประจำอำเภอมีเสื้อกันหนาว หมวกไหมพรม ผ้าพันคอมาวางขายในปริมาณที่หนาตา 

เหมือนมาลีขับรถกระบะตอนเดียวอันเป็นสมบัติที่พ่วงมากับโฮมสเตย์ของปู่สำเริงมาจอดเทียบทางเท้าหน้าร้านจิ้มจุ่มที่ตั้งอยู่ริมทาง ชนกันต์นั่งมาด้วย

“ถึงแล้วค่ะ” เหมือนมาลีบอกเมื่อเห็นว่าเขายังนั่งนิ่ง ก่อนจะหลุดขำออกมา เพราะรูปร่างสูงใหญ่ของเขาทำเอารถคันเก่าของปู่สำเริงดูเล็กไปเลย 

“ครับ” ชนกันต์รับคำแล้วพาตัวเองออกจากรถ ความปวดเมื่อยจากการนั่งงอเข่าทำให้เขาเผลอร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด 

“ขอโทษจริงๆ นะคะ รถคันเล็กไป คุณเลยต้องลำบาก”

“ไม่เป็นไรครับ อันที่จริงผมตัวโตมากเกินไปต่างหาก” เขาบอกพร้อมกับส่งยิ้มกระจ่างให้ 

เหมือนมาลีใจละลายง่ายๆ เมื่อเขายิ้มให้ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เธอสับสนว่าควรจะ ‘กลัว’ หรือควรจะ ‘ชอบ’ เขาดี 

‘ไม่ควรสักอย่างนั่นแหละ’

เธอร้องเตือนสติตัวเอง แล้วรีบถามถึงวัตถุประสงค์การมาที่นี่ของเขาก่อนจะคิดอะไรเลยเถิดไปมากกว่านี้ 

“คุณอยากซื้ออะไรเหรอคะ” 

“ผมอยาก...ทานอาหาร” 

“หา! มาทานอาหารเหรอคะ” เหมือนมาลีแปลกใจ เพราะคิดว่าเขาอยากซื้อของใช้ ไม่คิดว่าจะมาหาของกิน สงสัยว่ารสมือเธอจะใช้ไม่ได้จริงๆ ชนกันต์ถึงต้องดั้นด้นออกมาหารับประทานข้างนอก 

“ครับ ขอร้านที่ขายดีที่สุดในย่านนี้เลยนะ” 

 

เมื่อแน่ใจว่าชนกันต์ตั้งใจมาหาของกิน เหมือนมาลีจึงแนะนำร้านจิ้มจุ่มเฮียชิด ร้านอาหารสไตล์อีสานที่เปิดมานานนับสิบปี หากถามถึงร้านที่ขายดีที่สุดในย่านนี้ก็ต้องที่นี่เลย 

“เฮีย” เหมือนมาลีโบกมือให้ชายร่างท้วมซึ่งสวมผ้ากันเปื้อน เขาสาละวนอยู่กับการปรุงอาหาร 

เฮียชิดหันมาเห็นเป็นเหมือนมาลีก็ทักทายอย่างเป็นกันเองด้วยเสียงอันดังอันเป็นลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น

“อ้าว! หายหน้าไปนานเลยน้า ลูกค้าเยอะเหรอ ได้ข่าวว่าห้องพักเต็มยาวไปเดือนหน้าเลยนี่ยายหนู” 

“ก็เยอะบ้าง ช่วงวันหยุดน่ะเฮีย แหม! โฮมสเตย์แยมมีอยู่แค่สองห้องเอง ไม่เต็มก็อดตายกันพอดีสิ” 

เหมือนมาลีคุ้นเคยกับเฮียชิด แม้ว่าเพิ่งเข้ามาอยู่เมืองนี้ได้ไม่นาน เพราะเฮียแกมีนิสัยเป็นกันเอง ไม่ถือตัว นับว่าแกเป็นคนหนึ่งที่ทำให้เธอปรับตัวเข้ากับเมืองที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ได้ง่ายขึ้น 

“เอาน่า ปีหน้าขยับขยายไปอีก รวยๆ เฮงๆ” 

“สาธุเลยเฮีย ถ้าฉันรวยเมื่อไหร่จะไม่ลืมเฮียเลย”

สองคนต่างวัยพากันหัวเราะร่วนอารมณ์ดี คงมีแต่ชนกันต์ที่ยืนทำหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ตรงนั้น จนเฮียชิดต้องหยุดบทสนทนากับเหมือนมาลีเพื่อหันมาสนใจชายแปลกหน้า

“พาผัวมาเหรอ”

“เฮีย!” เหมือนมาลีถลึงตาอย่างตกใจกับข้อสันนิษฐานของเฮียชิด ชนกันต์ยิ่งไม่ชอบให้แซวเชิงลักษณะชู้สาวแบบนี้ เธอกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ “ลูกค้าโฮมสเตย์ต่างหากเล่าเฮีย”

“อ่าว! เรอะ คิดว่ามีแฟนซะแล้ว”

“ถามว่ามีแฟนแล้วก็ไม่ว่านะ เดาว่าเป็นผอสระอัว บ้าจริงเลยเฮียเนี่ย” ประโยคหลังเหมือนมาลีพูดเสียงเบาคล้ายบ่นเสียมากกว่า 

“ก็เห็นว่าดูอายุไม่ใช่น้อยแล้ว ก็เดาไปสุ่มสี่สุ่มห้านั่นแหละ”

“ถ้ามีจะแถลงข่าวให้รู้ทั้งจังหวัดเลย ไม่ปิดบังแน่นอน” 

ชนกันต์ฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ว่าบทสนทนานั้นจะกล่าวถึงเขาอยู่ก็ตาม เขาไม่ตลก ไม่มีความบันเทิงสักนิดกับเรื่องล้อเล่นของคนทั้งคู่ เกิดคำถามในใจว่า ‘กฎแห่งกรรม’ นั้นคงจะเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ เพราะเห็นอยู่แล้วว่ามันทำอะไรคนคิดทำผิดคิดชั่วไม่ได้เลย 

“คุณกันต์คะ นี่เฮียชิด เจ้าของร้าน แล้วก็เป็นพ่อครัวด้วย ซุปจิ้มจุ่มฝีมือแกอร่อยสุดๆ” 

ชนกันต์ปั้นยิ้มให้อีกฝ่าย แม้ในใจจะขุ่นมัว แต่เขาจำต้องสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งเสียก่อนเพราะตรงหน้าคือแผนแรกของเขา 

“สวัสดีครับเฮีย ผมกันต์นะครับ เป็นนักเขียนอิสระ”

“นักเขียนเหรอ เอ้อ! เก่งนี่ แต่คิดว่านักเขียนจะดูหน้าจืดๆ ตัวผอมแห้งแรงน้อยเสียอีก” 

ชนกันต์หัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่ได้เป็นนักเขียนจริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าคนเป็นนักเขียนนั้นเป็นอย่างที่ชายตรงหน้าพูดถึงหรือไม่ 

“นั่งก่อนๆ สั่งอะไรกินก็บอกเด็กมันได้เลย อร่อยเหมือนเดิม” 

“ครับ” 

เหมือนมาลีพยักหน้าแล้วพาชนกันต์ไปนั่งบนเสื่อที่มีโต๊ะญี่ปุ่นตั้งอยู่ เธอส่งเมนูให้เขาเลือก 

“มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองค่ะ คุณอยากทานอะไรสั่งได้เลย” 

“ผมขอให้คุณพามา คงให้คุณเลี้ยงไม่ได้หรอก มื้อนี้ผมจ่ายเอง” 

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณเป็นลูกค้า ฉันจะให้ลูกค้ามาเลี้ยงข้าวได้ยังไง” 

“งั้นคุณต้องเลี้ยงข้าวลูกค้าทุกคนเลยเหรอ” 

คำถามนั้นทำให้เหมือนมาลีได้แต่กะพริบตาปริบๆ อย่างครุ่นคิด 

“อันที่จริงก็ไม่เคยเลยค่ะ ไม่เคยมีใครจองห้องยาวรวดเดียวหนึ่งเดือนแบบคุณเลย” เหมือนมาลีบอกตามความจริง “ถ้าเลี้ยงทุกคน ฉันคงกรอบตาย แต่ถ้าแค่คุณคนเดียว ไม่มีปัญหาค่ะ” 

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมเป็นผู้ชาย เป็นฝ่ายเลี้ยงน่าจะดีกว่า” 

เหมือนมาลีรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่ค่อยเจอผู้ชายที่ดูเป็นสุภาพบุรุษแบบเขา แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เกิดความประทับใจ 

“เอาแบบนี้ดีกว่านะ หารกัน จะได้สบายใจทั้งคู่”

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานิ่งคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างจำยอม 

“ก็ได้ครับ” 

“คุณกันต์อยากทานอะไรคะ สั่งเลย อร่อยทุกอย่าง” 

“เบียร์ขวดนึงแล้วกัน”

เหมือนมาลีเลิกคิ้ว “ไหนว่าอยากหาอะไรรับประทาน”

“ผมไม่ซีเรียสเรื่องอาหารหรอกครับ มีเบียร์เย็นๆ กินกับอะไรก็อร่อย”

“เหรอคะ”

“ทำไมล่ะครับ กลัวผมเมาเหรอ แค่ขวดเดียวไม่เมาหรอก ไว้ใจได้ว่าผมจะไม่ทำอะไรรุ่มร่ามแน่นอน”

“ฉันไม่ได้กลัวว่าคุณจะทำอะไรฉัน แต่ฉันกลัวว่าฉันจะทำอะไรคุณมากกว่า ระวังเถอะค่ะ เมาไม่รู้เรื่องจะถูกลักหลับเอา”

พอพูดจบทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบชนิดที่ทำให้เหมือนมาลีอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ชอบให้พูดเล่นในทำนองนี้ เธอก็ดันหลุดปากอีกจนได้ หลายครั้งที่เธอเผลอตัวไป ‘เต๊าะ’ เขา ชายหนุ่มก็เงียบให้เธอได้ ‘เงิบ’ ตลอดเลย

“แหะ ขอโทษนะคะ ฉันปากไวไปหน่อย แต่สาบานว่าไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ” เหมือนมาลีชูสามนิ้วยืนยัน 

ชนกันต์ยิ้ม รอยยิ้มของเขาส่งให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งน่ามองจนเหมือนมาลีต้องจิกเท้าไม่ให้หวั่นไหว 

‘ก็เพิ่งสาบานไปหยกๆ ว่าไม่คิดอะไร’ 

“อย่าสาบานเลยครับ เดี๋ยวตายเปล่า”

คำพูดของเขาทำเอาคิ้วเรียวขมวดมุ่น ทั้งที่คิดว่าเขาไม่ชอบ แต่ตอบกลับมาแบบนี้เขาเรียกว่า ‘ให้ท่า’ 

“แหม! คุณเนี่ย ฉันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลยค่ะ”

“อย่าคาดเดาความรู้สึกผมเลยครับ เพราะว่าคุณไม่มีวันเดาถูก” 

ชนกันต์ประสานสายตากับเจ้าของดวงตากลมใส เหมือนมาลีใจกระตุกวูบเมื่อเห็นว่าเขามองมาอย่างจริงจัง ดีที่สถานการณ์แบบนี้ไม่ยืดเยื้อ เพราะเด็กเสิร์ฟนำอาหารมาวางพอดีราวกับระฆังจากสวรรค์

เหมือนมาลีก้มหน้างุด ใจเต้นตึ้กตึ้กจนเหมือนหัวใจจะกระดอนออกมาจากโพรงอก

เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาแค่พูดไม่กี่คำ ทำตาสื่อความหมายคิดหน่อย เธอก็คิดเตลิดไปไกลแล้ว 

“วันนี้คุณเก่งมากนะครับ ที่ช่วยเด็กคนนั้นไว้ได้”

คำพูดของเขาดึงความคิดที่เตลิดเปิดเปิงของเธอกลับมา 

“ความจริงฉันกลัวมากๆ เลยนะคะ”

“คุณทำได้ดีมาก เหมือนเคยฝึกมา” 

“ฉันก็ฝึกมาบ้างค่ะ ตอนที่...” 

“ครับ ตอนที่...อะไร” 

เหมือนมาลีอยากลืมว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นใคร เธออยากลบภาพตัวเองในช่วงเวลาที่ทำงานข่าว เพราะเธอเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึง 

“ตอนที่ยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ น่ะค่ะ” 

ชนกันต์ยกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มหยันที่เหมือนมาลีไม่ทันสังเกตเห็น แต่ด้านชนกันต์นั้น เขามองออกว่าเหมือนมาลีต้องการปกปิดสถานะอดีตนักข่าวอันฉาวโฉ่ของตัวเอง

ปลาเน่าทั้งตัว ต่อให้ปกปิดอย่างไร กลิ่นเหม็นก็โชยออกมาอยู่ดี

“คุณกันต์ทานเนื้อมั้ยคะ แยมลืมถามเลย” เหมือนมาลีใส่ผักลงหม้อดินที่น้ำเดือดปุดๆ 

“ครับ ทานได้” 

ชนกันต์บอกพลางรินเบียร์แช่เย็นใส่แก้ว มันเย็นเฉียบจนน้ำที่ก้นแก้วกลายเป็นน้ำแข็ง 

“งานเขียนของคุณ เป็นงานแนวไหนเหรอคะ” เธอชวนคุยไปเรื่อย “ฉันชอบอ่านแนวสืบสวน ไม่รู้ว่าคุณเขียนแนวนี้ด้วยหรือเปล่า” 

“งานเขียนของผมเป็นงานเขียนเชิงท่องเที่ยวน่ะครับ” 

“ว้าว! น่าสนใจมากเลย ไว้ฉันจะขออนุญาตถามชื่อเรื่องนะคะ จะได้ไปตามอ่าน” เธอยิ้มจนตาหยี ไม่พูดถึงเรื่องที่ชนกันต์อกหักช้ำรักจนต้องหนีมารักษาแผลใจ เพราะเขาคงอยากจะลืมมัน 

ชนกันต์พยักหน้าแล้วยกเบียร์ขึ้นจิบ รสชาติข่มปร่าเย็นชื่นใจทำให้เขาคิดถึงภควัต เพื่อนคนแรกที่ชักชวนให้เขาลิ้มลองรสของมัน 

“คุณกันต์คะ” เหมือนมาลีเรียกเบาๆ เมื่อเห็นว่าสีหน้าเขาดูไม่สู้ดีเท่าใดนัก 

“ครับ”

“เรื่องที่คุณเจอมาคงแย่มากๆ เลยนะคะ”

ดวงตาเรียวรีของชายหนุ่มวูบไหว ก่อนจะหยุดสายตาที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเหมือนมาลี 

“ครับ แย่มาก”

“ไม่เป็นไรนะค่ะ ค่อยๆ ให้เวลาช่วยเยียวยา เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถทำใจได้ภายในวันสองวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างจะดีขึ้นเองค่ะ อีกไม่นานก็ลืม” 

ชนกันต์นิ่งไปครู่หนึ่ง เขามองแก้วเบียร์ที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง ครุ่นคิด 

“บางเรื่อง ต่อให้ตาย ก็ลืมไม่ได้หรอกครับ”

เหมือนมาลีฟังแล้วอดเศร้าตามไม่ได้ เธอไม่รู้จะปลอบด้วยคำไหน เขาจึงจะรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง อันที่จริง จะเรียกว่าเธอเป็นพวกบกพร่องทางมนุษยสัมพันธ์ก็ไม่ผิดนัก หญิงสาวแทบไม่เคยมีโอกาสมานั่งปลอบใครแบบนี้เลย ในชีวิตเธอไม่เคยได้มีเวลาหยุดมองความเดือดร้อนของผู้อื่น เพราะแค่เรื่องของตัวเองก็แทบเอาตัวไม่รอดแล้ว 

สุดท้าย...จึงทำได้เพียงแค่นิ่งมองอย่างห่วงใย แล้วหวังในใจเงียบๆ ว่าเธอจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง 

 

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณกันต์” 

เหมือนมาลีในชุดเสื้อลูกไม้สีขาว นุ่งทับด้วยผ้าซิ่นตีนจกสีน้ำตาลแดงยิ้มทักทายคนเพิ่งตื่นอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่เคาะเรียกเขาตั้งแต่ไก่โห่ 

ชนกันต์งัวเงียตื่นขึ้นมาเปิดประตูห้อง พอเห็นว่าเหมือนมาลียิ้มระรื่นอยู่ก็บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไร วูบหนึ่งที่ใบหน้ากระจ่างใสของเธอทำหัวใจเขาหวั่นไหว ยิ่งได้พินิจว่าหญิงสาวสวมผ้าถุงอย่างประณีต เสื้อลูกไม้สีขาวขับผิวให้ยิ่งขาวเนียน ผมยาวม้วนเก็บไว้ที่กลางกระหม่อม ปักดอกลีลาวดีสีขาวอีกที ดูอ่อนหวานจนผู้ชายทั้งแท่งอย่างชนกันต์เกือบหายใจสะดุด 

“มีอะไรเหรอครับ” พอตั้งสติได้เขาก็เมินหน้าไปทางอื่นทันที คงเพราะเพิ่งตื่นนอน สมองยังทำงานไม่เต็มที่เขาถึงได้มองว่าเธอสวยไปได้ 

‘เกิดมาไม่เคยตาต่ำขนาดนี้มาก่อนเลย บ้าฉิบ...’

“วันนี้วันออกพรรษาค่ะ ไปวัดกันมั้ยคะ ฉันเตรียมชุดให้คุณด้วย” เหมือนมาลียกไม้แขวนเสื้อขึ้น เป็นเสื้อม่อฮ่อมสีขาวปักลายล้านนาสีทอง 

ชนกันต์เหมือนถูกบังคับให้กินยาขม ข้อแรก เขาไม่ใส่เสื้อผ้าแบบนี้แน่ๆ ข้อสอง ให้ไปทำบุญกับผู้หญิงตรงหน้า เขายอมไปรบร้อยครั้งพันครั้งยังสบายใจกว่า 

ชายหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการได้ไปวัดเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เขาพบคนต้องการพบ ในพื้นที่ชนบท ‘วัด’ ยังคงเป็นศูนย์รวมผู้คนในชุมชน ฉะนั้นแล้วเขาไม่ควรปฏิเสธโอกาสนี้ 

“ไปก็ได้ครับ รอแป๊บ”

เขาเอื้อมมือไปคว้าเสื้อจากมือของเหมือนมาลี สีหน้ายังไม่หายบูดบึ้ง เหมือนมาลีเข้าใจว่าชนกันต์เคืองที่เธอมาปลุกตั้งแต่เช้ามืด แต่เพราะเตรียมใจไว้แล้ว เธอจึงยังคงยิ้มได้ 

“เดี๋ยวแยมไปรอข้างล่างค่ะ” 

เหมือนมาลีบอกแล้วรีบเดินลงบันไดไป ชนกันต์ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ 

“ยิ้มอยู่ได้ ยิ้มหาอะไรนักหนาวะ”

 

วัดในชุมชนแห่งนี้เป็นวัดเล็กๆ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควน้อย ประเมินด้วยสายตาน่าจะมีอายุอานามไม่น้อยแล้ว อาจจะราวสองชั่วอายุคน ศาสนสถานเก่าคร่ำ แต่ก็เป็นสถานที่ซึ่งผู้คนในชุมชนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น 

เหมือนมาลีกับชนกันต์ยืนมองบรรยากาศอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ รอพระท่านเดินแถวมารับบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งตามประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะ คนทั้งสองเหมือนภาพตัดแปะที่ไม่กลมกลืนกับสถานที่แห่งนี้เลย ชนกันต์มีรูปร่างสูงใหญ่เกินมาตรฐานชายไทย เนื้อตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างคนออกกำลังกายหนัก เขาจึงโดดเด่นไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่มีรูปร่างเล็กกว่าอย่างชัดเจน ส่วนเหมือนมาลีเป็นหญิงสาวผิวขาวกระจ่างใส การแต่งกายที่แม้จะพยายามทำให้ดูกลมกลืนกับชาวบ้านก็ยังดูออกว่าเธอเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ได้เติบโตมาในแถบนี้ 

หากเหมือนมาลีจะดูเป็นพวกเดียวกับใครสักคน คนคนนั้นก็เป็นชนกันต์นั่นแหละ 

“เดี๋ยวพอเสร็จพิธี พระท่านจะเดินออกมาจากโบสถ์ มีขบวนนำหน้าเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ค่ะ” เหมือนมาลีเล่าตามที่ฟังจากป้าสมพิศมา 

ความจริงแล้ว เธอเองก็นับเป็นพวกห่างวัดอยู่เหมือนกัน จะได้ไปร่วมงานบุญ หรือประเพณีสำคัญๆ ทางพุทธศาสนาก็ต่อเมื่อต้องไปทำข่าว หรือเกี่ยวกับงานเท่านั้น ทว่าตั้งแต่เธอมาอยู่ที่นี่ในระยะเวลาราวหกเดือนเศษ เธอได้มีโอกาสเข้าวัดบ่อยขึ้น อย่างน้อยๆ ก็สัปดาห์ละหนึ่งครั้งในวันพระ ป้าสมพิศกับไข่หวานไม่เคยพลาดทำบุญวันพระ และยังตักบาตรเป็นประจำทุกวัน 

คนไม่ศรัทธาเรื่องบาปบุญ ไม่เคยเชื่อเรื่องสวรรค์นรกอย่างเธอเลยพลอยได้ทำตามไปด้วย แม้ไม่มีใครยืนยันได้ว่าการใส่บาตร ทำบุญจะช่วยให้ผลบุญส่งไปถึงชาติหน้า แต่สิ่งที่ได้รับมาคือความสบายใจ และผลพลอยได้คือการได้มาพบกับเพื่อนมนุษย์ในวันที่ทุกคนมีจิตใจผ่องใสปราศจากความมัวหมอง

สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของเหมือนมาลีนั้นทำให้ชนกันต์รู้สึกเหมือนมีดนับพันทิ่มแทงหัวใจเขา 

“คุณกันต์ไม่พอใจอะไรเหรอคะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เหมือนมาลีถามเพราะเห็นว่าเขาทำหน้าเครียด 

ชนกันต์ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ 

“เปล่าครับ ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” 

“อะไรที่หนักใจก็ทิ้งมันไว้ก่อน วันนี้เรามาวัด พระท่านว่าต้องทำจิตใจให้ผ่องใสค่ะ” 

“งั้นคุณแยมก็ช่วยทำให้จิตใจของผมผ่องใสหน่อยสิครับ” เพราะเห็นว่าเหมือนมาลีเชื่อว่าเขาอกหัก ชนกันต์จึงคิดว่ารับๆ ไปจะได้สิ้นเรื่อง 

“ยินดีเลยค่ะ หล่อๆ แบบคุณกันต์ แป๊บเดียวก็หาใหม่ได้แล้ว” 

ชนกันต์ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากยิ้มบางๆ 

“สวัสดีจ้าครูเดือน” ชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนรอใส่บาตรร้องทักทายเสียงดังจนชนกันต์กับเหมือนมาลีต้องหันไปมองตาม 

ร่างบางสวมชุดผ้าฝ้ายสีขาว นุ่งทับด้วยผ้าซิ่นสีชมพูอ่อนหยุดสายตาของชนกันต์ได้ในตอนนั้น ใบหน้างามแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ผมยาวสลวยปล่อยยาวถึงกลางหลัง 

เหมือนมาลีหันไปเห็นพอดี เธอเคยพบเดือนฉายสองสามครั้งเวลาที่หมู่บ้านมีงานสำคัญๆ แต่ไม่เคยคุยเป็นการส่วนตัว หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าสวยและบุคลิกสง่างามอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ 

“ผู้หญิงอะไร น่ารักจัง” 

ชนกันต์เหลือบมองคนพูด 

“ไม่อิจฉาใช่มั้ยครับ”

“อิจฉาสิคะ” เหมือนมาลีบอกตามตรง เธอมองเจ้าของใบหน้าสวยตาปริบๆ เหมือนมองอะไรสักอย่างที่ไกลตัว “น่ารักขนาดนี้ ไม่อิจฉาก็บ้าแล้ว”

ชนกันต์หัวเราะ เพราะน้อยคนจะยอมรับง่ายๆ ว่าอิจฉาใครสักคน 

“คุณกันต์อย่าไปชอบเธอนะคะ” 

“ทำไม”

“ก็เพราะว่าถ้าคุณกันต์ไปชอบเขา ฉันจะยิ่งอิจฉามากกว่าเดิมน่ะสิ” 

คำตอบนั้นทำให้ชนกันต์ไปไม่เป็นเลย

“นี่คุณแยมจีบผมอยู่หรือเปล่าครับ” 

“บ้า!” เหมือนมาลีปฏิเสธเสียงสูง ใจจริงอยากจีบแทบแย่ แต่กลัวว่าเขาจะกลัวจนหนีไปต่างหาก “ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ ถ้าคุณชอบครูเดือนก็ลองจีบเธอดูสิคะ ว่ากันว่ายารักษาอาการอกหักที่ดีที่สุดคือ ‘รักใหม่’ ”

เหมือนมาลีฉีกยิ้มจนดวงตากลมโตยิบหยี ก่อนดันร่างหนาเบาๆ ให้เข้าไปทักทายเดือนฉายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะหันไปโบกมือให้ไข่หวานซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าประตูโบสถ์แล้วเดินไปหา 

เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายอกหักเองอย่างไรไม่ทราบ บอกให้เขาจีบคนอื่น ใจก็หวิวๆ ชอบกล 

ขณะที่นั่งพับเพียบลงกับพื้นแล้วเตรียมยกไหว้พระ ร่างสูงของชนกันต์ก็ทรุดตัวนั่งลงข้างกันพอดี 

“อ้าว! คุณกันต์”

“ชวนมาแล้วจะทิ้งกันง่ายๆ เลยหรือครับ”

“เปล่าค่ะ นี่เขาเรียกว่าเปิดโอกาสให้”

“ผมไม่คิดจีบครูคนนั้นหรอกครับ” เขาบอก ช่วยจัดของในตะกร้าของเหมือนมาลีเพื่อเตรียมใส่บาตร 

“ไม่กล้าเหรอคะ” เธอแซวยิ้มๆ 

ชนกันต์หยุดมือที่กำลังจัดของแล้วเงยหน้ามองคนถาม 

“ผมไม่อยากให้คุณอิจฉาจนอกแตกตาย” เขาพูดด้วยใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้ม 

เหมือนมาลีไม่ได้ชอบชนกันต์จริงจัง เธอแค่รู้สึกว่าเขาหล่อน่ามอง เธอไม่คิดหรอกว่าจิตใจตัวเองจะอ่อนไหวง่ายดายกับเรื่องแบบนี้ 

แม้จะคิดแบบนั้น ทว่าหัวใจเธอเต้นโครมคราม ใบหน้าแดงเรื่อเกือบเก็บอาการไม่อยู่ 

‘ตายแน่ๆ หัวใจวายตายแน่ๆ’ 

 

สายน้ำจากขวดพลาสติกไหลรินสู่โคนต้นไม้ใหญ่ 

เหมือนมาลีหลับตาอธิษฐานจิตถึงวิญญาณผู้ล่วงลับ โดยมีมืออุ่นของชนกันต์จับประคองมือเธอไว้อีกที ความสงบเกิดขึ้นชั่วนาทีนั้น ชนกันต์มองเสี้ยวใบหน้าหวานอย่างครุ่นคิด เหมือนมาลีดูราวกับเป็นอีกคน ไม่ใช่นักข่าวสามัญสำนึกต่ำคนนั้น 

หากเขาไม่รู้มาก่อน คงหลงเชื่อว่าเธอเป็นคนดี 

“เฮ้อ! สบายใจ” 

เหมือนมาลีหย่อนกายนั่งลงบนม้าหินอ่อนใต้ร่มไม้หลังจากกรวดน้ำเสร็จ รู้สึกสบายใจแบบที่หาคำอธิบายไม่ได้ ในทางวิทยาศาสตร์ พิธีต่างๆ นั้นไม่อาจบอกได้ว่าจะทำให้กุศลไปถึงผู้ตายหรือไม่ ไม่สามารถพิสูจน์ได้แม้กระทั่งว่าโลกหลังความตายมีจริงหรือไม่ แต่การได้หันหน้าเข้าหาธรรมะก็ช่วยเหมือนมาลีได้จริงๆ

“คุณแยมนึกถึงใครหรือครับ”

“คะ?” เธอเงยหน้าขึ้นมองชนกันต์อย่างไม่เข้าใจคำถาม 

“ก็...คนที่คุณอุทิศส่วนกุศลให้”

“อ่อ...” เหมือนมาลีลากเสียงยาว แม้ไม่รู้ว่าชนกันต์ถามด้วยเหตุอันใด แต่เธอก็ยินดีจะตอบ “ฉันอุทิศส่วนกุศลให้พ่อของฉัน ปู่สำเริง แล้วก็...เจ้ากรรมนายเวรน่ะค่ะ”

“แค่นั้นหรือครับ”

“ความจริงก็มีอีกคนนึงค่ะ แต่บอกไปคุณก็คงไม่รู้จัก” ดวงตากลมใสหม่นเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึง คนที่เธอไม่เคยพบหน้าเขาสักครั้ง คนที่เป็นเหมือนตราบาปติดตัวเธอ คนที่สังคมประณามว่าเธอทำให้เขาตาย 

ชนกันต์ไม่อยากเชื่อว่าเหมือนมาลีจะหมายถึงภควัต แต่ต่อให้เป็นเพื่อนเขาจริงๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้ความชั่วที่เธอทำลดน้อยลงได้

ไม่มีวัน 

“คุณกันต์ถามทำไมเหรอคะ”

“เปล่าครับ ผมแค่อยากรู้เรื่องของคุณแยมบ้างก็เท่านั้น”

“เรื่องของฉันเนี่ยนะคะ ไม่เห็นจะมีอะไรน่ารู้เลย”

“มีสิครับ เยอะเลย”

ดวงตากลมโตเบิกกว้างโดยอัตโนมัติ เหมือนมาลีเผลอกัดริมฝีปากอย่างประหม่า แต่เพราะคิดว่าชนกันต์คงไม่ได้คิดอะไร จึงบอกออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูปกติ 

“งั้นถ้าคุณกันต์อยากถามอะไรแยม ก็ถามได้เลยนะคะ ถ้าแยมตอบได้แยมก็จะตอบ” 

“เราค่อยๆ เรียนรู้กันไปก็ได้ ยังมีเวลาให้รู้จักกันอีกนานนี่ครับ”  

เขาไม่เพียงแค่พูด แต่แววตาเป็นประกายนั้นจับจ้องดวงหน้าเธอแบบที่เหมือนมาลีหลอกตัวเองไม่ได้อีกแล้วว่าไม่มีอะไร เพราะมันสื่อความหมายบางอย่างที่พิเศษ 

คราวนี้คนเก่งเมินหน้าหลบตา ไม่กี่ครั้งที่ใครสักคนจะทำให้เธอไม่กล้าเผชิญหน้า พูดก็พูดเถอะ ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่แรกสาวจนถึงวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกร้อนผ่าวบนผิวหน้า เลือดในกายสูบฉีดรุนแรงพานให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ 

“คุณแยม” 

อาการเขินจนทำไม่ถูกของเหมือนมาลีสะดุดลงเพราะเสียงเรียกของใครบางคน หันไปมองจึงพบว่าเป็น ผ.อ. ทินวัตร ผู้อำนวยการโรงเรียนประจำตำบลซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของคนละแวกนี้ 

“อ้าว! สวัสดีค่ะ ผ.อ. มาด้วยหรือคะ” 

ทินวัตรเป็นชายวัยสามสิบตอนปลายที่ยังมีรูปร่างดีอยู่มากเกินกว่าจะเชื่อว่าเขาอายุใกล้เลขสี่ แม้จะไม่ได้ตัวสูงใหญ่อย่างชนกันต์ แต่ก็นับว่าดูดี เหมือนมาลีเคยพบและพูดคุยกันสามสี่ครั้ง จนได้ทราบว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับปู่สำเริง ซ้ำยังเป็นคนช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องพิธีศพเกือบทั้งหมดด้วย 

“ต้องมาสิครับ ประเพณีสำคัญแบบนี้โรงเรียนต้องเข้าร่วมอยู่แล้ว พลาดไม่ได้เลย พาเด็กๆ มาร่วมงาน มาซึมซับวัฒนธรรมไทย สิ่งนี้สำคัญมากกว่าการสอนในห้องเรียนเสียอีกนะครับ” 

เหมือนมาลียิ้มและยิ้มค้างอยู่แบบนั้น ปกติเธอไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่คนที่นี่เกือบทุกคนเป็นคนดี ทำให้เธอซึมซับเอาความดี ทัศนคติที่ดี การกระทำที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นคนดีให้ได้บ้าง 

ที่ใครเคยพูดว่า ‘สภาพแวดล้อมขัดเกลานิสัยคนได้’ เธอเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยเลย 

“จริงด้วยค่ะ วันนี้เด็กๆ แต่งตัวเป็นเทวดานางฟ้าเดินนำพระบิณฑบาต น่ารักมากๆ เลย” เหมือนมาลีพูดจบแล้วนิ่งไปเหมือนคิดอะไรได้ “ตายจริง! ลืมแนะนำให้รู้จักเลยค่ะ” 

เหมือนมาลีลุกขึ้นไปยืนข้างชนกันต์ 

“คุณกันต์คะ นี่ ผ.อ. ทินวัตรค่ะ เป็น ผ.อ. โรงเรียนบ้านเนินมะปราง” เหมือนมาลีแนะนำให้ชนกันต์รู้จักกับทินวัตร “ส่วนนี่คุณกันต์ ลูกค้าโฮมสเตย์ของแยม คุณกันต์เป็นนักเขียนน่ะค่ะ”

“เป็นนักเขียนหรือครับ” ทินวัตรถามอย่างทึ่งๆ หลังจากที่เหมือนมาลีเล่าให้ฟัง

ชนกันต์พยักหน้ารับ เขารับบทเป็นนักเขียนผู้สันโดษ ไม่ชอบเผยตัวตน ไม่นำเสนอผลงาน และไม่ถนัดเล่างานเขียนให้ใครฟัง เพราะยิ่งพูดถึงมันมากเท่าไร ยิ่งเสี่ยงต่อการถูกจับได้เอาง่ายๆ ฉะนั้นแล้วหากมีใครถามเกี่ยวกับเรื่องงานนักเขียนของเขา เขาจะต้องจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด 

“เก่งมากๆ เลยนะครับ พอจะบอกได้มั้ยครับว่าเขียนเรื่องอะไร แนวไหน” 

“ขอโทษจริงๆ นะครับ ผมเป็นนักเขียนลึกลับ ไม่เปิดเผยตัวตนน่ะครับ ความจริงถ้าหากไม่ต้องกรอกประวัติก่อนเข้าพัก ผมก็คิดว่าผมคงจะไม่ได้บอกใคร” 

“เสียดายนะครับ นานๆ ที่จะได้เจอนักเขียนตัวเป็นๆ เอหรือว่า...คุณจะเขียนนิยายปลุกใจกันต์ป่า”

เหมือนมาลีรับรู้ว่าเขาเขียนหนังสือท่องเที่ยว แต่พอทินวัตรคาดเดาแบบนี้ก็พลอยทำให้เธอคิดตาม หรือว่าที่เขาบอกเธอว่าเขียนหนังสือเชิงท่องเที่ยว แท้จริงแล้วเขาแค่โกหก 

พอคิดมาถึงตรงนี้ ดวงหน้าหวานก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีก 

‘คิดดีไม่ได้เลยเรา...’

ชนกันต์หน้าม้านไป หน้าเขาดูเหมือนคนเขียนนิยายโรมานซ์หรืออย่างไรกัน 

“คือว่า...”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องอายหรอกคุณ ไว้ไม่มีคนอื่น ผมจะแอบถามชื่อนิยายคุณอีกที” ทินวัตรหัวเราะพลางตบบ่าชนกันต์อย่างเป็นกันเอง 

คนแอบอ้างเป็นนักเขียนได้ยกระดับไปเป็นนักเขียนแนวปลุกใจกันต์ป่าได้แต่ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น 

‘ช่วยไม่ได้...เป็นก็เป็นวะ’

เหมือนมาลียืนก้มหน้างุด เพราะจินตนาการไปไกลแล้ว และคิดอยู่ว่าตอนชนกันต์เขียนหนังสือนั้น เขาเขียนจากประสบการณ์จริงหรือไม่ 

กระทั่งทินวัตรกล่าวลาและเดินจากไปแล้ว เหมือนมาลียังไม่หยุดคิดเลย 

“คุณแยม คิดอะไรอยู่ครับ” 

“คะ?” เหมือนมาลีเลิ่กลั่ก ชนกันต์คงไม่เก่งพอที่จะดูออกหรอกมั้งว่าเธอคิดอะไร 

“ผมเรียกคุณสองหนแล้ว แต่คุณเหมือนไม่ได้ยิน” 

“อ้อ! ขอโทษค่ะ ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เลยไม่ทันได้ยิน”

ชนกันต์เลิกคิ้ว ก่อนโน้มตัวไปหยิบตะกร้าของเหมือนมาลีมาถือ แต่จังหวะที่สายตาอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าหวาน เขาก็พูดคำที่ทำให้เหมือนมาลีแทบจะเอาหน้ามุดดิน 

“ในวัดในวา อย่าคิดลามกนะครับ มันบาป”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น