“อะไรนะ! อยู่ด้วยกันมาสิบสองปี ถามจริง นานเหมือนคู่แต่งงานเลยนะเนี่ย”
หญิงสาวผมซอยสั้นในชุดข้าราชการกล่าวเสียงดังลั่นพร้อมกับตบฝ่ามือลงบนหน้าขา ท่าทีเอะอะมะเทิ่งของเธอคงไม่เป็นปัญหาอะไรหากตอนนี้เธอไม่ได้นั่งอยู่ในร้านกาแฟที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และผู้คนเหล่านั้นหันมองเธอเป็นตาเดียว
“มึงเบาๆ หน่อยก็ได้”
เพลงพิณนั่งตัวเกร็งพลางดูดกาแฟในแก้วแก้เขิน หญิงสาวอายุล่วงเข้าวัยสามสิบสี่ปี แต่งกายอย่างสาวออฟฟิศทั่วไป สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงทรงสอบสีเบจ รวบผมหางม้าสีน้ำตาลอ่อนไว้กลางศีรษะ
“เออ โทษที กูอึ้งเลยว่ะ” มธุรสสูดลมหายใจเข้าและระบายออกมา คว้าแก้วชาเขียวเย็นของตนมาดูดบ้าง
หล่อนทำอาชีพข้าราชการครู สอนอยู่ที่โรงเรียนในจังหวัดสมุทรสงครามก่อนจะย้ายมาประจำที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อได้ทราบข่าวว่าเพื่อนสมัยมัธยมปลายอย่างเพลงพิณทำงานอยู่ใกล้ๆ แถวนี้เช่นกันจึงหาโอกาสนัดพบปะพูดคุย และได้ทราบเรื่องราวสุดพีกจากปากของเพื่อนผู้ซึ่งทำงานเป็นเลขาฯ ให้แก่ ‘ผู้ทรงอิทธิพล’ ในแถบท้องถิ่นมานานถึงสิบสองปี
ให้ตาย คนเรามีความอดทนกับสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เจ้านายคนเดิมได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“แสดงว่าเจ้านายมึงใจดีมากเลยดิเพลง ถึงอยู่มาได้ถึงสิบสองปีเนี่ย”
ใจดี คนอย่างปฐวีนี่มีศัพท์บัญญัติไว้ว่าใจดีมั้ยนะ...เพลงพิณครุ่นคิด แต่ก็ตอบออกไปแบบรักษาหน้าเจ้านายสุดที่รัก
“ใจดีนะเป้ย เงินเดือนก็ดีกูถึงทำงานกับเขาได้นานไง พอจะเปลี่ยนงานใหม่ก็ขี้เกียจแล้ว ชินกับอะไรเดิมๆ มากกว่า”
“อ๋อ เงินเดือนเท่าไหร่อะ” มธุรสแสดงความอยากรู้อยากเห็นโดยไม่เก็บอาการ
เพลงพิณอึดอัดใจที่จะตอบคำถามนี้ พอดีกับเสียงเรียกเข้าสมาร์ตโฟนดังขึ้นเสียก่อน
“แป๊บนึงนะมึง เจ้านายกูโทร. มา”
ร่างอวบอิ่มลุกขึ้นเดินไปผลักบานประตูกระจกใสออกไปด้านนอกร้านกาแฟ ซึ่งเป็นสวนหย่อมตกแต่งสวยงาม มีคนนั่งถ่ายรูปอยู่ประปราย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอ
“ฮัลโหลค่ะ” เพลงพิณกรอกเสียงไปตามสาย แล้วก็ต้องสะดุ้งกับเสียงชวนแสบแก้วหูของอีกฝ่าย
“คุณเพลง คุณอยู่ไหน!”
เลขาฯ สาวขมวดคิ้ว นึกไม่พอใจปฐวีที่เอะอะก็เรียกใช้ นี่มันเวลาพักกลางวันของเธอแท้ๆ
“เพลงอยู่ร้านกาแฟข้างนอกค่ะ คุณปัดมีอะไรค่อยคุยกันเวลางานนะคะ”
“ไม่ได้! คุณต้องมา...” ปลายสายหอบหายใจราวกับไปวิ่งแข่งโอลิมปิกมา “มาช่วยผมเดี๋ยวนี้ เฮ้ย! ออกไปสิโว้ย!”
เพลงพิณสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับความโกรธ “คุณปัดตั้งสตินะคะ จะให้เพลงช่วยอะไรก็พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยค่ะ”
“คุณต้องมาช่วยจัดการมัน เอามันออกไป ก่อนที่ผมจะตายอยู่ในห้องน้ำ...” เสียงของปฐวีโรยแรงคล้ายคนจะเป็นลม ทีนี้ต่อมความห่วงใยของเลขาฯ เพียงคนเดียวจึงได้เริ่มทำงาน
“งูเหรอคะคุณปัด! อยู่เฉยๆ นะคะ อย่าเพิ่งขยับ เดี๋ยวเพลงจะ...”
“แมลงสาบ!!! ช่วยผมด้วย มีแมลงสาบอยู่ในห้องน้ำ มันบิน มันบินมาหาผม!!! อ๊า!!!”
ไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ไร่พนารักษ์’ ใน พ.ศ.นี้...
อาณาเขตพื้นที่กว้างขวางหลายร้อยไร่ ปลูกพืชผักผลไม้เจริญงอกงาม ส่งออกขายทั้งในและต่างประเทศ ฟาร์มปศุสัตว์อีกมากมายนับร้อยชีวิต แต่นั่นไม่ใช่ธุรกิจหลักของไร่พนารักษ์
รีสอร์ต ‘เฮือนสุรภี’ ต่างหากที่เป็นธุรกิจหลัก ทั้งยังเป็นไฮไลต์ของไร่พนารักษ์ ด้วยตัวรีสอร์ตออกแบบสไตล์ล้านนาประยุกต์ผสมผสานความเป็นตะวันตกสมัยก่อน ตั้งอยู่ริมลำธารสายเล็กๆ ท่ามกลางป่าไม้ร่มรื่นซึ่งส่วนหนึ่งเป็นต้น ‘สุรภี’ หรือจะเรียกว่า ‘สารภี’ ก็ได้ เป็นต้นไม้ที่ออกดอกสีขาวอมเหลืองส่งกลิ่นหอมรัญจวน โดยจะออกดอกในช่วงมกราคมถึงช่วงมีนาคม อากาศสดชื่นเย็นสบายชวนให้น่าพักผ่อนหย่อนใจ
นอกเหนือจากนี้ยังมีกิจกรรมหลากหลายบริการสำหรับผู้เข้าพักและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นขี่ม้า สนามยิงปืน เครื่องเล่นต่างๆ เก็บผักผลไม้ ให้อาหารแพะกับแกะ สำรวจ ‘คุ้มเยาวมาลย์’ ตลาดขายสินค้าเล็กๆ ในไร่ ของที่ระลึก ไปจนถึงของใช้อุปโภคบริโภค มีบริการเช่าชุดถ่ายรูป เวิร์กชอปสนุกๆ รวมอยู่ครบ เรียกได้ว่าถ้ามาเที่ยวไร่พนารักษ์สักครั้ง ได้คอนเทนต์อีกประมาณล้านแปดให้อัปลงโซเชียลมีเดีย
ธุรกิจเจริญเติบโตไปได้สวย มีการบริหารจัดการที่ดี สร้างรายได้มหาศาลถึงเพียงนี้ เจ้าของไร่คงไม่พ้นเป็นคนมีความสามารถ มีวิสัยทัศน์กว้างไกลดุจพญาเหยี่ยว
ใช่ ‘ปฐวี พนารักษ์’ เจ้าของไร่คนปัจจุบัน ชายหนุ่มรูปงามวัยสามสิบหกปีเป็นเช่นนั้นจริง นอกจากจะเป็นนักธุรกิจไฟแรง เขายังเป็นผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยมีเสียงซุบซิบนินทากันอย่างลับๆ ว่าเขาเป็นมาเฟีย และมักจะมีเรื่องห้ำหั่นกับ ‘เมฆา วรานุกร’ เจ้าของไร่วรานุกร ที่มีอาณาเขตไร่ติดต่อกันอยู่เป็นประจำเมื่อห้าปีก่อน
แต่มันก็แค่ห้าปีก่อนละนะ... ปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นแล้ว
ปฐวีแทบจะเป็นผู้ชายใสสะอาด โพรไฟล์ดีเลิศ คอนเซปต์หนุ่มหล่อ บ้านรวย ที่ทางมหาศาลต้องมา ทว่าจุดอ่อนของเขากลับเป็นอะไรที่คนนอกคาดไม่ถึง มีเพียงแค่เลขาฯ ของเขาเท่านั้นที่รู้ความลับข้อนี้
และเพลงพิณกำลังวิ่ง วิ่งสุดชีวิต วิ่งหน้าตั้งเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวพนารักษ์ทันทีหลังจากจอดรถยนต์เสร็จ โชคดีที่บ้านหลังนี้หลบลี้ห่างไกลจากตัวออฟฟิศทำการกับรีสอร์ต จึงไม่มีใครเห็นท่าวิ่งในสภาพดูไม่ได้ของหญิงสาว ยกเว้นแต่ลูกน้องชายฉกรรจ์คนอื่นๆ ของปฐวีเท่านั้น ซึ่งเพลงพิณไม่แคร์ เพราะสนิทกันมากอยู่แล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าน้องเพลง” วิชัย มือขวาของปฐวีกำลังนั่งจดเอกสารอยู่ในห้องรับแขก เอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อเลขาฯ เจ้านายวิ่งอุตลุดเข้ามา ท่าทีเร่งร้อนนั้นทำให้เขาต้องพลอยลุกขึ้นยืนตามไปด้วย
“ไว้เพลงจะอธิบายทีหลังนะคะพี่ชัย!” เพลงพิณร้องบอก ไม่แม้แต่จะหยุดมองตามเสียงเรียกของหนุ่มรุ่นพี่ เธอซอยเท้าเปล่าๆ วิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นสองจนมาถึงหน้าประตูห้องนอนของปฐวี เดชะบุญที่เขาไม่ได้ล็อกประตู
แกร๊ก~
เธอหมุนก้านลูกบิดพลางแทรกกายเข้าไปในห้องนอน ว่องไวราวกับนินจา ทว่าพอเข้ามาแล้วแทนที่จะได้ยินเสียงสบถด่าแมลงตัวร้ายกับเสียงร้องอันตื่นตระหนกของปฐวี กลับได้รับเป็นความเงียบงันแทน และนั่นทำให้หัวใจของเพลงพิณแทบหยุดเต้น เกรงว่าเจ้านายของเธอจะเป็นอะไรไป เขากลัวจนล้มหัวฟาดพื้นไปแล้วหรือไม่ เธอรีบตรงรี่ไปเคาะประตูห้องน้ำ
ปัง ปัง ปัง!
“คุณปัด! โอเคไหมคะ ตอบเพลงหน่อย!”
ไม่มีเสียงตอบรับ เพลงพิณไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ไม่ว่าจะพบเจอปฐวีในสภาพโป๊เปลือยหรือไม่เธอไม่สน ชีวิตเขาสำคัญกว่า
และเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกจนสุดแรง ภาพที่เห็นทำเอาเพลงพิณตาเบิกกว้าง ร้องสบถออกมาเสียงดังลั่น
“คุณปัด!”
ปฐวีนั่งคุดคู้อยู่ริมกำแพงห้องน้ำตรงพื้นที่ส่วนฝักบัว ในสภาพที่ท่อนล่างยังมีผ้าเช็ดตัวห่มคลุมเอาไว้ เขาสลบไสลหัวพิงกำแพงในท่านั้น
เพลงพิณรีบเข้ามาประคองร่างสูงใหญ่ของเจ้านาย ใช้ฝ่ามือตบแก้มเขาเบาๆ พลางส่งเสียงเรียก
“คุณปัด คุณปัดคะ”
“คุณเพลง มาแล้วเหรอ...” เขาตอบรับเสียงแหบแห้ง ปรือเปลือกตาขึ้นมอง ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาซีดเผือดอย่างน่าเวทนา ชูแขนอ่อนแรงขึ้นชี้นิ้วสั่นๆ ไปทางท่อระบายน้ำที่อยู่ไม่ไกล
“มันอยู่นั่น”
เพลงพิณหันมองตามก็ไม่พบสิ่งใด ในระหว่างที่ปฐวีเป็นลม แมลงสาบอาจจรลีไปไหนต่อไหนแล้ว
“ไม่มีค่ะ มันน่าจะไปแล้วละ” เธอถอนหายใจ หันกลับมามองสภาพของคนใกล้ตาย
“มันน่ากลัวมากคุณเพลง มันบินมาเกาะจมูกผม...” เขาลูบจมูกตัวเองป้อยๆ ให้เลขาฯ ดู กิริยาท่าทางเขาเหมือนเด็กอนุบาลมาฟ้องแม่ว่าโดนเพื่อนแกล้งไม่มีผิด
“ไว้เดี๋ยวค่อยเล่าก็ได้ค่ะ ตอนนี้ลุกไหวมั้ย”
“ผมอยากลุก แต่ขาผมอ่อนไปหมดแล้ว”
เพลงพิณพยักหน้าอย่างเห็นใจ เข้าใจในความรู้สึกกลัวสุดขีด ตัวของปฐวียังสั่นงันงกอยู่เลย เขาจะไปเหลือเรี่ยวแรงทำอะไรได้
“จับผ้าขนหนูดีๆ นะคะ เพลงจะช่วยพยุง” เธอจับท่อนแขนแข็งแรงพาดบ่า ไม่ลืมกำชับให้เจ้านายปกปิดตัวตนท่อนล่างเอาไว้ ด้วยกลัวอะไรต่อมิอะไรจะโผล่ออกมาทักทาย
เขาทำตามเธออย่างว่าง่าย จากนั้นเธอก็ออกแรงอยู่สองสามครั้งกระทั่งสามารถพยุงปฐวีออกไปจากห้องน้ำได้สำเร็จ
ชาดอกคาโมมายล์ส่งกลิ่นหอมลอยตลบอบอวลทั่วห้องนอน เพลงพิณประคองกาน้ำชาลายครามลงในถ้วยชา ใส่น้ำผึ้งหนึ่งช้อนชาแล้วคนเบาๆ ตามสูตรที่ปฐวีโปรดปราน
“ไม่รู้มีแมลงสาบได้ไง ปกติมันไม่เคยมี หรืองวดนี้ป้ารุ้งแกทำความสะอาดไม่ดี” ชายหนุ่มในชุดคลุมนอนบ่นเสียงแห้ง ดวงตาแห้งแล้งเหม่อมองเลขาฯ ขณะเอาแท่งยาดมอังจมูก
“ไม่ใช่เรื่องของความสะอาดเสมอไปหรอกค่ะ มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้แมลงสาบหลงเข้ามา แต่เดี๋ยวเพลงจะย้ำกับป้ารุ้งเรื่องนี้อีกทีแล้วกัน” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินนำถ้วยชามามอบให้เขา
“ขอบคุณ” เขาพยักหน้ารับ จิบชาแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมไม่กล้าเข้าไปอาบน้ำเลย”
“ถ้าคุณปัดจะไม่อาบก็รีบแต่งตัวให้เสร็จแล้วไปออฟฟิศได้แล้วค่ะ บ่ายโมงครึ่งแล้ว เลยเวลางานมาครึ่งชั่วโมง”
“ลาได้ไหม เมื่อเช้าเข้าไปตรวจงานในไร่ก็เหนื่อยแล้ว ยังมาเจอฤทธิ์แมลงสาบตอนกลางวันแสกๆ อีก พูดตรงๆ คือผมหมดแรง”
“เพลงเห็นใจคุณปัดนะคะ”
“แปลว่าลาได้?” ปฐวีเลิกคิ้ว
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้มีงานที่คุณปัดต้องสะสางให้เรียบร้อย มีประชุมกับทางมาเลเซียเรื่องส่งออกลิ้นจี่ตอนบ่ายสามโมง ห้าโมงแวะเข้าไปพูดคุยกับแขกที่มาพักรีสอร์ต ทุ่มหนึ่งไปงานประมูลการกุศลแทนคุณท่าน นี่เช็กตารางงานที่เพลงส่งให้ทางไลน์หรือยังคะ”
“ยัง ตื่นเช้ามาก็เข้าไปตรวจงานในไร่ ไม่ได้เปิดโทรศัพท์ ว่าแต่ตัดข้อแวะไปคุยกับแขกที่มาพักได้ไหมเนี่ย ไม่ทำสักอาทิตย์ไม่เป็นไรหรอกมั้ง เว้นๆ ไปบ้างเถอะ ผมไม่ไปเขาก็พักกันได้น่า” คิ้วหนาขมวดมุ่น
“ไม่ได้ค่ะ นี่เป็นนโยบายของทางทีมพีอาร์ เพื่อภาพลักษณ์เจ้าของไร่ที่ดีของคุณปัด การพูดคุยทำความรู้จักกับแขกที่มาพักสำคัญมาก มันจะแสดงให้เห็นว่าคุณปัดใส่ใจ เข้าถึงได้ แล้วก็ถือว่าได้รับฟังความเห็นของแขกที่มาพักด้วย ว่าชอบตรงไหน อยากให้ปรับปรุงอะไร การตลาดที่ดี ณ ตอนนี้คือการบอกต่อ การรีวิวนะคะ ถ้าแขกที่มาพักประทับใจก็จะมีแขกคนต่อไปเรื่อยๆ คุณปัดก็เห็นแล้วว่ากระแสตอบรับมันดีมาโดยตลอด เพราะงั้นต้องรักษาระดับต่อไป” ประโยคสุดท้ายเพลงพิณย้ำเสียงเข้ม
“เพลงจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ ถ้าดื่มชาเสร็จก็แต่งตัวแล้วตามไปออฟฟิศนะคะ”
“ผมไม่อาบน้ำไม่ได้ เหม็นเหงื่อตัวเองจะแย่”
“งั้นก็ไปอาบค่ะ”
“ผมกลัวแมลงสาบอะ”
“ถ้างั้นไปขออาบน้ำห้องคุณท่านมั้ย”
“จะบ้าเหรอคุณ แบบนั้นคุณพ่อก็สงสัยพอดี”
“แล้วจะเอายังไงคะ” เธอชักรำคาญ ยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก
“คุณช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย”
ปฐวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดอ้อนวอน ดวงตาคู่คมจ้องมองเลขาฯ ที่ยืนค้ำหัวอยู่ประหนึ่งสุนัขโกลเดนขอความเห็นใจ
“ก็ได้ค่ะ เร็วๆ นะคะ เพลงมีงานต้องทำอีกเยอะ” เพลงพิณเคาะนาฬิกาข้อมือ
“ได้ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เขาส่งถ้วยชาว่างเปล่าคืนให้เธอ รีบคว้าผ้าขนหนูรุดไปเข้าห้องน้ำ กวาดสายตาสอดส่องทุกซอกทุกมุม ดูแล้วดูอีกจนแน่ใจว่าแมลงสาบตัวร้ายไม่อยู่จึงค่อยจัดการปิดประตู เปลื้องผ้าอาบน้ำ ได้ยินเสียงกุกกักด้านนอกที่ดังมาจากเลขาฯ ก็พอให้อุ่นใจว่ายังมีเธออยู่
ถึงอย่างนั้นปฐวีก็ยังแอบมองบนในระหว่างแปรงฟันอยู่หน้ากระจก บางทีเขาก็เบื่อความเข้มงวดของเพลงพิณ เบื่อความจู้จี้จุกจิกของเธอ อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ เขาชักสงสัยแล้วว่าใครเป็นเจ้านาย ใครเป็นลูกน้องกันแน่
ก็ได้แต่สงสัยนั่นแหละ รู้ตัวอีกที ปาไปหนึ่งทศวรรษกับอีกสองปี...
“รีบหน่อยค่ะคุณปัด!” เสียงเพลงพิณตะโกนมาจากด้านนอก
“รู้แล้วๆ จะเสร็จแล้ว!” เขาตะโกนกลับไป
นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอคือคนแรกและคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่เขาต้องการให้รู้ความลับเรื่องกลัวแมลงสาบแล้วละก็ เขาคงไล่เธอออกไปนานแล้ว!
เวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ปฐวีพร้อมด้วยผู้ติดตามคือวิชัยกับเพลงพิณเดินทางมาถึงโรงแรมหรูในตัวเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับใช้จัดงานประมูลผลงานศิลปะเพื่อการกุศล เดิมทีแล้วผู้ถูกเชิญมาร่วมงานคือเปรมทัตบิดาของปฐวี ผู้มีความชื่นชอบหลงใหลในงานศิลปะ ทว่าไม่อาจมาร่วมงานได้เพราะปัญหาสุขภาพ
ส่วนตัวปฐวีไม่ได้มีความชื่นชอบหลงใหลอะไรเป็นพิเศษ คิดเพียงแค่ว่าวันนี้เห็นผลงานชิ้นไหนสวยเข้าตา ก็จะประมูลกลับไปฝากบิดาสักชิ้นเท่านั้น สุดท้ายแล้วคงไม่พ้นให้เพลงพิณช่วยชี้นำอีกตามเคย เพราะไม่ว่ารายนั้นจะเลือกสิ่งใดให้ก็มักถูกอกถูกใจบิดาเขาไปเสียหมด
“คุณปัด หันมานี่หน่อยค่ะ” เพลงพิณเอ่ยเรียกเจ้านายขณะอยู่ในลิฟต์ที่จะพาไปยังชั้นห้องจัดงาน ล้วงมือควานหาบางสิ่งในกระเป๋าถือใบหรู
“อะไร” ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเทาหันมองพลางเลิกคิ้ว
“ยื่นหน้ามาค่ะ เดี๋ยวเพลงเติมลิปให้”
“ฮะ!” คิ้วหนาขมวดมุ่น ส่วนเลขาฯ สาวไม่พูดพร่ำทำเพลง เปิดฝาแท่งลิปสติกออกมาเตรียมทาให้
“เฮ้ย ไม่เอาไม่ทา” ปฐวีผงะถอยหลังแทบไม่ทัน ใบหน้าหล่อเหลาตื่นกลัวราวกับว่าแท่งลิปสติกคือเข็มลนไฟก็มิปาน
“คุณปัดปากซีดมาก ไม่เชื่อลองหันไปดูกระจกสิคะ” เธอบุ้ยปากไปทางแผ่นกระจกเงาในลิฟต์ พอชายหนุ่มหันไปมองก็พบว่าเป็นดังที่เธอพูดจริง
“แค่ทาลิปมันก็พอแล้วมั้ง ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะ ทาลิปสีทำไม”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ทาลิปสีได้ค่ะคุณปัด วันนี้คนใหญ่คนโตมากันเยอะ คนในแวดวงธุรกิจเดียวกันก็เยอะ คุณปัดต้องมีบุคลิกที่ดูดี สง่างาม จะมาปากซีดเหมือนคนป่วยไม่ได้ ยื่นหน้ามาค่ะ”
ท้ายที่สุด ปฐวีก็ต้องยอมจำนนให้เพลงพิณอยู่ดี เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยื่นใบหน้าคมคายเข้าไปหาเธอ ยิ่งเหลือบไปเห็นวิชัยกลั้นขำจนตัวโยกก็ยิ่งเจ็บใจนัก
เจ็บใจ...แต่ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว!
“เพลงจะทาให้บางๆ มันไม่เข้มไปหรอก ดูเป็นธรรมชาติ”
หญิงสาวบอกเสียงนุ่มนวล ทาลิปทินต์บางๆ ลงบนริมฝีปากกระจับด้วยความตั้งอกตั้งใจ กิริยาท่าทางนั้นอยู่ในสายตาของปฐวีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาคู่สีน้ำตาลอ่อน เข้ากับเรือนผมสีน้ำตาลที่เกล้ามวยเรียบร้อยปล่อยจอนม้วนเกลียวลงมาเคลียใบหน้ารูปไข่
ก็รับรู้แหละว่าเลขาฯ ของเขามีหน้าตาสะสวยชวนมอง ใครได้เห็นก็พูดชมกันไม่หยุดปาก แต่เขาที่อยู่ใกล้ชิดกับเธอที่สุดกลับรู้สึกเฉยๆ อาจเป็นเพราะความดุ ความเจ้ากี้เจ้าการ ความสนิทสนม ทำให้เขามองไม่เห็นความสวยงามใดๆ นอกจากผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
“เม้มปากนะคะ”
“...”
“คุณปัด เม้มปากค่ะ”
“อ้อ”
ปฐวีดึงตัวเองออกมาจากห้วงความคิด เขาเม้มริมฝีปากตามคำสั่งของเพลงพิณ เสร็จแล้วจึงหันไปสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงสัญญาณประตูลิฟต์ดังขึ้นพอดี
การประมูลเริ่มขึ้นในเวลาสองทุ่ม ผลงานศิลปะหลากหลายชิ้นจากศิลปินชื่อดังถูกทยอยนำมาแสดงบนเวที ราคาประมูลเริ่มต้นคือสามแสนบาท แน่นอนว่าบรรดาเศรษฐีกระเป๋าหนักทั้งหลายย่อมต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ ยกแขนชูป้ายหมายเลขของตนเองขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อตัดราคาของคู่แข่ง
เพลงพิณคิดว่ามันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีกับหน้าตาทางสังคมอยู่แล้ว บางทีเศรษฐีกระเป๋าหนักที่นั่งอยู่ในงานนี้อาจไม่ได้ชอบผลงานศิลปะมากมายอะไรขนาดนั้น แค่ต้องการชนะและประกาศให้รู้ว่าตนเองได้ช่วยเหลือมูลนิธิโน้น กองทุนนี้ผ่านการซื้อรูปวาดของศิลปิน
ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแหละนะ...
“นี่ มีรูปที่ถูกใจคุณบ้างหรือยัง ผ่านมาสี่รูปแล้วนะ”
ปฐวีกระซิบ เมื่อเห็นเลขาฯ ข้างกายยังคงนิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“อ้าว แล้วมาถามเพลงทำไมคะ คุณปัดเป็นคนประมูลเองก็แล้วแต่คุณปัดสิ”
“ผมประมูลเองที่ไหน ประมูลไปให้คุณพ่อนู่น แล้วคุณพ่อน่ะ ชอบทุกอย่างที่คุณเลือกให้อยู่แล้ว”
ประโยคท้ายชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูก เพลงพิณเห็นดังนั้นก็กระตุกยิ้มมุมปาก เลิกคิ้วมองเจ้านาย
“คุณปัดอิจฉาเหรอคะ”
“โอ๊ย อิจฉาอะไร ผมไม่อยากเป็นลูกรักของคุณพ่ออยู่แล้ว ยกให้คุณเป็นไปเลยคนเดียว”
“งั้นแปลว่ามรดกทุกอย่างจะตกเป็นของเพลง คุณปัดยอมได้เหรอ”
“ทุกวันนี้มันก็เหมือนเป็นของคุณอยู่แล้ว”
ปฐวีไม่คิดว่าตัวเองพูดเกินจริงนัก ทุกวันนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นหุ่นเชิดของเพลงพิณ
คนที่มีอำนาจชักใยอยู่หลังราชบัลลังก์ที่แท้จริงคือเธอต่างหาก...
“คุณปัดเลอะเทอะใหญ่แล้ว นู่น ดูรูปนู้นสิคะ สวยมากเลย”
เพลงพิณบุ้ยปากไปทางเวที เจ้าหน้าที่สองคนกำลังประคองรูปภาพซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นหญิงสาวในชุดไทยมาตั้งกลางเวที ท่ามกลางเสียงฮือฮาของแขกในงาน
“ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่ากินรีร่ายรำ เป็นผลงานของอาจารย์วิจิตร วิทยานะคะ เงินที่ได้อาจารย์จะนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลทั้งหมด”
“คุณปัดเตรียมประมูลรูปนี้ได้เลยค่ะ” เพลงพิณบอกเจ้านายพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาจับจ้องไปยังรูปวาดตรงหน้า
“รูปนี้เหรอ ทำไมอะ” ปฐวีอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี
“คุณท่านชอบอ่านวรรณคดีค่ะ คงจะอินเป็นพิเศษ แล้วอีกอย่างปีนี้คุณท่านควรได้ทำบุญกับโรงพยาบาลเป็นการเสริมดวงด้านสุขภาพด้วย”
“อ้อ” เขาพยักหน้ารับ ‘นี่สินะลูกรักตัวจริง’
“เบอร์สิบยกแล้วนะคะ สามแสนสองหมื่นบาทค่ะ เบอร์ศูนย์สี่ สามแสนสี่หมื่นบาท เบอร์ยี่สิบสอง สามแสนหกหมื่นบาทค่ะ มีใครให้มากกว่านี้อีกมั้ยคะ โอเค! เบอร์ศูนย์แปด สามแสนแปดหมื่นบาท”
ผู้คนในงานเริ่มประมูลกันอย่างดุเดือดเคล้าเสียงเชียร์อัปของพิธีกร และในที่สุดปฐวีจึงตัดสินใจชูหมายเลขของตนเองขึ้นเมื่อพิธีกรเริ่มนับ
“เบอร์สิบหก สี่แสนค่า! มีใครยกอีกมั้ยคะ สี่แสนบาทครั้งที่หนึ่ง สี่แสนบาทครั้งที่สอง...”
จังหวะนั้นหลายๆ คนคิดว่าผลงานชิ้นนี้คงจบที่สี่แสนบาทและ ปฐวี พนารักษ์ คงได้มันไปครอบครอง ทว่ากลับมีใครอีกคนยกหมายเลขของตนเองขึ้นมา
“เบอร์สามสิบ สี่แสนสองหมื่นบาทค่ะ”
และมีหรือปฐวีจะยอม เขาชูหมายเลขของตนขึ้นสู้ในทันที
“เบอร์สิบหก สี่แสนสี่หมื่นบาท เบอร์สามสิบ สี่แสนหกหมื่นบาท เบอร์สิบหก สี่แสนแปดหมื่นบาท” พิธีกรสาวแทบหายใจไม่ทัน ผู้คนในงานเริ่มหันมองปฐวีกับคู่แข่งเบอร์สามสิบ
เพลงพิณเองก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกันว่าเบอร์สามสิบเป็นใคร แต่อีกฝ่ายน่าจะนั่งอยู่ด้านหลัง
“เบอร์สามสิบ ห้าแสนบาท ห้าแสนบาทครั้งที่หนึ่ง ห้าแสนบาทครั้งที่สอง”
“จริงๆ คุณปัดไม่ต้องสู้แล้วก็ได้นะคะ รอดูรูปอื่นดีกว่า” เพลงพิณกระซิบบอกเจ้านาย กลัวราคามันจะเฟ้อไปมากกว่านี้
“ห้าแสนบาทครั้งที่... เบอร์สิบหก ห้าแสนสองหมื่นบาทค่ะ”
แต่สุดท้ายปฐวีไม่ฟังคำทัดทานของเธอ เขาชูหมายเลขขึ้นในวินาทีสุดท้าย
“ห้าแสนสองหมื่นบาทครั้งที่หนึ่ง ห้าแสนสองหมื่นบาทครั้งที่สอง ห้าแสนสองหมื่นบาทครั้งที่สามค่า ยินดีด้วยนะคะ ขอเชิญมาถ่ายภาพที่ด้านหน้าเวทีเลยค่ะ”
เสียงปรบมือเกรียวกราวดังลั่นห้องจัดงาน ปฐวีขยับเสื้อสูทลุกจากเก้าอี้ไปด้านหน้าเวทีพร้อมกับเพลงพิณ หนุ่มหล่อสาวสวยยืนถ่ายภาพเคียงคู่กับรูปวาดที่ประมูลได้ สายตาแขกเหรื่อในงานจับจ้องที่คนทั้งสองอย่างสนใจ
“นั่นคุณปัด ไร่พนารักษ์หรือเปล่า เขามีภรรยาแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ภรรยาหรอก นั่นเลขาฯ เขา”
“ต๊าย สวยหล่อเหมาะสมกันดีจัง”
คุณหญิงคุณนายในชุดผ้าไทยกระซิบกระซาบกันอย่างออกรส กระนั้นก็ดังพอให้ ‘ก้องเกียรติ’ ชายหนุ่มเจ้าของเบอร์สามสิบได้ยิน สายตาของชายหนุ่มจับจ้องหญิงสาวในชุดเดรสยาวบนเวที และเธอก็บังเอิญหันมาสบตากับเขาพอดี
แม้จะมีระยะห่างระหว่างกันแสนไกล แต่ก้องเกียรติก็อ่านความรู้สึกหลายๆ อย่างผ่านดวงตาคู่นั้นของเธอออก
เพลงพิณสาบานได้เลยว่า ถ้าเธอไม่เสียดายเครื่องสำอางบนใบหน้าที่บรรจงแต่งแต้มมาอย่างดี เธอจะวักน้ำจากก๊อกลูบหน้าแรงๆ ประหนึ่งล้างความทรงจำที่ไม่อยากจำออกไป
‘ความทรงจำเกี่ยวกับแฟนเก่า’
แต่เพราะความเสียดายเครื่องสำอางมีมากกว่า เธอจึงได้แต่ยืนเหม่ออยู่หน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างมือในห้องน้ำของโรงแรมอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ลงมือทำอะไร พยายามจัดระเบียบความคิด เรียบเรียงความรู้สึก กำหนดลมหายใจเข้าออกแบบที่ทำมาตลอดเวลาสติแตก
แล้วมันก็พังไม่เป็นท่า ก้อนประจุบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจเพลงพิณระเบิดตูม ความรู้สึกที่ตกตะกอนได้ตอนนี้มีเพียงความจุกเจ็บจนพูดไม่ออก หัวสมองชายิบ แข้งขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
ผู้ชายคนนั้นจะโผล่หัวมาทำไมตอนนี้ ไหนๆ ก็หายไปแล้ว ทำไมไม่หายไปตลอดกาลเสียเลย โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับชีวิตเธอ...
สิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน แต่เพลงพิณยังคงจดจำใบหน้ากับดวงตาคู่นั้นได้แม่นยำ ก้องเกียรติ เศวตอาชา
โทรศัพท์มือถือที่หญิงสาวกำเอาไว้ในฝ่ามือสั่นครืดๆ สติสัมปชัญญะของเธอกลับคืนมา พอพลิกหน้าจอมือถือดูพบว่าเป็นวิชัยโทร. มา เธอหลับตาลงครู่หนึ่งแล้วกดรับสาย
“ค่ะพี่ชัย”
“น้องเพลงอยู่ไหนครับ คุณปัดรออยู่”
“เพลงมาเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ กำลังจะออกไป แค่นี้ก่อนนะคะ”
พอวางสายเสร็จ เพลงพิณสำรวจความเรียบร้อยของตนเองในกระจกอีกครั้ง มือกำกระเป๋าถือราคาแพงเอาไว้แน่น จากนั้นก้าวเดินบนรองเท้าส้นสูงด้วยท่วงท่ามาดมั่นออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าสวยเชิดขึ้นในทุกย่างก้าวแม้เธอจะเห็นร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำเดินสวนมา ใบหน้าชายหนุ่มที่เธออยากลืมอยู่ในครรลองสายตา ชัดเจนว่าเขากำลังมองมาที่เธอ แต่เธอไม่สนใจและเดินหนีไป
“เพลง”
น้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมาเกือบสิบกว่าปีเรียกชื่อเธอ วินาทีนั้นเธอชาไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้า ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาป
‘ไม่’
เพลงพิณบอกกับตัวเอง กระบอกตาสองข้างเริ่มร้อนผ่าว เธอฝืนเดินต่อไป ไม่หันหลังมองตามเสียงเรียกนั่น กว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองเดินออกมาไกลแค่ไหน แขนของเธอก็ถูกคว้าหมับเอาไว้
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ รีบสะบัดแขนออกห่างอย่างรวดเร็ว เตรียมหันไปต่อว่าคนที่ตามมาตอแยเธอ
ทว่า...คนที่คว้าแขนของเธอไว้กลับเป็นปฐวีนั่นเอง ไม่ใช่ใครอื่น
“เป็นอะไรของคุณ เห็นเดินเหม่อไปไกลเชียว”
ปฐวีเอ่ยถาม เขากับวิชัยยืนรอเพลงพิณหน้าประตูห้องจัดงานหลังจากงานเลิกได้สักพัก เห็นเธอเดินเลยผ่านพวกเขาไปเหมือนไม่ได้สังเกตเห็น
“ปละ...เปล่าค่ะ เพลงโอเค แค่มองไม่เห็นคุณปัดกับพี่ชัย”
“แน่นะ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว น้ำเสียงตะกุกตะกักบวกแววตาหลุกหลิกไม่มั่นใจ ดูไม่สมกับเป็นเพลงพิณเอาเสียเลย ยิ่งเห็นดวงตาวาวฉ่ำน้ำยิ่งทำให้สงสัย
“ค่ะ เรากลับกันเถอะ” เธอพยักหน้าช้าๆ
“คืนนี้ผมเปิดห้องไว้ไปออกกำลังกาย คุณกับนายชัยกลับก่อนเลย แล้วพรุ่งนี้เก้าโมงคุณค่อยขับรถมารับผม”
“ได้ค่ะ”
คำว่า ‘ออกกำลังกาย’ ของปฐวี คือความหมายโดยนัยที่มีเพลงพิณกับวิชัยเท่านั้นที่รู้
มันหมายถึง การนอนค้างกับหญิงสาวที่เขาเลี้ยงดูเอาไว้ โดยปกติจะเปลี่ยนคนเดือนละสองครั้งหรือน้อยกว่านั้น เขาไม่เคยเลี้ยงดูใครไว้นานๆ ส่วนมากจะเป็นสัญญาระยะสั้น จ่ายค่าตอบแทนตามจำนวนครั้งแล้วจบ
ซึ่งเพลงพิณจะเป็นคนคัดกรองผู้หญิงเหล่านั้นให้เจ้านายด้วยตนเอง มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับเธอ ในเมื่อเขายังคงเป็นหนุ่มโสดวัยกลัดมัน นอกจากเรื่องงานก็ต้องแสวงหาความรื่นรมย์ให้ชีวิตบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
“อุปกรณ์ป้องกันเตรียมเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”
ใช่แล้ว เธอหมายถึงถุงยางอนามัยนั่นแหละ
“อืม เตรียมละ”
“งั้นเพลงกับพี่ชัยไปก่อนนะคะ เจอกันเก้าโมงตรง ห้ามเลต เพราะพรุ่งนี้คุณปัดต้องเข้าออฟฟิศเช้า”
“รู้แล้วน่า ผมไปนะ”
ปฐวีโบกมือลาลูกน้องคู่ใจทั้งสองก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าจากไปอย่างสบายอารมณ์
“สรุปเมื่อกลางวันมีเรื่องอะไรเหรอน้องเพลง”
หลังจากเหตุการณ์สับเท้าแตกของหญิงสาวเมื่อกลางวันนี้ วิชัยผู้เก็บความสงสัยใคร่รู้มานานจึงได้เอ่ยถามเมื่อมีโอกาสอยู่ตามลำพังสองคนกับเธอ
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณปัดแค่เรียกตัวเพลงด่วนเฉยๆ เรากลับกันเถอะ”
“งั้นไปกันครับ”
บอดีการ์ดหนุ่มพยักหน้ารับ ไม่คิดถามซอกแซกต่อ ถึงเขาจะเป็นมือขวาที่ปฐวีไว้วางใจ เกิดและเติบโตมาในไร่พนารักษ์ ทำงานรับใช้ใกล้ชิดครอบครัวนี้มานานแสนนาน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้ทุกอย่าง เขารู้เท่าที่เจ้านายอยากให้รู้เท่านั้น เทียบไม่ได้เลยกับเพลงพิณที่ดูจะรู้เช่นเห็นชาติเจ้านายของเขาทะลุเปลือกหมดแล้ว
ภายในห้องนอนกว้างของโรงแรม เสื้อผ้าอาภรณ์หลายชิ้นกระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ตามเฟอร์นิเจอร์จากความเร่งรีบของผู้ถอด สัมพันธ์ทางกายสุดเร่าร้อนเพิ่งมาจบลงบนเตียงกว้างเมื่อตอนตีสอง สาวสวยนอนหลับไปแล้วเพราะความอ่อนเพลีย เรือนร่างเย้ายวนซุกกายภายใต้ผ้าห่มอุ่นหนาท่ามกลางอากาศเย็นเฉียบ คงมีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่นอนไม่หลับแม้พยายามข่มตา พลิกกายไปมาบนเตียงอยู่นานกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงตีสี่
ร่างสูงใหญ่คว้าชุดคลุมนอนมาสวม เอื้อมมือหยิบบุหรี่กับไฟแช็กรวมทั้งโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
ปฐวีจุดบุหรี่สูบ ควันสีขาวจางๆ ลอยลอดออกมาจากริมฝีปากและจมูกของเขา ดวงตาคู่คมทอดมองควันเหล่านั้น ระหว่างรับรสขมและกลิ่นเผาไหม้ของมัน
เสียงหนึ่งจากความทรงจำดังขึ้นมาในห้วงความคิด
‘เพลงอนุญาตให้คุณปัดสูบบุหรี่ได้เฉพาะเวลาเครียดหรือสูบได้นานๆ ครั้ง ไม่อนุญาตให้สูบเป็นประจำแล้วนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณปัดเอง’
เพลงพิณกล่าวกับเขาเมื่อห้าปีที่แล้วช่วงกลับมาจากสิงคโปร์ด้วยกัน ตอนนั้นเธอไปเที่ยวพักผ่อน ส่วนเขาเบื่อๆ เหงาๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยตามไปด้วย ประจวบเหมาะกับเกิดเรื่องวุ่นวายระหว่างบิดาเขากับครอบครัวของเมฆา เขาเลยอยากหนีไปที่ไหนสักแห่ง
หลังจากเธอประกาศห้ามเขาสูบบุหรี่ เธอก็เผด็จการด้วยการไม่ซื้อบุหรี่ให้เขาอีกเลย ทั้งยังกำชับบอดีการ์ดทุกคนห้ามซื้อให้เขาเด็ดขาด เธอจะวางหมากฝรั่งกับลูกอมรสชาติไม่ซ้ำกันให้เขาทุกวันบนโต๊ะทำงานแทน แม้ช่วงนั้นเขาจะหงุดหงิดและทรมานแค่ไหน บ่นว่าเธอสารพัด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่เลิกติดบุหรี่ทุกวันนี้ได้ก็เพราะเธอ
จริงๆ ก่อนหน้าไปสิงคโปร์ด้วยกัน เพลงพิณเป็นลูกไล่ของเขามาโดยตลอด เธอยังไม่ดุเหมือนเสืออย่างทุกวันนี้เลยด้วยซ้ำ อาจเพราะพอได้ไปเที่ยวด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกันแบบไม่มีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เขากับเธอก็เลยยิ่งสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม เธอจึงกล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำ
เขาอาจจะใช้คำแรงไป เพลงพิณไม่ได้ดุเหมือนเสือขนาดนั้นหรอก เธอยังให้ความเคารพเขาในฐานะเจ้านายเสมอ จริงๆ แล้วเธอใจดี (ในเรื่องที่สมควรใจดี) มากกว่า ทุกอย่างที่เธอทำล้วนมีจุดประสงค์ให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น และเป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้วในการรักษาภาพลักษณ์ทุกย่างก้าวของเจ้านาย
ต่อให้บางครั้งหงุดหงิดหรือเบื่อหน้าเธอบ้าง แต่ปฐวีคิดภาพชีวิตที่ไม่มีเพลงพิณไม่ออกเลยจริงๆ หญิงสาวไม่ควรทำงานกับเขานานขนาดนี้...สิบสองปี ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันทำให้เกิดความผูกพัน เกิดความยึดติดซึ่งไม่มีใครมาแทนที่ได้ เลขาฯ คนใหม่ไหนเลยจะพังประตูห้องน้ำเข้ามาช่วยเขาจากแมลงสาบ
เวลาผ่านไปชั่วบุหรี่มวนหนึ่งหมดลง ปฐวีกำลังจะหยิบบุหรี่มวนที่สองออกมาจากกล่องแต่ก็มีอันต้องชะงัก เขานำมันกลับใส่กล่องไว้ดังเดิม แค่มวนเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้
ชายหนุ่มถอนหายใจ กอดอกพลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนถูกแปะป้ายเครื่องหมายคำถามยามครุ่นคิดเรื่องเมื่อคืนที่งานประมูล เกี่ยวกับท่าทีแปลกๆ ของเพลงพิณ แม้ไม่มั่นใจว่าที่เขาเห็นนั้นคือร่องรอยความเจ็บปวด หรือหวาดหวั่นในดวงตาของเธอหรือไม่ แต่เขารู้สึกเสียวแปลบบริเวณหน้าอกขึ้นมาทันที เหมือนเป็นลางสังหรณ์
สิบสองปีที่ผ่านมาหญิงสาวไม่เคยเป็นแบบนี้เลย มันเพราะอะไรกัน หรือเป็นเพราะเขาทำอะไรให้เธอรู้สึกแย่หรือเปล่านะ
ยิ่งคิดปฐวีก็ยิ่งปวดหัวจนต้องกุมขมับ เขาจึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดเพื่อหาอะไรดูแก้เครียด ในตอนนั้นเองแท็บแจ้งเตือนข้อความของเพลงพิณก็เด้งขึ้นมา เขารีบกดเข้าไปดูในทันที
Pleng : ตารางงานของวันนี้ค่ะ
พอรู้ว่าเลขาฯ ตื่นแล้ว ความใจร้อนของชายหนุ่มจึงเริ่มทำงาน ส่งผลให้เขากดปุ่มโทร. หาเธอ ไม่เสียเวลาพิมพ์ข้อความโต้ตอบสักเสี้ยววินาทีเดียว
“ฮัลโหลคุณเพลง”
“ค่ะ” ปลายสายรับคำเสียงเรียบ
“คุณ...” ปฐวีอึกอัก เคาะมือเบาๆ บนโต๊ะ ไม่รู้จะเริ่มต้นถามอย่างไร
“มีอะไรหรือเปล่าคะ เพลงกำลังจะออกไปวิ่ง”
“คุณวิ่งเสร็จกี่โมง”
“น่าจะหกโมงค่ะ”
“เสร็จแล้วคุณขับรถมารับผมหน่อย ก่อนเก้าโมง ผมอยากกลับแล้ว”
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เพลงพิณถามอย่างแปลกใจ ปกติปฐวีตื่นสายมาก และไม่เคยให้เธอไปรับตอนเช้าตรู่
“หรือว่าบริการคนใหม่ไม่ประทับใจ”
“เปล่า ก็ดี แต่ผมแค่นอนไม่หลับ” ปฐวีเกาศีรษะ แหงนเงยใบหน้ามองเพดาน
“แล้ววันนี้จะทำงานไหวมั้ยคะเนี่ย” น้ำเสียงของเลขาฯ แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย ตามด้วยเสียงถอนหายใจเบาๆ
ชายหนุ่มพอจะจินตนาการภาพสีหน้าของเธอออกเมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เธอคงทำหน้าซังกะตายแกมอ่อนใจอีกเช่นเคย
“ไหวอยู่ งีบสักชั่วโมงก็โอเคแล้ว ซื้อกาแฟแรงๆ มาให้ผมด้วย”
“โอเคค่ะ งั้นเจ็ดโมงครึ่งเพลงจะไปรับที่โรงแรม แค่นี้ก่อนนะคะ”
เพลงพิณวางสายไปแล้ว ปฐวีลุกขึ้นกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง พอรู้ว่าเธอยังมีท่าทีปกติ ดีกับเขาก็ทำให้เบาใจโข ครั้งนี้เขาจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับลงได้ในที่สุด
ความคิดเห็น |
---|