บทที่ 3

 

 

ลมหนาวพัดเย็นยะเยือกในยามค่ำคืน ร่างอวบอิ่มของเพลงพิณห่อตัวภายใต้เสื้อคาดิแกนหนา หญิงสาวยังคงเดินทอดน่องสบายอารมณ์บนถนนคอนกรีตสายเล็กๆ ที่มีแสงไฟสีเหลืองนวลส่องสว่าง สองข้างทางเป็นพื้นหญ้าเขียวขจีทอดยาวไปสู่สวนผลไม้ซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืด ไร้คนงานขวักไขว่เหมือนตอนเช้า มีเพียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยคอยส่งเสียงอยู่เป็นเพื่อน

“ค่ะพ่อ วันหยุดยาวเดือนหน้าเพลงจะกลับบ้าน อยากกินไส้อั่วกับข้าวปุกงาเจ้าเดิมอีกมั้ย เดี๋ยวเพลงซื้อไปฝาก เห็นพ่อกับเพชรชอบ” เพลงพิณเอ่ยถามบิดาที่อยู่ปลายสายไกลถึงสมุทรสงคราม

“ดีๆ ซื้อมาเลย เพชรมันก็จะกลับมาบ้านเหมือนกัน” 

“ค่ะ แล้วพ่ออยากได้อะไรอีกมั้ยคะ”

“ไม่แล้ว ถ้ากลับมาพ่อจะทำแกงเขียวหวานยอดมะพร้าวอ่อนไว้รอนะ” จำรูญบอกน้ำเสียงอารมณ์ดี

“โอ๊ย อยากกลับพรุ่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอด” เพลงพิณโอดครวญปนหัวเราะ

“งานหนักมั้ยลูกช่วงนี้”

“เหมือนเดิมค่ะ หนักบ้าง ไม่หนักบ้าง เรื่อยๆ”

“บอกคุณปัดอย่าใช้งานลูกหนักมากนะ เดี๋ยวปอกส้มโอให้กินถ้ามาบ้าน”

“หึ ทำอย่างกับเชียงใหม่ไม่มีส้มโอขายงั้นแหละ หรือต่อให้ไม่มี ถ้าคุณปัดอยากกินก็หาได้ไม่ยากหรอกค่ะ เผลอๆ มีคนปอกป้อนให้ถึงปากตามประสาคนรวย”

“เฮ้ย ส้มโอซื้อตลาดทั่วไปมันจะไปอร่อยเท่าส้มโอสดจากต้นของสวนตารุ่งได้ไงวะ ดินดี น้ำดีขนาดนี้ ปลอดสารพิษอีกต่างหาก” คนเป็นบิดาโฆษณาสรรพคุณยกใหญ่

“จ้าาา ส้มโอของตารุ่งดีที่สุดในโลก แต่มันใช้ต่อรองกับเจ้านายเพลงไม่ได้หรอกค่ะ” 

ถึงปฐวีจะเห็นแก่กินอยู่พอสมควรก็ตาม...

“เอ้อ พ่อคะ” เพลงพิณนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าสลดลงเล็กน้อย

“ว่าไง”

“เมื่อไม่นานมานี้ เพลงเจอก้องด้วย”

“แฟนเก่าน่ะเหรอ แล้วเจอที่ไหน” 

“เจอที่งานประมูลค่ะ เขาดูเปลี่ยนไปมาก แต่เพลงก็จำเขาได้ เพลงพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวแล้ว แต่พอเพลงเดินสวนกับเขา เขาก็เรียกเพลง”

“แล้วมันว่าไง”

“ไม่ว่าไงค่ะ เพลงเดินหนี เพราะไม่อยากคุย”

“ยังลืมไม่ได้เหรอ สิบกว่าปีแล้วนะ ถ้าเพลงไม่พูดขึ้นมา พ่อแทบลืมไปแล้วว่าเพลงเคยมีแฟน”

ก้อง คือชื่อแฟนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของลูกสาว เคยพามาบ้านครั้งสองครั้ง เป็นหนุ่มเหนือหน้าตาผิวพรรณดี จำรูญจำได้รางๆ ว่าทั้งคู่คบกันนานทีเดียว จนถึงช่วงเรียนจบ ลูกสาวของเขาก็ถูกบอกเลิกแบบไร้สาเหตุ เป็นเหตุให้ต้องกลับมาพักใจที่บ้านนานหลายเดือน 

“ไม่เชิงว่าลืมไม่ได้ จริงๆ เพลงลืมเขาไปนานมากแล้วนะคะ แต่พอมาเจอหน้ากัน มันเจ็บแปลกๆ รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาซะงั้น” 

“ปล่อยวางเถอะเพลงลูก โกรธไปมีแต่ทำให้ลูกไม่มีความสุข ส่วนเขาน่ะ ไม่มารู้สึกรู้สาอะไรหรอก กินอิ่มนอนหลับสบายใจเฉิบแล้วมั้งป่านนี้ เอ้อ พัดมันกลับมาแล้ว เดี๋ยวพ่อไปเปิดรั้วให้พัดมันก่อนนะ”

เสียงหมาเห่าเคล้าเสียงรถยนต์ดังแว่วมาตามสาย พรพัฒน์ น้องชายของเพลงพิณคงกลับจากทำงานแล้ว พอดีกับที่เธอเดินมาถึงหน้าบ้านพักของเธอพอดี แล้วก็ได้เห็นร่างสูงที่คุ้นตาในชุดเสื้อยืดกับกางขายาวสบายๆ ยืนรออยู่ตรงชานพัก ทำให้เธอขมวดคิ้วฉงน 

“พ่อคะ งั้นแค่นี้ก่อนนะ เพลงถึงบ้านแล้ว” 

พอตัดสายเสร็จ เธอรีบก้าวเร็วๆ มายืนตรงหน้าปฐวี

“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณปัด ทำไมมาอยู่ที่นี่”

“ผม...” ชายหนุ่มอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้เป็นปกติในเสี้ยววินาที

“ไม่มีคนกินข้าวด้วย มันเหงา ผมก็เลยซื้อข้าวมากินกับคุณ” เขาชี้ไปที่ถุงใหญ่ๆ ของภัตตาคารเลื่องชื่อซึ่งวางอยู่บนเก้าอี้

“แล้วไม่โทร. มาบอกก่อนล่วงหน้าล่ะคะ เพลงกินไปแล้วเมื่อตอนเย็น” 

เพลงพิณถอนหายใจ กระนั้นก็ล้วงกุญแจบ้านในกระเป๋ากางเกงออกมาไขประตู ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปฐวีหอบข้าวหอบน้ำมาร่วมรับประทานกับเธอในวันหยุด เจ้านายของเธอไม่ได้มีเพื่อนมากนัก ส่วนครอบครัวก็มีเพียงบิดาคนเดียวที่เขาไม่ได้สะดวกใจร่วมรับประทานอาหารด้วยทุกมื้อ ดังนั้นเธอจึงแทบจะกลายเป็นเพื่อนคนเดียวที่เขานึกถึงยามเหงาใจ

“โทษทีที่ไม่ได้โทร. นัดคุณก่อน” ปฐวีกล่าวขอโทษเลขาฯ คนสนิท เขาถอดรองเท้าถือเข้าไปวางที่ชั้นวางในบ้านอย่างคุ้นเคยเมื่อเธอเปิดประตูให้แล้ว

“แล้วคุณปัดไปในเมืองมาเหรอคะ ถึงแวะร้านนี้” 

อาหารจากภัตตาคารที่ปฐวีซื้อมาอยู่ในเมือง ซึ่งห่างไกลพอสมควร 

“อืม ผมไปหาพวกไอ้บีม ไอ้ต้องมาเมื่อตอนบ่าย ไอ้บีมมันเพิ่งกลับจากนิวยอร์ก เลยนัดเจอกัน”

“หืม คุณปัดไปเจอเพื่อนมาแท้ๆ ไม่น่าเหงานะคะ” คิ้วสวยขมวดมุ่น คำบอกเล่าของเจ้านายช่างย้อนแย้งกับคำว่าเหงาเหลือเกิน

“ก็หายเหงาตอนบ่าย ตอนค่ำก็เหงาอีกไม่ได้หรือไง”

“คุณปัดไม่ใช่คนขี้เหงาขนาดนั้นค่ะ เพลงรู้นะ คุณปัดต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่ใช้เรื่องข้าวมาเป็นข้ออ้าง”

ปฐวีลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพลงพิณอ่านใจเขาทะลุปรุโปร่งอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร เดินไปหยิบชามจานช้อนตรงส่วนครัวออกมาวางบนโต๊ะรับประทานอาหาร หยิบถุงภัตตาคารออกจากมือเขามาจัดแจงตามความเคยชิน ปฐวีเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาช่วย เหมือนคนพยายามชดเชยความผิด

รู้สึกผิดโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไร ทำไมช่วงนี้เขาถึงรู้สึกผิดกับเพลงพิณบ่อยจัง ปฐวีได้แต่ถามตัวเอง

“แล้วคุณบีมสบายดีมั้ยคะ” เพลงพิณถามถึงเพื่อนเจ้านายที่เคยมาแวะเวียนมาเที่ยวไร่พนารักษ์อยู่หลายครั้งก่อนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ

“ก็เหมือนเดิม หมายถึงกวนตีนเหมือนเดิมตามนิสัยมัน”

“อ้อ”

“คุณถามถึงไอ้บีมทำไม คิดถึงมันว่างั้นเถอะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ริมฝีปากกระจับแค่นยิ้ม

“ถามเฉยๆ ค่ะ แต่ก็คิดถึงอยู่นะคะคนเคยเห็นหน้าค่าตากัน” เพลงพิณบอกเสียงเรียบเฉย นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามปฐวี หลังจัดอาหารใส่จานหมดแล้ว ถึงเธอจะอิ่มจากมื้อเย็น แต่ก็ใช้ช้อนตักกับข้าวรสเลิศมาทานเปล่าๆ ได้

“ถึงว่าไอ้บีมมันก็ถามถึงคุณอยู่ นี่คุณกับมันแอบคุยกันเหรอ”

“จะบ้าเหรอคะ ทำงานกับคุณปัดยี่สิบสี่ชั่วโมงจะเอาเวลาไหนไปคบใคร หรือไปคุยกับใคร”

“อ้อ แล้วไป”

ปฐวีพยักหน้า ตักข้าวเข้าปาก แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อตระหนักได้ว่ารูปประโยคที่เขาใช้ในบทสนทนามันดูหึงหวงชวนเข้าใจผิด ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้คิดอะไรทำนองนั้นเลย

‘เวรละ’ 

“ล้อเล่นนะ ถ้าคุณสนใจไอ้บีม ผมก็เป็นพ่อสื่อให้ได้ ผมไม่ใช่คนหวงเพื่อน” 

“โอย ทั้งคุณปัดทั้งคุณท่านดูอยากให้เพลงมีแฟนจังนะคะ ก่อนอื่นเพลงคงต้องลาออกจากงานก่อนไปมีความรัก” เพลงพิณทำหน้าเนือยๆ 

คำว่า ‘ลาออก’ ทำให้ปฐวีระลึกชาติได้แล้วว่าเขากำลังรู้สึกผิดกับเรื่องอะไร ฉับพลันนั้นเอง อาหารรสเลิศในปากของเขาชืดลงถนัด ยามกลืนก็ฝืดคอเหลือเกิน

เงียบกันไปพักหนึ่ง ไม่มีเสียงสนทนาใดนอกจากเสียงช้อนกระทบจาน ในที่สุดเสียงทุ้มของชายหนุ่มก็ดังทำลายความเงียบ

“คุณโกรธผมหรือเปล่า คุณเพลง”

“โกรธอะไรคะ” เพลงพิณเงยหน้าขึ้นถาม แววตาว่างเปล่าทำลายความมั่นใจของคนตรงหน้า

“เรื่องเมื่อเช้า ที่เอ่อ... บ้านผม แล้วคุณพูดว่าผมอาจจะต้องหาเลขาฯ คนใหม่ คุณหมายความตามที่พูดจริงมั้ย คุณไม่เคยพูดคำว่าจะลาออก แต่ช่วงนี้คุณพูดบ่อยมันเลยทำให้ผมกังวลนิดหน่อย”

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาหญิงสาวถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน 

“ขำอะไร นี่ผมซีเรียสนะคุณเพลง” ปฐวีขมวดคิ้วมุ่น

“ก็ขำคุณปัดนั่นแหละ ทำไมช่วงนี้ถึงได้คิดมากจัง อ่อนไหวแปลกๆ นะคะเนี่ย” เพลงพิณสั่นศีรษะ รอยยิ้มยังไม่คลายลง

“ก็จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงล่ะ ถ้าผมเสียเลขาฯ อย่างคุณไปผมน่าจะตาย” ปฐวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

“แต่ขาดเจ้านายอย่างคุณปัดไปเพลงไม่ตายนะคะ ออกจะสบายใจ” 

“คุณเพลง!”

“ล้อเล่นน่ะค่ะ” เพลงพิณเย้า

“พอเลย ผมจะเป็นลม”

ความรู้สึกของปฐวียามนี้คล้ายมีแมลงสาบบินวนเวียนอยู่รอบๆ มือไม้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะจับช้อนกับส้อม

“เพลงยังไม่คิดลาออกหรอกค่ะ เงินเดือนดีขนาดนี้ สวัสดิการดีขนาดนี้ กอบโกยให้คุ้มก่อน” หญิงสาวพูดยิ้มๆ

“ผมยินดีให้คุณกอบโกยเต็มที่ ขอแค่อย่าลาออก ผมนึกภาพตัวเองรับสมัครหาเลขาฯ คนใหม่ไม่ออกจริงๆ ต้องมาเรียนรู้กันใหม่คงเหนื่อยน่าดู”

“ก็ไม่แน่หรอกค่ะ บางทีเลขาฯ เด็กๆ หน้าใหม่ไฟแรงอาจทำให้คุณปัดมีไฟทำงาน ไม่ต้องคอยให้เพลงไล่ต้อนเหมือนทุกวันนี้ อีกหกปีเพลงก็อายุสี่สิบแล้วนะคะ” เพลงพิณทำหน้ายู่ ไหล่ห่อลงเมื่อตระหนักถึงสังขารของตัวเอง เพื่อนรุ่นเธอแต่งงานมีครอบครัวมีลูกกันหมดแล้ว เธอยังไม่มีแม้แต่แฟนด้วยซ้ำ

“อย่าว่าแต่คุณเลย อีกสี่ปีผมก็สี่สิบเหมือนกัน สี่สิบก่อนคุณด้วยซ้ำ” ไหล่กว้างของปฐวีห่อเหี่ยวลงไม่ต่างกัน

“เรากำลังจะแก่แล้วนะคะ”

“อืม เรากำลังจะแก่เหมือนกัน”

หนุ่มอายุสามสิบหกกับสาวอายุสามสิบสี่ไม่สนทนาอะไรกันต่อหลังจากนั้น รับประทานอาหารเสร็จก็ช่วยกันเก็บล้างจาน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำเข้านอนในที่ของตัวเอง 

บ้านพนารักษ์หลังใหญ่ที่เคยเงียบสงบ วันนี้กลับดูวุ่นวายมากกว่าวันไหนๆ คนใช้ในบ้านสาละวนเข้าออกระหว่างห้องครัวกับห้องรับประทานอาหาร โดยมีหัวหน้าแม่บ้านอย่างรุ้งกาญจน์คอยควบคุมงานและตรวจตราความเรียบร้อย เพราะเที่ยงวันนี้จะมีแขกพิเศษมาร่วมรับประทานอาหารด้วย แขกพิเศษที่ว่าคือครอบครัวเพื่อนสนิทของ ‘วิมลรัตน์’ นายหญิงของบ้านพนารักษ์ผู้ล่วงลับไปนานกว่ายี่สิบปี

ปฐวีแต่งกายด้วยเสื้อผ้าโทนสีอ่อนเรียบง่าย แต่ก็ยังดูดีมีระดับเหมือนตอนไปทำงาน เขาลงมาคุยกับรุ้งกาญจน์ระหว่างรอมื้อเที่ยง 

“ไม่ได้เจอคุณอ้อมกับหนูงามนานแล้วนะคะ ป่านนี้หนูงามคงโตเป็นสาวสวย อยากเห็นหน้าจังเลย” 

รุ้งกาญจน์ยิ้มละมุน ดวงตาทอประกายอ่อนโยนยามนึกถึงเด็กหญิงผมเปียหน้าตาน่ารักวัยห้าขวบในความทรงจำอันเลือนราง 

“แล้วป้ารู้ได้ไงว่าเขาสวย ไม่เจอนานแล้วไม่ใช่หรือไง” เดหลีที่กำลังจัดชุดจานชามบนโต๊ะอาหารว่า

“ก็ตอนเด็กเขาน่ารัก โตมาก็คงสวยไม่ผิดไปจากตอนเด็กนักหรอก”

“อื้อหือ ทีกับหนูเนี่ยไม่เห็นป้าเคยชมว่าสวยสักคำ ตอนเด็กๆ หนูก็น่ารักออก” 

“อยากได้คำชมบ้างว่างั้น” รุ้งกาญจน์กอดอก แค่นยิ้มเยาะใส่หลานสาว

“ได้บ้างก็ดี แต่ถ้าต้องให้บอกแบบนี้ ไม่ต้องชมก็ได้” คนเป็นหลานลอยหน้าลอยตาตอบ

ปฐวีหัวเราะให้แก่สองป้าหลาน เห็นตีกันแบบนี้ ทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกันอย่าบอกใคร เดหลีเป็นเด็กติดป้า มารดาของเดหลีเอาเดหลีมาฝากให้รุ้งกาญจน์เลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ เพราะตัวเองไปทำงานที่กรุงเทพฯ เดหลีเลยผูกพันกับรุ้งกาญจน์มากกว่า รักรุ้งกาญจน์ไม่ต่างจากมารดาแท้ๆ 

“พรุ่งนี้เดย์ก็ต้องกลับไปเรียนแล้วสิ เรียนเป็นไงบ้างล่ะช่วงนี้” เขาไถ่ถามหญิงสาว

“ก็เหนื่อยๆ ค่ะ งานเยอะมากๆ ทั้งงานจากวิชาเรียน แล้วก็งานจากคณะ เพราะหนูทำงานเป็นสภานิสิตมันก็เลยเหนื่อยคูณสอง รู้งี้ไม่น่าทำเลย ไม่เห็นจะได้อะไร” เดหลีบ่นยืดยาว

“โถ ทำงานสภางั้นเหรอ อย่างแกจะไปเป็นอะไร้ นายกฯ ?” รุ้งกาญจน์ค่อนขอด

“แหม ถ้าเป็นนายกฯ ได้ก็ดีสิป้า แต่หนูไม่ขอเป็นนายกฯ สภานิสิตนะ ขอเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทยดีกว่า” เดหลีพูดพลางยืดอก

“ฮ่าๆ เอาสิ ฉันจะรอเลือกพรรคของเดย์เลย ตอนเลือกตั้ง” ปฐวีช่วยสนับสนุน แม้จะรู้ว่าเดหลีเพียงแค่หยอกล้อก็ตาม

วิชัยเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ที่ซึ่งปฐวี รุ้งกาญจน์ และเดหลีกำลังสนทนากันอยู่

“คุณปัดครับ รถบ้านคุณอ้อมมาถึงแล้วนะครับ” 

เขากล่าวรายงานอย่างสุภาพ เป็นเวลาเดียวกันกับที่เปรมทัตเดินเข้ามาทันได้ยินพอดี ชายผู้มากวัยแต่งกายด้วยเสื้อกับกางเกงผ้าไหมสีสันสดใสแปลกตาไปจากทุกวัน พร้อมต้อนรับแขกพิเศษผู้มาเยือน

“ไปรับแขกกัน” เขาพยักหน้าให้คนเป็นลูกชาย

ลานกว้างหน้าบ้านหลังใหญ่ปกคลุมด้วยต้นไม้ร่มรื่น มีไก่แจ้ที่เลี้ยงไว้สี่ห้าตัวพากันคุ้ยเขี่ยออกหากิน เสียงนกร้องสลับกับเสียงใบไม้เสียดสีกันยามลมพัดช่างน่าอภิรมย์นัก แม้บรรยากาศของธรรมชาติเช่นนี้จะมีให้เห็นในทุกๆ วัน แต่ ‘อโณทัย’ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอชื่นชอบที่นี่เสมอทุกครั้งที่มาเยือน และมันแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยในรอบสองทศวรรษ

“ขี้เกียจจัง งามไม่ลงไปได้มั้ยเนี่ย” ปานตะวัน บุตรสาววัยยี่สิบหกปีของอโณทัยโอดครวญ 

“ไม่ได้ ลงมาเลยนะงาม ให้มาเยี่ยมผู้หลักผู้ใหญ่ละทำหน้าบูดหน้าบึ้ง” 

อโณทัยค้อนให้ลูกสาวแสนสวยของตนซึ่งตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าความสวยเพราะทำหน้างอคอหัก เธอยืนเท้าเอวรอหน้าประตูรถที่ตอนนี้เปิดกว้างจนสุด รอให้ผู้โดยสารเอาแต่ใจลงมา

“น่าเบื่อจะตาย ไม่รู้แม่จะลากงามกับพี่ก้องมาด้วยทำไม” 

ปานตะวันบ่นอุบ โตจนป่านนี้แล้วเธอยังถูกแม่บังคับใส่ชุดเดรสลากมาเที่ยวหาเพื่อนของแม่ แถมเธอเองก็ไม่รู้จักมักคุ้น ถ้าก้องเกียรติหัวแข็งไม่ยอมมาด้วยสักคน เธอคงหาข้ออ้างไม่มาด้วยได้ แต่นี่พี่ชายตัวดีช่างเก็บตัวยิ่งกว่าฤาษีจำศีลดันเกิดอยากจะให้ความร่วมมือมารดาขึ้นมาเสียอย่างนั้น คาดว่าวันนี้ฝนคงได้ตกห่าใหญ่เป็นแน่

“ลงมาเถอะงาม โตแล้วนะ” ก้องเกียรติตามมาช่วยสมทบกับมารดา หลังจากลงรถไปก่อนใครเมื่อสักครู่

“ก็เพราะโตแล้วน่ะสิ คนโตแล้วที่ไหนเขาโดนแม่บังคับมาเที่ยวกันเล่า” 

“ก้อง จัดการน้องสาวแกไปนะ แม่ปวดหัวแล้ว” อโณทัยกลอกตามองบน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“ว่าไงคุณอ้อม ไม่เจอกันนาน ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ” 

เปรมทัตทักทายสหายเก่าแก่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่าต่างฝ่ายต่างอายุมากขึ้นแล้วนับจากครั้งสุดท้ายที่พบหน้ากัน แต่อโณทัยยังคงมีเค้าความสวยไม่เสื่อมคลาย

“ขอบคุณค่ะ คุณเปรมก็ยังปากหวานเหมือนเดิม อุ๊ย! นั่นตาปัดหรือเปล่าลูก”

“ใช่แล้วครับ สวัสดีครับคุณน้าอ้อม” ปฐวียกมือไหว้สหายรักของมารดา 

“มาให้น้ากอดหน่อย คิดถึงจังเลย” อโณทัยอ้าแขนโอบกอดชายหนุ่มที่เธอเอ็นดูประหนึ่งลูกชายอีกคนของตัวเอง

“เจอกันครั้งสุดท้ายเพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่ม ดูซิ ตอนนี้โตเป็นหนุ่มใหญ่เสียแล้ว” เธอพูดพลางตบแผ่นหลังกว้างเบาๆ 

“คุณน้าอ้อมจะบอกว่าผมแก่แล้วใช่มั้ยครับ” เขาหัวเราะ 

“แก่เก่ออะไรกัน ยังหนุ่มยังแน่น คนแก่จริงๆ อยู่นี่ต่างหาก” เธอชี้นิ้วมาที่ตัวเอง หลังดันร่างสูงใหญ่ออกจากอ้อมแขน 

“แต่ก็เป็นคนแก่ที่ยังสวยนะครับ เหมือนที่คุณพ่อบอก” 

“จ้า ปากหวานกันทั้งพ่อทั้งลูกเลย น่ารักจริงๆ” 

“ทราบครับ” 

ปฐวีส่งยิ้มละไม รู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับอโณทัย ราวกับว่าเขาได้ใกล้ชิดมารดาผู้ล่วงลับของเขาอีกครั้งผ่านเธอคนนี้...

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ สองหนุ่มสาวผู้มีโครงหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันก็เดินเข้ามาร่วมวง ยกมือไหว้สวัสดีทักทายเจ้าของบ้านอย่างนอบน้อม

“นี่ก้อง ลูกชายของฉันเองค่ะ อายุน้อยกว่าตาปัดสองปีเห็นจะได้มั้ง” 

อโณทัยแนะนำลูกชายให้เปรมทัตกับปฐวีรู้จักก่อน เพราะลูกชายของเธอเพิ่งมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก

“ผมอายุน้อยกว่า งั้นขออนุญาตเรียกคุณปัดว่าพี่ได้มั้ยครับ” ก้องเกียรติถามยิ้มๆ

“ได้สิ เอาเลยๆ จะได้ไม่ต้องเรียกคุณเรียกผมให้ดูทางการเกินไปด้วย” ปฐวีตอบรับทันทีแบบไม่ต้องคิดนาน ด้วยต้องการผูกมิตรกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว

“ส่วนนี่ จำได้มั้ยคะว่าใคร” อโณทัยผายมือไปทางลูกสาวบ้าง 

“ทำไมจะจำไม่ได้เล่า คุณอ้อมมีลูกสาวอยู่คนเดียวนี่นา ถามหนูงามดีกว่าว่าจำลุงได้มั้ย” เปรมทัตเอ่ยถามสาวสวย

“จำได้ค่ะ คุณลุงเปรม แล้วก็...คุณ เอ่อ คุณปัด” ปานตะวันอึกอักเล็กน้อยยามมองมาที่ปฐวี 

“คุณอะไรกันฮึงาม เรียกพี่ปัดเถอะ” ปฐวีส่งยิ้มให้อดีตเด็กหญิงผมเปียอย่างเอ็นดู ตอนนี้เจ้าตัวไม่ถักเปียแล้ว ย้อมผมสีน้ำตาลม้วนลอนตามสมัยนิยมแทน

“ค่ะ พี่ปัด” ปานตะวันรับคำโดยไม่กล้าสบตาเขา 

“ไปคุยกันข้างในบ้านเถอะ ผมให้แม่บ้านทำกับข้าวไว้หลายอย่าง มีขนมนมเนยพร้อม” 

เปรมทัตเดินนำเข้าไปในบ้านพร้อมกับอโณทัย ตามด้วยก้องเกียรติและปานตะวัน ส่วนปฐวีรั้งท้ายสุด เพราะยังคงชะเง้อมองทางเข้าบ้าน ไม่เห็นรถมินิคูเปอร์สีเหลืองเคลื่อนตัวเข้ามาสักที หรือว่าเพลงพิณจะลืมนัดรับประทานอาหารที่บิดาของเขาออกปากชวนเอาไว้ 

แต่ในที่สุด ร่างสูงใหญ่ก็ตัดสินใจเดินเข้าบ้านตามคนอื่นๆ ไป ไม่มีการโทร. ตามเลขาฯ คู่ใจเลยสักนิด

อาหารมากกว่าห้าอย่างถูกตกแต่งสวยงามจัดวางเรียงรายบนโต๊ะไม้สักตัวยาว รุ้งกาญจน์กับเดหลีนำข้าวสวยร้อนๆ ที่หุงกับดอกอัญชันจนเป็นสีฟ้าอ่อนคดใส่จานของทุกคน และเมื่อสาวใช้อีกคนจัดการรินน้ำใส่แก้วทั้งหมดเสร็จแล้ว  ทุกคนจึงเริ่มรับประทานอาหาร เพราะมิอาจต้านทานกลิ่นอันเย้ายวนต่อไปได้

“ไหนว่ามีคนสนิทของคุณเปรมมาร่วมรับประทานข้าวด้วยไม่ใช่เหรอคะ เลขาฯ ของตาปัดใช่มั้ย” อโณทัยเอ่ยถามขึ้น และดูเหมือนคำถามจะเรียกความสนใจจากลูกๆ ของเธอได้เป็นอย่างดี

“นั่นสิ หรือจะติดธุระด่วน หนูเพลงได้โทร. หาแกบ้างมั้ยปัด” เปรมทัตหันมาซักลูกชายต่อ

“ไม่ได้โทร. มานะครับ” ปฐวีปฏิเสธเสียงเรียบ บทสนทนาเรื่องเลขาฯ ของชายหนุ่มยังไม่จบเมื่อแขกอาวุโสใคร่รู้อีก

“เลขาฯ ของตาปัดอายุเท่าไหร่เหรอ”

“สามสิบสี่ครับคุณน้าอ้อม” 

“อายุเท่าตาก้องเลย ชักอยากจะเห็นหน้าแล้วสิ คุณเปรมเอ่ยชื่อหนูเพลงคนนี้ตลอดทุกครั้งที่โทร. คุยกัน นึกว่าเป็นแฟนของตาปัดด้วยซ้ำตอนแรก” 

คำบอกเล่าดังกล่าวทำเอาปฐวีกับปานตะวันสำลักไอขึ้นมาพร้อมกันเสียอย่างนั้น คว้าน้ำมาดื่มกันแทบไม่ทัน เปรมทัตเห็นแล้วก็ได้แต่หัวเราะ

“ไม่ใช่แฟนเจ้าปัดหรอก สองคนนี้เขาเป็นคู่หูกัน ทำงานด้วยกันมาสิบสองปีแล้ว” 

“สิบสองปีเลยเหรอคะ” ปานตะวันเบิกตากว้าง

“ใช่แล้ว ซูเปอร์เลขาฯ ของแท้เลย” เปรมทัตยืนยัน

“โชคดีมากเลยนะครับ เจอคนที่ทำงานเข้าคู่กันได้ดีแบบนี้” ก้องเกียรติที่เงียบอยู่นานมองปฐวีแล้วเอ่ยขึ้น 

“อืม พี่น่าจะโชคดีจริงๆ” เขายิ้มรับแล้วตักข้าวเข้าปาก รู้สึกกับสายตาของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ดูเป็นสายตาลึกลับเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ 

“อ้าว! นั่นไง หนูเพลงมาแล้ว” เปรมทัตบุ้ยปากไปทางโถงรับแขกที่เชื่อมกับห้องรับประทานอาหาร

เพลงพิณในชุดจัมป์สูทสีขาวเดินเข้ามา ท่วงท่าอันคล่องแคล่วดูสง่างามราวกับนางแบบอาชีพสะกดให้ผู้ที่เพิ่งพบเห็นไม่อาจละสายตาจากเธอได้ ใบหน้าสวยแต่งหน้าโทนหวานละมุน ผมตรงยาวพลิ้วไหวตามจังหวะการก้าวเดิน เธอโปรยยิ้มให้แขกอาวุโสพลางยกมือไหว้เมื่อมาถึงโต๊ะอาหาร ไม่มีอาการประหม่าแม้แต่น้อย

“สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มาสายนะคะ”

อโณทัยรับไหว้ ทักทายเลขาฯ สาวอย่างคนอัธยาศัยดี

“สวัสดีจ้ะ หนูคงจะเป็นหนูเพลง เลขาฯ ของตาปัดสินะ”

“ใช่ค่ะ” เธอยิ้มรับบางๆ 

“หนูเพลง นี่ลูกสาวกับลูกชายของคุณอ้อม” เปรมทัตผายมือไปทางปานตะวันที่นั่งเก้าอี้ถัดจากอโณทัยตามด้วยก้องเกียรติ 

เพลงพิณเลื่อนสายตามองตามฝ่ามือหนา ฉับพลันภาพที่ได้เห็นก็ทำเอาเธอตัวแข็งทื่อคล้ายถูกสาป อาการเสียวแปลบเกิดขึ้นในอก

ใบหน้านั่น แววตาคู่นั้น จมูก ริมฝีปาก...เธอจำได้ไม่มีวันลืม                                                           

“คนนี้หนูงาม ส่วนคนนี้ก้อง”

หูของเพลงพิณอื้อไปหมด ได้ยินเสียงของเปรมทัตขาดๆ หายๆ แต่ก็รู้ว่าเขาแนะนำชื่อของใคร ไม่จำเป็นต้องบอกเธอก็รู้จักผู้ชายคนนี้ดี ไม่ว่าจะชื่อเล่น ชื่อจริง หรือนามสกุลของเขา ประหนึ่งถูกสลักจารึกในใจเธอด้วยคมมีดปลายแหลม

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” เธอใช้สุ้มเสียงอันนุ่มนวลกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ฝืดฝืนปั้นยิ้มส่งให้คนตรงหน้า แม้ดวงตาของเธอว่างเปล่าไร้ร่องรอยความยินดีเคลือบแฝง

“ป้ารุ้งตักข้าวให้คุณเพลงหน่อยครับ” ปฐวีบอกรุ้งกาญจน์ซึ่งรอรับคำสั่งอยู่แล้ว

“ได้ค่ะ” 

เพลงพิณนั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งข้างปฐวีซึ่งถูกจัดเอาไว้สำหรับเธอ และตำแหน่งนี้ดันตรงกับก้องเกียรติพอดิบพอดี อีกฝ่ายยังคงจ้องมองเธอไม่วางตา สร้างความอึดอัดจนแทบอยากลุกหนีออกไปอาเจียน

แต่เธอจะไม่หนีหรอก...เธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่ได้บอกเลิกใครโดยไร้สาเหตุ เธอไม่ได้ทิ้งแฟนที่คบกันมาสี่ปีเหมือนทิ้งขยะอย่างที่เขาทำ

“ขอบคุณค่ะป้ารุ้ง” หญิงสาวค้อมศีรษะเมื่อรุ้งกาญจน์ตักข้าวใส่จานให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงลงมือรับประทานอาหาร โดยไม่ชายตามองคนตรงข้ามเลยสักนิด

“หนูเพลงเป็นคนเชียงใหม่หรือเปล่าจ๊ะ” อโณทัยอยากรู้จักคนสนิทของครอบครัวพนารักษ์

“เปล่าค่ะ เพลงเป็นคนสมุทรสงคราม แต่พอดีสอบติดได้ทุนมาเรียนที่เชียงใหม่” 

“หนูเพลงเรียนคณะอะไรเหรอ”

เพลงพิณบอกชื่อคณะพร้อมชื่อสถาบันที่เธอจบการศึกษาให้สตรีสูงวัยทราบ อีกฝ่ายเบิกตากว้าง มีท่าทีตื่นเต้นเมื่อได้ยิน

“มหา’ลัยเดียวกันกับตาก้องเลยนี่ แถมยังอยู่คณะเดียวกันอีกต่างหาก โอ้โห ไม่น่าเชื่อเลยว่าโลกกลมขนาดนี้” อโณทัยพูดกลั้วหัวเราะ

เพลงพิณไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มมุมปาก ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร ทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานตอนเปรมทัตเล่าถึงครอบครัวเพื่อนสนิทของมารดาปฐวี 

โลกมันก็กลมจริงๆ นั่นแหละ ชื่ออ้อมกับชื่องามที่ว่าคุ้น ก็คือชื่อแม่กับชื่อน้องสาวของแฟนเก่าเธอนั่นเอง ถึงไม่เคยเจอหน้าทั้งสอง แต่เขามักพูดถึงให้ฟังอยู่เสมอ

“เราเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันด้วยครับคุณแม่ ผมกับเพลงเราเคยรู้จักกันมาก่อน”

คำบอกเล่าของก้องเกียรติ สร้างความประหลาดใจให้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร รวมถึงรุ้งกาญจน์และเดหลีที่ได้ยินด้วย

“ก้องกับคุณเพลงรู้จักกันอยู่แล้วเหรอ” ปฐวีขมวดคิ้วน้อยๆ มองก้องเกียรติสลับกับคนข้างกายเขา และได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าแสนเย็นชาของเธอ

“ขอโทษนะคะ แต่คุณก้องคงจำคนผิดแล้ว เพลงเพิ่งรู้จักคุณวันนี้ค่ะ”

ถ้อยคำตอบกลับเรียบๆ ของเพลงพิณอันไร้ซึ่งความขบขัน ทำก้องเกียรติหน้าซีดเผือด และทุกคนบนโต๊ะอาหารก็เริ่มทำหน้าไม่ถูก ยกเว้นปฐวี ชายหนุ่มดึงบทสนทนาให้กลับมาเป็นปกติ โดยการถามไถ่ปานตะวันบ้าง

“แล้วตอนนี้งามเป็นยังไงบ้าง ได้ทำงานที่บริษัทหรือเปล่า” เขาหมายถึงบริษัทค้าไม้ของบิดาหญิงสาว 

“เอ่อ...” 

ปานตะวันไม่อยากบอกปฐวีว่าตอนนี้เธอไม่ได้ทำงานอะไรเลย เพราะกลัวดูไม่ดีในสายตาเขา เธอแค่อยู่บ้านเฉยๆ เที่ยวเล่น ชอปปิงไปวันๆ 

“คุณอาไม่ยอมให้งามช่วยงานในบริษัทหรอกครับพี่ปัด คุณอารักงามมากจนแทบไม่อยากให้ทำอะไรเลย” ก้องเกียรติหัวเราะเบาๆ ช่วยปกป้องภาพลักษณ์ของน้องสาวต่างบิดาเต็มที่ 

“ลุงเข้าใจ คุณขจรเขารักลูกสาวเหมือนไข่ในหิน” เปรมทัตช่วยเสริม

“ยายงามสนใจสืบทอดกิจการในไร่น่ะค่ะ อยากพัฒนาให้มันเจริญรุ่งเรือง แต่จะให้สอนงานให้ฉันก็ทำไม่เป็น ความรู้ที่มีก็น้อยนิดตามประสาคนโบราณ ไม่กล้าสอนเด็กสมัยนี้ ส่วนตาก้องก็ช่วยงานคุณขจรที่บริษัท ไม่มีเวลาว่าง” อโณทัยว่าพลางถอนหายใจ

ด้านปานตะวันอยากกรีดร้องออกมานัก เธอหาได้สนใจงานในไร่ตามที่มารดาพูดไม่ รู้ทันทีว่ามารดาพยายามกุเรื่องให้เธอดูดีอยู่

“สนใจงานในไร่เหรอ หนูงามมาเรียนรู้งานจากเจ้าปัดกับหนูเพลงมั้ยล่ะ” เปรมทัตยื่นข้อเสนอ 

และนั่นทำให้ปานตะวันปรับอารมณ์แทบไม่ทัน อัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ ลอบมองปฐวีอย่างลุ้นระทึก

“อืม ถ้างามอยากเรียนรู้การบริหารจัดการงานในไร่ก็ลองมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยคุณเพลงมั้ยล่ะ คุณเพลงไม่ใช่แค่เลขาฯ แต่เป็นผู้ช่วยพี่แล้วก็เป็นที่ปรึกษาในหลายๆ ด้าน” 

เมื่อบิดาเสนอออกไปแบบนั้นแล้ว ปฐวีจึงมิอาจปฏิเสธหักหน้าได้ อีกอย่างการอนุญาตให้ปานตะวันมาฝึกงานด้วยในระยะสั้นๆ คงไม่เดือดร้อนอะไร 

“ให้ยายงามมาฝึกงานที่นี่ได้จริงๆ เหรอคะ” อโณทัยแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง 

“ได้สิคะ ถ้าคุณงามสนใจ เพลงจะสอนงานให้แบบไม่กั๊กเลยค่ะ” 

เพลงพิณยืนยันพร้อมส่งยิ้มให้ปานตะวันอย่างเป็นมิตร ทั้งที่ความจริงเธอไม่ได้อยากตอบตกลงด้วยเลย เธอไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับก้องเกียรติ ไม่อยากให้เขามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเธออีก การที่น้องสาวเขามาอยู่ใกล้ตัวเธอ นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะมาให้เธอเห็นหน้าอีกแน่นอน 

แต่จะทำอย่างไรได้ เธอเป็นลูกน้อง เจ้านายว่าอย่างไรเธอก็ต้องว่าตาม

“ว่าไงงาม สนใจมั้ยลูก” อโณทัยหันมาถามลูกสาว แอบหวาดเสียวอยู่ในใจลึกๆ ว่าลูกสาวจะไม่ยอมคว้าโอกาสทองเพราะยึดติดกับชีวิตสะดวกสบาย แต่แล้วก็ต้องผิดคาด 

“สนใจค่ะ งามอยากเรียนรู้งาน ขอบคุณพี่ปัดกับคุณเพลงที่ให้โอกาสนะคะ” 

ปานตะวันกระพุ่มมือไหว้ พยายามสะกดกลั้นยิ้มไม่ให้มากเกินไปจนดูน่าสงสัย แม้อยากจะวิ่งออกไปกรีดร้องนอกบ้าน เต้นแร้งเต้นกาด้วยความดีใจสักแค่ไหน

ก็เพราะปฐวีน่ารักเสียขนาดนี้...ได้อยู่ใกล้เขาไปนานๆ คงดีน่าดู


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น