บทที่ 4

 

วันนี้วันพุธแล้ว ปานตะวันจะมาเริ่มงานวันแรก ปฐวีทราบมาว่าหญิงสาวย้ายมาอยู่ที่พักใกล้ๆ ซึ่งใช้เวลาขับรถมาถึงที่ไร่ประมาณสามสิบนาที ทุกอย่างถูกดำเนินการรวดเร็วแม้เวลาจะผ่านมาแค่สามวัน 

แต่ก็เป็นสามวันที่ยาวนานนักสำหรับชายหนุ่ม มันเชื่องช้า อึดอัด ประหนึ่งหายใจเข้าออกไม่ทั่วท้อง และเขารู้สาเหตุดีว่าทำไมตนเองจึงรู้สึกเช่นนี้

ก็เพลงพิณน่ะ...เป็นอะไรไม่รู้อีกแล้ว เธอดูแปลกไปโดยสิ้นเชิงหลังจากร่วมมื้ออาหารกลางวันกับครอบครัวของอโณทัยในวันอาทิตย์ กระทั่งวันจันทร์จนถึงวันอังคาร เธอเงียบขรึม พูดคุยเฉพาะเรื่องงาน เข้มงวดมากเป็นพิเศษ แต่บางทีตัวเองก็กลายเป็นฝ่ายย้ำคิดย้ำทำ หลงๆ ลืมๆ เสียเอง บ้างก็นั่งเหม่อลอยช่วงพักเที่ยง เหมือนคนมีเรื่องวิตกกังวลอยู่ในใจ 

การที่เพลงพิณเป็นแบบนี้มันทำให้ปฐวีพลอยวิตกกังวลไปด้วย เขาแทบไม่มีสมาธิทำงานเพราะมัวแต่นั่งคิดวนเวียนว่าเธอเป็นอะไร สลับกับมองสีหน้าเศร้าสร้อยของเธอเป็นระยะ พอเห็นเธอเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่กล้าถามซอกแซก

‘ไม่ได้การละ ยังไงวันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้ ต้องเคลียร์ให้ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่!’ เขาคิดอย่างมุ่งมั่น

ก๊อกๆๆ

ร่างสูงใหญ่ยืดตัวนั่งหลังตรงบนโต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ก่อนประตูจะถูกเปิดออก และเพลงพิณก้าวเข้ามาพร้อมกับปานตะวัน

“คุณปัดคะ คุณงามมาแล้วค่ะ เพลงพาคุณงามไปแนะนำกับคนอื่นๆ ในออฟฟิศแล้ว”

“สวัสดีค่ะพี่ปัด ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ปานตะวันยกมือกระพุ่มไหว้อีกครั้ง ท่าทางประหม่าเสียจนยากจะเก็บกลั้นเอาไว้

“ตามสบายเลย โต๊ะทำงานของงามอยู่ตรงนั้นนะ” ปฐวีพยักหน้าไปทางชุดโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่เพิ่งเสริมเข้ามาใหม่ข้างโต๊ะทำงานของเพลงพิณ

“ทำงานในห้องนี้เลยเหรอคะ” ปานตะวันแปลกใจอยู่ไม่น้อย นี่ควรจะเป็นห้องทำงานส่วนตัวของปฐวีมิใช่หรือ เหตุใดจึงมีทั้งโต๊ะทำงานของเพลงพิณกับโต๊ะทำงานของเธออยู่ในห้องด้วย

“ใช่แล้ว พี่กับคุณเพลงทำงานห้องเดียวกัน ทำแบบนี้มาตั้งแต่ปีแรกๆ สมัยที่คุณพ่อยังทำบริษัทอยู่ ถึงพี่ขึ้นมาบริหารเต็มตัวก็ไม่ได้แยกห้องทำงาน มันเคยชินน่ะ สะดวกดีตอนทำงานด้วยกัน” ปฐวีอธิบายยิ้มๆ 

“อ๋อค่ะ เข้าใจแล้ว” ปานตะวันหัวเราะแห้ง แต่ปฐวีพอมองออกว่าเธอยังคลางแคลงใจอยู่ดี 

“เอาละ ทำงานกันเถอะ สอนงานเต็มที่เลยนะคุณเพลง” เขาเหลือบสายตามาทางเลขาฯ ของตัวเอง 

“ได้เลยค่ะ เชิญทางนี้ค่ะคุณงาม” เพลงพิณผายมือไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง 

ปานตะวันเดินตามไปอย่างว่าง่าย แม้จะดูเก้ๆ กังๆ ตามประสาคนเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ก็มีความมุ่งมั่นตามประสาเด็กใหม่ไฟแรง

ปฐวีลอบถอนหายใจ กลับมาจับจดกับงานของตัวเองบ้าง วันนี้เพลงพิณไม่มานั่งกับเขาแล้วพูดคุยเรื่องงานกันเหมือนเคย อาจเพราะเธอต้องสอนงานให้แก่ปานตะวันด้วย เธอจึงส่งรายละเอียดของงานกับสิ่งที่เขาต้องทำในวันนี้ให้ในแชตไลน์หมดแล้ว เอกสารที่ต้องอ่านต้องเซ็นก็วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย

‘แทนที่จะได้คุยกัน...’

ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา ถึงเพลงพิณจะเข้มงวดและจริงจังกับเรื่องงาน แต่ก็มีบ้างที่เธอกับเขาพูดคุยกันเรื่องอื่น หัวเราะให้แก่เรื่องไร้สาระ ทำให้บรรยากาศการทำงานไม่น่าเบื่อจนเกินไป 

แต่มาบัดนี้ เหมือนเลขาฯ คนเดิมคนสนิทของเขาหายไป แถมเขายังเสียเธอให้แก่ลูกสาวของอโณทัย ที่กว่าจะหมดวาระฝึกงานก็สามเดือนพอดี ทั้งที่ไม่ได้ฝึกเพื่อจะมาบรรจุเป็นพนักงานประจำที่ออฟฟิศด้วยซ้ำ แต่เลขาฯ เขาต้องแบ่งเวลาสอนงานให้ 

‘เพราะคุณพ่อแท้ๆ ไม่น่าออกปากไปแบบนั้นเลย’ 

ปฐวีบ่นในใจอย่างเซ็งๆ ทว่าจะโทษบิดาทั้งหมดก็ไม่ถูก เป็นเพราะเขาเองด้วยส่วนหนึ่งที่เกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธ

เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงพักเที่ยง เพลงพิณพับหน้าจอแมคบุ๊กลง พร้อมกับขยับร่างกายยืดเส้นยืดสาย

“งั้นเราพอแค่นี้ก่อนแล้วกันเนอะ เก่งมากค่ะ” เธอเอ่ยชมปานตะวัน อีกฝ่ายเรียนรู้งานไวกว่าที่เธอคิดไว้มาก การสอนงานจึงไม่ยากลำบากเกินไป

“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะคุณเพลง ไม่เคยมีใครชมงามว่าเก่งมาก่อนเลย คุณเพลงเป็นคนแรก” 

“นั่นเพราะว่าคุณงามไม่มีโอกาสแสดงความสามารถให้คนอื่นเห็นหรือเปล่าคะ ถ้าคุณงามมีโอกาสก็คงทำมันได้ดี พอทุกคนเห็นก็จะชื่นชมค่ะ”

“โอ๊ย ขอบคุณนะคะ คุณ... ขอเรียกพี่เพลงได้หรือเปล่าคะ” ปานตะวันเอ่ยถามด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะรู้สึกถูกชะตากับเพลงพิณเหลือเกิน

“ได้เลยค่ะ” เพลงพิณยิ้มรับอย่างอ่อนโยน 

“แล้วก็ไม่ต้องเรียกคุณแล้วนะคะ เรียกงามได้เลย”

“ได้อีกเหมือนกันค่ะ”

“ดีใจจัง ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ พี่เพลงมีร้านอาหารแถวไร่แนะนำบ้างหรือเปล่า” 

“มีเยอะแยะเลย ลงไปกัน เดี๋ยวพี่พาไปทานร้านอร่อย”

สองสาวลุกออกจากโต๊ะทำงาน เก็บสัมภาระเล็กๆ น้อยๆ ใส่กระเป๋าสะพาย เตรียมตัวออกไปรับประทานอาหารกลางวัน

“พี่ปัดจะไปทานข้าวข้างนอกด้วยกันมั้ยคะ” ปานตะวันไม่ลืมเอ่ยชวนชายหนุ่ม ด้วยใจหวังว่าเขาจะตอบรับ และเธอจะได้สนิทสนมกับเขา

“ไม่เป็นไรครับ พี่มีข้าวกลางวันของพี่อยู่แล้ว เชิญน้องงามกับคุณเพลงไปทานข้าวเถอะ” 

“โอเคค่ะ” 

สาวสวยยิ้มบางๆ ทั้งที่ใจเหี่ยวแฟบเหมือนลูกโป่งลมรั่ว ค้อมศีรษะแล้วเปิดประตูเดินออกไปจากห้องทำงาน

“คุณเพลง อย่าเพิ่งไป ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” 

เสียงเรียกของปฐวีทำให้เพลงพิณหยุดชะงักเท้า หันกลับมาเผชิญหน้ากับคนเป็นเจ้านาย

“คะ?”

“ผมจะให้โบนัสพิเศษกับคุณสามเดือนนี้ เพราะคุณต้องมารับงานอีกอย่างคือสอนงานให้งาม ผมไม่ให้คุณเหนื่อยฟรีหรอกนะ” 

“ขอบคุณค่ะ จริงๆ เพลงก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้น แค่สอนงานเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงนี้ อีกหน่อยคุณงามคงช่วยแบ่งเบางานของเพลงได้มาก คุณปัดก็อย่าลืมจ่ายเงินให้เด็กฝึกงานนะคะ”

ถึงปานตะวันจะมาฝึกงานที่นี่โดยมีเป้าหมายแค่มาเรียนรู้งาน แต่เพลงพิณเชื่อว่าการได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนคงทำให้ปานตะวันภาคภูมิใจกับการทำงานครั้งแรกของตัวเองไม่มากก็น้อย

“รู้แล้วน่า คุณก็เหมือนเดิมเลยนะ ห่วงแต่คนนู้นคนนี้” ปฐวีส่ายหน้า

“แล้วไม่ดีเหรอคะ คุณปัดมีเลขาฯ เป็นคนจิตใจดี” เพลงพิณเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา

“ผมดีใจที่คุณยิ้มนะ ผมไม่ได้เห็นคุณยิ้มมาสามวันแล้ว” 

“ช่วงนี้เพลงมีเรื่องให้คิดน่ะค่ะ” 

“แล้วคุณบอกผมได้มั้ยว่าเรื่องอะไร” ปฐวีลุกจากโต๊ะทำงาน เดินเข้ามาหาเลขาฯ คู่ใจ

“เรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ เพลงก็คิดจุกจิกไปเรื่อยเหมือนเดิม” เพลงพิณยังคงบอกปัด สายตาหลุบมองทางอื่น 

“มองตาผม”

ออกคำสั่งเสียงเข้ม ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย เงยหน้าสบตาคนตัวสูงทันที

เธอไม่ได้เห็นเขาดุเธอแบบนี้มากี่ปีแล้วนะ...ไม่ชินเอาเสียเลย

“เราอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้ว ทำไมผมจะดูไม่ออก คุณไม่เชื่อใจผมมากพอจะบอกเรื่องที่คุณไม่สบายใจเหรอ”

“เปล่านะคะ” เพลงพิณรีบปฏิเสธ “เพลงเชื่อใจคุณปัด แต่แค่...เรื่องนี้มันพูดยากน่ะค่ะ”

“...” 

ปฐวีไม่พูดอะไรต่อ นอกจากสบตาเธอนิ่งๆ นั่นยิ่งทำให้เพลงพิณรู้สึกกระอักกระอ่วน 

“เอาเป็นว่าเรื่องที่เพลงไม่สบายใจไม่ได้เป็นเพราะคุณปัดแน่นอน สบายใจได้เลยค่ะ”

“แล้วคุณคิดว่าผมจะสบายใจได้ยังไง ในเมื่อคุณยังไม่สบายใจอยู่แบบนี้”

“คุณปัด” เธอเพียงแต่เรียกชื่อเขาเสียงแผ่ว

ปฐวีกำมือแน่น หลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ 

“ผมขอโทษ ผมไม่ควรกดดันคุณ” 

“ไม่นะคะ เพลงไม่ได้รู้สึกกดดัน เพลงดีใจที่คุณปัดเป็นห่วง แต่ว่า...”

“คุณลงไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวน้องงามจะรอนาน” 

ชายหนุ่มกล่าว หันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เป็นการตัดจบบทสนทนาโดยสมบูรณ์

เสียงประตูห้องทำงานปิดลง เพลงพิณไปแล้ว เหลือเพียงปฐวีกับความรู้สึกร้อนรุ่มในอก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกทุกข์ทรมานขนาดนี้ แค่เพราะเพลงพิณมีความลับกับเขา ไม่ใช่ว่าเราเป็นทีมเดียวกันเหรอ มีอะไรก็พร้อมช่วยเหลือกันและกันตลอด

แต่สุดท้ายปฐวีก็ระงับอารมณ์ไม่ให้อยู่เหนือเหตุผลและความเป็นจริง เพลงพิณเป็นเพียงเลขาฯ ของเขา เขาเป็นเพียงเจ้านายของเธอ ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายในเรื่องที่ไม่สมควร

‘แล้วคุณคิดว่าผมจะสบายใจได้ยังไง ในเมื่อคุณยังไม่สบายใจอยู่แบบนี้’

ประโยคนั้นของปฐวียังคงก้องอยู่ในหูของเพลงพิณ ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจในร้านอาหาร ดวงตาคู่สวยเหม่อมองอย่างไร้จุดหมายขณะตักข้าวเข้าปาก

เขาเป็นห่วงเธอถึงปานนั้นเชียวหรือ...เธอรู้เขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เพียงแต่คาดไม่ถึงกับประโยคที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมาเท่านั้น รวมถึงสายตาและท่าทางของเขา ราวกับจะดึงตัวเธอเข้าไปกอดอยู่รอมร่อ

พลันหัวใจของเพลงพิณก็เต้นแรงเมื่อนึกภาพปฐวีกอดเธอ 

‘คิดอะไรพิลึกชะมัด’

หญิงสาวกำช้อนกับส้อมในมือแน่น รีบไล่ภาพนั้นออกไปให้พ้นจากหัวสมอง 

“พี่เพลงทำงานมาตั้งสิบสองปี เคยแอบรู้สึกเบื่อบ้างมั้ยคะ” ปานตะวันเอ่ยถาม

“มีบ้างจ้ะ เอาจริงๆ ช่วงสองสามเดือนแรกนี่ท้อมากเลยนะ รู้สึกเข้ากับคุณปัดไม่ค่อยได้เท่าไหร่ มาทำงานเหมือนมาทะเลาะกัน” เพลงพิณหัวเราะเบาๆ

“ทั้งๆ ที่เข้ากันไม่ได้ในตอนนั้น ทำไมพี่เพลงถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้คะเนี่ย” 

“อืม...อาจเป็นเพราะหลังๆ มา พี่เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับคุณปัดมั้ง แล้วคุณปัดก็ลดความดื้อรั้นลงบ้าง ก็เลยทำงานด้วยกันได้ในที่สุด” 

เพลงพิณจำได้ดี ในช่วงเวลาแรกเริ่มของการทำงานร่วมกับปฐวีในวัยยี่สิบสี่ปีนั้น ช่างยากลำบากเหลือเกิน เขาเหมือนเด็กหัวดื้อ ส่วนเธอเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหัวดื้ออีกที ถึงช่วงแรกๆ เขาจะไม่ค่อยชอบเธอ แต่เปรมทัตเห็นว่าเธอทำงานเก่งและจัดการปฐวีได้ จึงให้เธอทำงานเป็นเลขาฯ ของลูกชายเขาต่อไป

“พอพี่เพลงพูดว่าพี่ปัดดื้อรั้นแล้วดูน่ารักจังเลย” ปานตะวันอมยิ้มเขิน ตักข้าวเข้าปากไปพลาง

“หมายถึงคุณปัดดูน่ารักเหรอ” เพลงพิณเลิกคิ้ว

สาวรุ่นน้องไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้า ดวงตาใสแป๋วของเจ้าตัวทำให้เธอนึกเอ็นดู

“ไม่น่าเชื่อว่างามอายุยี่สิบหก งามหน้าเด็กมาก ตอนพี่เจอครั้งแรกนึกว่างามอายุยี่สิบสอง ยี่สิบสามเสียอีก”

“พี่เพลงก็ชมกันเกินไปค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะ งามไม่ได้ออกไปทำงานตากแดดตากฝนอะไร มีเวลาว่างส่วนใหญ่มาดูแลตัวเอง หาความสุขให้ชีวิต ก็เลยยังดูไม่แก่มั้งคะ”

“ดีจัง พี่ก็อยากรีบเกษียณไวๆ แล้วไปใช้ชีวิตแบบงามบ้าง” 

“ฟังเหมือนจะดีนะคะพี่เพลง แต่ลึกๆ งามก็แอบรู้สึกแย่นะ เหมือนงามทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่างเลย เพื่อนๆ งามก็มีงานดีๆ ทำกันหมด เวลามีนัดรวมกลุ่มเพื่อนไปทานข้าว งามยังไม่ค่อยอยากจะไปเลยค่ะ” ปานตะวันหัวเราะขื่นๆ ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยความเศร้า หลุบมองจานข้าวของตัวเอง

“งามไม่มีสิ่งที่อยากทำเลยเหรอ แล้วที่คุณแม่งามบอกว่างามอยากสานต่อธุรกิจไร่ล่ะ”

“เรื่องนั้นไม่จริงหรอกค่ะ งามไม่ได้อยากสานต่อธุรกิจไร่สักนิด คุณแม่งามพูดแบบนั้นคงเพราะอาย แต่พี่เพลงอย่าไปบอกใครนะคะ”

“หืม” เพลงพิณเลิกคิ้วสูง “แล้วทำไมงามถึงยอมมาฝึกงานที่นี่โดยไม่ทักท้วงอะไรเลยล่ะ”

“ก็...” ปานตะวันเม้มปาก ใบหน้าสวยแดงเรื่อ ก่อนจะพูดออกมาอย่างอายๆ

“งามแอบปลื้มพี่ปัด รู้สึกชอบตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรกเลยค่ะ”

คำตอบนั้นเล่นเอาเลขาฯ สาวตกตะลึง รู้สึกชาวาบไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้า กรามที่กำลังขบเคี้ยวข้าวหยุดชะงักชั่วครู่

“ยิ่งพอได้รู้จักนิสัย ทั้งคำพูดคำจา ดูเป็นผู้ชายที่เท่แล้วก็อบอุ่นใจดีมากเลยนะคะ” ปานตะวันสบตาเธอด้วยสายตาตกหลุมรัก

“เอ่อ...” เพลงพิณอึกอัก 

ควรจะบอกรุ่นน้องสาวตรงๆ ดีมั้ย ว่าภาพลักษณ์ที่เห็นเป็นเพียงเปลือกที่สร้างขึ้นมา และภาพลักษณ์นั้นฝืนธรรมชาติของปฐวีสุดๆ 

“ก็...ก็ดีนะ” 

สุดท้ายเธอก็ไม่พูดอะไรนอกจากเออออปนหัวเราะแห้งๆ ไม่อยากดับฝันอีกฝ่าย แล้วก็ไม่ต้องการพูดเรื่องส่วนตัวของเจ้านายไปมากกว่านี้ หน้าที่เธอคือดูแลภาพลักษณ์ของเขาให้ดี ให้ปานตะวันค่อยๆ เรียนรู้เฝ้าดูนิสัยของปฐวีไปเรื่อยๆ เองจะดีกว่า แต่เพลงพิณไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะต้องอึ้งกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดถัดมาของปานตะวัน

“พี่เพลงช่วยงามหน่อยได้มั้ยคะ งามอยากรู้จักกับพี่ปัดมากกว่านี้” 

“รู้จักมากกว่านี้...หมายถึงอยากให้พี่ช่วยเป็นแม่สื่อให้เหรอ”

“โอ้ ไม่ค่ะๆ ไม่ถึงขนาดนั้น” ปานตะวันรีบโบกมือปฏิเสธ “แบบว่า ยังไงดีล่ะ งามแค่อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ปัดแล้วก็สนิทกับเขามากกว่านี้อะค่ะ แต่งามรับรองเลยว่าจะไม่ทำตัวยุ่มย่ามให้เสียงานเด็ดขาด”

“งามต้องได้อยู่ใกล้คุณปัดอยู่แล้ว มาฝึกงานเป็นผู้ช่วยพี่ขนาดนี้ ยังไงคุณปัดก็ต้องช่วยสอนงานให้งามบ้าง ส่วนเรื่องสนิทหรือไม่สนิทก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาแล้วกัน พี่จะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะ” เพลงพิณตกปากรับคำพลางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“พี่เพลงใจดีที่สุดเลยอะ ขอบคุณมากๆ นะคะ” ปานตะวันยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายประหนึ่งเพชรงามสะท้อนแสงไฟ

“งามสัญญาเลยว่าจะเรียนรู้งานให้ได้เร็วๆ แล้วจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพี่เพลงได้เต็มที่” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งขัน

“จ้ะ ตอนนี้รีบกินข้าวให้เสร็จกันดีกว่า ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว เราต้องรีบกลับไร่กันแล้วละ” 

เพลงพิณดูนาฬิกาข้อมือ จากนั้นเหมือนปานตะวันพูดอะไรต่อสักคำสองคำแต่หญิงสาวกลับไม่ได้ยิน เหมือนหูสองข้างของเธอบอดสนิท รู้สึกหนักอึ้งในทรวงอกแปลกๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ


 ความงดงามของรีสอร์ตเฮือนสุรภีมักจุดประกายวิบวับในดวงตาของผู้พบเห็นเสมอราวกับรักแรกพบ ปานตะวันก็ไม่พ้นเป็นหนึ่งในนั้น เมื่อได้ก้าวเท้าแตะพื้นหญ้านุ่มๆ ลงจากรถ สูดกลิ่นหอมเย้ายวนของดอกสารภี มองสำรวจความสวยงามของตัวรีสอร์ตสไตล์ล้านนาประยุกต์ซึ่งตั้งเรียงรายห่างกันพอสมควร มีทั้งหลังใหญ่ หลังเล็กหลังน้อย แขกมากหน้าหลายตาที่มาพักอาศัยพากันเดินเล่น ถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน 

“เดี๋ยวคุณปัดจะเดินเข้าไปทักทายพูดคุยสบายๆ กับแขกที่มาพัก ทำแบบนี้เป็นปกติทุกอาทิตย์ เป็นนโยบายของฝ่ายพีอาร์น่ะ เพื่อภาพลักษณ์ของคุณปัดในฐานะเจ้าของรีสอร์ต แล้วก็ได้รับฟังเสียงของแขกที่มาพักด้วย ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร ปกติพี่ก็จะไปยืนใกล้ๆ แล้วช่วยพูดเสริมคุณปัด แล้วก็จดข้อติชมไปด้วย คราวนี้งามลองไปดูแล้วกัน”

เพลงพิณมอบหมายงานให้รุ่นน้องสาว อีกฝ่ายรีบพยักหน้ารับอย่างแข็งขันในทันที

“ได้เลยค่ะพี่เพลง งามรับรองจะไม่ทำให้ผิดหวัง” 

ปานตะวันรีบตามปฐวีกับวิชัยที่ออกเดินนำหน้าไปก่อนไม่นาน เพลงพิณเฝ้าสังเกตการณ์อยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างดูจะไปได้สวย เธอจึงเดินเลี่ยงจากบริเวณด้านนอกรีสอร์ตเข้าไปที่ล็อบบี ซึ่งตอนนี้สงบและมีคนนั่งรอเช็กอินอยู่ประปราย

“ไงจ๊ะ คุณซูเปอร์เลขาฯ”

เสียงทักทายดังมาจากเคาน์เตอร์ เป็นเสียงของนิชาภัทร พนักงานต้อนรับประจำรีสอร์ต พ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมรุ่นที่คณะของเพลงพิณด้วย

“ไง เหนื่อยกันมั้ยวันนี้” เพลงพิณถามยิ้มๆ สายตาจับจ้องที่นิชาภัทรกับธนดล 

“เพิ่งได้พักหายใจหายคอนี่แหละเจ้” ธนดลตอบ เขาเป็นผู้ชายร่างสันทัด หน้าตาหล่อเหลา แต่ลักษณะท่าทางคำพูดคำจานั้นบ่งบอกถึงความเป็น ‘ตัวแม่’ อย่างเต็มรูปแบบ

“เออก็ยังดีนะที่ได้หยุดพักบ้าง” เพลงพิณตบบ่ารุ่นน้อง 

“แล้ววันนี้เจ้ไม่ต้องไปประกบบอสเหรอ”

“ไม่อะ พอดีคุณปัดเพิ่งรับผู้ช่วยเลขาฯ มาให้ ฉันเลยให้เขาลองไปทำแทน” 

“หา! รับผู้ช่วยเลขาฯ” นิชาภัทรอ้าปากค้าง

“อือ จริงๆ จะเรียกเขาว่าผู้ช่วยก็เรียกได้ไม่เต็มปากขนาดนั้น เขาเป็นลูกสาวเพื่อนของพ่อคุณปัด คนที่เป็นเจ้าของไร่ทานตะวันอะ เขาฝากให้มาเรียนรู้งานกับฉันกับคุณปัด”

“เฮ้ย แบบนี้ก็ได้ดิ ไม่เข้าข่ายเป็นคู่แข่งทางการค้าเหรอ ส่งมาเรียนรู้งานแบบนี้เหมือนมาล้วงความลับบริษัท” ธนดลรู้สึกประหลาดใจพอๆ กัน

“ไม่หรอก ไร่โน้นเขาไม่ได้ทำใหญ่โตอะไร เป็นไร่เล็กๆ เขาทำบริษัทค้าไม้เป็นหลัก น้องงาม เอ้อ หมายถึงลูกสาวเพื่อนพ่อของคุณปัดคนนี้เขาก็อยากมาเรียนรู้งานเพื่อไปขยายกิจการไร่เขาต่อน่ะ”

“แล้วไม่มีใครสอนงานเขาได้เหรอ บ้านก็ทำธุรกิจเหมือนกันนี่” นิชาภัทรไม่วายตั้งคำถามต่อ

“ไม่รู้ ฉันมีหน้าที่รับคำสั่งจากคุณปัด จริงๆ คุณปัดก็รับคำสั่งมาจากพ่อเขาอีกที” เพลงพิณยักไหล่ “อีกอย่างนะ มันก็ไม่มีความลับทางธุรกิจอะไรให้ล้วงหรอก เป็นแค่การสอนงานทั่วไป เป็นประสบการณ์มากกว่า” 

“อ้อ” นิชาภัทรพยักหน้าเออออ แต่ก็ไม่ได้พยักหน้าเพราะเข้าใจ เธอเพียงแค่ต้องการตัดบทสนทนาในเรื่องนี้เพื่อนำไปสู่เรื่องที่น่าสนใจกว่า

“เพลง แกจะไปงานเลี้ยงรุ่นของคณะเราเสาร์นี้มั้ย” 

“หืม...งานเลี้ยงรุ่นเหรอ”

“ใช่”

“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าจะมีงานเลี้ยงรุ่น”

“แกก็หัดอ่านไลน์กลุ่มรุ่นเสียบ้างสิ” 

“โอ๊ย แชตมันรก มีแต่อะไรไม่รู้เต็มไปหมด ฉันเลยปิดแจ้งเตือนไว้”

เพลงพิณว่า แต่ก็หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายออกมาเปิดไลน์รุ่นดู พบว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงรุ่นกันจริงๆ เป็นงานใหญ่พอสมควร จัดงานที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมแห่งหนึ่ง

“คนไปเยอะเลยเหรอ” เธอเงยหน้าขึ้นมาถามนิชาภัทร

“ก็จำนวนปกติเหมือนทุกปีนะ ประมาณ 40-50 กว่าคน”

“อืม ฉันไม่รู้ว่ะ อาจจะไม่ไป ฉันไม่เคยไปงานเลี้ยงรุ่นเลยตั้งแต่เรียนจบ ไปตอนนี้มันก็เขินๆ”

“โธ่ จะเขินอะไรเล่า เพื่อนถามหาแกกันเยอะแยะ ไปเถอะนะปีนี้” นิชาภัทรคะยั้นคะยอ “ลงทะเบียนวันนี้วันสุดท้าย ยังทัน”

“ไปเถอะเจ้ คณะเจ้มิตรภาพเหนียวแน่นมากเลยนะ คณะหนูเพิ่งจบกันมาไม่กี่ปี ยังไม่เห็นวี่แววใครจะนัดกินเลี้ยงกันเลยในรุ่น” ธนดลช่วยนิชาภัทรไซโคเพลงพิณอีกแรง

“จริง แต่งตัวสวยๆ พักจากงานไปเฮฮากับเพื่อนๆ บ้างเถอะ” 

“เออๆ ไปก็ได้วะ” เพลงพิณยอมตกลงในที่สุด 

“เยส! เพื่อนๆ ต้องดีใจกันมากแน่ๆ ถ้ารู้ว่าปีนี้แกไป รีบกดลงทะเบียนเร็ว” นิชาภัทรบุ้ยปากไปที่โทรศัพท์ของเพื่อน

“เออๆ เดี๋ยวค่อยลงแล้วกัน ฉันไปดูคุณปัดก่อนละ” 

เพลงพิณโบกมือลาคนทั้งสอง ขณะเดินหันหลังจากไปก็มิวายได้ยินเสียงกำชับจากนิชาภัทรไล่หลังมา

“ห้ามลืมลงทะเบียนนะ!”

เสร็จจากภารกิจที่รีสอร์ตก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงแล้ว ระหว่างทางนั่งรถกลับไปยังออฟฟิศ ปานตะวันเอาสิ่งที่จดไว้ในไอแพดระหว่างการฟังปฐวีพูดคุยกับแขกที่มาพักให้เพลงพิณตรวจดู ในตอนนั้นปฐวีที่นั่งอยู่ข้างวิชัยผู้เป็นคนขับก็เปรยขึ้น 

“คุณพ่อชวนคุณเพลงกับน้องงามไปทานข้าวกลางวันด้วยกันที่บ้านเสาร์นี้ ทั้งสองคนมีใครติดอะไรมั้ย”

“ไม่ติดเลยค่ะ งามอยากไปหาคุณลุงอยู่พอดี” ปานตะวันยิ้มสดใส เก็บกลั้นอาการดีใจแทบไม่อยู่

“แล้วคุณล่ะ” ชายหนุ่มถามเลขาฯ คู่ใจ สุ้มเสียงเย็นชากว่าปกติ เพราะมีข้อพิพาทกันอยู่เมื่อกลางวัน 

“เพลงไม่สะดวกค่ะ ต้องเตรียมตัวไปงานเลี้ยงรุ่น ฝากขอโทษคุณท่านด้วยนะคะ”

จริงๆ เพลงพิณไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวอะไรมากมาย เธอปฏิเสธเพียงเพราะอยากเปิดทางให้ปานตะวันได้ใช้เวลาทำความรู้จักสนิทสนมกับปฐวีมากขึ้นตามที่อีกฝ่ายขอ

“งานเลี้ยงรุ่นเสาร์นี้เหรอคะพี่เพลง” ปานตะวันเลิกคิ้ว “ใช่งานเดียวกับที่พี่ก้องไปหรือเปล่าคะ พี่ก้องบอกงามว่าจะไปงานเลี้ยงรุ่นของคณะเสาร์นี้เหมือนกัน งามจำได้ว่าพี่เพลงกับพี่ก้องเรียนคณะเดียวกัน รุ่นเดียวกัน”

คำบอกเล่าของรุ่นน้องสาวทำให้เพลงพิณชาวาบไปทั้งตัว

จริงด้วย...เธอลืมคิดถึงก้องเกียรติไปเลย ลืมคิดว่าเขาน่าจะไปงานเลี้ยงรุ่นเหมือนกัน 

“อ๋อ งั้นเหรอ บังเอิญจังเลย” เพลงพิณแสร้งทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อน ในใจครุ่นคิดหนักว่าจะไปดีหรือไม่ แต่ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

เธอจะไม่หนีอีกแล้ว... เธอพร้อมปะทะกับผู้ชายห่วยแตกคนนี้

เป็นที่น่าแปลกใจของรุ้งกาญจน์และเดหลี รวมถึงคนรับใช้คนอื่นๆ ในบ้านพนารักษ์ เมื่อพบว่ามื้อเที่ยงในวันหยุด ซึ่งมักเป็นวันที่เปรมทัต ปฐวี เพลงพิณ รับประทานอาหารร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ กลายเป็นวันที่ไร้เงาของเพลงพิณ กลับมีปานตะวันเข้ามาแทนที่ตำแหน่งบนโต๊ะอาหาร ทุกคนเริ่มสนใจ จับกลุ่มพูดคุยกันถึงข้อสันนิษฐานเมื่อสัปดาห์ก่อนที่อาจเป็นจริง

“เนี่ย ฉันว่าแล้วไงพี่รุ้ง คุณท่านจับคู่คุณงามให้คุณปัดแหงๆ อาทิตย์ที่แล้วที่ครอบครัวคุณงามมาทานข้าวที่นี่ ยังกับนัดดูตัว”

วรภา สาวใช้วัยกลางคนเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ไม่กลัวว่าผู้ถูกเอ่ยถึงจะได้ยิน เพราะพวกตนอยู่ไกลถึงห้องครัว 

“เอ้า! แบบนี้คุณเพลงจะทำไงล่ะ ฉันก็นึกว่าตำแหน่งลูกสะใภ้เป็นของคุณเพลงเสียอีก คุณท่านรักเธอออกขนาดนั้น” ชมพู สาวใช้วัยแรกรุ่นอีกคนรีบแย้งก่อนที่รุ้งกาญจน์ผู้เป็นหัวหน้าของพวกตนจะอ้าปากพูด

“ฉันก็ชอบคุณเพลงนะ แต่นี่ผ่านมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว ถ้าเขารักชอบกันจริงคงได้ตบแต่งกันไปนานละ นี่แสดงว่าคงไม่ได้ถูกใจกันขนาดนั้น แถมคุณปัดไม่เคยพาผู้หญิงมาบ้านสักคน คุณท่านเลยร้อนใจเป็นธุระช่วยจับคู่ให้มั้ง เพราะคุณท่านก็แก่แล้ว คงอยากมีหลาน” วรภาพูดเป็นฉากๆ 

“โอ๊ย หลานคุณท่านจะสามคนแล้วป้าภา” เดหลีชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากพลางกลอกตามองบน “มีน้องพุดแก้ว ลูกสาวคุณเมฆกับคุณจันทร์คนหนึ่ง แล้วตอนนี้คุณจันทร์ก็ท้องลูกแฝดใกล้จะคลอดแล้ว คุณท่านกับคุณปัดก็เพิ่งไปเยี่ยมเมื่อวาน”

“แหม รู้ดีจริงนะไอ้เดย์” วรภาจีบปากจีบคอว่า “แล้วคิดเหรอว่าคุณท่านจะไม่อยากได้หลานจากลูกชายที่อุ้มชูเลี้ยงดูกันมาแต่อ้อนแต่ออกน่ะฮึ ถึงคุณท่านจะรักคุณเมฆ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลี้ยงมากับมือเหมือนคุณปัดสักหน่อย ข้าว่ายังไงคุณท่านก็รักคุณปัดมากกว่าแหละวะ”

เดหลีจนใจจะเถียงกลับ ได้แต่หันหน้าไปมองรุ้งกาญจน์อย่างอ่อนใจ เป็นเชิงขอให้ผู้เป็นป้าพูดแทนตนเอง

“พอๆ เลิกเขียนบทละครกันได้แล้ว น่าเบื่อ อะไรจะเกิดเดี๋ยวมันก็เกิดเองแหละน่า ไม่ว่าใครจะเป็นสะใภ้บ้านนี้ก็ไม่มีผลอะไรกับเราสักหน่อย ยังต้องทำงานเหมือนเดิม” รุ้งกาญจน์ส่ายหน้า แม้ลึกๆ ในใจหวังให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพลงพิณมากกว่า แต่ความหวังก็ดูริบหรี่เหลือเกิน

“ไม่เหมือนนะน้า คุณเพลงเนี่ยเรารู้จักนิสัยใจคอดีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้จักนิสัยใจคอของคุณงามเลย” ชมพูชะเง้อมองออกไปนอกห้องครัวราวกับจะมองเห็นปานตะวันได้ในระยะแค่นั้น

“เขาก็นิสัยดี คำพูดคำจาดี กิริยามารยาทดี ก็เหมือนคุณเพลงนี่แหละ แค่ยังเด็กและสดใสร่าเริงกว่า...ไปๆ กินข้าวกันได้แล้ว กับข้าวชืดหมด โน่น ไอ้เดย์กินข้าวไปสองชามแล้ว” 

คนเป็นหัวหน้าแม่บ้านตัดบท จากนั้นคนอื่นๆ ก็นั่งลงบนโต๊ะตัวกลมขนาดใหญ่ในครัวเพื่อรับประทานอาหารกลางวันบ้าง ก่อนเดหลีจะซัดกับข้าวทุกอย่างจนหมดคนเดียว

“ทำงานเป็นยังไงบ้างล่ะหนูงาม สนุกมั้ย” 

“สนุกดีค่ะคุณลุง งามได้ลองทำอะไรหลายอย่างมาก วันแรกพี่เพลงก็สอนงานง่ายๆ ให้ งามก็เงอะๆ งะๆ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แอบเกรงใจพี่เพลงเหมือนกันค่ะที่ต้องสอนหลายรอบ” 

ปานตะวันเล่าพร้อมยิ้มสดใส ท่าทางดูมีความสุขและเต็มไปด้วยพลังบวก จนเปรมทัตพลอยยิ้มตามไปด้วย

“ลุงดีใจที่หนูงามสนุกนะ หนูดูผ่อนคลายขึ้นเยอะจากที่เราเจอกันวันแรก พูดเยอะขึ้นเป็นกอง” 

“งามพูดมากไปเหรอคะคุณลุง” หญิงสาวเบิกตาโพลง ยกมือขึ้นป้องปาก

“เปล่าๆ” เปรมทัตหัวเราะร่วน “ลุงดีใจที่หนูพูดเยอะขึ้น ถ้าหนูพูดเยอะๆ กับลุงได้ แสดงว่าเราสนิทใจกันแล้ว”

“อ๋อ งั้นเหรอคะ โล่งอกไปที” ปานตะวันยิ้มแหยๆ พยายามเอื้อมมือไปตักแกงพะแนงไก่ในชามที่อยู่ห่างออกไปอย่างทุลักทุเล

“นี่ครับ” ปฐวีซึ่งแขนยาวกว่าช่วยหยิบชามพะแนงมาวางไว้ตรงหน้าหญิงสาว

“ขอบคุณค่ะพี่ปัด” ปานตะวันค้อมศีรษะเล็กน้อย ตักแกงพะแนงราดข้าวส่งเข้าปากอย่างไม่รู้รสชาติ เพราะตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงจนลำคอตีบตันไปหมด หายใจยังไม่ทั่วท้องเลย

ให้ตายเถอะ...การกระทำเล็กน้อยที่แสดงออกถึงความใส่ใจของปฐวีช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ 

“แล้วแกล่ะปัด ได้สอนงานอะไรน้องบ้างไหม หรือโยนงานให้หนูเพลงอย่างเดียว”

“ผมสอนคนไม่ค่อยเก่ง ส่วนใหญ่เลยเป็นหน้าที่ของคุณเพลงเขา ผมสอนได้นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นแหละครับ” ปฐวีบอกเสียงเรียบเฉย

“ไม่จริงสักนิดเลยค่ะ พี่ปัดสอนงานงามได้ดีมาก ถึงสอนไม่เยอะ แต่งามก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากพี่ปัดนะคะ พี่ปัดเก่งมาก” ปานตะวันยืนยัน หันไปส่งยิ้มให้ปฐวีพลางยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้

“น้องงามก็ชมเกินไป พี่ไม่ได้ขึ้นเงินเดือนให้หรอกนะ” คนไม่รู้ตัวว่าถูกคลั่งรักหัวเราะขื่นๆ บ่ายหน้าออกจากวงสนทนา เหม่อมองไปทิศทางอื่นอย่างไร้จุดหมาย 

เปรมทัตจับสังเกตท่าทีของลูกชายได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้ ไม่พูดสิ่งที่คิดออกมา

“ที่ไร่มีตลาดขายของด้วยนะ หนูงามไปเที่ยวมาบ้างหรือยัง” 

“คุ้มเยาวมาลย์น่ะเหรอคะ ยังไม่ได้ไปเลยค่ะ งามว่าจะชวนพี่เพลงไปวันจันทร์นี้ วันนี้งามอยากแวะไปดูคอกม้ามากกว่า อยากลองขี่ม้าสักครั้งในชีวิต”

“เอาสิ ที่ไร่เรามีสอนขี่ม้าให้นักท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นหนูงามก็ไม่คิดเงินหรอก พาน้องไปหน่อยสิเจ้าปัด แกว่างใช่ไหมบ่ายนี้”

“ก็ว่างครับ” 

“งั้นดีเลย ขี่แล้วเป็นไงมาเล่าให้ลุงฟังนะหนูงาม ลุงน่ะ ไม่ได้ขี่ม้ามายี่สิบกว่าปีแล้ว”

“ได้เลยค่ะคุณลุง แต่ไม่รู้จะรอดหรือจะร่วงนะคะ” ปานตะวันรับคำ ดีใจกว่าจะได้ขี่ม้าคือมีปฐวีไปด้วยกันนี่ละ อดคิดไม่ได้ว่าหรือคุณลุงเพื่อนแม่กำลังช่วยเป็นพ่อสื่อให้เธออยู่กลายๆ นะ

                


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น