4

ไร่วงศา


4

ไร่วงศา

 

ปิดล็อกตู้เซฟในห้องทำงานของแหวนประดับเรียบร้อยแล้วกสิมาก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเล็กหันมองรอบตัวอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นหรือว่าอยู่แถวนั้นระหว่างที่เธอเอาเงินเดือนของคนงานทั้งไร่เก็บเข้าเซฟ เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อย กสิมาก็เดินออกมาจากห้องทำงานของแหวนประดับ

เด็กสาวล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนาด้วยกุญแจที่เธอทำเป็นสร้อยคอเพื่อตัดปัญหาเรื่องวางลืมไว้ เรียบร้อยแล้วเด็กสาวก็เดินฮัมเพลงลงมาชั้นล่าง ตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานตามแหวนประดับเข้าไปในไร่ แล้วชวนไปหาซื้อของกินอร่อยๆ ที่ตลาดหลังจ่ายเงินคนงานเรียบร้อยแล้ว

กสิมาแน่ใจว่าแหวนประดับต้องตอบตกลงแน่เพราะว่าพี่แหวนใจดีกับเธอจะตายไป อ้อนนิดหน่อยก็ต้องใจอ่อนพาเธอไปเลี้ยงอยู่ดี...

“มาทำไมอีก...” เพียงเดินออกมาจากหน้าบ้าน หน้าเล็กที่กำลังยิ้มกริ่มกับแผนการของตัวเองก็ง้ำงอเมื่อเห็นหน้าขาวๆ ของใครบางคน

“คุณแหวนอยู่ไหน มีคนบอกว่ากลับมาแล้ว” ถิรเจตเป็นชายร่างสูงโปร่ง ผิวของเขาขาวกว่าคนทั่วไปเพราะว่าครอบครัวฝั่งพ่อนั้นเป็นคนจีน จึงมักโดนเด็กสาวตรงหน้าค่อนแคะว่าหน้าจืดเป็นไก่ต้ม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะเป็นมิตรกับเขา ถิรเจตก็ไม่สนใจจะง้อ “ไม่ต้องคิดจะโกหกเลย”

“ไม่รู้ พี่แหวนใช้ให้เอาของขึ้นไปเก็บข้างบน ลงมาก็เจอ...คุณปลัดเลย” กสิมาเลิกคิ้วมองหน้าถิรเจตอย่างท้าทาย รู้ว่าเธอโกหกแล้วเขาจะทำอะไรเธอได้ ฮึ! “พี่แหวนไม่ได้บอกว่าไปไหน”

“จะไม่รู้ได้ไง คุณแหวนไปไหนก็บอกเราตลอดไม่ใช่หรือ” ถิรเจตว่าเสียงเข้ม อุตส่าห์รู้ว่าแหวนประดับกลับมาที่ไร่ แต่พอมาหาก็ยังต้องเจอเด็กนี่ขัดขาจนได้ “จะกันท่าพี่ไปถึงไหน”

“ไม่ต้องมาตีซี้ คุณปลัดไม่ใช่ญาติหนูเสียหน่อย” กสิมาตาขวาง เกลียดขี้หน้าปลัดหนุ่มอย่างที่ตนก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้ “แล้วบอกว่าไม่รู้ก็ไม่รู้สิ พี่แหวนเป็นเจ้านายหนูนะ จะให้หนูถามเซ้าซี้ได้ไง”

ถิรเจตอยากจะเถียงเด็กสาว แต่เมื่อเห็นสีหน้าบอกว่าตัวเองเหนือกว่าของกสิมา ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงขบกรามเข้าหากันอย่างสะกดกลั้นอารมณ์เพราะว่าเธอถือไพ่เหนือกว่าเขาจริง เขาเป็นเพียงแค่คนที่มาจีบแหวนประดับ แต่เด็กสาวนั้นเป็นคนที่แหวนประดับรักและเอ็นดูเหมือนน้องสาว เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครเหนือกว่าใคร...

“ก็ช่วยโทร. ตามให้หน่อยไม่ได้หรือไง พี่มีเรื่องต้องพูดกับคุณแหวน”

“ไม่ได้ค่ะ เพราะมือถือพี่แหวนอยู่ในห้อง” นี่กสิมาก็โกหกอีก โกหกตาใสจนถิรเจตเชื่อสนิทใจ “ไปนั่งก่อนสิคะ ถ้าคุณปลัดอยากรอ หนูจะหาน้ำมาให้”

“พี่จะรอ”

คำตอบนั้นกสิมาถือเป็นการประกาศสงครามเย็นระหว่างเธอกับเขาอย่างเป็นทางการ จะนั่งรอพี่แหวนของเธออย่างนั้นหรือ...ถ้าอยากรอก็รอได้ แต่อย่าหวังว่าจะได้รออย่างสงบสุขเลย กสิมาไม่ยอมแน่

“งั้นก็เชิญค่ะ เดี๋ยวหนูมา” คนที่ต้องทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่ไม่พึงประสงค์นั้นกระฟัดกระเฟียดเข้าไปทางห้องครัวใหญ่ ทิ้งปลัดหนุ่มให้นั่งกร่อยอยู่ในห้องรับแขกเพียงลำพัง

ถิรเจตมีเวลาได้คิดอะไรเงียบๆ คนเดียวสักครู่ ตาคมเบนออกไปมองความร่มรื่นของไร่วงศาที่แผ่ขยายกินเนื้อที่หลายร้อยไร่ กว่าเขาจะรู้จักที่นี่ก็หลังจากเห็นที่ดินแปลงงามติดถนน ซึ่งเหมาะแก่การปลูกบ้านหลังเล็กๆ จนต้องควานหาตัวเจ้าของที่ดิน

เขาจึงมีโอกาสได้รู้จักเจ้าของไร่ซึ่งเป็นเพียงสาวสวยที่อายุน้อยและทำงานอยู่ในกรุงเทพ ครั้งแรกที่มาเจรจาก็ไม่คิดว่าจะยากเย็นถึงเพียงนี้ เพราะคนสาวๆ คงไม่คิดจะเก็บไร่นาแบบนี้ให้เป็นภาระตัวเอง แต่เมื่อได้เจอกับแหวนประดับตัวเป็นๆ ความตั้งใจที่จะซื้อที่ดินของถิรเจตก็มีเจตนาอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย

เขารู้จักผู้หญิงมามาก อายุขนาดนี้แล้ว คนสวยกว่านี้เขาก็เคยเห็น น่ารักกว่าแหวนประดับก็มีไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้จิตใจของถิรเจตนั้นเอาแต่หวนถึงก็คือสีหน้าและกิริยาของหญิงสาว แหวนประดับอายุยังน้อย แต่เธอก็เข้มเข็งและเป็นหลักให้คนงานในไร่ได้ แถมยังเด็ดขาดจนคนแถวนี้ระย่อ

ขนาดคนที่ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างเขา แหวนประดับก็เคยทำให้ตัวสั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ครั้งที่เขามาติดต่อขอซื้อที่ดินนั่นแหละ ถึงจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เขาก็รู้ว่าแหวนประดับไม่พอใจที่เขาตื๊อขอแบ่งซื้อที่ดินจากเธอ หลังจากที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเธออยู่สิบนาที หญิงสาวก็เพียงยิ้มให้เขาอย่างมีมารยาท แล้วปฏิเสธด้วยคำพูดง่ายๆ ว่า

‘ที่ดินของแม่ค่ะ ฉันไม่คิดจะแบ่งขาย...เพราะถ้ายอมแบ่งขายไปครั้งหนึ่งแล้ว คงมีคนมาขอให้แบ่งขายครั้งต่อๆ ไปอีก’

เธอไล่ให้เขากลับไปอย่างละมุนละม่อม แต่ก็เด็ดขาดจนถิรเจตต้องยอมแพ้เรื่องที่ดินไป แต่เรื่องอื่น...ไม่มีทางที่หญิงสาวจะทำให้เขาถอดใจง่ายๆ ได้แน่ ถิรเจตแน่ใจและมั่นใจว่าเขาชอบแหวนประดับหลังจากแอบมองหญิงสาว แอบฟังคนเขาพูดถึง ‘เจ้าของไร่วงศา’ อย่างชื่นชมในความมีเมตตาของเธอ

จากความชื่นชมเพียงไกลๆ ในตอนแรกก็กลายเป็นความอยากใกล้ชิดสนิทสนม ไม่ใช่เพียงเขาหรอกที่สนใจในตัวเจ้าของไร่วงศา แต่ตำรวจยศสารวัตรคนหนึ่งก็เพียรมาซื้อผลไม้ที่ไร่อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะตอนสุดสัปดาห์ที่แหวนประดับกลับมาจากกรุงเทพฯ ก็จะขายผลไม้ได้เยอะเป็นพิเศษ เพราะแต่ละคนซื้อไปมาก เงาะคนละห้าสิบโล มังคุดคนละสามสิบโลบ้างก็มี ไม่อยากจะนึกว่าหากแหวนประดับมาอยู่ที่นี่ถาวรแล้วเธอจะขายผลไม้ได้วันละกี่ร้อยโล

 

กว่าแหวนประดับจะกลับมาจากท้ายไร่ก็บ่ายคล้อย หญิงสาวในชุดทะมัดทะแมง สวมเสื้อยืดกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบขับรถกระบะคันใหญ่ที่เหมาะกับการสมบุกสมบันในไร่มาจอดเคียงรถเก๋งที่เธอขับมาจากกรุงเทพฯ แต่นอกจากรถเก๋งลูกรักแล้ว แหวนประดับก็ยังเห็นรถกระบะใหม่เอี่ยมอีกคัน

รถปลัดถิรเจตแน่นอน...แหวนประดับจำได้ ส่วนรถตำรวจคันหลังสุดนั้นเธอไม่แน่ใจว่าเป็นรถของใครกันแน่

“กล้วยจ๊ะ...พี่ขอแรงหน่อยสิ” แหวนประดับเรียกหากสิมา หวังจะถือโอกาสกระซิบถามเด็กสาวว่าใครบ้างที่รอเธออยู่ในห้องรับแขก ทว่าผู้ที่ถลาออกมารับเธอก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพอแล้ว “อ้าว! คุณปลัด...สารวัตร สวัสดีค่ะ”

“คุณแหวน เข้าไปในไร่มาหรือครับ” ถิรเจตเป็นคนแรกที่เข้าถึงตัวแหวนประดับ

“ค่ะ” แหวนประดับพยักหน้ารับ ตาก็ยังมองหากสิมาไม่เลิกรา เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาคนตัวเล็ก เธอจึงหันไปถามถิรเจตตามมารยาท “คุณปลัดล่ะคะ มานานแล้วหรือ”

“ครับ สักครู่เห็นจะได้” ถิรเจตหน้าเซ่อไปเพราะรอยยิ้มหวาน รับเครือกล้วยจากแหวนประดับมาแล้วตั้งท่าจะแบกขึ้นบ่า เว้นแต่เสียงเล็กของหญิงสาวห้ามเขาเอาไว้เสียก่อน

“ระวังยางกล้วยเปื้อนนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะระวัง” ถิรเจตที่ทำคะแนนนำโด่งคู่แข่งไปไกลแล้วยิ้มตอบแหวนประดับ ทำให้ชายหนุ่มอีกคนที่ช้ากว่าเขาได้แต่มองตาเขียว

“สารวัตรเองก็มาหรือคะ...ไม่ทราบว่าคนของแหวนไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกหรือเปล่า”

ความวุ่นวายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือคนงานหนุ่มๆ ในไร่มักจะไปมีเรื่องต่อยตีให้แหวนประดับต้องตามแก้ปัญหาอยู่บ่อยๆ จนได้รู้จักกับสารวัตรชยนนี่แหละ

“ไม่มีหรอกครับ ได้ข่าวว่าคุณแหวนกลับมาที่ไร่ ผมเลยมาเยี่ยม”

ชยนเป็นชายที่เสน่ห์แพรวพราว แม้จะผ่านการแต่งงานมาครั้งหนึ่ง แต่ลูกไม้ของเขาก็ยังเยอะเป็นพิเศษ ชนิดที่ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่แถวนี้ติดเขาเป็นพรวน จะมีแต่แหวนประดับนี่แหละที่ไม่มีวี่แววว่าจะใจอ่อนให้เขา ทั้งๆ ที่เขาหรือก็แสดงออกจริงจังว่าชอบและสนใจเธอมากกว่าคนอื่น แต่หญิงสาวก็ยังคงวางเฉย

เธอไม่ไสส่งเขา แต่ก็ไม่ยอมรับไมตรีจากเขาง่ายๆ เช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้ปลัดหน้าจืดคนนั้นหรือเปล่า

ด้านคนฟังที่ไม่รู้จะยอมรับคำจีบตรงๆ ของตำรวจหนุ่มอย่างไร เธอจึงทำเพียงยิ้มแกนๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องไปเสีย

“แล้วมานานหรือยังคะ กล้วยหาน้ำหาท่าให้คุณสารวัตรดื่มหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วครับ” ชยนยิ้มกว้าง พยายามมองหาเครือกล้วยอีกเครือหวังทำคะแนนตีตื้นถิรเจต “เข้าไร่ไปนาน...มีกล้วยกลับมาเครือเดียวเองหรือครับคุณแหวน”

“ก็ไปดูสวนตามเรื่องตามราวแหละค่ะ ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้ว”

“นั่นสิครับ ไม่กลับมาเสียหลายอาทิตย์” น้ำเสียงของชยนนั้นติดจะตัดพ้อหญิงสาวอยู่นิดๆ

แหวนประดับเมินไปเสียด้วยไม่อยากจะใส่ใจ เขาจะตัดพ้อหรือน้อยใจเธออย่างไร หญิงสาวไม่เคยจะสนใจอยู่แล้ว พอดีกับที่กสิมาปรี่เข้ามายืนข้างกาย แหวนประดับจึงพอหายใจหายคอคล่องขึ้น

“กล้วย...เดี๋ยวไปเรียกคนงานมาให้พี่นะ” แหวนประดับหันไปสั่งเด็กสาวที่ทำตาแป๋วรอคำสั่งเธออยู่ “เสร็จแล้วให้รีบกลับมาหาพี่”

“ค่ะพี่แหวน” กสิมาพยักหน้าหงึกๆ รู้ว่าใจความสำคัญนั้นอยู่ในตอนท้ายประโยคคือให้รีบกลับมา เด็กสาวจึงวิ่งปรู๊ดหายออกไป

หนึ่งหญิงสองชายตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันทั้งสามคน กระทั่งแหวนประดับทำลายความอึดอัดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ข้างใน

“เชิญคุณปลัดกับคุณสารวัตรนั่งก่อนค่ะ แหวนขอไปล้างหน้าล้างตาสักครู่หนึ่ง”

ทั้งสองไม่อิดออดกับการขอตัวของแหวนประดับ แต่สองตาคมที่จ้องกันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าใครจะเป็นฝ่ายยอมใครก่อน แม้ว่าเจ้าของบ้านจะเดินหายไปทางหลังบ้าน แต่ชายหนุ่มทั้งสองก็ยังจ้องหน้ากันเขม็ง ปราศจากคำพูด แต่ก็บอกชัดถึงความเป็นอริ กระทั่ง...

“อะไรกัน! บ้านลูกสาวฉัน...ทำไมมีแต่ผู้ชายมานั่งหน้าสลอนอย่างนี้”

“คะ...คุณ...”

เมื่อร่างบอบบางของเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง ในห้องก็ไม่ได้มีเพียงถิรเจตกับชยนเหมือนก่อนที่เธอจะแยกตัวออกไป แต่ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา ชายที่แหวนประดับรู้จักดี แต่กลับเจอหน้าเขาแทบนับครั้งได้ ครั้งล่าสุดที่เจอกันก็วันที่เธอรับปริญญานั่นแหละ

“สวัสดีค่ะ” แหวนประดับยกมือไหว้ทักทายผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ห่างเหิน และเธอก็ได้รับสายตาดุๆ จากอีกฝ่ายเป็นของรางวัล

“ฉันมีชื่อแหวนประดับ ถ้าเรียกว่าพ่อยากนักก็เรียกชื่อ!”

“ค่ะ คุณเรวัต”

คราวนี้โดนลูกสาวเรียกเสียเต็มยศ ทำให้เรวัตขบกรามเข้าหากันแน่น ด้านสองหนุ่มเองก็ชักร้อนๆ หนาวๆ เพราะรู้จักเรวัตดีว่าเขานั้นร่ำรวยและมีอิทธิพลในจังหวัดเพียงใด ซึ่งทำให้ถิรเจตและชยนถึงกับต้องลอบมองหน้ากันอย่างปรึกษาหารือเลยทีเดียว

ลูกสาวเขาหรือก็ชอบมากอยู่ แต่จะให้อยู่ตอนที่พ่อลูกเขาทะเลาะกัน ใครมันจะไปกล้าเล่า

“อย่ามาตีฝีปากกับฉันแหวนประดับ ไล่ไอ้พวกนี้ไป...เกะกะลูกตา” เรวัตออกคำสั่ง เหมือนที่เคยสั่งทุกคนในบ้าน โดยลืมไปว่าบ้านหลังนี้น่ะผู้เป็นเจ้าของชื่อแหวนประดับ “ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับแก”

“หนูต้องจ่ายเงินคนงานค่ะ” แหวนประดับปฏิเสธคำสั่งของบิดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนโกหกด้วยว่า “หนูเชิญคุณปลัดกับสารวัตรทานข้าวเรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณรังเกียจ...หนูคิดว่าคุณต้องมาวันหลังแล้ว”

“มาวันหลัง? ให้แกหนีกลับกรุงเทพฯ อีกน่ะหรือ ฮึ...คิดว่าฉันรู้ไม่ทันลูกไม้แกหรือไง” เรวัตว่าเสียงเย้ยหยัน ตวัดหางตามองหน้าชายหนุ่มที่กล้าเหยียบเข้ามาในถ้ำเสือแล้วหวังจะหอบลูกเสือกลับไปตาขวาง จากนั้นเหยื่อสายตาดุๆ ของเรวัตรายต่อไปก็คือบุตรสาวของเขาเอง “ถ้าจะใจบุญเลี้ยงข้าวผู้ชาย ฉันก็จะอยู่กินด้วย”

“หนูไม่ได้เชิญคุณเสียหน่อย”

ถือว่าเป็นการตอบโต้ที่ผิดวิสัยคนใจเย็นของแหวนประดับอย่างมาก แต่เรวัตกลับไม่สะทกสะท้าน เพียงเหยียดยิ้มเมื่อจ้องตอบสายตาลูกสาวอย่างไม่มีใครยอมใคร

“นี่มันบ้านเมียฉัน ฉันจะอยู่รอทานข้าว แกมีปัญหาอะไร”

“บ้านเมียน้อยต่างหาก”

“แหวนประดับ!”

เสียงตวาดลั่นทำให้กสิมาที่กำลังจะก้าวเข้าไปในบ้านนั้นชะงักเท้า หลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งกลับมาจากการป่าวประกาศบอกคนงานเรื่อง ‘คุณแหวนให้มาตาม’ หน้าเธอซีด คนที่กล้าขึ้นเสียงใส่แหวนประดับแบบนี้ เธอก็เห็นมีอยู่คนเดียว ปากอิ่มเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ลังเลที่จะก้าวเข้าไปเคียงข้างแหวนประดับในสถานการณ์อึดอัดเช่นนี้ เพราะว่ารู้หากเธอเสนอหน้าเข้าไปแล้ว คงไม่พ้นเป็นต้นเหตุทำให้แหวนประดับโดนเรวัตตำหนิอีก

“กล้วย...ไปยืนลับๆ ล่อๆ อะไรอยู่ข้างนอก” เสียงทักของแหวนประดับทำให้กสิมาไม่มีทางเลือกนอกเสียจากเดินตัวลีบเข้ามาในห้องรับแขก “เข้ามา...ขึ้นไปเอาของข้างบนให้พี่ไป”

“ค่ะพี่แหวน” กสิมาก้มหน้าต่ำ ท่าทางกร่างกับปลัดถิรเจตก่อนหน้าไม่เหลือให้เห็นเมื่อมีเรวัตอยู่ด้วย ตาคมของท่านคมกริบกว่าของแหวนประดับ ท่านจ้องมองเธออย่างดูแคลน แล้วตามมาด้วยเสียงทุ้มๆ ที่เอ่ยค่อนแคะตามหลัง ด้วยคำพูดเดิมๆ ที่กสิมาได้ยินมาตั้งแต่จำความได้

“นี่แกยังเลี้ยงกาฝากพวกนี้เอาไว้อยู่อีกเหรอ”

“ถ้าคุณจะมายืนด่าคนของหนู เชิญคุณกลับไปเถอะค่ะ” แหวนประดับเหลือบมองบิดาของตน

ท่าทางอ่อนโยนกับทุกคนนั้นเธอไม่เคยมีให้ผู้เป็นบิดา ไม่ว่าจะตอนเด็กหรือตอนโต สายตาที่เรวัตได้รับก็มีเพียงสายตาเย็นชา เหมือนเขาไม่ใช่พ่อบังเกิดเกล้าของมัน!

“หนูไม่ชอบ”

“ปกป้องจริงนะ ลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นพ่อของแก”

“จะเท้าความเรื่องพ่อๆ ลูกๆ หรือคะ...” คิ้วงามเลิกสูง ตาคมกริบของเธอก็เปล่งประกายกล้าด้วยความไม่พอใจ “อยากจะตอกย้ำหนูไปถึงเมื่อไหร่ว่าหนูเป็นลูกเมียน้อย”

“พอ!” เสียงเข้มนั้นทำให้อีกสองหนุ่มที่รู้เรื่องของครอบครัวเรวัตมากพอๆ กับที่คนในจังหวัดรู้นั้นตัวลีบลงไปอีกขั้น “จะไปไหนก็ไป! ฉันไม่ได้จะมาทะเลาะกับแก”

“พะ...พี่แหวนคะ สมุดบัญชีค่ะ” กสิมาที่ย่องลงมาจากข้างบนเรียกแหวนประดับด้วยเสียงสั่นๆ แม้ว่าจะพยายามทำจิตใจให้เข้มแข็งมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรวัต กสิมาก็หัวหดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“ขอบใจจ้ะกล้วย เดี๋ยวยังไงช่วยไปเตรียมของในครัวให้พี่หน่อย พี่เอาออกมาวางไว้นอกตู้เย็นแล้วละ” แหวนประดับหันไปบอกกสิมาเสียงหวาน ผิดกับตอนที่ยืนเถียงกับบิดาของตัวเองฉอดๆ ทำให้เรวัตคอแข็ง อดที่จะโกรธบุตรสาวไม่ได้

“ค่ะพี่แหวน...แล้วนี่กระเป๋าค่ะ”

“ขอบคุณจ้ะ” แหวนประดับมองตามกสิมาไปจนแน่ใจว่าเด็กสาวเดินออกไปไกลพอที่จะไม่ได้ยินคำพูดร้ายๆ จากผู้เป็นบิดาของตนอีก เมื่อหันกลับมาเผชิญหน้ากับเรวัตพร้อมกับสะพายเป้ขึ้นหลัง ก็เห็นสายตาที่เปี่ยมความกรุ่นโกรธของท่านรออยู่แล้ว “หนูจะไปจ่ายเงินเดือนให้คนงาน...ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะรอก็เชิญค่ะ”

“ฉันบอกว่ารอก็รอสิ ขยันไล่จัง...ฉันพ่อแกนะ”

“ค่ะ หนูทราบค่ะว่าคุณเป็นใคร” เมื่อขี้เกียจที่จะเถียง แหวนประดับก็บ่นงึมงำกับตัวเอง อดที่จะกลอกตาไปมาไม่ได้ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ลืมที่จะมองสองหนุ่มโชคร้ายที่ต้องบังเอิญมาเจอพ่อของเธอในวันนี้ “แหวนคงจ่ายเงินคนงานไม่นาน ถ้าไม่รังเกียจรอ...เชิญคุณปลัดกับคุณสารวัตรทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ”

“คะ...ครับ” สองหนุ่มพยักหน้ารับคำเชิญด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพอกัน เสียวสันหลังวาบเมื่อร่างบางของเจ้าของบ้านเดินห่างออกไป ทิ้งเขาไว้กับเจ้าของนัยน์ตาคม

เวลาผ่านไปเกือบนาที เรวัตจึงเป็นคนทำลายความเงียบด้วยเสียงดุๆ ที่ว่า

“เสนอหน้ากันมาทำไม จะมาจีบลูกสาวฉันเหรอ”

 

“ไม่เป็นไรแน่หรือครับคุณแหวน”

“สู้ๆ นะคะคุณแหวน” “ไม่เป็นไรนะครับ พวกผมจะอยู่แถวนี้ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องกลัวนะครับ”

“อย่าเพิ่งยอมแพ้เขานะครับคุณแหวน”

“อย่าไปกลัวค่ะคุณแหวน พวกเรามีตั้งหลายคน” สารพัดคำพูดที่คนงานของแหวนประดับนั้นกระซิบปลอบใจเจ้านายสาวระหว่างจ่ายเงินเดือน ปลอบบ้าง ยุบ้าง ก็แล้วแต่คนไป มีแต่ลุงชิดซึ่งยืนขนาบข้างแหวนประดับเท่านั้นที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุด คอยแต่ชำเลืองมองไปที่ตัวบ้านอย่างไม่สบายใจระหว่างที่เจ้านายของเขาจ่ายเงินให้คนงานทีละราย กลัวว่าจะได้ยินเสียงโป้งป้างออกมาจนมือไม้สั่นไปหมด

แหวนประดับไม่แสดงออกถึงความกังวลที่เรวัตแวะมาที่บ้าน ใบหน้าของเธอยังมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้แก่คนงานทุกคนเหมือนเดิม ทำให้คนงานในไร่ที่ได้รับเงินเดือนก่อนกำหนดนั้นยิ้มหน้าบาน มีความสุขอยู่หรอก...หากไม่มีคนมาก่อกวน ‘คุณแหวน’ ของพวกเขาก็คงจะมีความสุขยิ่งกว่านี้

“ละมุด...ลูกชายกี่เดือนแล้วนะ” แหวนประดับเงยหน้าถามคนงานสาวหน้าหวานคนหนึ่ง ที่เพิ่งคลอดลูกชายไปได้ไม่นาน “แข็งแรงดีไหม”

“สามเดือนค่ะคุณแหวน” ละมุดก้มหน้า เพราะว่าท้องไม่มีพ่อจึงต้องพึ่งพาเจ้านายสาวตั้งแต่เรื่องฝากครรภ์ พอคลอดก็ต้องพึ่งแหวนประดับในการจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ ของเด็กแรกเกิด ความรู้สึกที่เธอมีต่อเจ้านายสาวจึงทั้งเคารพและเทิดทูนบูชา “แข็งแรงดีค่ะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าต้องไปฉีดวัคซีนอีกแล้ว”

“เอารถในไร่ไปนะ อย่าไปรถโดยสาร...สงสารลูก” แหวนประดับย้ำกับละมุดด้วยคำพูดเดิมที่เธอเอ่ยทุกสิ้นเดือน จึงเป็นอันรู้กันว่า หากถึงเวลาที่ละมุดนั้นต้องพาลูกไปโรงพยาบาล ต้องมีรถในไร่คันหนึ่งพาไปส่ง ห้ามปล่อยให้ไปกันเองโดยเด็ดขาด

“ค่ะ คุณแหวน” ละมุดเองก็พยักหน้ารับคำสั่งเช่นทุกครั้ง รับเงินเดือนของตนเองไปแล้วรีบถอยห่าง เพราะเกรงว่าจะทำให้คนงานคนอื่นๆ ไม่พอใจที่ต้องรอนาน

“หมาย...อย่าซื้อหวยหมดล่ะ” แหวนประดับมองมือวางอันดับหนึ่งในการหาเลขเด็ดมาบอกคนงานในไร่ตาเขม็ง “เงินเดือน...เขาให้ใช้ทั้งเดือนนะ”

“โธ่...คุณแหวนละก็ รู้ทันผมอยู่เรื่อย” หมายยิ้มอายๆ แต่ก็ไม่รับปากว่าตนจะใช้เงินให้ครบเดือน “งวดนี้เลขเด็ดจากคำชะโนดเชียวนะครับ เขาว่าถูกมาหลายงวดติดแล้ว”

“เอาเถอะจ้ะ ขอให้ถูกแล้วกันนะ”

“สาธุครับคุณแหวน” หมายยกมือไห้ท่วมหัว ก่อนจะรับเงินเดือนไปกอดไว้

คนที่ทั้งเตือนและอวยพรให้เขาได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ อย่างระอาใจ อมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าการกลับมาที่ไร่ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องน่าปวดหัวเสมอไป แหวนประดับก้มมองรายชื่อคนงานในสมุดแล้วเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว ตรวจดูให้แน่ใจว่าตนได้จ่ายเงินคนงานครบทุกคนแล้วจึงลงลายมือชื่อและวันที่กำกับ เป็นอันว่าจบการจ่ายเงินเดือนเพียงเท่านี้

จังหวะที่แหวนประดับกำลังเก็บสมุดบัญชีลงกระเป๋าเป้ที่ตอนนี้เบาโหวงแล้วนั้นเอง จู่ๆ มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนของเธอก็ส่งเสียงกรีดร้อง หญิงสาวจึงล้วงขึ้นมากดรับสายโดยไม่เสียเวลาดูรายชื่อบนหน้าจอ เพียงยกมือถือแนบหู เสียงเคร่งเครียดประจำตัวของเกศราก็ดังออกมาให้ได้ยินทันที

“แหวน...ว่างไหม คุยได้หรือเปล่า”

“ว่างค่ะพี่เกด แหวนเพิ่งจ่ายเงินเดือนคนงานเรียบร้อยค่ะ” แหวนประดับส่งกระเป๋าเป้ต่อให้ชิด

เขาหมุนตัวมุ่งหน้ากลับไปทางหลังบ้าน เลี่ยงที่จะต้องเผชิญหน้ากับเรวัต เขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรกับสมุดบัญชีของแหวนประดับ

ส่วนเธอนั้นแยกตัวมาคุยโทรศัพท์อีกทาง “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมโทร. มาวันนี้”

ปกติแล้วเกศรานั้นจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีกฎระเบียบ เธอแทบจะไม่เคยโทร. หาลูกน้องในวันหยุดหรือนอกเวลางานเลย มีเพียงเวลาที่จำเป็นเท่านั้นที่หญิงสาวจะรบกวน อย่างเช่นครั้งนี้ ฟังจากเสียงแล้วแหวนประดับก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอย่างแน่นอน

“คุณเอกภพเขา...” “ไม่ใช่จ้ะ ไม่ใช่คุณเอก” เกศรารีบชิงบอกก่อนที่แหวนประดับจะได้คิดอะไรไปไกลกว่านี้ แล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ “คือว่าพากรน่ะสิ เขาทำเรื่อง...จนลูกค้าโดนต่อย” “ตายจริง!” แหวนประดับยกมือทาบอก ไม่อยากจะเชื่อว่าพากรจะทำเรื่องราวถึงขนาดนี้ “แล้วนี่เป็นเรื่องเป็นราวหรือเปล่าคะ ลูกค้าเขาฟ้องเราหรือเปล่า”

“ยังจ้ะ” เกศราเม้มปาก เหลือบมองรายชื่อของลูกค้าแล้วจึงบอกแหวนประดับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี “ก็ไม่ใช่ความผิดของพากรทีเดียวหรอก คือว่านะแหวน...แหวนจะโกรธพี่ไหม ถ้าพี่ขอให้แหวนมาทำงานนี้แทนพากร...”

“เอ่อ...แต่ว่า...”

“พี่รู้ว่าแหวนเพิ่งทำงานคุณเอกเสร็จไป แต่แหวน...งานนี้มันจำเป็นจริงๆ นะ” เกศราพยายามเกลี้ยกล่อมลูกน้องสาว “แล้วเรื่องวันหยุด...พี่จะให้แหวนลาพักร้อนสองอาทิตย์เลยก็ได้ นะแหวนนะ...แหวนช่วยพี่หน่อยนะ”

“พี่เกด...” แหวนประดับเรียกชื่อเจ้านายอย่างลำบากใจกลับไปเช่นกัน เท่านี้เธอยังเหนื่อยไม่หายเลย จะให้ไปทำงานอีกแล้วหรือ “แต่แหวน...” “แหวน พี่ขอร้องนะแหวนจ๋า จะให้พี่ทำอะไรก็ได้ แต่แหวนช่วยมาทำงานนี้แทนพากรทีเถอะนะ พี่ไหว้ละ”

“เฮ้อ...” คนที่โดนอ้อนวอนถอนหายใจเสียงดัง เล่นเจ้านายถึงขั้นออกปากว่าจะมาไหว้เธออย่างนี้ แล้วแหวนประดับจะทำอะไรได้ล่ะ “ก็ได้ค่ะพี่เกด แต่แหวนมีข้อแม้นะคะ”

“อะไรก็ได้จ้ะแหวนคนดีของพี่ พี่ให้แหวนได้ทุกอย่าง” เกศราละล่ำละลักบอก ขอเพียงแหวนประดับมาทำงานนี้ให้เธอ จะต้องแลกด้วยอะไรเกศรายอมทำให้ทั้งนั้น

“แหวนจะทำแค่วันจันทร์ถึงศุกร์นะคะ ส่วนสุดสัปดาห์แหวนจะกลับบ้าน”

“เอ๊ะ!” เกศราแทบจะปล่อยมือถือให้ร่วง ก็วันสุดสัปดาห์เป็นวันที่คลับของลูกค้าคึกคักที่สุด ข้อแม้แบบนี้มัน...

“ถ้าตกลงกันตามนี้ไม่ได้ แหวนว่าพี่เกดโทร. หาพิศาเถอะค่ะ” แหวนประดับเอ่ย ยึดจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน

“ไม่เอา!” เกศราที่มีคดีกับพิศาอยู่นั้นปฏิเสธเสียงกร้าว “พี่จะไปคุยกับลูกค้า ไม่ต้องโทร. หาพิศานะ”

“ตามใจพี่เกดเถอะค่ะ” แหวนประดับอมยิ้ม “แหวนยังไงก็ได้ ขอแค่ได้กลับบ้านก็พอ”

“รอพี่แล้วกัน...พี่จะโทร. กลับไปบอก”

“ค่ะ พี่เกด”

วางสายแล้วแหวนประดับก็หมุนตัวกลับ ตั้งใจจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่จู่ๆ ก็รู้สึกท้อแท้ใจ เมื่อคิดได้ว่าใครบ้างรอเธออยู่ด้านใน เธอกับเรวัตนั้นเจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้ เมื่อครั้งที่มารดาของเธอมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในไร่ เพราะใครๆ ต่างรู้ถึงความดุของ ‘คุณแหวน’ เจ้าของไร่วงศาดี

แต่ตอนนี้เจ้าของไร่กลายเป็น ‘คุณแหวน’ คนลูก ใครๆ จึงขยันเข้าออกที่ไร่เป็นว่าเล่น ขนาดเรวัตเองก็ยังเพียรแวะมาหา โดยที่แหวนประดับก็ไม่เคยรู้จุดประสงค์อันแท้จริงของท่าน ว่ากลับมาที่ไร่ของแม่เธอเพื่ออะไร จะมาขอแบ่งที่ไร่คืนอย่างนั้นหรือ...ฝันไปเถอะว่าจะได้

หญิงสาวครุ่นคิดสลับกับบอกตัวเองในแต่ละก้าวที่เดินเข้าใกล้ตัวบ้าน เธออาจเป็นคนไร้พิษสงในสายตาใครต่อใคร แต่แหวนประดับมั่นใจว่าหากถึงเวลาที่จำเป็น ตนก็ลับเขี้ยวเล็บปกป้องตัวเองและไร่วงศาได้ไม่แพ้ใคร ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นเรวัต พ่อบังเกิดเกล้าของเธอ แหวนประดับก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงแม้แต่นิด

เพียงก้าวเข้ามาในห้องรับแขก ก็พบว่าสองหนุ่มที่เชิญตัวเองมาในวันนี้โดนเรวัตเล่นงานจนตัวลีบเหลือไม่กี่นิ้ว ทั้งปลัดและสารวัตรไม่เหลือมาดคนใหญ่คนโตของอำเภอ มีเพียงเรวัตเท่านั้นที่ใหญ่คับห้อง กวาดตามองชายหนุ่มที่ริจะมาฉกลูกเสือแล้วตาคมจึงมาหยุดที่เธอ

“กระจอก!” คำพูดสั้นๆ นั้นไม่ได้ระบุว่าใครหรือเรื่องอะไรที่ท่านพูดถึง แต่แหวนประดับก็อมยิ้มนิดๆ ไม่แสดงออกถึงความรู้สึกเช่นเคย ผู้เป็นบิดาจึงได้แต่ขบกรามเข้าหากันกรอดๆ ด้วยความคับแค้นใจ

“ค่ะ พ่อเลี้ยง” หญิงสาวสบตาบิดาของตนนิ่ง ก่อนจะหันมายังสองหนุ่มที่ตัวสั่นอยู่ข้างกัน “แหวนขอตัวไปเตรียมอาหารเย็นสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะให้กล้วยเอาน้ำหวานมาให้”

“ครับคุณแหวน” คนที่รู้ตัวว่าถูกพ่อเลี้ยงเรวัตด่าว่า ‘กระจอก’ พยักหน้าแรงๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน

“ฉันไม่ดื่มน้ำหวาน” พ่อเลี้ยงเรวัตขวางหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อโดนบุตรสาวเมิน

“อย่างนั้นหนูจะเอาน้ำเปล่ามาให้พ่อเลี้ยงแล้วกันนะคะ”

อย่างที่รู้ๆ กันว่าไม่มีอะไรมาสั่นคลอนกำแพงอารมณ์ของแหวนประดับได้ เรวัตที่พักหลังนี้ขยันมาท้าทายความแข็งแกร่งของบุตรสาวก็เริ่มเห็นด้วยกับความจริงข้อนี้ แหวนประดับนั้นเหมือนแม่ของเธอ

คุณแหวน วงศา สอนลูกสาวมาดี

 

ศิลารับสายของเกศราที่โทร. มาเจรจาเรื่องข้อต่อรองของแหวนประดับ หน้าคมมีรอยยิ้มกริ่มด้วยความสมใจ ไม่คิดว่าแผนการของเขาจะเข้าล็อกเป๊ะๆ ง่ายดายถึงเพียงนี้ นึกว่าจะต้องกลั่นแกล้งคนจาก Even for you นานกว่านี้เสียอีก แหวนประดับถึงจะยอมมาทำงานให้เขา

แต่นี่...แค่ขอกลับบ้านในวันเสาร์-อาทิตย์ มันจะยากอะไร ทว่าชายหนุ่มก็ยังตีเสียงขรึม ทำเป็นเล่นตัวเพื่อไม่ให้เกศราคิดสงสัยตน

“นั่นมันวันทำงานของผมเลยนะครับ พวกลูกหนี้ก็มาวันนี้กันทั้งนั้น”

“เอ่อ...อย่างนั้นเกดจะหาคนใหม่มาแทน...”

“โอ๊ย! ไม่ต้องครับ!” คนร่างสูงถึงกับทะลึ่งตัวพรวด ร้องห้ามคนที่อยู่ในสายเสียงหลง เล่นเอาลูกน้องในร้านที่กำลังเช็ดโต๊ะ ทำความสะอาดร้านเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเปิดร้านนั้นมองเจ้านายหนุ่มเป็นตาเดียวกันด้วยความสงสัย “ไม่ต้องครับคุณเกด เอาคุณแหวนแหละดีแล้ว...ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก”

“เอาอย่างนั้นหรือคะ” เกศราถาม เกรงว่าหากมีเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วศิลาจะหาข้ออ้างในการต่อว่า หรือแย่กว่านั้นคือฟ้องร้องบริษัทของเธอ “แต่ว่าเกดหาคนแทนให้คุณศิลาได้นะคะ” “ไม่ครับ” ศิลาบอกเสียงเฉียบ “เอาแหวนประดับมาก็พอ เขาเป็นคนเก่งที่สุดนี่” “อันที่จริงมีคนเก่งกว่ายายแหวนอยู่ค่ะ...ชื่อพิศา...แต่ว่า...”

“ไม่เอาครับ” ชายหนุ่มบอกปัด ไม่สนใจแล้วว่าอาการของตนจะทำให้เกศราสงสัย “ส่งแหวนประดับมาก็พอครับ เรื่องอื่นๆ เดี๋ยวเราตกลงกันเอง”

“แน่ใจนะคะ” เกศราถามย้ำ เผลอยิ้มออกมาเมื่อศิลายอมตกลงทำตามข้อแม้ของแหวนประดับ อย่างนี้เธอก็ไม่ต้องโทร. ไปง้อลูกน้องเก่าให้เสียหน้า ก็นะ...เป็นคนไล่เขาออกไปเอง หากต้องโทร. ไปง้อให้ฝ่ายนั้นกลับมาช่วยงานก็เสียหน้าแย่

“แน่ ผมต้องการแค่แหวนประดับ” ศิลาบอกเสียงเฉียบ เล่นตัวได้ไม่นานก็ปล่อยไก่ให้อีกฝ่ายจับไต๋ได้เสียง่ายๆ ซะนี่ “ส่งเธอมาทำงานให้ผมก็พอ...เรื่องอื่นช่างมัน”

“ได้ค่ะคุณศิลา” เกศราผ่อนลมหายใจออกมาเสียงดัง เพราะโล่งใจที่ศิลานั้นไม่เรื่องมากจนต้องเปลี่ยนคนไปทำงานให้เขา จึงลืมสังเกตน้ำเสียงระริกระรี้ของชายหนุ่มในตอนท้าย “วันจันทร์นี้เกดจะให้แหวนเข้าไปหาคุณศิลาที่ร้านเลยค่ะ”

“ดีครับ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี”

อาหารควันกรุ่นที่ถูกลำเลียงมาวางบนโต๊ะอาหารในบ้านนั้นล้วนเป็นฝีมือของแหวนประดับ โดยมีลูกมือเป็นกสิมา ทว่าอาหารหน้าตาน่ารับประทานเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พ่อเรวัตอารมณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด ใบหน้าคมของเขายังคงบึ้งตึงเมื่อเห็นแขกที่ร่วมโต๊ะ ในใจก็นึกโกรธที่เขาเพียรไล่พวกมันไปตั้งหลายชั่วโมง สุดท้ายแล้วไอ้พวกกระจอกนี่ก็ยังมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับเขาจนได้

มันน่าหงุดหงิดนัก...ที่พวกกระจอกนี่กล้ามาก้อร่อก้อติกลูกสาวของเศรษฐีเมืองจันท์อย่าง เรวัต นเรนท์ เกะกะลูกตาจริง

“ไปนั่งฝั่งนั้นไป เป็นผู้หญิงอย่าเข้าใกล้ผู้ชายให้มาก” เรวัตออกปากดักทางแหวนประดับที่กำลังจะนั่งข้างๆ ปลัดถิรเจต

เจ้าของบ้านจำต้องเดินอ้อมโต๊ะไปนั่งอีกฝั่งแทน โดยปล่อยให้เรวัตนั้นนั่งประจำหัวโต๊ะไป เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่สุดบนโต๊ะอาหาร

“กล้วยจ๊ะ ตักข้าวทีนะ” แหวนประดับหันไปบอกกสิมาที่ยืนรอคำสั่งอยู่ไม่ไกล

และไม่รอให้แหวนประดับรอนาน กสิมาก็ถือโถข้าวสวยเข้ามาที่โต๊ะ จัดการตักให้เรวัตและแขกก่อน จากนั้นจึงเป็นแหวนประดับ ทุกขั้นตอนที่ว่ามากสิมาทำได้อย่างเงียบเชียบแต่ก็รวดเร็ว แสดงออกถึงการได้รับการอบรมมาอย่างดี แต่กระนั้นก็ไม่พ้นโดนเรวัตค่อนแคะ

“เด็กในบ้านแกนี่ทำงานเก่งนะ ดูท่าคงเก่งกว่าคนใช้ที่บ้านของฉัน”

“ถ้าอบรมดีสักหน่อย ไม่ว่าใครก็คงทำงานเก่งเหมือนกันแหละค่ะ” แหวนประดับเหลือบตาขึ้นจากจานข้าว เตือนให้เรวัตรู้ด้วยคำพูดเจ็บแสบว่า คนในบ้านนี้ไม่ว่าใครเขาก็ห้ามแตะต้อง “กล้วยเป็นเด็กดี ไม่เคยทำให้ต้องเป็นห่วง หรือต้องไปตามที่บ้านผู้ชายก็ไม่เคยมี”

นั่นปะไร...ใครบอกว่าแหวนประดับไร้พิษสง คราวจำเป็นเธอก็ใช้คำพูดทิ่มแทงได้ดีทีเดียว

“ไม่เหมือนลูกสาวของคุณหรอกค่ะ”

มือของเรวัตสั่นระริก จะเถียงก็เถียงไม่ออกเพราะสิ่งที่แหวนประดับพูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง ตระกูลนเรนท์ของเขา ลูกสาวคนเดียวที่ไม่สร้างปัญหาและไม่เคยทำให้ขายหน้าก็มีแต่แหวนประดับเท่านั้น ส่วนลูกคนอื่น...ไม่อยากพูดถึงให้เสียอารมณ์

“อาหารพอทานกันได้ใช่มั้ยคะคุณปลัด...สารวัตร” เมื่อเห็นว่าเรวัตยอมแพ้เธอในยกนี้ แหวนประดับเองก็ยอมหยุดเช่นเดียวกัน

“อร่อยมากครับคุณแหวน” ปลัดถิรเจตบอก ท่าทางอึดอัดของเขาดีขึ้นเมื่อเจ้าของบ้านเอ่ยถาม “ฝีมือคุณแหวนนี่ไม่เคยตกจริงๆ นะครับ”

“แกงคั่วปูของคุณแหวนอร่อยจริงๆ ครับ” สารวัตรชยนเองก็ยื่นหน้าเข้ามาออกความเห็น ราวกับกลัวว่าคู่แข่งจะได้คะแนนเกินหน้าเกินตา “อย่างนี้คงต้องมาฝากท้องบ่อยๆ ซะแล้ว”

“จะมาอะไรหนักหนา...เกรงใจเจ้าของบ้านเขาบ้าง” ไม่ทันที่สารวัตรชยนจะได้ทำคะแนน เขาก็โดนสกัดดาวรุ่งโดยพ่อฝ่ายหญิงเสียแล้ว “อาหารรสจัดๆ ทั้งนั้น กินมากระวังกระเพาะทะลุ”

“คุณไม่ทานเผ็ดแล้วหรือคะ” แหวนประดับหันมาสนใจพ่อของเธอหลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น ปกติท่านก็กินรสจัดพอสมควร หรือว่าอาหารมื้อนี้เผ็ดเกินไป “หนูให้กล้วยทำอย่างอื่นให้ไหมคะ”

“ฉันทานได้...เคยติที่ไหนเรื่องของกิน” คนที่หวงลูกสาวบอกปัดไม่เต็มเสียง เพราะกลัวจะเสียหน้า และกลัวว่าแหวนประดับจะได้ใจที่ตนออกอาการห่วงจนออกนอกหน้า “แต่บอกคนอื่น...เดี๋ยวเจ็บป่วยขึ้นมาจะโทษว่าเป็นเพราะอาหาร”

“ไม่หรอกครับ ผมก็ทานอาหารเผ็ดเหมือนกัน” ถิรเจตรีบออกตัว ปรายตามองคู่แข่งอย่างเยาะเย้ย “แต่คนกรุงเทพฯ อย่างสารวัตรนี่สิ คงกินเผ็ดไม่เก่งเท่าไหร่”

“ผมก็อยู่จันท์นานแล้วครับ” สารวัตรชยนรีบชิงบอก กลัวโดนสกัดดาวรุ่งรอบสอง “ชอบอาหารจันท์ กินจนชินแล้ว”

ฟังคนที่ริอ่านจะมาสมัครชิงตำแหน่งลูกเขยแล้ว เศรษฐีเมืองจันท์ก็ได้แต่ขบฟันเข้าหากัน อาหารที่ลูกสาวตั้งใจทำก็รสชาติเฝื่อนไปทันที หงุดหงิดกระทั่งกินอาหารได้ไม่มากจนผิดปกติ แม้แหวนประดับจะสังเกตเห็น แต่หญิงสาวก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะเสียงมือถือดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

แหวนประดับรอสายเกศราอยู่แล้ว หญิงสาวจึงไม่แปลกใจ เพียงยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู รอฟังว่าลูกค้าที่เกศราหายไปเพื่อเจรจานั้นจะว่าอย่างไรกับข้อแม้ของตน

“ค่ะพี่เกด”

“เรียบร้อยแล้วนะแหวน ลูกค้าไม่มีปัญหา...เรื่องเราจะหยุดวันสุดสัปดาห์” เกศราบอกน้ำเสียงร่าเริง

“โอเคค่ะ” แหวนประดับรับคำง่ายๆ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธงานที่เกศราขอร้อง “เจอกันวันจันทร์ค่ะ สวัสดีค่ะ”

“งานอีกแล้วหรือ” เรวัตเอ่ยถามบุตรสาว ตาคมพิมพ์เดียวกับแหวนประดับนั้นช้อนมองหน้าคมของบุตรสาวที่ถอดแบบมาจากมารดาของเธอแทบทั้งหมด “มาได้ไม่เท่าไหร่ก็โทร. ตามเสียแล้ว บริษัทอะไรกัน”

“บริษัทนี้ดีค่ะ” แหวนประดับบอกง่ายๆ สบตากับเรวัตอย่างท้าทายให้ท่านเอ่ยอะไรออกมาสักอย่าง อะไรก็ได้...เพราะเธอมีคำพูดมากมายรอเล่นงานท่านอยู่ในใจแล้ว

“วันจันทร์แกจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ได้ แกต้องไปงานศพกับฉัน”

“หนูไม่เห็นรู้เลยว่าญาติฝั่งแม่หนูตาย” แหวนประดับเลิกคิ้ว ลอบมองสองหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตากินอาหารเงียบๆ แล้วถอนหายใจ “ทำไมคุณไม่ให้คนมาบอกหนูก่อนล่ะคะ”

“บอกก่อนแล้วแกจะมาหรือไง” คนที่โดนลูกสาวเมินครั้งแล้วครั้งเล่าพูดเสียงเขียว ออกอาการกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย เมื่อแหวนประดับพูดเหมือนว่าการที่ญาติของเขาตายนั้นไม่สำคัญ “งานศพย่าเล็ก...แกจะไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยไม่ได้หรือไง”

“หนูติดงานค่ะ” แหวนประดับถอนหายใจอีกระลอก ไม่อยากจะทะเลาะกับเรวัตในเรื่องนี้ให้เสียพลังงาน “คนอื่นๆ ล่ะคะ ไม่มีใครว่างหรือ”

“ยายนุ้ยท้องโย้ขนาดนั้น ใครจะกล้าพาไป” เรวัตบ่นอุบเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวคนรองจากแหวนประดับ ที่เพิ่งลาออกจากมหาวิทยาลัย “ส่วนยายน้ำก็ท้องอ่อนๆ แม่เขาไม่ให้ไปไหนมาไหนหรอก”

“คุณก็ไปคนเดียวสิคะ” แหวนประดับกลอกตา นึกท้อใจที่ลูกสาวแต่ละคนของเรวัตแซงหน้าเธอไปมีลูกกันเสียหมดแล้ว ขณะที่เธอนั้นหาแฟนสักคนยังไม่ได้เลย “ญาติคุณทั้งนั้นนี่นา”

“ญาติแกเหมือนกันนั่นแหละ” เรวัตย้อนบุตรสาวคนโต ที่ไม่เคยเข้าไปข้องแวะกับครอบครัวของตนสักครั้ง ขนาดเขาแก่ใกล้ตายขนาดนี้แล้ว แหวนประดับก็ยังไม่คิดที่จะอ่อนข้อให้ ต้องให้คนแก่ถ่อมาง้อมันก่อนถึงนี่ ไม่รู้ว่าจะผูกใจเจ็บไปถึงเมื่อไหร่ “ตอนป่วยย่าเล็กเขาบอกให้แม่แกไปหา...แต่แม่แกไม่อยู่แล้ว ฉันเลยมาขอให้แกไปงานศพท่าน...ท่านรักแม่แกมากนะแหวนประดับ”

เมื่อถูกบิดาเรียกด้วยชื่อเต็ม แหวนประดับก็จนใจที่จะเถียง คุณย่าเล็กคนนี้เธอได้ยินมาบ้างว่าท่านมีเมตตาให้แก่แม่ของเธอมาก ถึงแม่ของเธอจะได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อย ทว่าก็มีแต่คุณย่าเล็กนี่แหละที่เมตตา เมื่อแม่เธอยังอยู่ เธอก็เคยเห็นแม่ส่งผลไม้หลายอย่างไปให้ท่าน แต่กระนั้นแม่ของเธอก็ไม่เคยพาเธอไปพบคุณย่าเล็กที่ว่านี้เลยสักครั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างไร่วงศากับคุณย่าเล็กผู้นี้จึงค่อยๆ ห่างกันไป และกลายเป็นตัดขาดกันเมื่อคุณแหวนคนแม่นั้นเสียชีวิตลง พร้อมกับแหวนประดับซื้อบ้านและอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก

“ไปไหว้ท่านหน่อย ถือเสียว่าสงสารคนตาย”

“แล้วภรรยาคุณเขาจะไม่ว่าหรือคะ ถ้าหนูไปร่วมงาน” แหวนประดับยังสงสัย พอเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของบิดาเธอก็เข้าใจ “ถ้าให้ไปหนูก็ไปได้ค่ะ แต่ถ้าไปแล้วจะสร้างปัญหาหนูไม่ไปดีกว่า”

“จะมีใครกล้ามีปัญหา แกไปกับฉัน”

“หนูขอคิดดูก่อนนะคะ” แม้การรับปากนั้นจะเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ แต่สีหน้าของเรวัตก็ดีขึ้นมาถนัดตา “ต้องคุยกับเจ้านายก่อน เพราะงานเร่ง”

“ให้ฉันคุยก็ได้ ใครมันจะกล้ามีปัญหา”

คนที่คิดว่าตัวเองใหญ่ที่สุดในจังหวัดบอกอย่างถือดี แต่ผู้เป็นลูกสาวนั้นส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ เธอไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าพ่อของตนเป็นใครทั้งนั้น ปัญหาที่นี่แหวนประดับจะไม่ยอมให้มันไปรบกวนชีวิตอันสงบสุขของเธอที่กรุงเทพฯ

“ไม่ค่ะ เดี๋ยวหนูจัดงานเอง” แหวนประดับบอกเสียงเบา “เจ้านายหนูเป็นคนมีเหตุผล แต่ถ้าขอไม่ได้จริงๆ คุณก็ต้องเข้าใจหนูนะคะ”

“ฮึ กับแกฉันจะทำอะไรได้ นอกจากยอมตามใจ” เรวัตค่อนแคะบุตรสาวคนโต “ยังไงฉันก็อยากให้แกไป ผู้ใหญ่เขาถามหาแกหลายคนแล้ว”

‘ที่ถามหาเพราะว่าไม่เหลือหลานสาวให้อวดแล้วน่ะสิ’

แหวนประดับประชดพ่อของตนในใจ แล้วหวนนึกถึง ‘ผู้ใหญ่’ ที่ท่านอ้างถึง เมื่อก่อนพวกท่านหรือจะสนใจลูกเมียน้อยอย่างเธอ แต่หลังจากหลานสาวทั้งสองคนนั้นตั้งท้องและทำให้วงศ์ตระกูลของพวกเขาอับอาย ก็รีบถามหาเธอกันเป็นเสียงเดียว

เรวัตเองก็เหมือนกัน ถ้าลูกสาวอีกสองคนไม่ทำให้เขาอับอาย มีหรือจะมาตามตัวเธอถึงที่นี่ คงหาลูกสาวไปคุยข่มคนอื่นไม่ได้ละสิ ตระกูลนี้ก็มีเพียงเรื่องหน้าตาเท่านั้นแหละที่สำคัญ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น