3

งานของคนสำคัญ


3

งานของคนสำคัญ

 

“รถติดหรือครับ มาช้าเชียว”

“คุณศิลา!” แหวนประดับเรียกเจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เสียงเขียว ทว่าศิลากลับไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มยังคงส่งยิ้มหวานให้เธอ ตาคมมีประกายวิบวับแฝงอยู่ เมื่อเขาเบนสายตาไปที่เกศรา หัวใจของแหวนประดับก็ร่วงวูบลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า

คิดจะทำอะไรของเขา...คนร้ายกาจ

“รู้จักกันด้วยหรือแหวน” สายตามีคำถามของเกศราตวัดไปที่หน้างามของผู้เป็นลูกน้องทันที

แหวนประดับใช้เวลารวบรวมสติของตัวเองอยู่เสี้ยววินาที เธอจึงผลักความตระหนกออกไปจากหัวใจได้ แล้วหญิงสาวก็ยิ้มหวาน เอาถุงในมือไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของเกศรา ปากก็บอกเจ้านายสาวของตนไปตามจริง...เพียงครึ่งเดียว

“เคยเจอกันสองสามครั้งค่ะ คุณศิลาเขาพักอยู่ใกล้ๆ บ้านแหวน” ไม่ได้โกหกนะ...แค่ไม่ได้บอกว่าเขาขับรถมาจอดหน้าบ้านเธอ แล้วหลับอยู่ในรถเท่านั้นเอง

“อ้อ...เหรอจ๊ะ” แววตาของเกศรานั้นไม่เชื่อสิ่งที่ลูกน้องสาวบอกมาเลยสักนิด แต่กระนั้นเธอก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมาให้ทั้งสองไหวตัวได้

แหวนประดับเองก็ไม่ใช่คนโง่ เธอยิ้มหวานให้เกศราเมื่อวางของไว้บนโต๊ะเจ้านายเรียบร้อยแล้ว

“แหวนจะออกไปชงกาแฟ พี่เกดอยากได้กาแฟหรือเปล่าคะ”

“เอาสิจ๊ะ” แหวนประดับแสนดีเกินกว่าที่เกศราจะระแวงสงสัย เธอจึงพยักหน้าแล้วลืมเรื่องที่ศิลาพักใกล้ๆ บ้านของลูกน้องสาวไปทันที “ขอให้คุณศิลาด้วยนะ ไม่ทราบว่าคุณศิลาทานกาแฟแบบไหนคะ” “แหวนเขารู้ครับ” ดวงตาของศิลาพราวระยับ ปากตอบคำถามของเกศรา แต่ตากลับจ้องหน้างามของผู้หญิงอีกคน

และแม้ว่าใจของแหวนประดับจะระอุเพราะโกรธที่ชายหนุ่มส่งสายตาวิบวับมาให้ ไหนจะคำพูดสองแง่สองง่ามของเขาอีก แต่กระนั้นสิ่งที่หญิงสาวทำก็คือฉีกยิ้มกว้างไปเล่นงานชายหนุ่มให้ใจสั่น ก่อนจะค้อมหัวให้เขาอย่างมารยาทงามเหมือนเคย

“รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวจะเอากาแฟมาให้” คำพูดนั้นไม่ได้ระบุว่าแหวนประดับพูดกับใคร เธอเพียงถอยออกไปจากห้องด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ตามด้วยการปิดประตูตามหลังซึ่งก็เงียบกริบไม่แพ้กัน ทิ้งศิลาไว้กับความพ่ายแพ้ที่เงียบงันอีกเช่นเคย

“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะคุณศิลา ที่ต้องให้คุณมารอ” เมื่อลูกน้องของเธอออกไปแล้ว เกศราก็พยายามปั้นหน้ายิ้ม เอ่ยขอโทษชายหนุ่มเรื่องที่ต้องปล่อยให้เขาเข้ามานั่งรอตน แม้ในใจจะคิดว่าเรื่องนี้เธอไม่ได้เป็นคนผิดเลยก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรีบร้อนมาแต่เช้าเอง นัดก็ไม่ได้นัด” ศิลาไม่มีสิทธิ์ถือโทษโกรธหญิงสาวตรงหน้า เพราะเขาเป็นฝ่ายขอร้องที่จะเข้ามาคุยกับเกศราเอง และเขาก็เพิ่งรู้ว่าบริษัทเพี้ยนๆ นี้ต้องใช้เส้นสายในการเข้ามาติดต่อมากทีเดียว เพราะมีจำนวนลูกค้าที่รอคิวเพื่อว่าจ้างงานอยู่ร่วมร้อย ใครจะคิดล่ะว่ามีคนอยากจ้างบริษัท Even for you เยอะขนาดนี้

แต่ศิลาก็ซิกแซ็กมาเจอเกศราจนได้...ก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละว่าพ่อของเขาใหญ่ เรื่องแค่นี้ทำไมศิลาจะทำไม่ได้

“แค่คุณเกดให้ผมพบก็ถือว่ากรุณามากแล้ว”

“พูดอะไรอย่างนั้นคะ” เกศราหน้าเสีย ไม่อยากให้ลูกของอดีตรัฐมนตรีใหญ่พูดจาเหมือนเธอมีบุญคุณเช่นนี้ “แค่คุณศิลาไว้ใจเรา เกดก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ กรุณาอะไร...อย่าพูดเลยนะคะ”

“ครับผม” ศิลาไม่ใช่คนหัวอ่อนตลอดเวลา บางครั้งเขาก็เรียนรู้ที่จะหัวอ่อนเล่นตามน้ำได้...เหมือนอย่างครั้งนี้ไง

“แล้วตกลงว่าคุณศิลาจะให้ Even for you ช่วยเหลืออะไรคะ”

“เรื่องสำคัญครับ...ถ้าเป็นไปได้ผมอยาก...”

 

แดดร้อนเปรี้ยง ผู้คนก็สัญจรไปมาขวักไขว่ ทว่าร่างบางในชุดกระโปรงเหนือเข่าและเสื้อเชิ้ตตัวสวยนั้นยังคงนั่งคุกเท่าแนบพื้นถนนสกปรก ไม่ห่วงเสื้อผ้าบนตัว จะมีก็เพียงการยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อนานๆ ครั้งเท่านั้นที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายบริเวณนั้นรู้ว่าหญิงสาวไม่ใช่รูปปั้น

“ออกมามั้ยหนู...เห็นมาหลายวันแล้วนะ”

“ยังไม่ยอมใจอ่อนเลยค่ะคุณลุง” แหวนประดับเงยหน้าจากร่างพองๆ ใต้รถเข็นขึ้นมองคุณลุงร้านขายอาหารตามสั่ง ซึ่งเป็นผู้ที่โทร. แจ้งเบาะแสเรื่องแมวของเอกภพให้เธอ “สงสัยคงจะยังกลัวอยู่”

“เดี๋ยวอีกสักพักก็ยอมออกมา ลองเอาลูกชิ้นไปล่อสิ” คุณลุงคนนั้นเสนอพลางส่งลูกชิ้นปลาที่ทอดเสร็จจนไม่เหลือความร้อนอยู่แล้วให้หญิงสาว ผู้ที่เขาเข้าใจว่าเป็นเจ้าของแมวหลงตัวอ้วน ซึ่งมีใบหน้าอยู่บนใบปลิวที่แปะหราอยู่ตามเสาไฟฟ้า “เขาอยู่มาเกือบเดือนแล้ว คงลืมหน้าเจ้าของแล้วกระมัง” “ไม่หรอกค่ะ อาจจะแค่ตกใจ” แหวนประดับปลอบใจตัวเอง ฝืนยิ้มขณะรับลูกชิ้นมาจากพ่อค้าขายอาหารตามส่ง อีกมือนั้นล้วงธนบัตรสีเขียวมาส่งให้ด้วยความเกรงใจ ก็เขาโทร. แจ้งเบาะแสเรื่องแมวลูกค้า แล้วยังจะมาขอลูกชิ้นจากเขาฟรีอีก เหมาะที่ไหน

“ไม่ต้องหรอก...ลูกชิ้นนี้ทอดนานแล้ว อย่างไรก็คงขายไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายมองเงินในมือหญิงสาวแล้วเมินไปเสีย

“แต่ว่า...”

“รีบเรียกแมวกลับบ้านสิ เดี๋ยวตกใจวิ่งหนี โดนรถเหยียบมาจะยุ่งนะ”

เพียงเท่านั้นแหวนประดับก็ไม่สนใจอะไรอีก ยอมรับลูกชิ้นที่ว่านั้นโดยไม่จ่ายเงินแต่โดยดี ก่อนจะเรียกหาเจ้าแมวที่เคยสวยของเอกภพให้ออกมาจากที่ซ่อนเสียที เกรงว่ายิ่งค่ำแล้วรถราจะมากขึ้น แมวของเขาจะเป็นอันตราย

“ประหยัด...ออกมาได้แล้ว พ่อรออยู่นะ” คนเสียงหวานร้องเรียกเจ้าแมวจอมหยิ่ง มันขดตัวซุกอยู่ ตากลมโตของมันจ้องมองเธออย่างหวาดระแวง “ประหยัด...ออกมาเร็ว คุณเอกเขารอ...”

“เมี้ยว...”

“นั่นแหละๆ คุณเอกพ่อแกไง” แหวนประดับเริ่มมีรอยยิ้ม เมื่อเจ้าแมวสีขาวที่มีค่าตัวร่วมแสนเริ่มมีปฏิกิริยา ยื่นจมูกมาดมลูกชิ้นที่เธอใช้เป็นเหยื่อล่อ “ออกมาเร็ว...ฉันจะพากลับบ้าน”

“เมี้ยว...”

มันขยับตัวอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีกครั้ง แต่ก็ยอมรับลูกชิ้นไปกิน...ซึ่งการกระทำนั้น แหวนประดับถือว่ามันยอมรับการเป็นพันธมิตรกับเธอแล้วระดับหนึ่ง

“อร่อยละสิ”

เจ้าประหยัดเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของลูกชิ้นอย่างระแวง ขยับเท้าออกมาจากที่ซ่อนนิดหนึ่งอย่างไว้ตัวเป็นเชิงบอกว่ามันไม่ไว้ใจหญิงสาวเสียทีเดียว แต่แหวนประดับมีความอดทนมากกว่าคนอื่นเสมอ หญิงสาวก้มหน้าใช้แผ่นหลังสู้แดดร้อนเปรี้ยงจนแม่ค้าพ่อค้าแถวนั้นพากันส่ายหน้าเบาๆ อย่างระอา ในใจก็พากันคิดว่าแค่แมวตัวเดียว...ต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ

“มาเถอะประหยัดคนสวย คุณเอกเขาเป็นห่วงแกมากนะ” เธอเล่าถึงเจ้าของให้เจ้าประหยัดแมวหยิ่งฟัง หูของมันขยับไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อเอกภพ ราวกับรู้ว่าแหวนประดับกำลังพูดถึงใคร “มาเร้ว...คนดี”

เท้าเล็กที่มอมแมมจนไม่เหลือเค้าแมวคนรวยที่ยื่นออกมา ทำให้พ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นหยุดมือที่กำลังขายของ แล้วจ้องมองเจ้าแมวเจ้าปัญหาเป็นตาเดียวกัน เห็นหลงอยู่แถวนี้มาเป็นเดือน ใครจะคิดล่ะว่าจะมีรางวัลให้คนแจ้งเบาะแสเป็นหมื่นๆ ไม่เห็นประหยัดเหมือนชื่อเลย

“เมี้ยว...”

“มาสิจ๊ะคนดี เดี๋ยวแหวนจะพาไปส่งบ้านนะ”

“เมี้ยว...” ประหยัดส่งเสียงร้องเหมือนขานรับ ก่อนจะเดินออกมาจากที่ซ่อนอย่างเต็มใจ ขนที่เคยขาวสะอาดของมันเปื้อนฝุ่นควันจนเป็นสีเทาเข้ม

แหวนประดับเลิกแปลกใจแล้วว่าอะไรทำให้การตามหาเจ้าประหยัดคนสวยนั้นกินเวลาไปร่วมเดือน

“คิดถึงคุณเอกละสิ มาเถอะ” เพียงมือเล็กโอบลำตัวเล็กของแมวชื่อประหยัด เสียงถอนหายใจของผู้ร่วมเหตุการณ์ก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน

“ยอมใจอ่อนแล้วเหรอแม่หนู”

“ค่ะ คงต้องรีบพาไปหาหมอ” แหวนประดับจับแมวที่เธอถูกจ้างให้มาตามหาพลิกไปมา หน้างามที่เพิ่งสดใสเมื่อครู่นั้นมีแววกังวลเมื่อเห็นบาดแผลที่ขาหลังของเจ้าประหยัด เธอก้มหน้าลงไปพูดกับมันด้วยความเป็นห่วง “เจ็บมากไหมประหยัด”

เจ้าประหยัดไม่บอกอะไร มันเพียงลดหัวลงไปเลียขนเป็นการแต่งตัว ราวกับจะเตรียมตัวไปพบกับผู้เป็นพ่อจึงต้องดูแลขนมอมแมมของมันเป็นพิเศษ

“รีบไปเถอะไป แล้วอย่าให้หลุดออกมาอีกล่ะ” พ่อค้าที่เป็นเจ้าของลูกชิ้นซึ่งแหวนประดับใช้ล่อเจ้าประหยัดเตือน “สภาพดูไม่ได้เลยตอนมา ใครจะนึกว่าเป็นแมวคนรวย”

“หนูจะระวังค่ะคุณลุง” แหวนประดับระบายยิ้ม รู้ว่าพ่อค้าอาหารตามสั่งพูดเช่นนั้นก็เพราะหวังดี “ไม่ให้ประหยัดหลุดออกมาอีก”

“เออ แล้วก็อย่าลืมมาปลดกระดาษพวกนั้นล่ะ” เขาชี้ไปที่ใบปลิวที่มีหน้าของเจ้าประหยัดเวอร์ชันสะอาดแปะอยู่ “เดี๋ยวคนเขาจะลักพาตัวมันไปเรียกค่าไถ่ เจ้าของรวยนักนี่”

แหวนประดับฟังแล้วก็ยิ้มหวาน พยักหน้าแต่ไม่เอ่ยอะไร เพราะดูจากเงินรางวัลที่ให้แก่คนที่แจ้งเบาะแสเจ้าประหยัดบนใบปลิว ก็คงทำให้คนที่ผ่านไปมาเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของมันนั้นร่ำรวยจริง ก็เงินห้าหมื่นบาท...เพียงแค่แจ้งเบาะแส ถ้าไม่รวยจริงคงทำไม่ได้

“อย่างนั้นหนูไปก่อนนะคะคุณลุง พรุ่งนี้จะมาใหม่” แหวนประดับบอกทิ้งท้าย มองคุณลุงร้านอาหารตามสั่งด้วยแววตารู้กัน...ว่าพรุ่งนี้เธอจะกลับมาพร้อมเงินห้าหมื่นที่เป็นของผู้แจ้งเบาะแสเจ้าประหยัดให้เธอ

ชายคนนั้นพยักหน้ารับ ไม่แสดงออกถึงความตื่นเต้นเรื่องเงิน ปากก็ย้ำหนักหนาว่า

“อย่าทำมันหายอีกนะ สงสาร...อาหารธรรมดาก็ไม่กิน แมวคนรวย”

หลังจากที่แหวนประดับพาเจ้าแมวคนรวยมาหาคุณหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ใช้เวลาระหว่างรอเจ้าประหยัดทำแผลนั้นติดต่อหาเอกภพ แล้วก็เป็นดังคาด ชายหนุ่มออกอาการตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กๆ หลังจากที่เธอแจ้งข่าวดีเรื่องเจ้าประหยัดให้เขาฟัง

แหวนประดับสอบถามชายหนุ่มว่าเขาสะดวกเข้ามารับแมวประหยัดเมื่อไหร่ จะให้เธอดูแลเจ้าแมวสุดที่รักของเขาไว้ก่อนหรือไม่ ด้วยหญิงสาวนั้นรู้ดีว่างานของเอกภพไม่ใช่งานที่จะอยากออกมาข้างนอกตอนไหนก็มาได้ แต่ลูกค้าของแหวนประดับกลับทำให้เธอต้องแปลกใจ เมื่อเขาบอกว่าจะมารับเจ้าประหยัดในบ่ายวันนี้เลย

ดังนั้นทั้งคู่จึงตกลงกันว่าจะไปพบกันที่บริษัท เพื่อที่ชายหนุ่มจะได้จัดการเรื่องค่าจ้างและถือโอกาสรับเจ้าประหยัดไปทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาไปๆ มาๆ แหวนประดับก็เห็นด้วย

เมื่อคุณหมออุ้มเจ้าประหยัดที่อารมณ์บูดออกมา แม้ว่าจะได้ข่วนแขนผู้ช่วยหมอไปถึงสองรอยแล้วก็ตาม มันก็พุ่งตัวเข้าหาแหวนประดับราวกับหญิงสาวนั้นเป็นความหวังสุดท้ายของมัน

แหวนประดับรับเจ้าแมวที่หายออกจากบ้านไปร่วมเดือนแต่ก็ยังมีเนื้อมีหนังพอสมควรมาอุ้ม รอให้พนักงานขายของด้านหน้าจัดเตรียมกรงและผ้าปูด้านในอยู่หลายนาที เธอจึงส่งเจ้าประหยัดเข้าไปนอนในกรง เมื่อมันเหลือบตามองเธออย่างโกรธๆ หญิงสาวก็เอ่ยเพียงว่า

“อยู่ข้างนอกไม่ได้หรอกประหยัด ฉันต้องขับรถ”

นั่นแหละ...เจ้าแมวถึงได้ยอมละสายตาจากหน้าเธอ แล้วหลับตาลงอย่างต้องการพักผ่อน

 

“แหวนไปไหนเหรอฝ้าย” เกศราละสายตาจากโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่าของแหวนประดับ แล้วถามหาหญิงสาวจากเลขาฯ ของตน “ออกไปวิ่งงานหรือ” “อ้อ มีคนบอกว่าเห็นแมวของคุณเอกค่ะ” ฝ้ายที่รับสารมาจากแหวนประดับเงยหน้าบอกเจ้านาย มือก็ยังสาละวนกับการจัดคิวลูกค้าลงตารางนัดของเจ้านายเป็นระวิง “พี่แหวนเลยต้องออกไปดู นี่ก็ไปนานแล้วนะคะ ยังไม่ได้ข่าวเลย”

“แบบนั้นตามพากรให้พี่ทีนะ” เกศราเม้มปากแน่น ก่อนจะเรียกหาลูกน้องอีกคนของเธอ แม้ว่าพากรนั้นจะทำงานไม่เก่งเท่าแหวนประดับ แต่เกศราก็ไว้ใจเขาพอสมควร...ไว้ใจพอที่จะให้พากรมาจัดการงานให้ศิลาเลยทีเดียว “เดี๋ยวนี้เลย”

“ค่ะพี่เกด” เลขาฯ สาวพยักหน้า ไม่ต้องรอให้เกศราเดินกลับเข้าไปในห้อง เธอก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมาต่อสายหาพากรตามที่เกศราต้องการทันที

...

คนที่ก้าวเข้ามาในห้องตามหลังเกศรานั้นไม่ใช่คนที่ศิลาเอ่ยปากขอจากหญิงสาว เขาเป็นผู้ชายอายุน้อยที่มีแววตาแข็งกร้าว แต่จำต้องสยบยอมให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่เพราะตำแหน่งเธอสูงกว่า

“พากร...นี่คุณศิลา มหาศักดิ์ ลูกค้า...” เกศราเอ่ยแนะนำลูกค้าให้ผู้มาใหม่ได้รู้จัก

เพียงนามสกุลของชายหนุ่มถูกเอ่ยออกไป นัยน์ตาที่มีแววเบื่อหน่ายในคราแรกของพากรก็เปล่งประกายด้วยความยินดี ท่าทางของเขาก็อ่อนลงมากเช่นกันเมื่อเขายกมือไหว้ศิลา

“สวัสดีครับคุณศิลา” “สวัสดี” ศิลารับไหว้ชายหนุ่ม ในใจก็นึกสงสัยว่าแหวนประดับไปที่ไหนเสียแล้ว ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้โผล่เข้ามาแทน แต่ก็นั่นแหละ...บางครั้งศิลาก็พอมีความฉลาดจึงไม่โวยวาย เลือกวางเฉยเสียเพื่อไม่ให้เกศรามีโอกาสตัดรอนเขา เพราะหากเขาแสดงออกว่าต้องการแหวนประดับเพียงคนเดียว เดี๋ยวหญิงสาวจะไม่ยอมทำงานให้แล้วตัดโอกาสที่เขาจะได้ใกล้ชิดกับเธอลงง่ายๆ

เขาคิดกับตัวเองอยู่หลายตลบ...ยามนอนเฝ้าแหวนประดับอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ หญิงสาวไม่ได้มีท่าทางเดือดร้อนสักนิด ตรงกันข้าม...แหวนประดับนั้นดูแลเขาอย่างดี จนศิลาเริ่มมีความเชื่อว่า หรือจริงๆ แล้วเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เพื่อนสนิทของเขาโดนหลอกไปขาย

ไหนจะเด็กเบบี๋ที่หายเงียบไปอีก บางทีเด็กนั่นอาจจะไม่ได้เป็นลูกน้องของแหวนประดับอย่างที่เข้าใจ...ศิลาคิด แล้วก็คิดย้อนกลับไปกลับมา หากยุ่งเกี่ยวกับแหวนประดับในเชิงชู้สาวก็ถือว่าเขาหักหลังเพื่อนสนิท แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ว่าจริงๆ แล้วหญิงสาวไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นๆ นี้อย่างที่เธอบอกเขา และถ้าเขาเลือกที่จะรอจนแน่ใจ ก็เท่ากับว่าศิลายอมปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือไป

ด้วยรู้ดีว่าแหวนประดับไม่ใช่ผู้หญิงที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัว หรือปล่อยให้คนอื่น...โดยเฉพาะผู้ชายเข้าใกล้ตัว เข้าใกล้หัวใจง่ายๆ ถ้ารอจนเรื่องที่เพื่อนของเขาโดนหลอกไปขายนั้นกระจ่าง เธอและเขาก็กลายเป็นเพียงคนที่รู้จักกัน มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ศิลาจะพาตัวเองกลับเข้าไปในชีวิตของหญิงสาวอีก ยิ่งตอนนี้สถานะที่เธอเป็นรองต้องยอมเขาทุกอย่างก็ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้

หน้าคมคายนั้นเรียบสนิทขณะหวนคิดถึงตัวเองยามที่ตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อเขาถามตัวเองว่าหากไม่ได้แหวนประดับมาเป็นของตัวเองแล้วเขาจะตายไหม...คำตอบคือตาย ศิลาแน่ใจว่าเขาต้องตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้คนยิ้มหวานมาเป็นของตัวเอง

และคนอย่าง ศิลา มหาศักดิ์ ไม่มีอะไรที่เขาอยากได้แล้วจะไม่ได้

“แหวนออกไปทำงานข้างนอก พากรเขาก็เป็นคนเก่งที่เกดไว้ใจ”

น้ำเสียงขออภัยนั้นทำให้ศิลาต้องละจากความคิดของตัวเอง แล้วกลับมามองหน้างามของเกศรา หญิงสาวอายุมากกว่าศิลา แต่ใบหน้าของเธอกลับสวยพริ้งไม่ต่างจากหญิงสาววัยยี่สิบปลายๆ

ในสายตาของศิลา เค้าหน้าอย่างแหวนประดับนั้นเรียกว่าสวยคมคาย ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็บาดอกบาดใจ เล่นเอาเขาตัวสั่นเร่าๆ แต่กับหญิงสาวตรงหน้านี้...แม้ว่าเธอจะแต่งตัวสวยหยด เซ็กซี่ขยี้ใจเพียงใด แต่เค้าความดุและเด็ดขาดจากแววตากลับทำให้ศิลายำเกรง แม้จะไม่ได้คิดอะไรกับเกศราไปมากกว่าสะพานที่จะทอดให้เขาไปหาแหวนประดับ แต่ศิลาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกศราทำให้เขาเจียมเนื้อเจียมตัวว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายที่เหมาะสมกับเธอตรงหน้า ผู้ชายที่จะคู่ควรกับเกศรานั้นต้องเป็นผู้ชายแบบอื่น แต่จะแบบไหนศิลาก็จนปัญญาที่จะบอกเหมือนกัน

“ถ้าคุณเกดพูดมาอย่างนั้น ผมก็ไว้ใจครับ” ศิลาคลี่ยิ้มตอบ แม้ใจนั้นจะมีแผนการกำจัดพากรไว้รอท่าอยู่แล้ว “แต่ธุระที่ผมหวังพึ่งบริษัทคุณเกดก็ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”

แน่ละ การตามทวงหนี้จากคนมีเงิน...อย่างน้อยพวกลูกหนี้ของศิลาก็บอกตัวเองว่าพวกเขามีเงิน จะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร

ถ้าง่ายคนอย่าง ศิลา มหาศักดิ์ คงไม่ต้องวิ่งมาพึ่งบริษัทเล็กๆ ของเธอหรอก...เกศราบอกตัวเอง โดยไม่ล่วงรู้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นแผนการของชายที่เป็นหลานของอดีตนายกและมีพ่อยศใหญ่คับฟ้า

 

เจ้าประหยัดถูกส่งให้ถึงมือของเอกภพทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องประชุมเล็ก แหวนประดับอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่เหลือภาพของผู้หญิงที่คลานเข่าแทบพื้นถนนเพื่อหลอกล่อเจ้าแมวให้ออกมาจากที่ซ่อน เธอได้แต่ซ่อนยิ้มยินดี เมื่อเห็นท่าทางทะนุถนอมแมวของเอกภพ มุมอ่อนโยนของชายหนุ่มนั้น แหวนประดับไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นจนตอนนี้

“ว่ายังไงคะคนสวย...ผอมลงนะเนี่ย...”

แมวของเขาก็เหมือนรู้หน้าที่ว่ากลับบ้านแล้วต้องเอาใจใคร เพราะเจ้าประหยัดที่ถูกจับทำความสะอาดจนหอมฟุ้งนั้นยื่นหน้าไปคลอเคลียเจ้าของมัน ยกเท้าข้างที่เจ็บขึ้นมาเลียอย่างเรียกร้องความสนใจ

รู้งานจริงนะเจ้าประหยัด...ช่างอ้อนอย่างนี้นี่เองค่าตัวถึงพุ่งไปเป็นแสน

เมื่อรู้ตัวว่าโดนจ้อง พ่อของเจ้าประหยัดก็เงยหน้าเปื้อนรอยยิ้มขึ้นมองหญิงสาว แววตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณราวกับแหวนประดับยกดวงดาวลงมาให้เขา

“ขอบคุณมากครับคุณแหวน...ผมไม่รู้จะพูดอะไรอีก นอกจากขอบคุณจริงๆ”

“ประหยัดได้แผลนิดหน่อยค่ะคุณเอก แหวนพาไปหาหมอแล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมากค่ะ แค่แผลถลอก”

เอกภพฟังถ้อยคำที่แหวนประดับอธิบายด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก พลางยกเท้าข้างที่มีผ้าพันแผลของเจ้าประหยัดขึ้นมาดู แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มสว่างไสวให้คนที่นำลูกสาวสุดที่รักของเขากลับมาให้

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แผลแค่นี้...” ชายหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างบนหน้า “เดือนที่ผ่านมาผมคิดไปไกลกว่านี้ ห่วงว่าจะโดนรถชน โดนหมาไล่ทำร้าย คุณแหวนพาประหยัดกลับมาพร้อมแผลแค่นี้ถือว่าดีมากแล้วครับ”

“เห็นคุณเอกดีใจ แหวนก็โล่งใจค่ะ คุณลุงคนที่โทร. มาแจ้งเบาะแสเขาย้ำหนักย้ำหนาว่าอย่าให้ประหยัดหลงไปไหนอีก สงสาร เพราะดูก็รู้ว่าเป็นแมวเลี้ยงแบบปิด” เธอไม่ได้บอกเรื่องที่ใครๆ เขานินทาประหยัดว่าเรื่องมาก...เลือกกินเพราะเป็นแมวคนรวยให้เอกภพฟัง เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์

“ถ้าไม่ได้คุณแหวนนี่ผมคงแย่เลยครับ ใกล้จะต้องไปรัสเซียแล้ว ถ้าหาประหยัดไม่เจอ ผมคงต้องตายแน่”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่แหวนช่วยได้แหวนก็ดีใจแล้ว อย่าลืมนะคะว่าทำงานที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้น่ะเป็นงานของเรา” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคำว่า ‘เรา’ ที่แหวนประดับเอ่ยนั้นหมายถึงบริษัท ไม่ใช่เธอและเอกภพเพียงสองคน สำหรับหญิงสาวนั้นเอกภพเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาอย่างไม่สามารถเถียงได้ แต่ท่าทางของชายหนุ่มก็ยังไม่ตรงใจเธอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แล้วไหนจะผู้เป็นลูกสาวเขาอีก ถึงแม้ว่าเขาจะเลิกรากับภรรยาอย่างเด็ดขาดแล้วก็เถอะ “แล้วนี่คุณเอกอยากให้แหวนช่วยอะไรอีกมั้ยคะ”

“ไม่แล้วครับ...ต้องเร่งแล้วครับคุณแหวน โรงเรียนใกล้เลิกแล้ว”

เพียงเท่านั้นแหวนประดับก็รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวลุกขึ้นไปหยิบสัญญาจากโต๊ะทำงานของตัวเอง ชะงักเล็กน้อยเมื่อจังหวะที่เธอกลับมานั้นศิลาและเกศราพ่วงด้วยพากรกำลังเดินสวนออกไป เกศราร้องทักเธอด้วยความสงสัยกึ่งยินดีว่า

“กลับมาแล้วเหรอแหวน”

“ค่ะพี่เกด คุณเอกเขารออยู่ในห้องค่ะ” แหวนประดับจำต้องละสายตาจากหน้าดุๆ ของศิลา แล้วพยักพเยิดไปที่ห้องประชุมเล็ก

“ตายจริง...งานเรียบร้อยแล้วหรือ” เกศรามองตามสายตาของแหวนประดับพลางขมวดคิ้ว “พี่ต้องเข้าไปหาคุณเอกไหม”

“ไม่ต้องค่ะ คุณเอกเขารีบ...โรงเรียนใกล้เลิกแล้ว”

“ใช่สิ คุณเอกเขามีลูกสาวนี่นา อย่างนั้นไปเถอะจ้ะ พี่ไม่กวนแล้ว” เกศราชอบเด็ก รักเด็กมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้ยินว่าเอกภพรีบเพราะใกล้ถึงเวลาเลิกเรียน เธอก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แหวนประดับเองก็ไม่ได้สนใจคนกลุ่มนั้นอีก เธอเดินตรงกลับมาที่ห้องประชุมซึ่งมีเอกภพรออยู่ทันที

“มาแล้วค่ะคุณเอก...นี่เอกสารเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือค่ะ”

 

ศิลามองตามแหวนประดับไปจนลับสายตา แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเมื่อเกศราเดินออกมาส่ง ทว่าชื่อของ ‘คุณเอก’ ที่ให้คิดอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นชื่อผู้หญิงได้นั้นทำให้อารมณ์ของศิลาขุ่นมัวขึ้นมาได้ถนัดใจ และเกศราที่เก่งเรื่องจับความรู้สึกคนก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ เธอจึงอ้อมแอ้มบอกเสียงเบาว่า

“แหวนเพิ่งกลับมาค่ะคุณศิลา นัดกับลูกค้าอีกคนไว้แล้ว คุณเอกภพ...”

“ผมเข้าใจครับ” เท่านั้นก็ชัดเจนแล้วสำหรับศิลา แหวนประดับไม่ว่างมาทำงานกับเขาเพราะเธอติดลูกค้าอยู่แล้วนี่เอง แต่อีกไม่นานหรอก...เดี๋ยวเขาจะทำให้เธอมาทำงานกับเขาให้ได้ ไม่ว่าลูกค้าที่แหวนประดับดูแลอยู่จะเป็นใคร ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็อย่าคิดว่าเขาจะสน

ก็บอกแล้วว่าถ้าคนอย่าง ศิลา มหาศักดิ์ ถ้าต้องการอะไรสักอย่างขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีทางหรอกที่จะไม่ได้อย่างต้องการ ของแบบนี้ ‘คุณอิงฟ้า’ แม่เขาสอนมาดีทีเดียว เรื่องที่ต้องทำอย่างไรถึงจะได้ทุกอย่าง

มุมปากหนายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเอ่ยลาเกศรา ตาคมเหลือบมองไปที่หน้าคล้ามของบุรุษที่อยู่เบื้องหลังของหญิงสาว พากรผู้น่าสงสารที่กำลังจะถูกกลั่นแกล้งอีกครั้ง แม้เขาจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลยก็ตาม

 

บางคนอาจจะคาดคิดว่าคนที่ศิลาจ้างบริษัท Even for you มาเป็นตัวกลางในการตามทวงหนี้ให้นั้นจะเป็นเรื่องยาก แต่ใครจะคิดว่ามันยากถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะพากรที่เกศรานั้นออกปากว่าไว้ใจหนักหนาถึงกับเหงื่อตก เมื่อเข้าวันที่สามที่เขาเข้ามานั่งดูบัญชีของคลับที่ศิลาเป็นเจ้าของ แล้วพบกับรายการ ‘ค้างจ่าย’ ที่ยาวเหยียด แม้จะมีการสรุปยอดทุกวัน แต่กลับมีบิลที่ยังไม่ได้รับการชำระจากลูกค้าอยู่รายหลายทีเดียว

แต่ละคนที่ค้างคำระนั้นก็มีตัวเลขที่ค่อนข้างสูง เป็นตัวเลขห้าหลักบ้าง หกหลักบ้าง จนพากรนั้นนึกสงสัยว่าร้านของศิลายังคงอยู่ได้ยังไงในเมื่อมีคนค้างชำระเงินเยอะขนาดนี้ ซึ่งถ้ารวมๆ กันให้ดีทั้งรายเล็กรายใหญ่แล้วก็คงเป็นตัวเลขถึงแปดหลักเลยทีเดียว เมื่อพากรถามกึ่งบ่นกับผู้จัดการร้านที่ชื่อว่าโอ้ ไอ้หนุ่มนั่นก็เพียงตอบกวนๆ ว่า

“รายได้ยังพอมีอยู่ไงพี่ เงินพวกนี้มันรวมกันหลายเดือน คนที่ค้างก็หน้าเดิมๆ นั่นแหละ”

และนั่นหมายความว่าพากรต้องทวงนี้จากคนคนเดียวเป็นตัวเลขถึงเจ็ดหลัก และคงไม่ต้องทายกันหรอกว่าคนที่ค้างชำระเงินค่าเหล้ายาสูงถึงเพียงนี้เป็นใคร

รายแรกนั้นเป็นพระเอกหนุ่มที่เคยโด่งดังมากเมื่อสามปีก่อนเห็นจะได้ ก่อนจะมีข่าวเรื่องไม่จ่ายภาษีอะไรสักอย่าง พากรก็ไม่แน่ใจ จากนั้นชื่อเสียงนักแสดงผู้นี้ก็ค่อยๆ หดหายไปตามกาลเวลา ส่วนรายหลังนั้นพากรไม่แน่ใจนักว่าเขาเป็นใคร แต่จากที่อ่านนามสกุลก็พอจะคุ้นๆ อยู่บ้าง คงจะเป็นลูกคนใหญ่คนโตเหมือนเดิมนั่นแหละ

ตลอดเวลาที่พากรมานั่งทำงานที่ร้านของศิลา เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของนายจ้างหนุ่ม พอจะปรึกษาเรื่องสำคัญ ศิลาก็มักจะส่งมือขวาที่ชื่อโอ้ของเขามาแทนเสมอ ทั้งๆ ที่เขาเคยบอกให้รู้แล้วว่าเด็กโอ้นี่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ก็เหมือนว่าศิลาจะไม่ได้สนใจ เพราะครั้งต่อมาคนที่มาประชุมกับเขาก็ยังเป็นโอ้เหมือนเดิม

แม้จะไม่อยากคิด แต่พากรก็ต้องยอมรับว่าการกระทำของศิลาทำให้เขาไม่พอใจนิดๆ และอดคิดไม่ได้ว่าศิลานั้นไม่สนใจที่จะตามหนี้มูลค่ามหาศาลของเขาจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วชายหนุ่มจาก Even for you ก็ปัดความคิดนี้ออกไปเสีย เพราะระลึกได้ว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นไร้สาระเพียงใด เพราะไม่มีเหตุผลเลย ศิลายอมจ่ายเงินให้บริษัท Even for you ไปก้อนโต ถ้าชายหนุ่มไม่อยากได้เงินคืน แล้วจะอยากได้อะไร...

หลังจากวกกลับมาตั้งหน้าตั้งตาตามทวงหนี้ให้แก่ร้าน The Rock อย่างจริงจัง โดยการสั่งระงับเครติดของลูกหนี้ทุกคน เพียงคืนแรกที่ใช้ไม้นี้ พนักงานในร้านก็โดนกันเสียอ่วม เพราะลูกค้าประจำที่เป็นหนี้นั้นโวยวายใหญ่โตหลังจากทราบว่าพวกเขาไม่เหลือเครดิตที่จะใช้ที่ร้านแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะชำระเงินที่ติดค้างไว้จนครบเรียบร้อยเสียก่อน

และนั่นทำให้แขกหลายๆ คนเกิดความอับอาย รายหนึ่งถึงขั้นกล้าลุกขึ้นมาโวยวาย และเกือบจะลงไม้ลงมือกับพนักงานเสิร์ฟที่เป็นเพียงนักศึกษาเลยทีเดียว แต่โชคยังดีที่ศิลานั้นพุ่งตัวเข้ามาขวาง แล้วสั่งสอนชายคนนั้นด้วยสองหมัดและสองเท้าได้ทันเสียก่อน คนของเขาจึงไม่ต้องเจ็บตัว

แต่ฝ่ายที่กล้ากร่างในร้านของ ‘น้องหิน’ ก็ถูกสั่งสอนไปเพียงเบาะๆ เท่านั้น โดนหามส่งโรงพยาบาลแล้วก็คงหยอดน้ำข้าวต้มเพียงไม่กี่วันก็คงจะกลับมาซ่าได้เหมือนเดิม

ส่วนคนที่คิดมาตรการอย่างพากรนี่สิร้อนๆ หนาวๆ เมื่อวันต่อมาที่เขามาทำงานและได้รับแจ้ง ‘ผล’ ของมาตรการที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อรับมือกับลูกหนี้ของศิลา ไม่มีคำต่อว่าจากนายจ้างหนุ่ม มีเพียงสายตาดุๆ ของศิลาเมื่อเรียกเขาไปพบในห้องทำงานบนชั้นลอยของร้าน ประโยคสั้นๆ เพียงไม่กี่คำที่ทำให้พากรต้องคอตกกลับมาที่ Even for you

‘คุณกลับไปได้แล้ว คุณเกดบอกผมว่าเขาจะส่งคนอื่นมาแทน...’

 

เกศรารับทราบข่าวที่แผนการของลูกน้องเธอล้มเหลวด้วยความแปลกใจและรู้สึกเสียหน้า ในบรรดาลูกน้องของเธอ แม้ว่าพากรจะยังเทียบคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่เธอก็ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มีความสามารถขนาดที่ศิลาเอ่ยมา เท่าที่ฟังดูแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้เอ่ยปากออกมาตรงๆ แต่หญิงสาวก็รู้ถึงสิ่งที่ศิลาต้องการจะสื่อสารดี

เขาต้องการคนอื่นที่ไม่ใช่พากร แล้วจะเป็นใครล่ะ คนในบริษัทของเธอยิ่งน้อยๆ อยู่ พิศาเธอก็ไล่ออกไปแล้วเพราะสร้างเรื่องงามหน้าเอาไว้ เบบี๋ก็เป็นเพียงเด็กฝึกงาน หวังอะไรด้วยไม่ได้มาก คนอื่นๆ ก็วิ่งวุ่นทำงานเก่าของตัวเองจนหัวปั่น ว่างอยู่ก็มีพากร แต่คนนั้นก็โดนศิลาหมายหัวเสียแล้ว

แล้วนี่เธอจะทำยังไงดี เกศราหันมองรายชื่อของคนในบริษัทแล้วถอนหายใจ แต่ละชื่อล้วนเป็นสีแดง บ่งบอกว่ามีงานที่ต้องทำอยู่ทั้งนั้น ตาคมกริบไล่ลงมาที่รายชื่อสุดท้ายซึ่งเป็นชื่อของแหวนประดับ แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความหนักใจ

แหวนประดับอีกแล้ว หากไม่มีพิศาสักคน คนที่ถูกเธอใช้งานเหมือนเป็นทาสก็มีเพียงแหวนประดับนี่แหละ เกศราเม้มปากแน่น

ถ้าถามว่าเธอสงสารแหวนประดับไหม...ก็คงต้องบอกว่าสงสารจนไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่เมื่อเหลือบเห็นแฟ้มงานของ ศิลา มหาศักดิ์ เกศราก็ตัดสินใจได้

‘งานนี้งานสุดท้ายแล้วแหวน...พี่สัญญาว่าหากงานนี้เรียบร้อยแล้ว พี่จะให้เราลาพักร้อน ต่อให้เราไม่ลา พี่ก็จะบังคับให้เราหยุดให้ได้...’

 

ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ แหวนประดับจะกลับมายังไร่ที่จันทบุรีของตน แต่เพราะเธอทำงานได้เรียบร้อยและเป็นที่พอใจของลูกค้า วันศุกร์นี้แหวนประดับจึงไม่ต้องเข้าบริษัท และขับรถตรงมาที่ไร่ได้เลยตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะมาถึงนี่ก็สายโด่งแล้ว

บ้านไม้หลังใหญ่ต้อนรับแหวนประดับด้วยความสงบเหมือนเช่นทุกครั้ง หญิงสาวขับรถเข้าไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านที่ประจำของเธอ ไม่นานสาวน้อยหน้าใสในชุดสบายๆ ก็วิ่งจี๋ออกมารับพร้อมเสียงตะโกนก้อง

“พ่อ! พี่แหวนมา!”

“เสียงดังทำไมกล้วย เดี๋ยวลุงชิดแกก็หัวใจวายหรอก” แหวนประดับเอ่ยปากดุเด็กสาวอย่างไม่จริงจัง

ฝ่ายนั้นเองก็ดูไม่เกรงกลัวเธอเท่าไหร่ เพราะกสิมาปรี่เข้ามาหยุดข้างกายเธอ ชะโงกหน้าเข้าไปมองในรถ ปากก็ถามว่า

“ไม่มีของฝากหรือพี่แหวน ขนมเหมือนอย่างคราวก่อน...กล้อยช้อบ...ชอบ”

“ไม่มีหรอก ว่างพี่ก็มาบ้านเลย ไม่ได้ซื้อของฝาก โทษที” แหวนประดับอมยิ้ม

กล้วยเป็นเด็กวัยรุ่นที่ควรจะได้ออกไปเที่ยวห้างในเมืองบ่อยๆ ก็จริง แต่เพราะว่างานในไร่ที่แหวนประดับฝากให้ลุงชิดดูแล แลกกับการที่เธอส่งเสียกสิมาให้เรียนหนังสือ ทำให้เด็กสาวนั้นไม่กล้าออกไปเที่ยวเตร่ ด้วยเกรงใจพ่อและผู้ปกครองอย่างแหวนประดับ

“พี่พิศาไม่ฝากอะไรมาให้หนูหรือคะ” กล้วยท้วงอีก กล้าถามถึงเพื่อนสนิทของแหวนประดับ เพราะพิศานั้นมักจะฝากของใช้จุกจิกมาให้เธอเสมอ แลกกับการที่เธอต้องบังคับให้แหวนประดับนั้นขนทุเรียนจากไร่ไปส่งถึงบ้าน และที่ผ่านมากล้วยก็ทำงานคุ้มราคาจ้างทุกครั้ง ยิ่งของที่พิศาฝากมาให้เธอนั้นแพง...จำนวนหมอนทองก็จะเยอะเป็นพิเศษ

“คราวนี้ไม่มีจ้ะ แต่คราวหน้าคงไม่พลาดหรอก” แหวนประดับยิ้ม เพราะครั้งนี้เธอไม่ได้บอกเพื่อนสนิทว่าจะกลับบ้าน หากพิศารู้หรือจะพลาดฝากของมาเป็นสินบนกสิมา “ว่าแต่เราเถอะ พรุ่งนี้วันหยุด ไม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนหรือ”

“ไม่ค่ะ วันจันทร์กล้วยมีสอบ ต้องอ่านหนังสือ” แม้ว่าแหวนประดับจะส่งกล้วยเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้หวังให้กสิมากลับมาที่ไร่ทุกวันหยุดเหมือนตัวเอง ถ้าเด็กสาวอยากไปเที่ยวตามประสาวัยรุ่น แหวนประดับก็ไม่เคยคิดจะตำหนิ แถมเงินที่จ่ายให้ทุกเดือนก็มากพอที่เด็กสาวจะใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องกังวล

“ม. หกแล้วใช่มั้ย” แหวนประดับส่งกระเป๋าให้เด็กในความดูแล อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วยถือพร้อมกับยิ้มตาหยี พยักหน้ารับจนผมยาวที่ถูกรวบไว้กระจาย

“ค่ะ เทอมหน้าก็ต้องตระเวนสอบแล้ว...” เสียงสดใสนั้นแจ่มชัดอยู่ในตอนแรก ก่อนแผ่วเบาในตอนท้ายเมื่อต้องเอ่ยเรื่องสำคัญ “คงต้องรบกวนพี่แหวนเรื่องเงินค่าสมัครสอบ...”

“อื้อ จะใช้เมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” คนที่ต้องดูแลเรื่องเงินของกสิมามาตั้งแต่เด็กสาวเข้าเรียนมัธยมปลายพยักหน้าอย่างไม่คิดอะไรมาก ผิดกับคนฟังที่ร้อนๆ หนาวๆ

“เงินที่พี่แหวนให้ทุกเดือนหนูก็พอมีอยู่ค่ะ แต่ว่าสมัครสอบแต่ละครั้งก็เยอะเหลือเกิน แล้วก็ต้องสอบหลายรอบ ไหนจะค่ารถ ค่าที่พัก กล้วยกลัวว่า...” “ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า แค่เราตั้งใจสอบก็พอ...” แหวนประดับยิ้มอย่างเข้าใจ สมัยเธอไม่ต้องวิ่งสอบวุ่นวายหลายครั้งอย่างเด็กสมัยนี้ แต่ก็พอรู้มาบ้างว่าหากต้องการเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ในยุคนี้จะต้องสอบเก็บคะแนนหลายครั้ง “คิดไว้หรือยังว่าอยากเข้าเรียนที่ไหน...เข้ามหา’ลัยแถวนี้หรืออยากเข้าไปเรียนในกรุงเทพฯ”

“ตอนแรกอยากจะอยู่แถวนี้ค่ะ ใกล้พ่อ” กสิมาบอกเบาๆ ขณะเดินเคียงแหวนประดับเข้าไปในตัวบ้าน “แต่พ่ออยากให้เรียนที่ดีๆ เลยจะลองสอบที่กรุงเทพฯ ดู” “คะแนนดีอย่างเราจะเข้าที่ไหนก็ได้” แหวนประดับว่า ยิ้มจริงใจให้คนยิ้มหวานอีกคน นอกจากส่งเงินค่าเทอมให้แล้ว แหวนประดับก็ทำหน้าที่ผู้ปกครองของเด็กสาว ด้วยการตรวจเช็กคะแนนสอบของกสิมาทุกครั้ง “อ้าว ลุงชิดทำไมเดินอย่างนั้นคะ”

“สวัสดีครับคุณแหวน” ชายที่แหวนประดับร้องทักนั้นแก่มากแล้ว ผมของเขาขาวโพลน แต่ก็ยังแข็งแรงพอที่จะเดินเหินไปไหนต่อไหนเองได้ แม้แต่ไร่ขนาดสองร้อยไร่ของแหวนประดับ ชายที่ชื่อชิดกับคนงานเพียงไม่กี่คนก็ดูแลทุกอย่างได้ “พอดีว่าลื่นตอนไปสวนทุเรียนน่ะครับ เลยเจ็บข้อนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรมากครับ...ไม่กี่วันก็คงหาย”

“อ้าว แล้วนี่ยังเข้าสวนอยู่หรือคะ ทำไมไม่พักอยู่ที่บ้าน”

“พ่อดื้อค่ะพี่แหวน กล้วยห้ามก็ไม่ฟัง” พอได้ทีกสิมาก็ยื่นหน้าไปฟ้องเจ้าของไร่ตัวจริงเสียงจริงทันที

“ผมมันคนไร่ครับคุณแหวน จะให้นั่งๆ นอนๆ เฉยๆ คงอึดอัดตาย” ชิดยิ้มแหยเมื่อเห็นตาคมของแหวนประดับ “เข้าสวนไปก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ ไปคุมเด็กๆ มันให้ทำงานเท่านั้นเอง”

พอมาถึงตรงนี้ แหวนประดับก็เพียงพยักหน้าเบาๆ ระลึกได้ว่าวันนี้เป็นศุกร์ก่อนสิ้นเดือน ซึ่งเป็นวันที่ต้องจ่ายเงินให้คนงาน แน่นอนว่าเธอจะมาจ่ายเงินเองทุกครั้งเพราะไม่อยากให้มีปัญหาว่าลูกจ้างคนนั้นได้จับเงินมาก คนนี้เบิกไปก่อนระหว่างเดือน ร้อยแปดคำพูดที่หญิงสาวเคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยที่แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่

‘คุณแหวน’...แม่ของเธอย้ายมาอยู่ที่นี่หลังจากได้รับสมบัติจากพ่อของแหวนประดับมา ตอนที่ได้รับมาก็มีเพียงที่เปล่าๆ ไม่กี่สิบไร่ แต่เพราะน้ำอดน้ำทนของมารดา เมื่อท่านสิ้นไปมรดกที่แหวนประดับได้เป็นที่ดินหลายร้อยไร่ด้วยกัน

เพียงคิดถึงผู้เป็นมารดา หน้างามของแหวนประดับก็หมองลง ก่อนเสียงของชิดจะเป็นสิ่งที่สะกิดเธอให้กลับมามีสติกับปัจจุบัน

“ปลัดเจต...เธอมาหาคุณแหวนสัปดาห์ก่อน ผมบอกให้กล้วยมันโทร. ไปบอกคุณแหวนมันก็ไม่ยอมโทร.”

แหวนประดับเหลือบมองคนที่ปิดปากเงียบเรื่องแขกที่มาหาเธอ แต่กสิมากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วบอกว่า

“ก็กล้วยเกรงใจพี่แหวนนี่นา ปลัดของพ่อต่างหากที่ไม่รู้จักเกรงใจคนอื่น จะมาอะไรนักหนา ถ้าพี่แหวนกลับมาเขาก็ต้องรู้อยู่แล้ว เลี้ยงคนไว้ในไร่เราตั้งขนาดนั้น”

“กล้วย...” แหวนประดับปรามเด็กสาวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับถิรเจต หรือปลัดเจตที่ใครๆ เรียกจนติดปากตั้งแต่วันแรกที่ชายหนุ่มมาหาเธอที่ไร่ จะเพราะเขามาติดต่อขอซื้อที่ดินสักไร่สองไร่เพื่อปลูกบ้าน หรือเพราะออกอาการสนใจเธอ แหวนประดับก็ไม่แน่ใจว่าเหตุผลไหนที่ทำให้กสิมานั้นไม่ชอบขี้หน้าถิรเจต

“ก็มันจริงนี่นาพี่แหวน พอเราบอกว่าไม่ขายที่ให้ ก็ยังจะมาเฝ้า...ไม่รู้ว่าหวังอย่างอื่นหรือเปล่า” กสิมาเอ่ยอย่างคนที่มีอคติ สายตาที่ถิรเจตมองพี่แหวนของเธอ ทำไมกสิมาจะไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่หากเธอยังอยู่ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะมีโอกาสเข้าใกล้พี่แหวนของเธอ “คนอะไรหน้าด้านหน้าทน”

“กล้วย...อย่าพูดอย่างนั้น” แหวนประดับดุกสิมาเสียงเข้มจัด ทำให้คนตัวเล็กนั้นหงอลงได้ถนัดตา “คุณเจตเขาเป็นผู้ใหญ่ ไม่ชอบเขาก็อย่าไปพูดถึงเขาแบบนี้ มันไม่ดี” “ค่ะพี่แหวน” กสิมาพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความจำยอม แต่ในใจนั้นกลับคาดโทษคนที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่แหวนดุเธอ รอก่อนเถอะปลัดเจต...มาที่ไร่เมื่อไหร่ละก็ เธอจะสั่งสอนเขาให้สมแค้น โทษฐานที่ทำให้เธอต้องโดนดุ

“เอากระเป๋าขึ้นไปเก็บในเซฟไป พี่จะไปดูสวนพร้อมลุงชิดสักหน่อย” แหวนประดับบอกกสิมา พลางพยักหน้าบุ้ยใบไปที่กระเป๋าในมือ

เพียงเท่านั้นกสิมาก็ตาโต...รู้ได้ทันทีว่าอะไรอยู่ในกระเป๋าเป้ใบที่ตนถืออยู่

“จัดการล็อกเซฟให้ดีนะ แล้วอย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ ตอนเย็นเราต้องมาช่วยพี่ทำบัญชี”

“ค่ะพี่แหวน” น้ำเสียงของแหวนประดับไม่อ่อนโยนขึ้น กสิมาจึงยังคอตกเมื่อเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน รู้จักแหวนประดับดีว่าหญิงสาวนั้นโกรธคนยาก แต่ถ้าโกรธแล้วก็จะเด็ดขาดและโกรธนาน จนบางครั้งคนโดนโกรธก็ยังท้อใจที่จะง้อ

เพียงลูกสาวเดินพ้นไป ‘ลุงชิด’ ผู้ที่แหวนประดับจะเดินไปดูสวนพร้อมกันนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา ถอนหายใจเสียงดังเมื่อเอ่ยกับผู้เป็นนายอย่างพ่อที่จนปัญญากับความรั้นของลูกสาว

“ไม่รู้ว่าคุณปลัดเขาไปทำอะไรให้กล้วยมันชังน้ำหน้าครับคุณแหวน ถ้ามาเจอกันเมื่อไหร่ ผมละประสาทจะกิน”

“คุณปลัดคงทำกรรมหนักมั้งคะลุงชิด ถึงโดนกล้วยเกลียดขี้หน้า” แหวนประดับว่ายิ้มๆ ไม่ติดใจเรื่องถิรเจตแม้แต่น้อย

“ผมเกรงใจคุณปลัดแกน่ะครับคุณแหวน แกเป็นคนใหญ่คนโต เกิดกล้วยมันทำเขาโกรธขึ้นมา คนไร่อย่างผมหรือจะช่วยมันได้” ชิดบ่นลูกสาวไปตามเรื่องตามราว

“กล้วยกลับมาแค่สุดสัปดาห์ไม่ใช่หรือคะลุง...คงไม่มีอะไรให้ห่วงมากหรอก”

“เป็นอย่างนั้นก็ดีสิครับคุณแหวน” ชิดทำตาโต เหล่มองหน้านายอย่างลังเล สุดท้ายก็ไม่ได้เล่าวีรกรรมของลูกสาวตัวแสบครั้งล่าสุดที่ถิรเจตมาให้แหวนประดับฟัง “คุณแหวนจะเข้าไร่ใช่มั้ยครับ”

“ค่ะ ก็เข้าไปดูตามเรื่องตามราวนั่นแหละค่ะ เผื่อว่ามีที่ให้เอาผลไม้ใหม่ๆ มาลงสวน” คำว่าสวนของแหวนประดับนั้นทำให้ชิดนิ่วหน้า ถึงแม้จะรู้สึกว่าที่กว่าสองร้อยไร่ไม่ควรจะเรียกว่าสวนแล้วกระมัง แต่เขาก็เป็นเพียงลูกจ้างจึงทำหูทวนลมเสีย “บ่ายๆ ค่อยมาจ่ายเงินคนงาน”

“คุณแหวนถอนเงินมาเรียบร้อยแล้วหรือครับ” ชิดทำตาโตเมื่อแหวนประดับพยักหน้าเบาๆ ยามเดินไปหยิบกุญแจรถ คนเฝ้าไร่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “พวกคนงานคงดีใจจนเนื้อเต้น เงินเดือนออกเร็วงวดนี้”

“จะได้มีเงินทันซื้อหวยใช่มั้ยคะ” แหวนประดับท้วงอย่างรู้ทัน คนงานในไร่เดือนๆ หนึ่งจะมีอะไรสนุกตื่นเต้นเท่าการลุ้นหวยอีกเล่า

“แหม...คุณแหวนนี่รู้ทันจริงๆ ครับ”

“ก็แหวนโตมาในไร่นะคะลุงชิด ถ้าไม่รู้สิคะแปลก”

“จริงครับ” ชิดหัวเราะร่วน ลืมเรื่องลูกสาวตัวแสบของเขาไปชั่วขณะ “ผมนี่ลืมอยู่เรื่อยเลยว่าแต่ก่อนคุณแหวนก็อยู่ที่ไร่ ยิ่งสวยเหมือนคนกรุง ผมก็เลยลืมไปสนิทใจ”

“หมงเหมือนอะไรกันคะ ตัวดำปี๋ขนาดนี้จะเป็นคนกรุงได้ยังไง” แหวนประดับยิ้มขำ ส่ายหน้าเบาๆ กับคำชมนั้นแล้วสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เดินตรงไปที่รถเพื่อขับเข้าไปดู ‘สวน’ อย่างที่เธอตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น