2
เรื่องยุ่งๆ
คนที่ศิลากล่าวหาว่าเอาเพื่อนของเขาไปขายนั่งตัวสั่น หลบมุมอยู่ในร้านกาแฟเจ้าประจำที่แหวนประดับชอบมานั่งอ่านหนังสือในวันหยุด สภาพของเบบี๋นั้นแทบดูไม่ได้ เด็กสาวหน้าบวม ตาช้ำ และหวาดระแวงราวกับกลัวว่าใครจะมาเอาชีวิตเธอ ซึ่งนั่นทำให้แหวนประดับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ตั้งแต่รู้จักเด็กสาวมาหลายเดือน เธอไม่เคยเห็นเบบี๋เป็นเช่นนี้มาก่อน เธอจึงต้องเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าไปหาคนตัวเล็กด้วยความเป็นห่วงทันที
“เบบี๋...เกิดอะไรขึ้น”
“พี่แหวน...” เพียงเห็นหน้าแหวนประดับ ดวงตากลมของเด็กสาวก็เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา อาการสะอื้นที่เธอพยายามสะกดเอาไว้นั้นเริ่มกลับมา ไหล่บางสั่นเทานิดๆ ด้วยความหวั่นใจ “ช่วยหนูด้วยค่ะ คุณศิลาเขาจะฆ่าหนู”
“อะไรกัน คุณศิลาเขาจะทำอย่างนั้นไปทำไมหือ” แหวนประดับยกมือขึ้นลูบไหล่เด็กฝึกงานในความดูแลของตนอย่างปลอบขวัญตามวิสัยก่อนที่เธอจะรู้ตัวด้วยซ้ำ หญิงสาวก็เป็นอย่างนี้ ขี้สงสารจนบางครั้งก็เป็นจุดอ่อน ซึ่งพิศามักค่อนขอดเธอเช่นนั้นเสมอ
“ก็หนู...หนู...” เด็กสาวเงยหน้ามองแหวนประดับแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบตา ด้วยรู้ตัวดีว่าเธอหาเรื่องใส่ตัวทั้งหมด ไม่ใช่ความผิดของใครอื่น “หนูเอาคุณฌอห์นไปขาย...ละ...แล้ว...”
“เบบี๋!” แหวนประดับเรียกชื่อเด็กสาวด้วยความโกรธ ดวงตาคมเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างไม่อาจจะเก็บซ่อน พลันมือที่ลูบไหล่ของเด็กสาวก็ร่วงลงมาอยู่ข้างตัว
“เรา...ทำอะไรนะ” แหวนประดับถามเผื่อว่าเธอจะหูฝาดไป แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวังเมื่อเบบี๋พยักหน้าแรงๆ แล้วเอ่ยคำพูดเดิมว่า
“หนูเอาคุณฌอห์นไปขาย...นี่เงินค่ะ สองแสน”
แหวนประดับก้มลงมองซองสีน้ำตาลหนาเตอะตรงหน้าด้วยแววตาเหลือเชื่อ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าของเบบี๋ด้วยแววตาที่ไม่ต่างกันนัก เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องที่ศิลาบุกมากล่าวหาเธอถึงบ้านนั้นจะเป็นความจริง เบบี๋หลอกฌอห์นไปขายจริงๆ ด้วย
เรี่ยวแรงในกายของแหวนประดับแทบไม่เหลืออยู่ พอๆ กับสติสัมปชัญญะของหญิงสาว นี่เธอจะทำอย่างไรต่อไปดี แหวนประดับหลับตาลง...พยายามรวบรวมสติของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางอยู่เกือบสามนาทีเธอจึงสูดลมหายใจลึก เม้มปากแน่น ก่อนจะเอ่ยปากถามเบบี๋อีกครั้ง
“เราขายคุณฌอห์นให้ใครเบบี๋ ใครเป็นคนจ้างให้เราทำงานแบบนี้”
“คุณพลอยไพลินค่ะ”
ได้ยินเพียงเท่านั้นแหวนประดับก็เข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้งทันที ผู้หญิงที่ชื่อพลอยไพลินคนนี้เธอรู้จักดี เพราะคนแรกที่พลอยไพลินว่าจ้างให้เป็นคนเอาฌอห์นใส่พานให้หญิงสาวก็คือเธอนี่แหละ แต่โชคดีที่เกศรา...เจ้านายของเธอเลือกที่จะไม่รับงานนี้ แหวนประดับจึงรอดตัวไป แต่ไปไงมาไงไม่รู้ ทำไมสุดท้ายแล้วพลอยไพลินถึงได้หาทางเข้าถึงตัวฌอห์นจนได้ ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
เมื่อหวนคิดเรื่องงาน แหวนประดับก็อดคิดถึงความยากลำบากหลังจากเธอเลือกย้ายมาทำงานกับเกศราที่ Even for you เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ คราวแรกที่ได้ยินคอนเซปต์ของบริษัทที่บอกว่า ‘รับทำงานทุกอย่างบนโลกนี้’ เธอก็คิดว่าคงเป็นงานง่ายๆ ตลกๆ แต่ที่ไหนได้ ยิ่งนับวัน เมื่อบริษัทโตขึ้นและมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายขึ้น งานตลกๆ ก่อนหน้านี้ก็เริ่มยากและซับซ้อนขึ้น จนทำให้แหวนประดับเกือบถอดใจไปหลายครั้งเลยทีเดียว
ทั้งงานตามจับภรรยาน้อย หาหลักฐานการฟ้องหย่า ล่าสุดก็กรณีของพลอยไพลินที่บอกให้เธอจับผู้ชายให้นั่นละที่ทำให้แหวนประดับอยากจะลาออก เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงที่อยากได้ผู้ชายมากจนต้องว่าจ้างบริษัทไปจัดฉากให้ได้ลงเอยกัน
ความรักหนอความรัก...ซับซ้อนวุ่นวาย น่าปวดหัวขนาดนี้ ทำไมใครๆ ถึงอยากมีกันนัก
“พี่แหวน...พี่แหวนช่วยหนูได้มั้ยคะ”
เสียงสั่นๆ ของเบบี๋เรียกให้สติของแหวนประดับกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง เธอมองหน้างามของเด็กในความดูแลของตัวเองแล้วถอนหายใจอย่างลำบากใจ
“หนูไปหาพี่แหวนตอนเช้า...หนูเจอคุณศิลาเลยรีบออกมาเพราะกลัว...”
“แล้วปล่อยให้พี่รับมือกับคุณศิลาอยู่คนเดียวใช่มั้ย” แหวนประดับท้วงพลางทำท่าค้อน ทำให้เด็กสาวหงอลงอีก แล้วคนใจอ่อนเป็นทุนเดิมก็ชิงพูดก่อนที่เบบี๋จะร้องไห้อีกครั้ง “เฮ้อ...แต่เอาเถอะ เรื่องมันเลยเถิดมาจนขนาดนี้ คงทำอะไรไม่ได้แล้วละ”
“ว่าแต่เราน่ะ...ขายคุณฌอห์นเขาสำเร็จหรือเปล่า” ถามออกไปแล้วก็เป็นตัวเองที่กระดากอายเสียเอง “พี่หมายถึงว่า...คุณฌอห์นเขาได้ตกล่องปล่องชิ้นกับคุณพลอยไพลินทุกขั้นทุกตอนหรือเปล่า”
“คงจะไม่ค่ะ” เบบี๋บอกเสียงหวาดๆ เธอเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้เหมือนกัน ด้วยตัวเธอนั้นเผ่นออกมาจากโรงแรมที่เกิดเหตุทันทีที่ส่งต่อฌอห์นให้ผู้ว่าจ้างของตนเรียบร้อย “เพราะถ้าเรียบร้อยคุณศิลาคงไม่รู้เรื่องแล้วมาโวยวายพี่แหวนถึงบ้านอย่างนี้ เราจะทำอย่างไรกันดีคะพี่แหวน...ไหนจะคุณศิลาอีก”
แหวนประดับเม้มปากขณะฟังเรื่องราวจากเบบี๋ ก่อนจะปรายตามองใบหน้าซีดเซียวของเด็กสาวเมื่อได้ยินคำว่า ‘เรา’ แบบนี้ก็หมายความว่าเธอถูกเหมารวมว่าเป็นพวกเดียวกับเบบี๋ไปเรียบร้อยแล้วน่ะสิ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันดี...เมื่อเช้านี้ก็ครั้งหนึ่งแล้วที่ศิลาบุกมา
และเท่าที่ฟังจากเบบี๋ ชายหนุ่มคงไม่รามือง่ายๆ หรืออย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะหาตัวคนที่เอาเพื่อนสนิทของเขาไปขายเจอนั่นแหละ แล้วแหวนประดับจะใจแข็งส่งเบบี๋ไปให้ผู้ชายร้ายกาจอย่างศิลาทำร้ายได้ลงคอหรือ แม้จะรู้ว่าครั้งนี้เบบี๋ทำผิด แต่แหวนประดับก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด ครู่ใหญ่ทีเดียว ก่อนจะทำลายความเงียบด้วยคำพูดง่ายๆ ว่า
“เราไปบ้านพี่ไม่ได้แล้วละ เพราะคุณศิลาคงจะมาอีกแน่ๆ”
“หนูก็คิดอย่างนั้นค่ะ” เบบี๋พึมพำ ปาดน้ำตาป้อยๆ ก่อนเลื่อนซองเอกสารซึ่งมีเงินสดจำนวนมากไปให้แหวนประดับ “แล้วนี่...”
“เราเก็บไว้ก่อนเถอะ” แหวนประดับมองแล้วแนะนำ “อย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไรตอนนี้ ยิ่งคุณศิลาคอยจับผิดพวกเราอยู่ เรายิ่งต้องระวัง”
“ค่ะพี่แหวน” เบบี๋พยักหน้า ยอมเก็บเงินที่เป็นหลักฐานมัดตัวเธอนั้นลงไปในกระเป๋าเป้ใบเก่งตามคำแนะนำของแหวนประดับทันที
“หอเราก็กลับไปพักไม่ได้แล้ว อย่างนี้จะทำอย่างไรกันดี” แหวนประดับพึมพำ พยายามหาทางออกเรื่องที่พักให้เด็กสาว เพราะนอกจากศิลาที่ตามราวีเบบี๋แล้ว ยังมีเจ้าหนี้ของเด็กสาวที่ตามราวีกันมานานจนเบบี๋กลับไปพักที่หอไม่ได้ ต้องระเห็จมาขอค้างบ้านเธอหลายวัน แต่เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น บ้านเธอนั้นเบบี๋ก็คงกลับไปพักไม่ได้เช่นเดียวกัน “เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวเราไปพักบ้านพี่เกดก่อน...พี่จะคุยกับพี่เกดเอง ไม่ต้องห่วง”
“ขอบคุณค่ะพี่แหวน” เบบี๋ยกมือไหว้หญิงสาวด้วยความซาบซึ้งใจและรู้สึกขอบคุณ รู้ดีว่าหากไม่มีแหวนประดับสักคนแล้วเธอต้องลำบากกว่านี้อย่างแน่นอน “ที่อุตส่าห์ช่วยหนู”
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรกันมากมายหรอก พี่รู้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้” แหวนประดับตัดบท เพราะเธอรู้จักพลอยไพลินคนที่ว่าจ้างเบบี๋ให้ทำเรื่องร้ายๆ เรื่องนี้ดี ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้ว่าคนอย่างเบบี๋แม้จะร้ายกาจ แต่ก็ตามคนเจ้าเล่ห์อย่างพลอยไพลินไม่ทันหรอก “เรายังเด็ก ทำอะไรพลาดไปก็จำไว้ รู้ไหม...จะได้ไม่พลาดแบบนี้อีก”
“ค่ะ พี่แหวน”
ด้านคนที่ทำให้แหวนประดับต้องระวังภัยให้เด็กฝึกงานในความดูแลของตนเป็นพิเศษนั้นหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาที่คลับ The Rock ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ ร่างสูงของศิลาก้าวลงมาจากรถยนต์ของตัวเอง หน้าบึ้งตึงฟ้องถึงความโมโหสมอารมณ์
และคนที่ทำให้เขาโมโหนั้นก็เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากแหวนประดับ แม่คนสวยแต่รูปคนนั้นนั่นแหละ...ไม่รู้เธอมีของดีอะไรติดตัว ถึงกล่อมให้พ่อของเขายอมกลับไปก่อนได้ ทั้งที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างเขาเกือบโดนกระทืบเสียแบนติดพื้น หลังจากนั้น...แหวนประดับก็ทิ้งเขาไว้ที่โรงพักเสียดื้อๆ ทำให้ศิลาต้องนั่งแท็กซี่กลับไปที่บ้านของหญิงสาว
กว่าจะกลับมาถึงที่ร้านของตัวเองก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมง เขาทั้งหิว ทั้งโกรธ และคันคะเยอแปลกๆ ในอก เมื่อคิดถึงท่าทางรีบร้อนของแหวนประดับตอนที่ออกจากโรงพัก เหมือนเธอมีนัดกับใครสักคน ให้ตายเถอะ...ใครกันวะที่นัดกับแหวนประดับจนเธอรีบร้อนแล้วทิ้งเขาไปอย่างนั้น
ศิลาอยากจะรู้นัก...
“ไอ้โอ้ๆ ไอ้โอ้โว้ย” ชายหนุ่มเงยหน้าตะโกนเรียกลูกน้องด้วยความหงุดหงิด หลังจากพยายามผลักประตูร้านแล้วพบว่ายังถูกล็อกจากด้านใน “ไอ้โอ้! มึงหายไปไหนวะ!” เรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะออกแรงกระชากประตูแรงๆ เพื่อระบายความหงุดหงิด “เปิดประตูให้กูหน่อยไอ้โอ้!”
“มาแล้วคร้าบ” โอ้เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบห้า แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเหี่ยวย่นไม่ต่างจากศิลา เพราะเขาร่วมบู๊เคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกพี่มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ด้วยโอ้นั้นลูกชายของคนรับใช้ในบ้านของศิลา ได้รับความเมตตาจากคุณท่านทั้งสองโดยส่งเสียให้เรียนหนังสือ พอเรียนจบศิลาก็ตัดสินใจจะเปิดคลับ ซึ่งเบ๊อย่างโอ้ก็ถูกดึงตัวมาช่วยงานทันที...จนตอนนี้จากเด็กในร้านโอ้ก็ได้เลื่อนขั้นมาเป็นผู้จัดการร้านเรียบร้อย “มาแล้วครับพี่หิน ใจร้อนไปได้”
“มึงจะล็อกร้านหาพระแสงอะไรวะ” เพียงเห็นหน้าลูกน้อง ศิลาก็ใช้โอ้เป็นที่ระบายอารมณ์ทันที “งานการไม่ทำหรือมึง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว” “เพิ่งบ่ายโมงครับพี่หิน” โอ้ตอบแล้วได้แต่ยิ้มแหย เขาอยู่กับศิลามานานจนรู้ว่าอาการพาลเช่นนี้ของผู้เป็นนายต้องรับมือเช่นไร อะไรที่ไม่ได้ดั่งใจนิดๆ หน่อยๆ ศิลาก็มักจะพาลคนโน้น ต่อยคนนี้เป็นเรื่องปกติ “จะรีบเปิดไปทำไมครับ รีบไปลูกค้าเขาก็มาดึกๆ อยู่ดี...”
“เอ๊ะ...ไอ้นี่...วอนนักนะมึง”
โอ้ไม่ได้วอนเวินอะไรหรอก เพียงแต่ศิลานั้นพาลพาโลเองเฉยๆ อะไรๆ จึงขวางตาเขาไปหมด แต่คนเป็นลูกน้อง ‘พี่หิน’ มาตั้งแต่จำความได้นั้นก็ไม่กล้าปากเก่งอะไรอีก เพียงรีบเปิดประตูร้าน The Rock ให้เจ้าของได้เข้ามาสมใจปรารถนา
“หาข้าวมาที หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
“ครับพี่” โอ้รีบวิ่งหายไปยังทิศทางที่เป็นห้องครัวของร้านทันที ในใจก็ภาวนาให้วันนี้พ่อครัวสักคนมาเร็วด้วยเถิด ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องให้เด็กในร้านวิ่งไปซื้อข้าวมาให้เจ้านายอารมณ์ร้ายแทน
ลับหลังลูกน้องที่เป็นผู้จัดการร้านและอดีตเด็กในบ้านแล้ว ศิลาก็ยังหงุดหงิดหัวใจเหมือนเดิม
เมื่อสมองของตนนั้นยังสงสัยถึงบุคคลที่แหวนประดับรีบร้อนไปหา กระทั่งกล้าทิ้งเขาเอาไว้อย่างนี้ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อยากรู้นักว่าคนคนนั้นเป็นใคร...จะสำคัญกว่าลูกชายของอดีตรัฐมนตรีอย่าง ศิลา มหาศักดิ์ มากเชียวหรือ แหวนประดับถึงเลือกไปหาคนคนนั้นมากกว่าจะอยู่เคลียร์ปัญหากับเขา
อย่าให้รู้แล้วกันว่ามันเป็นใคร...ถ้ารู้ละก็ เขาจะจับมันมาอัดให้หายแค้น เอาให้หายหงุดหงิดเลยคอยดู...โทษฐานที่แย่งความสนใจของแหวนประดับไปจากเขา
“พี่หินคะ...”
“อะไรอีกล่ะ” ตวาดเสียงเข้มกลับไป
ร่างบางของหญิงสาวที่มองเจ้านายอยู่นานสะดุ้งโหยง เธอหรือก็รอพบเขามาทั้งวัน กะว่าพอเจ้านายมา เธอจะรีบเข้ามารายงานเรื่องสำคัญก่อน เพราะไม่อยากโดนศิลารับประทานหัวของเธอแทนอาหารเที่ยง แต่ทำไมพอมาถึงศิลาก็องค์ลงเรียบร้อย ดูท่าคงจะองค์ลงตั้งแต่ก่อนเข้ามาแล้วกระมัง เพราะหน้าคมยับตั้งแต่ยังไม่ถึงตอนเย็นเลยนี่
“ใครจะตายอีกล่ะหว้า”
ลูกหว้าเม้มปากแน่น ปอดแหกขึ้นมาทันทีเมื่อระลึกได้ว่าเรื่องที่ตนต้องรายงานศิลานั้นไม่ใช่เรื่องที่มีใครตายหรอก แต่ถ้าเธอรายงานออกไปแล้ว ไม่แน่ว่าเธอนั่นแหละที่จะเป็นคนเสียชีวิต
“คือว่าหนูคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กเลยไม่ได้บอกพี่หินตั้งแต่แรก...” หญิงสาวออกตัวในทีแรก พลางหยิบไอแพดของร้านมาจากด้านหลัง ใช้นิ้วปัดหน้าจอแล้วส่งให้ผู้เป็นนายอ่านเนื้อหาในโซเชียลมีเดียเอง
ศิลาทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอ ก่อนจะยอมรับไอแพดในมือลูกน้องมาอ่าน ใจก็นึกค่อนแคะลูกหว้าที่ปล่อยให้เขาเสียเงินจ้างเจ้าหล่อนต่อเดือนไปตั้งมาก แต่กลับให้เขาอ่านเรื่องไร้สาระในอินเทอร์เน็ตเองเสียนี่ ก็เขาจ้างเธอมาทำหน้าที่จัดการกับเรื่องชื่อ ‘เสียๆ’ ของเขา ทำไมยังต้องให้เขามารับรู้เรื่องพวกนี้ให้ปวดสมองอีก เสียเวลาจริง
แต่เพียงกวาดตาอ่านเรื่องที่ถูกถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนบนหน้าเว็บเพจของร้านโดยตรง ศิลาก็มือไม้อ่อนแรง อยากจะกลั้นใจตาย...ทว่าเมื่อความตกใจหายไป ความโกรธก็เข้ามาแทนที่ พร้อมความอยากรู้ว่าใครมันกล้า...ใครมัน...
“ใครมันสอนแม่กูเล่นเฟซบุ๊กวะ!”
เพียงก้าวแรกที่เลิศศักดิ์เข้ามาในบ้านหลังใหญ่ของตนเอง หลังจากรีบบึ่งรถเพื่อไปจัดการปัญหาให้ลูกชายที่โรงพัก เขาก็ได้ยินเสียงแหลมบาดแก้วหูจากคู่ชีวิตต้อนรับเป็นอย่างแรก แต่กระนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นร่างเจ้าของเสียง
“ไอ้คนพวกนี้! กล้าดียังไงมาว่าน้องหินของฉัน!”
“อะไรอีกล่ะนั่น” นายพลเลิศศักดิ์หันไปหาคนสนิทที่นั่งก้มหน้าอยู่แทบพื้น ไม่เป็นห่วงภรรยาที่ร้องวี้ดว้ายราวกับมีใครเสียชิวิต เพราะเขาชินเสียแล้ว อยู่กับคู่ชีวิตของตนมาจะสามสิบปี ทำไมจะไม่รู้ว่านิสัยชอบโวยวายของภรรยานั้นเป็นสิ่งที่แก้ไม่หาย “ใครไปว่าน้องหินของเขาอีก”
“คนในเฟชบุ๊กครับ” มือขวารายงานให้ผู้เป็นนายฟังด้วยสีหน้าลำบากใจ เพราะไม่รู้ว่าตนควรพูดหรือเปล่า สุดท้ายแล้วด้วงก็ต้องกลั้นใจพูด ด้วยคนทั้งบ้านหมดปัญญาจะรับมือกับอารมณ์ของคุณนายแล้ว “เห็นหงุดหงิดมาตั้งแต่เช้าแล้ว ใครจะพูดอย่างไร...ห้ามให้วางมือถือก็ไม่ยอมครับ”
“บอกฉันเนี่ย...จะให้ฉันไปห้ามหรือ” คนเป็นนายพลและสามีของ ‘คุณนาย’ เขม้นมองหน้าคนสนิท “แกอยากให้ฉันตายเร็วๆหรือยังไงไอ้ด้วง” “โธ่...คุณท่าน” ด้วงโอดครวญ พอความหวังสุดท้ายย้อนถามมาเช่นนั้นเขาก็จนปัญญา “คุณท่านก็รู้ว่าผมไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่คุณนายท่านก็อารมณ์ร้ายเหลือเกิน...พวกเด็กๆ นั่งร้องไห้กันขรมแล้ว”
“ก็หาของให้เขากินสิ เดี๋ยวก็หายโกรธ” สามีคุณนายแนะด้วยสีหน้าราบเรียบ ถอดรองเท้าออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นสวมรองเท้าสำหรับสวมในบ้าน ตั้งใจจะเดินเข้าไปด้านใน ทว่าเสียงบ่นเบาๆ ของคนสนิทกลับทำให้เท้าของเขาหยุดนิ่งตรงหน้าประตู
“ถ้าคุณนายหายโกรธง่ายแบบนั้น ผมคงไม่หวังพึ่งคุณท่านหรอกครับ...” “จะมาหวังอะไร ฉันเคยทำอะไรถูกใจเขาหรือก็เปล่า” คนเป็นนายพลปรารภกับตัวเองเบาๆ “มีแต่จะโกรธยิ่งกว่าเดิมละสิไม่ว่า”
ถึงจะบอกคนสนิทให้เลิกหวังพึ่งตน แต่สุดท้ายแล้วเลิศศักดิ์ก็ยังเดินไปหาคนที่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง สีหน้าเขาเรียบสนิท
เพียงเห็นเงาร่างสูงของเจ้าของบ้านอีกคน เด็กๆ ในบ้านที่นั่งก้มหน้าก้มตาหลบหมอนอิงที่คุณนายปาเกลื่อนบ้านก็หน้าชื่นขึ้นมา...เล็กน้อย
“อิงฟ้า...” คนเสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อภรรยาของเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความหนักใจ เมื่อเห็นสภาพห้องนั่งเล่นเต็มตา
“อะไร” เจ้าของชื่อหันขวับ มองร่างสูงของสามีตาขวาง ไม่สนหรอกว่าเขาจะมียศใหญ่โตขนาดไหน ในเมื่อเขาอยู่ในบ้านของเธอ คุณหนูอิงฟ้า...ตั้งแต่สมัยสาวๆ ถือกฎที่ว่า บ้านของเธอ...เธอใหญ่ที่สุด ซึ่งใช้กับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้เป็นสามี “จะมาด่าอะไรอีกล่ะ จะโทษว่าสั่งสอนน้องหินไม่ดีอีกละสิ”
เพียงได้ยินถ้อยคำที่ศรีภรรยาเปล่งออกมาจากปาก เลิศศักดิ์ก็เบือนหน้าไปมองด้วงที่ตามมาแล้วยิ้มแหย ส่งกำลังใจให้เจ้านายเงียบๆ แล้วคนเป็นนายก็หันกลับมามองร่างเล็กแต่ฤทธิ์เดชมากมายของอิงฟ้าต่อ
“พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ไม่ต้องพูดฟ้าก็รู้หรอก” อิงฟ้าเอ่ยเสียงขึ้นจมูก ปรายตามองสามีของเธอ...เป็นครั้งแรกที่ยอมผละจากเฟซบุ๊ก สาเหตุที่ทำให้คนในบ้านอกสั่นขวัญแขวน “ด่าจนเบื่อจะฟังแล้ว”
“ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ลืมตัวไปครั้งเดียวเอง” เลิศศักดิ์ว่าเบาๆ ราวกับเกรงว่าภรรยาจะได้ยินเข้า แต่แม่ของศิลาเสียอย่าง ไม่ได้ยินก็ไม่ใช่อิงฟ้าแล้ว
“อย่าลืมบ่อยๆ แล้วกัน” ศรีภรรยาปากร้ายก้าวฉับๆ มาหยุดตรงหน้าสามี แบะปากใส่คนมากด้วยยศและศักดิ์อย่างดูแคลน “เพราะตัวเองไม่เคยเลี้ยงน้องหิน เก่งแต่ทุบ แต่ตี หึ”
ทิ้งคำพูดเชือดเฉือนเอาไว้ให้สามีเจ็บใจเล่นๆ แล้ว ‘คุณนาย’ ก็สะบัดหน้าพรืดเดินหนีไป ยกมือถือขึ้นมาก่นด่าคนในโซเซียลมีเดียที่อาจหาญเขียนถึง ‘น้องหิน’ ของเธอในทางที่ไม่ดีอีก คนพวกนี้จะต้องโดนสั่งสอน เธอจะทำให้พวกมันรู้ว่าลูกชายของ อิงฟ้า มหาศักดิ์ ไม่ใช่คนที่ใครจะมาเขียนด่าอย่างสนุกปากเช่นนี้ได้
“ขนาดทุบตีจนมือจะหัก เลือดฝั่งแม่ยังแรงขนาดนี้ ไม่ตีแล้วจะขนาดไหน” คนเหลือทนทั้งลูกทั้งเมียบ่นกับลมฟ้า ถลึงตามองหน้าคนสนิทที่ชื่อด้วงด้วยแววตาราวกับจะฆ่าให้ตาย
บอกแล้วใช่ไหมว่าเขาไม่เคยสู้อิงฟ้าได้ จะตอนหนุ่มตอนแก่ก็ต้องแพ้ให้ศรีภรรยาอยู่ร่ำไป
“ไป...รีบเก็บห้องให้เรียบร้อย เดี๋ยวคุณเขากลับมาจะไม่มีอะไรให้เขวี้ยง”
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้น เด็กๆ ในบ้านที่นั่งก้มหน้าตัวสั่นอยู่ก็รีบพร้อมใจกันลุกขึ้นมาเก็บข้าวของที่แม่ของ ‘น้องหิน’ ปาลงพื้นกลับเข้าที่ โล่งอกที่คุณท่านของพวกตนกลับบ้านเร็ว เพราะรู้ว่าถ้าเลิศศักดิ์อยู่บ้านด้วยแล้ว ฤทธิ์ของอิงฟ้าจะไม่แรงเท่าตอนที่อยู่คนเดียว
และนั่นก็ตรงกับใจนายด้วง เขาเงยหน้ามองนายของตนด้วยความเข้าอกเข้าใจ อยากจะสงสาร แต่ก็สงสารไม่ลง ด้วยสิ่งที่อิงฟ้าพูดออกมาก็เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น คนอื่นที่มองเข้ามาในครอบครัวมหาศักดิ์ก็ย่อมรู้ดีเช่นเดียวกันว่านายท่านนั้นดุกับบุตรชายคนเดียวเพียงใด ทั้งทุบทั้งตีอย่างที่อิงฟ้าว่านั่นแหละ
แต่กระนั้นนายของเขาก็ยังสู้รบตบมือกับภรรยาที่รักลูกมากไม่ได้อยู่ดี อิงฟ้าเลี้ยงศิลามาอย่างประคบประหงม ดีแค่ไหนแล้วที่ศิลานั้นมีแค่เรื่องท้าตีท้าต่อยคนอื่น ไม่เหมือนลูกคุณหนูพ่อแม่ตามใจคนอื่นๆ ที่มีเรื่องยาเสพติด เรื่องผู้หญิงมาให้ปวดหัว
ทว่านายท่านคงไม่ชอบใจกับเรื่องนี้กระมัง ไม่อย่างนั้นคงไม่หลุดปากต่อว่าภรรยาจนเป็นเรื่องหมางใจกันมาจนถึงทุกวันนี้หรอก คิดแล้วด้วงก็สงสารคนกลางอย่างศิลา...แม่จะเอาอย่างนั้น พ่อก็จะเอาอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่ถูกใจใครสักอย่าง
ด้วงถอนหายใจเสียงดัง สงสารศิลาจับใจ
“อะไรอีก...ทำให้แล้วยังไม่พอใจอีกหรือ” คนที่เข้าใจว่านายด้วงถอนหายใจประชดตัวเองทำตาขวาง
ด้วงตัวลีบลงอย่างหวาดหวั่น ไม่ต่างจากตอนที่อิงฟ้าอยู่...ก็คุณท่านดุน้อยกว่าคุณๆ คนอื่นเสียเมื่อไหร่ ถ้าเปรียบเทียบกับคนในบ้าน คุณท่านของเขาก็ถือว่าดุมาก แต่พอมาสู้กับอิงฟ้าและศิลาแล้ว เลิศศักดิ์ก็ตกอันดับไปอย่างไม่เป็นที่แปลกใจเท่าไหร่ “คุณนายเขาไม่ด่าแกแล้วไม่ใช่หรือไอ้ด้วง จะเอาอะไรอีก”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณท่านเลยครับ” ด้วงอ้อมแอ้มบอกเสียงเบา หลุบตาต่ำเพราะแม้จะอยู่กับเจ้านายมานานเพียงไหนก็ไม่กล้าสู้สายตาดุๆ ของพลเอกเลิศศักดิ์แน่
“ไม่ว่าแล้วถอนหายใจทำไม” คนที่ไม่ใช่เจ้าของบ้านเริ่มวางท่าใหญ่เมื่อลับหลังภรรยา “อยู่กับคุณนายเขามากละสิ ถึงกล้าอย่างนี้”
‘อยู่กับใครก็ไม่กล้าทั้งนั้นแหละครับ’
คนที่เป็นลูกน้องก้มหน้างุดกว่าเดิม ใครจะกล้าหือกับบ้านมหาศักดิ์ จะคนแม่ คนพ่อ หรือกระทั่งคนลูก...คนทั้งบางเขาก็กลัวกันหัวหดหมดนั่นแหละ
“รอน้องหินเขามาง้อแล้วกัน กับลูกคงไม่ด่าสาดเสียเทเสียเหมือนกับผัวหรอก ฮึ!”
ฝั่งคนที่ด่าสามีสาดเสียเทเสียก็ไม่คิดจะกลับไปง้อ กระแทกเท้าเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นอีกฝั่งเพราะไม่อยากทนเห็นใบหน้าบูดบึ้งของคู่ชีวิต
เชอะ...ไม่ง้อหรอก เธอไม่ได้เป็นคนผิดเสียหน่อย
บอกตัวเองเช่นนั้นแล้วอิงฟ้าก็เชิดหน้าขึ้น ตั้งใจจะจัดการกับพวกนักเลงคีย์บอร์ดที่กล้าว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนให้รู้สำนึก
“เอ๊ะ ลูกเต้าเหล่าใครนี่” เธออุทานออกมาเมื่อเห็นข่าวของบุตรชาย แน่นอนว่าเรื่องที่ศิลาเป็นข่าวนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ผู้หญิงที่กำลังทำร้าย ‘น้องหิน’ นี่สิ เป็นใคร ทำไมถึงกล้าขนาดลงไม้ลงมือกับลูกชายสุดที่รักของอิงฟ้า เอวก็บางอย่างนี้...ทำไมศิลาถึงปล่อยให้เจ้าหล่อนตีศอกจนหน้าหงายได้
น่าเจ็บใจจริง!
ไม่ได้การแล้ว...แบบนี้ต้องโทร. ถามน้องหินให้รู้เรื่อง เธอไม่เคยสั่งสอนลูกให้เป็นคนขี้แพ้ จะกับผู้หญิงก็ห้าม...ห้ามเด็ดขาด
อิงฟ้ายังไม่ต้องลงมือต่อสายหาบุตรชายเอง ศิลาก็เป็นฝ่ายโทร. เข้ามาราวกับว่าเขานั้นรู้ว่าแม่กำลังคิดถึงอยู่อย่างไรอย่างนั้น แม่เจ้าของชื่อ ‘น้องหิน’ กดรับสาย ยิ้มกว้างอย่างเปี่ยมสุข ไม่มีร่องรอยโทสะเหลืออยู่บนใบหน้างาม ราวกับเมื่อครู่ตนไม่ได้ทะเลาะกับสามีมาก่อนแม้แต่นิด
“ว่าอย่างไรจ๊ะน้องหิน...”
“คุณแม่...” น้องหินของท่านถอนหายใจ อยากลงไปชักกับพื้นให้ตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่รู้ว่าเขาจะต้องพูดกับมารดาอย่างไร บังคับท่านด้วยวิธีไหน ท่านจึงจะยอมเลิกเรียกเขาว่าน้องหินเสียที “ทำอะไรอยู่ครับ”
“ก็เล่นเฟชบุ๊กน่ะซี่” อิงฟ้าตอบโดยไม่เสียเวลาคิด
ศิลาเองก็ไม่เสียเวลาเก็บอารมณ์ทางสีหน้าเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มกลอกตา พ่นลมหายใจออกทางปากแรงๆ รู้อยู่แล้วละว่าแม่กำลังทำอะไร...ที่ถามก็เพราะรู้นี่แหละ
“ทำไมคุณแม่ยังไม่เลิกเล่นอีกครับ หินบอกแล้วใช่มั้ยว่าทะเลาะกับคนในอินเทอร์เน็ตมันไม่ดี”
พอเป็นบุตรชายสุดที่รักเอ่ยเตือน อิงฟ้าก็ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร เพียงแต่กระแทกลมหายใจอย่างแง่งอนเท่านั้น
“ก็แม่เหงานี่ น้องหินก็ไม่ค่อยมาหา” คนติดเฟซบุ๊กบอกเหตุผล “แล้วคนพวกนี้ก็ไม่ใช่คนดีสักหน่อย เขาว่าน้องหินเสียๆ หายๆ ด่าน้องหินแบบนี้ร้านน้องหินก็เจ๊งน่ะสิ”
ฟังแล้วศิลาก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ อยากจะบอกแม่เขาไปตรงๆ เสียจริงว่าที่ท่านไปไล่ด่าคนอื่นแบบนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก ออกจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ด้วยซ้ำ...
“คุณแม่...หินขอร้อง...”
“คุณแม่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะน้องหิน” คนไม่รู้สึกว่าตนเองทำเรื่องผิดว่าเสียงใส ราวกับว่าเธอเชื่อจริงๆ ว่าตัวเอง ‘ไม่ได้ทำอะไร’ “แล้วก็นะ...เรื่องผู้หญิงที่เป็นข่าว น้องหินคิดจะบอกคุณแม่เมื่อไหร่”
“ไม่มีอะไรให้บอกนี่ครับ” คราวนี้เป็นลูกชายที่เอ่ยตาใสบ้าง “ผมกับเขามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เขาเลยตีศอกผม...แล้วก็ไปที่โรงพัก คุณพ่อคงเล่าให้คุณแม่ฟังแล้วมั้ง”
“พ่อน้องหินจะเล่าอะไรล่ะ ผู้ชายน่ารำคาญ” อิงฟ้าแบะปากเมื่อเอ่ยถึงสามี “แล้วผู้หญิงนั่นเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมถึงตีศอกน้องหินได้ คุณแม่ไม่ชอบเลยนะคะ”
เมื่อพูดกับบุตรชาย อิงฟ้าจะเอ่ยคะขาลงท้ายทุกครั้ง ไม่เหมือนเวลาพูดกับสามีหรือกับคนอื่นๆ ที่จะห้วนจัดประหนึ่งมะนาวไม่มีน้ำ แต่มีหรือลูกสาวของอดีตนายกอย่างอิงฟ้าจะแยแส เธอก็เป็นของเธออย่างนี้มาตั้งแต่สมัยสาวๆ แล้ว ไม่เห็นจะต้องมาเปลี่ยนเพื่อเอาใจใคร ไม่ชอบก็ช่างเขา เอาที่เราสะดวกก็พอแล้ว
“คุณแม่...มันแค่เรื่องเข้าใจผิดครับ แหวนเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก”
ชื่อของผู้หญิงคนนั้นทำให้ลมหายใจของลูกสาวอดีตนายกแทบหมดลง มือเล็กที่ถือโทรศัพท์มือถือแนบหูนั้นสั่นระริกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ชื่อนี้...ชื่อนี้อีกแล้ว
“หวะ...แหวนหรือจ๊ะ” เสียงที่เคยสดใสเมื่อลูกชายโทร. หาเองก็แผ่วลง แฝงอาการสั่นนิดๆ อย่างที่ศิลาไม่อาจจะสังเกตเห็น
“ครับ แหวน...แหวนประดับ”
แหวนประดับเม้มปากแน่นทันทีที่เห็นร่างสูงตรงหน้ายืนกอดอก ทำหน้าบึ้งอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านของเธอ นี่เป็นวันที่สามแล้วที่ศิลามาปักหลักรอเบบี๋อยู่ที่นี่ ซึ่งเธอก็บอกเขาไปครั้งแล้วครั้งเล่าอีกเช่นกันว่าเบบี๋ไม่ได้มาที่นี่ และชายหนุ่มเองก็ควรจะเชื่อที่เธอพูดได้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ดึงดัน รั้นจะมาดักรอเบบี๋ที่หน้าบ้านเธออย่างนี้ เดือดร้อนเธอต้องหาทั้งยากันยุง ทั้งกาแฟมาคอยดูแล
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณศิลา” แหวนประดับทักทายชายหนุ่มเหมือนอย่างทุกวัน
ศิลาทำหน้างอเป็นการตอบรับคำทักทายของเธอเหมือนทุกวันเช่นกัน “ตกลงว่าเด็กเบบี๋ไปอยู่ที่ไหนกันแน่”
“ไม่ทราบค่ะ” ถามคำถามเดิม...ก็ย่อมได้คำตอบเดิม แหวนประดับมองหน้าชายหนุ่มนิ่งด้วยไม่รู้ว่าเธอควรจะใช้วิธีไหนอธิบายให้ศิลาเข้าใจ เขาทำอย่างนี้เธอลำบากใจไม่น้อย รู้ว่าคนของเธอทำเรื่องร้ายแรง แต่การที่เขามานอนเฝ้าเธออยู่ที่หน้าบ้านเช่นนี้ แหวนประดับก็ไม่สบายใจ “รบกวนถอยรถสักนิดได้ไหมคะ ฉันจะไปทำงาน”
เจ้าของรถที่จอดขวางประตูรั้วบ้านแหวนประดับปรายตามองรถของตนเอง ก่อนจะทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วบอกหญิงสาวอีกเรื่อง
“ไอ้ฌอห์นมันออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ”
ข่าวใหม่นั้นทำให้แหวนประดับหัวใจกระตุกด้วยความหวาดกลัวแทนเบบี๋ ทว่าเจ้าของหน้างามก็ยังคงสบตาคมของศิลานิ่ง ก่อนรอยยิ้มน้อยๆ จะปรากฏพร้อมกับคำถาม
“แล้วยังไงคะ”
ศิลานึกไม่ถึงว่าแหวนประดับจะเล่นละครเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้แนบเนียนเช่นนี้ หากเขาไม่เห็นหญิงสาวกับเจ้านายของหล่อนที่โรงแรมในวันนั้น ศิลาเชื่อว่าเขาคงหลงกลแหวนประดับ แล้วเลือกไปตามหาเบบี๋ที่อื่นแล้ว แม้แต่ตอนที่คนร่างสูงก้าวเท้าเข้าไปหยุดใกล้กับเธอ ก้มหน้าลงจ้องตาคมกริบเหมือนดวงตาของเขา แหวนประดับก็ยังคงอยู่ในอารมณ์สงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้าน
“แล้วไง? ถามมาได้ว่าแล้วไง...ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว เด็กเบบี๋ของคุณก็ซวยน่ะสิ” เขาบอกเสียงสะบัด โกรธแค้นแทนเพื่อนขึ้นมาติดหมัด “ไม่กลัวหรอ”
นอกจากจะไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวคำขู่ของชายหนุ่มแล้ว แหวนประดับยังคงยิ้มหวานหยดส่งให้ รอยยิ้มที่เธอรู้ว่าจะทำให้ศิลานั้นแพ้อย่างราบคาบ
“ไม่กลัวค่ะ เพราะฉันเชื่อว่าคุณฌอห์นเขาคงมีเหตุผลมากกว่าเพื่อนของเขา”
คำพูดของหญิงสาวเล่นเอาคนเป็นเพื่อนของฌอห์นนั้นตาขวาง ปากคอเราะรายนัก...ผู้หญิงอะไร เห็นเงียบๆ ยิ้มหวานๆ แบบนี้ ประชดประชันเก่งนักละ...อยากรู้จริงๆ ว่าแหวนประดับเคยเถียงแพ้ใครบ้างไหม หรือว่ามีใครที่ทำให้หญิงสาวมีสีหน้าอื่นนอกจากสีหน้ายิ้มแย้มแต่ไร้ความรู้สึกแบบที่ทำกับเขาอยู่เป็นนิตย์บ้างไหม
เจอกันสามวันก็ยิ้มหวานหยดให้เขาทั้งสามวัน ไม่รู้ตัวหรือยังไงว่าทำใจเขาสั่นน่ะ!
“เพื่อนกันจะดีกว่ากันไปสักแค่ไหนเชียว”
“อย่างน้อยก็ดีกว่าแล้วกัน”
“เฮอะ” พอเถียงไม่ได้ ศิลาก็ทำเสียงอย่างนี้เยาะแหวนประดับ สู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่เชิงว่าอยากยอมรับว่าตัวเองแพ้ จึงได้แต่ส่งเสียงในคอเช่นนี้ไปสู้
“เลื่อนรถให้ด้วยค่ะคุณศิลา ฉันต้องรีบไปทำงาน” แหวนประดับเขม้นมองหน้าคมอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยเตือนเขาเรื่องการเลื่อนรถออกไปจากหน้าประตูรั้วบ้านของเธอ
“งานอีกแล้ว” ศิลาถอยหลังออกมา
คำพูดและน้ำเสียงของเขาทำให้แหวนประดับขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เพราะฟังอย่างไรก็เหมือนชายหนุ่มกำลังน้อยใจเธออยู่ แต่เขาจะน้อยใจเธอเรื่องอะไร ก็เธอไปทำงานของเธอเหมือนอย่างทุกวัน มีแต่เขานั่นแหละที่การงานไม่ยอมไปทำ มาเฝ้าแต่เธออยู่ได้
“ก็ไม่ได้มีพ่อเป็นอดีตรัฐมนตรีอย่างคุณนี่นา ฉันก็ต้องไปทำงานสิ”
แหวนประดับตั้งใจประชดลูกชายของอดีตรัฐมนตรี ทว่าศิลากลับเพียงยิ้มมุมปาก ไม่ตอบโต้อะไรหญิงสาวซึ่งนับว่าผิดปกติ ก่อนเขาจะเข้าไปนั่งในรถของตัวเองเพื่อจัดการเลื่อนรถออกไปจากหน้าบ้านตามคำขอของแหวนประดับ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหญิงสาวจะไม่ทันเห็นแววเศร้าในตาคมของศิลา
เขาไม่ชอบให้เธอพูดถึงเรื่องงานที่พ่อเขาเคยทำอย่างนั้นหรือ แปลกจริง...เพราะถ้าเธอมีพ่อทำงานเป็นรัฐมนตรี...ไม่สิ อดีตรัฐมนตรี เธอคงไม่อายที่จะพูดถึงหรอก ก็โก้เสียขนาดนั้นนี่นา
หญิงสาวยืนมองร่างสูงที่อยู่หลังพวงมาลัยรถอยู่ครู่หนึ่งอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายแล้วแหวนประดับก็ไหวไหล่ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเข้าไปในของตัวเองบ้าง ประตูรั้วบ้านถูกเปิดไว้ตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยฝีมือของศิลา ดังนั้นแหวนประดับจึงถอยรถออกมาได้ทันที
และเมื่อเธอถอยรถออกมาเรียบร้อย หญิงสาวก็กดรีโมตปิดประตูจากในรถของตนเอง ไม่ต้องเสียเวลาลงมาปิด การใช้รีโมตอัตโนมัตินี้แหวนประดับติดตั้งได้เพียงไม่นาน ซึ่งผิดวิสัยคนประหยัดจนเกลือเรียกพี่อย่างเธอ แต่กระนั้นเพื่อความปลอดภัยเธอก็ต้องยอมกัดฟันจ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
“นี่...คุณแหวนคนสวย” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถคันเล็กอีกคันตะโกนเรียก ทำให้คุณแหวนคนสวยขมวดคิ้ว เกือบจะชักสีหน้าแล้ว...แค่เกือบเท่านั้น “วันนี้คุณจะเข้าบริษัทของคุณหรือไปที่อื่น”
“ถามทำไมคะ” แหวนประดับเลิกคิ้ว ตอบกลับศิลาด้วยคำถาม ตาก็มองหน้าคมคายของชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ “คิดจะทำอะไรไม่ดีอีกหรือเปล่าคะ”
“เปล่า ถามเฉยๆ” ศิลาตอบหน้าซื่อ ตาก็ใสแจ๋ว “อยากรู้...ไม่ได้หรือ”
คราวนี้คนจนปัญญานั้นกลายเป็นแหวนประดับเอง หญิงสาวสบกับตาพราวระยับของคนตัวสูงที่นั่งรอฟังคำตอบจากเธออย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วกลืนคำโกหกในคราวแรกลงคอ ก่อนจะบอกชายหนุ่มไปตามตรงว่า
“เข้าบริษัทค่ะ มีเอกสารที่ต้องเคลียร์นิดหน่อย”
“โอเค...”
ได้คำตอบที่ตนพอใจแล้วศิลาก็พยักหน้า เลื่อนกระจกรถขึ้นแล้วขับออกไป ทิ้งให้แหวนประดับมองตามรถคันเล็กของชายหนุ่มตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจเรื่องราว ก่อนจะเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ แล้วเอ่ยบริภาษศิลาตามหลัง แม้รู้ว่าเขาไม่มีทางได้ยินก็ตาม
“อะไรของเขา คิดจะมาก็มา...คิดจะไปก็ไป”
บ่นแล้วแหวนประดับก็ทำเพียงเลื่อนกระจกรถของตนขึ้นมา เข้าเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง พยายามพาตัวเองไปให้ถึงบริษัทก่อนจะสาย ซึ่งเธอก็ทำเวลาได้ดีทีเดียว เพราะหญิงสาวเข้ามาจอดรถยังบริเวณลานจอดรถของพนักงานเรียบร้อยแล้วยังมีเวลาเกือบสิบนาทีเพื่อเดินเข้าไปตอกบัตร
หน้างามที่คมจัดของหญิงสาวแต่งแต้มรอยยิ้มน้อยๆ เหมือนเช่นทุกวัน แม้จะเป็นวันที่หนักหนา แต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่รอยยิ้มของแหวนประดับจะเลือนหายไป และรอยยิ้มนี้ก็เป็นสิ่งที่เพื่อนร่วมงานของหญิงสาวทุกคนนั้นได้รับเป็นสิ่งแรกของทุกวัน หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเกศรา เจ้าของบริษัท Even for you ผู้เพิ่งก้าวลงจากรถจากัวร์ของเธอเอง แต่หน้าบูดบึ้งผิดกับผู้เป็นลูกน้อง
แหวนประดับหยุดรอเกศราที่หน้าประตูบริษัท เลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นเสื้อคอวีลึกของผู้เป็นเจ้านาย แต่กระนั้นเธอก็มีมารยาทพอที่จะมองข้ามความคว้านลึกของเสื้อไป แล้วสนใจความหงุดหงิดบนใบหน้างามของเกศราแทน
“สวัสดีค่ะพี่เกด” เธอทักทายเกศราด้วยน้ำเสียงสนิทสนม พยายามส่งยิ้มหวานให้เจ้านาย เผื่อว่าจะทำให้อารมณ์ของเกศราดีขึ้น แต่กลับไม่เป็นอย่างที่เธอหวัง เมื่อเกศรานั้นเหลือบมองหน้าเธอ แล้วพ่นลมหายใจยาว
“งานเข้าอีกแล้วแหวน...”
“ค่ะพี่เกด” แหวนประดับพยักหน้า ยื่นมือไปรับถุงในมือเกศราด้วยความหวังดี โดยไม่เอ่ยถามเจ้านายของตนว่า ‘งาน’ ที่เข้ามานั้นคือเรื่องอะไร แม้ในใจลึกๆ เธอจะอยากรู้อยู่ไม่น้อยก็ตาม เพราะหากทำให้เกศราหงุดหงิดได้ขนาดนี้ งานชิ้นนี้คงไม่ธรรมดาเลย แหวนประดับทำงานกับเกศรามานานเกินกว่าจะนับระยะเวลาได้ด้วยมือข้างเดียว แต่น้อยครั้งนักที่เธอจะได้เห็นเกศราแสดงออกทางสีหน้าขนาดนี้
“จะไม่ถามพี่หน่อยหรือว่างานอะไร” เกศราส่งถุงใบเล็กถุงหนึ่งให้ลูกน้องคนสำคัญของเธอ ขณะก้าวเท้าเข้าไปในบริษัท เกศราก็เป็นคนเอ่ยถามแหวนประดับก่อน หากเป็นลูกน้องคนอื่นเธอคงไม่ต้องทำอย่างนี้หรอก แต่นี่เป็นแหวนประดับที่เก็บอารมณ์เก่งจนเธอซึ่งทำงานด้วยกันมานานยังเดาอารมณ์ไม่เคยถูก เกศราจึงต้องยอมลดมาดเจ้านายลงแล้วถามแหวนประดับไปตรงๆ
“ก็...อยากรู้ค่ะ” กับเกศราแล้วแหวนประดับไม่เคยโกหก...เว้นเรื่องของเบบี๋ไว้เรื่องหนึ่ง “แต่ถ้าพี่เกดไม่สะดวกบอกตอนนี้แหวนรอได้ค่ะ แหวนเข้าใจ”
แหวนประดับเข้าใจทุกเรื่อง และนั่นทำให้เกศรากลอกตาอย่างรำคาญใจ เธอไม่เคยเห็นแหวนประดับไม่เข้าใจใครหรือเรื่องอะไร หญิงสาวเป็นคนใจกว้าง ไหนจะรอยยิ้มกว้างที่หวานหยด จนลูกค้า Even for you มักหลงเสน่ห์นี่อีก ทำให้เกศราเดาใจแหวนประดับไม่เคยออก
“แหวน...แหวนจะโมโหพี่สักครั้งก็ได้นะ พี่ไม่ว่าหรอก”
“แหวนจะโมโหพี่เกดไปทำไมคะ” แหวนประดับขมวดคิ้วนิดๆ ขณะเบือนหน้าไปมองใบหน้างามของคนข้างตัว พลางนึกในใจว่าแม้อายุของเกศราจะเลยเลขสามสิบห้ามาแล้ว แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังสวยพริ้ง เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกศราไม่ได้แต่งงานมีลูกจึงทำให้หญิงสาวสวยกว่าผู้หญิงวัยเดียวกันหรือเปล่า รู้เพียงว่าหากเธอต้องแก่ตัวไป เธอก็อยากเป็นเหมือนเจ้านายสาวคนนี้
สวย แซ่บ และรวยทรัพย์
“ไม่รู้สิ...” เกศราทำหน้าสับสนเมื่อเหลือบมองด้านบนศีรษะของตัวเองเพื่อหาคำตอบให้แหวนประดับ “เพราะว่าพี่แต่งตัวเรียกแขกก็ได้ พี่อยากเห็นแหวนโกรธ”
“พี่เกดแต่งตัวสวยทุกวันอยู่แล้วค่ะ” แหวนประดับพูดความจริง แม้ว่าหลายๆ คนหรือกระทั่งพนักงานในบริษัทบางคนจะชอบพูดถึงเกศราลับหลังว่าหญิงสาวนั้นแต่งตัวไม่สมกับเป็นผู้บริหาร หรือจะพูดว่าเกศราแต่งตัว ‘เรียกแขก’ อย่างที่เจ้าตัวเพิ่งพูดไป แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือความจริงที่ว่าทุกวันที่มาทำงาน แหวนประดับก็จะเห็นว่าเกศรานั้นสวยหมดจดไม่มีที่ติ “แล้วจะพูดว่าแต่งตัวเรียกแขกได้ยังไง...ในเมื่อไม่เห็นได้แขกเลย”
“ปากร้ายนะเรา อยู่กับพิศามากไปแล้วนะ”
ชื่อของบุคคลที่สามทำให้แหวนประดับอมยิ้มขำ รู้ว่าเกศราคงเลิกโกรธเพื่อนสนิทของตนแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดถึงเช่นนี้
“ก็ต้องฝึกร้ายไว้บ้างค่ะ พักนี้เจอแต่คนแปลกๆ” แหวนประดับยอมเอ่ยเพียงเท่านั้น
และเกศราก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำให้แหวนประดับเล่าอะไรไปมากกว่านั้นได้
“ถ้าไม่ร้ายคงเอาตัวไม่รอด”
“จะมีใครร้ายเท่าเพื่อนสนิทเราอีกล่ะแหวน” เกศรากระเซ้าพร้อมรอยยิ้ม “รับมือกับพิศาได้ เราก็สู้กับคนอื่นได้ เชื่อพี่เถอะ”
“ค่ะ พี่เกด” แหวนประดับยิ้มหวาน เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเกศรานั้นเลิกโกรธเพื่อนของเธอ อาจจะเคืองอยู่นิดๆ ตามประสานั่นแหละ รู้อย่างนี้แล้วแหวนประดับก็โล่งใจ เดินตามไปที่ห้องทำงานของเกศรา ระหว่างทางนั้นก็เอ่ยทักทายเพื่อนร่วมงานของตนไปด้วย
ตาคมเหลือบมองโต๊ะทำงานของตนเองนิดๆ ตั้งใจว่าเอาของเกศราไปเก็บเรียบร้อยแล้วจะกลับมาเคลียร์เอกสารที่ยังไม่เรียบร้อยให้เสร็จในวันนี้ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเบบี๋นั้น แหวนประดับก็ไม่ค่อยได้สนใจงานเท่าที่ควร ไหนจะงานของเอกภพอีก ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย...
“เอ๊ะ...” เพียงก้าวแรกที่เข้ามาในห้องทำงานของเกศรา แหวนประดับก็อุทานเมื่อสบเข้ากับตาคมกริบของชายหนุ่มที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นพิเศษโดยเฉพาะพักหลังนี้ ฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนจะจำเธอได้เช่นเดียวกัน เพราะเธอกับเขาเจอกันล่าสุดก็เมื่อเช้านี้เอง ที่หน้าบ้านของเธอ
“สวัสดีครับคุณแหวนคนสวย รถติดหรือครับ มาช้าเชียว”
ความคิดเห็น |
---|