1

พ่อใหญ่


1

พ่อใหญ่

 

ถึงแม้ว่าศิลานั้นจะมีพ่อใหญ่คับฟ้า ทว่าสุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ไม่พ้นมีจุดจบที่โรงพักใกล้บ้านของแหวนประดับ เพียงก้าวแรกที่ชายหนุ่มขึ้นมาบนโรงพัก ร้อยเวรที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็ถึงกับกลอกตาขึ้นฟ้าเป็นอย่างแรก จากนั้นร่างสูงในชุดเครื่องแบบตำรวจจึงเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหาชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะข้อหาทะเลาะวิวาท ที่ตำรวจชั้นผู้น้อยเล่าลือกันปากต่อปาก ชนิดที่ว่าไม่มีใครไม่รู้

วันนี้คู่วิวาทของศิลาไม่ใช่ลูกไฮโซไฮซ้อหรือดาราอย่างปกติ แต่เป็นสาวร่างสูงโปร่ง หน้าคมขำ ดวงตาคมกริบ แม้จะดูไม่สวยเด่น แต่ผู้หญิงคนนี้ก็มีเสน่ห์ดึงดูดไม่น้อย จนไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าของเธอได้ง่ายๆ และสิ่งที่ทำให้หัวคิ้วของร้อยเวรหนุ่มขมวดเข้าหากันเป็นปมก็คือ เบ้าตาของศิลาบวมปูดถึงสองข้าง...ซึ่งน่าจะเกิดจากหมัดของใครสักคน

เขาไม่คิดว่าผู้หญิงที่เดินขึ้นโรงพักมาพร้อมศิลานั้นจะเป็นต้นเหตุได้ ก็แหม...สวยแจ่มเหมือนนางงามขนาดนี้ ใครจะไปคิดว่าเธอกล้าลงไม้ลงมือกับลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่กันเล่า

“ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นครับ” ร้อยเวรเอ่ยปากถามศิลาที่ถือน้ำแข็งประคบเบ้าตาอยู่ สลับกับการสูดปากและมองค้อนคนงามข้างกายเขา

“ถามแม่คนสวยนี่ดูสิ ว่าเขาทำอะไรผม” ลูกนายทหารใหญ่กระแทกเสียงตอบ พร้อมส่งค้อนให้แหวนประดับไปหนึ่งที จากนั้นศิลาจึงกระแทกเท้าไปนั่งบนเก้าอี้เพื่อเตรียมแจ้งความ...ยายคนสวยตัวร้าย เล่นงานหน้าหล่อๆ ของเขาจนเกือบเสียโฉม คอยดูนะ...ถ้าหน้าเขาเป็นอะไรมากกว่านี้ละก็ แม่แหวนคนสวยนี่ได้รับผิดชอบอ่วมแน่ โทษฐานที่กล้าตีศอกใส่เบ้าตาเขาอย่างไม่คิดถนอมอย่างนี้

ยายคนสวยใจร้าย!

“เอ่อ เขาบุกรุกบ้านของฉันค่ะ” แหวนประดับอ้อมแอ้มตอบตามวิสัย ตาก็มองร้อยเวรหนุ่มที่คงอายุน้อยกว่าเธออย่างเกรงใจไปพร้อมกัน “ฉันก็เลย...”

“ก็คุณเอาเพื่อนผมไปขายก่อนนี่!” ศิลาลุกขึ้นชี้หน้าเถียงแหวนประดับอย่างไม่ยอมเป็นคนผิด “คุณกับเด็กเบบี๋เริ่มเรื่องนี้ก่อนเห็นๆ ยังจะมาโบ้ยอีก”

“เอ๊ะ! ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้เรื่อง” คราวนี้คนใจดีมาตลอดถึงกับชักสีหน้าใส่ชายหนุ่ม “คุณหูหนวกหรือไงคุณศิลา ฉันบอกคุณไปตั้งกี่ล้านครั้งแล้ว ยังไม่เชื่อกันอีก”

“ไม่เชื่อ!” ศิลาตะโกนโต้ เรื่องอะไรเขาจะโง่เชื่อผู้หญิงจาก Even for you ดูอย่างฌอห์น...เพื่อนสนิทของเขานั่นปะไร หึ...เพราะไว้ใจผู้หญิงพวกนี้ ถึงได้โดนหลอกไปขาย แต่เขาไม่ใช่ฌอห์น เขาไม่มีทางพลาดท่าเสียทีผู้หญิงเจ้าเล่ห์หรอก ไม่มีทาง!

“ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ ไอ้โรคจิต” คำหลังนั้นแหวนประดับบริภาษชายหนุ่มเบาๆ กับตัวเอง แต่คนที่เธอเรียกว่าไอ้โรคจิตกลับมองตาขวาง หญิงสาวจึงเลือกที่จะเลิกคิ้ว ลอยหน้าลอยตากวนประสาทเขาเหมือนท้าทายให้ศิลานั้นทำอะไรสักอย่างกับความกล้าของเธอ

ทว่าคนที่รู้ฤทธิ์คนหน้าหวานและได้รอยช้ำที่เบ้าตาเป็นเครื่องยืนยันว่าแหวนประดับเอาเรื่องแค่ไหนนั้นกลับทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองคนหน้างามตาขวาง ก็เรื่องอะไรจะเสี่ยงให้ตัวเองช้ำในเพิ่มอีก เท่านี้หน้าของเขาก็บอบช้ำเกินเยียวยาแล้ว

“เอ่อ...ผมว่าค่อยๆ เจรจากันก่อนดีมั้ยครับ...ทั้งสองคน” ร้อยเวรที่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มมาคุแล้วนั้นยกมือห้ามชายหญิงทั้งสอง มองหน้าของแหวนประดับสลับกับศิลาแล้วเขาก็เริ่มห่วงตัวเองขึ้นมาครามครัน

ดูเอาเถอะ...นั่นก็ลูกนายทหารใหญ่ ส่วนผู้หญิงตรงหน้านี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่กล้าต่อปากต่อคำกับนักเลงอย่างศิลาได้ก็คงไม่ธรรมดาหรอก ไหนจะรอยช้ำบนเบ้าตาศิลานั่นอีก ดูท่าการทำงานวันนี้จะไม่น่าเบื่อแล้วสิ

“บอกเขาสิคะคุณตำรวจ...ฉันไม่อยากจะมีเรื่องมีราวอะไรหรอก” แหวนประดับพยักพเยิดไปยัง ‘เขา’ ซึ่งกัดฟันกรอดๆ อยู่ แล้วว่าต่อโดยไม่รอให้ศิลาได้มีโอกาสพูดอะไร “ฉันเตือนแล้วแท้ๆ ว่าถ้าเขาบุกรุกเข้าบ้านฉัน ฉันจะขอแจ้งตำรวจ...ไม่ยอมไปดีๆ เอง”

“ผมไม่กลัวตำรวจหรอก” ศิลาโต้ วางท่าใหญ่คับโรงพัก “คุณรู้หรือเปล่าว่าพ่อผมเป็นใคร ใหญ่ขนาดไหน”

“ใหญ่แค่ไหนก็ไม่กลัวหรอกค่ะ บอสฉันก็ใหญ่เหมือนกัน” แหวนประดับโต้กลับอย่างไม่เกรงกลัวชายหนุ่มและยศของพ่อเขา จากนั้นก็ยกมือเล็กขึ้นชี้หน้าคมอย่างเอาเรื่องเช่นกัน “คุณนั่นแหละที่ต้องกลัว ทำตัวแบบนี้คนเขาจะด่าไปถึงพ่อถึงแม่ ไม่รักชื่อเสียงตัวเองก็น่าจะสงสารพ่อแม่คุณบ้างนะคะ”

“เฮ้ย! แบบนี้มันมากไปแล้วมั้ง คุณแหวนคนสวย” ศิลาเต้นผาง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครชี้หน้าด่าพ่อแม่เขาอย่างที่ผู้หญิงคนนี้ทำมาก่อนเลย “เล่นถึงพ่อถึงแม่เลยเหรอ”

“ก็คุณลากพวกท่านเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ก่อนทำไมล่ะคะ จะโทษฉันได้ยังไง ก็คุณเป็นคนเริ่มเอง”

“เอ๊ะ นี่คุณโทษผมเหรอ” ศิลาขมวดคิ้ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาโง่กว่าคนอื่นเสมอ เก่งแต่ใช้กำลังกับตะโกนเท่านั้น พอต้องมารับมือกับคนตรงหน้าที่ฉลาดพูดฉลาดโต้ เขาจึงเป็นฝ่ายจนมุมเพราะหาคำมาโต้กลับไม่ได้

“ค่ะ ก็คุณเป็นคนผิดนี่” แหวนประดับเอ่ยง่ายๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ามั่นคง บอกให้คนร่างสูงรู้ว่าเธอนั้นคิดว่าการวิวาทในครั้งนี้ เขาเป็นคนผิดทั้งหมดจริง ส่วนเธอต้องมาเกี่ยวข้องอย่างไม่มีทางเลือกเท่านั้นเอง “ฉันเตือนแล้วแท้ๆ”

“นี่แม่คนสวย” ศิลาชักสีหน้าพร้อมกับทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ ขบฟันเข้าหากันอย่างสะกดอารมณ์ เพราะไม่ว่าจะต่อปากต่อคำกับ ‘แม่คนสวย’ กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้เจ้าหล่อนอยู่ร่ำไป ไม่รู้ว่าเขาทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงเอาชนะคนหน้าหวานท่าทางนุ่มนิ่มตรงหน้านี้ไม่ได้สักที

หึ...แต่คนอย่าง ศิลา มหาศักดิ์ ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ หรอก นี่มันแค่ยกแรกเท่านั้น เขาและแหวนประดับยังต้องปะฉะดะกันไปอีกหลายยก

“ตกลงจะเอายังไงกันแน่ มาด่าพ่อล้อแม่เขาแล้วยังจะไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดอีก”

“ก็ใครใช้ให้คุณเอาพ่อมาอ้างก่อนล่ะ สมน้ำหน้าแล้ว” แหวนประดับเถียงกลับอย่างไม่ยอมถอยเช่นเดียวกัน

การกระทำของหญิงสาวทำให้ศิลาเต้นผางอีกครั้ง ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวา ก่อนมองร้อยเวรหนุ่มเป็นการฟ้องว่า เห็นที่แหวนประดับทำกับเขาหรือเปล่า เห็นอย่างที่เขาเห็นบ้างไหมว่าหญิงสาวนั้นร้ายกาจเพียงไร

“เห็นมั้ยๆ เห็นหรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนี้น่ะร้าย” ศิลาย้ำด้วยคำพูดอีกที และชี้หน้าแหวนประดับ เม้มปากแน่นด้วยความแค้นใจที่หญิงสาวนั้นกล้าต่อปากต่อคำกับเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครกล้ามาก่อน เกิดมาเกือบสามสิบห้าปีแล้ว ไม่มีใครกล้าหือกับลูกนายพลอย่างเขา ผู้หญิงคนนี้นี่ยังไงกัน...คิดว่าตัวเองเป็นใครหรือ ถึงได้กล้าขนาดนี้

“คุณศิลาคะ...” แหวนประดับเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่กำลังอดทนอย่างสุดความสามารถ “ฉันบอกคุณแล้วยังไงล่ะคะ ว่าฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องนี้ คุณจะเลิกโบ้ยความผิดให้ฉันได้เมื่อไหร่คะ...เพราะฉันมีธุระต้องไปทำต่อ แจ้งความแล้วจะได้แยกย้าย”

“จะจบง่ายๆ แบบนี้เหรอ” ศิลาย้อนถามเสียงขึ้นจมูก ท่าเบ่งคับโรงพักเมื่อครู่นั้นอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ‘แยกย้าย’ จากแหวนประดับ ด้วยเขาก็จนปัญญาที่จะหาทางลงแล้วเหมือนกัน ก็แหม...เล่นโวยวายใหญ่โตขนาดนี้ จะให้เขาเป็นฝ่ายยอมจบง่ายๆ ก่อนก็เสียหน้าแย่ “จะเอาแบบนั้นก็ได้...”

“ดีค่ะ เชิญทำงานต่อเลยค่ะคุณตำรวจ” หญิงสาวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งใจ ด้วยเห็นว่าตนเองนั้นเสียเวลาเพราะคนหน้าดุไปมากแล้ว หากเขายังลีลามากไปกว่านี้ คนที่ลำบากจะเป็นเธอ เพราะไปพบลูกค้าตามนัดไม่ทัน “ลงบันทึกประจำวันเอาไว้พอไหมคะคุณศิลา หรือว่าคุณจะแจ้งความ”

คนถูกถามและนายตำรวจที่ถูกแหวนประดับสั่งให้ไปทำงานของตนเองนั้นต่างพากันเลิกคิ้วสูงเพราะคำพูดของหญิงสาว ก่อนพวกเขาจะมองหน้ากันอย่างปรึกษาหารือ

แล้วศิลาก็เป็นฝ่ายไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจพร้อมเอ่ยว่า “ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ก็ได้ วันนี้ผมใจดี จะยกให้คุณหนึ่งวัน”

คราวนี้เป็นแหวนประดับที่มองเจ้าของคำพูดตาเขียว เขาน่ะหรือใจดีกับเธอ...เธอต่างหากที่ต้องเป็นคนพูดคำนั้น เพราะวันนี้เธอตีศอกใส่ตาเขาไปเบาะๆ เท่านั้นเอง หากเธอจัดหนักจัดเต็มเหมือนอย่างที่เคยทำกับคนอื่นแล้วละก็ อย่าหวังว่าชายหนุ่มจะมีโอกาสมาเชิดหน้าเต๊ะท่าใหญ่อย่างนี้เลย

“ขอบคุณนะคะ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่หน้างามของแหวนประดับกลับราบเรียบ ไม่ยินดียินร้ายอะไร

เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างศิลา ทำให้คนตัวสูงนั้นจำต้องยืดหลังตรงอย่างไม่มีสาเหตุ ตาคมก็เหลือบมองคนข้างๆ ไปด้วย

หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอกนะ...ไม่น่าเป็นคนไม่ดีแบบนี้เลย

ศิลาครุ่นคิดกับตัวเองในใจ ก่อนพินิจแหวนประดับอีกครั้ง เขาเห็นมานานแล้วว่าท่าทางการเดินของหญิงสาวนั้นสง่างาม ไม่เชื่องช้าจนน่ารำคาญ ดูคล่องแคล่ว แต่ก็ยังระมัดระวัง ไม่เกะกะตา...ชวนให้เขานึกถึงแมวขึ้นมา

จากแค่เหลือบมองหญิงสาว...ศิลาก็เปลี่ยนมาเป็นจ้องแหวนประดับเป๋งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็เมื่อคนโดนจ้องนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตา พลางเลื่อนสมุดในมือให้เขาอ่าน หลังจากที่เธอให้ปากคำแก่ตำรวจและการจดบันทึกประจำวันเรียบร้อยแล้ว

“อะไร” เขาถามเสียงเข้ม ก่อนจะก้มมองสิ่งที่แหวนประดับส่งมาให้

คนร่างบางถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความรำคาญ

ศิลาจำต้องพูดต่ออย่างเสียงไม่ได้ เพราะกลัวจะเสียหน้า “หมายถึงว่า...คุณเอามาให้ผมดูทำไมน่ะ”

“ก็ให้คุณดูก่อน เดี๋ยวจะหาว่าฉันโกหก”

“ไม่ต้อง ไม่เห็นจะอยากดูสักนิด” ว่าแล้วคนที่เป็นเหยื่อศอกของแหวนประดับก็สะบัดหน้าพรืด ไม่อยากจะมองหน้าเธอให้หัวใจเขาไขว้เขวอีก...ก็เขาต้องเกลียดผู้หญิงคนนี้ ต้องเกลียด เกลียดมากๆ

“ตกลงว่าไม่ดูนะคะ?” แหวนประดับยังคงถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งขณะดึงสมุดเล่มใหญ่คืนมา ในใจก็นึกเคืองชายหนุ่มอยู่นิดๆ แต่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับศิลาอีก เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มนั้นเก่งและชอบการทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นเป็นชีวิตจิตใจ ข่าวศิลาเข้าออกโรงพักทุกสัปดาห์นั้นกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ติดตามข่าวสารอย่างแหวนประดับไปเสียแล้ว ถ้าสัปดาห์ไหนไม่มีข่าวว่าชายหนุ่มต่อยกับใครน่ะสิถึงเป็นเรื่องแปลก

ไม่ทันที่แหวนประดับจะคิดอะไรหรือนินทาชายหนุ่มในใจไปมากกว่านั้น จู่ๆ เสียงเข้มจัดและดุดันกว่าศิลาซึ่งทำให้ชายหนุ่มหัวหดได้ก็ดังมาจากเบื้องหลัง พร้อมกับความกลัวพุ่งเข้ามาจู่โจมหัวใจของนักเลงไฮโซ ทำให้ชายหนุ่มนั้นกลายเป็นนักเลงกระจอกได้ในพริบตา

“แกไปทำอะไรใครเขาอีกไอ้หิน!”

เจ้าของเสียงดุดันที่ทำให้ศิลาตัวลีบเหลือเพียงไม่กี่นิ้วนั้นเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพลเอกเลิศศักดิ์ มหาศักดิ์ บิดาของชายหนุ่ม ซึ่งก้าวตรงดิ่งมาหาบุตรชาย สีหน้าถมึงทึง ผิดกับใบหน้าคมของบุตรชายที่ซีดเซียวลงทุกขณะ เพราะรู้ว่ายามที่บิดาของเขาโกรธนั้น ท่านดุเพียงใด

ตั้งแต่เกิดมาเวลาเขาเกเรนั้นไม่ต้องถึงมือแม่หรอก...แค่พ่อของเขาคนเดียวก็พอแล้ว

“พ่อ...”

“แก...ไอ้ลูกไม่รักดี!” เลิศศักดิ์พุ่งเข้าไปหาลูกชายในเสี้ยววินาที ก่อนจะยกมือขึ้นบิดหูแกร่งของศิลาจนชายหนุ่มร้องโอดโอย

“โอ๊ย...พ่อๆ ผมเจ็บพ่อ”

“เจ็บสิดี ไอ้ตัวดี แกนี่มันหาเรื่องให้ฉันขายขี้หน้าได้ไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ นะไอ้หิน” ว่าแล้วเลิศศักดิ์ก็ออกแรงบิดหูบุตรชายเป็นสองเท่า ไม่สนใจว่าศิลาจะร้องประท้วงหรือพยายามดิ้นให้หลุดจากมือของเขาเพียงใด “บ้านช่องไม่เคยกลับ ต้องมาเจอกันที่โรงพักอย่างนี้ทุกที ไอ้ลูกเวร!”

“ครั้งนี้ผมไม่ได้ผิดนะพ่อ ผมโดนเขาทำร้ายนะพ่อ...พ่อ...ปล่อยผมเถอะ” แม้กับคนอื่นนั้นเขาจะกร่างเพียงใด แต่กับพลเอกเลิศศักดิ์ผู้เป็นบิดาแล้ว ศิลากลับมีท่าทางเหมือนชายวัยรุ่นเวลาโดนพ่อจับได้ว่าเขาทำเรื่องแผลงๆ เข้าให้ กลายเป็นคนไร้พิษสงในทันตา “พ่อครับ หินเจ็บ”

และนั่นทำให้คิ้วของแหวนประดับขมวดเข้าหากัน ความยำเกรงแสนน้อยนิดที่เธอมีให้ศิลาก่อนหน้านี้ปลิวหายไปตามลมหลังจากเห็นท่าทางกลัวหงอเมื่อศิลาเจอกับพลเอกเลิศศักดิ์ พ่อของเขา

“เจ็บสิดี ไอ้หิน ฉันบอกฉันสอนแกกี่ครั้งแล้ว ทำไมไม่จำ หา!”

“ครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นคนผิดจริงๆ นะพ่อ...พ่อเชื่อผมหน่อยสิ” ชายหนุ่มอ้อนพ่อพร้อมตวัดสายตามองแหวนประดับซึ่งนั่งมองเขาตาปริบๆ อยู่ ทันใดนั้นแก้มของศิลาก็ร้อนผะผ่าวด้วยความอับอาย ที่หญิงสาวต้องมาเห็นเขาในสภาพนี้ สภาพลูกแหง่ที่โดนพ่อเล่นงาน

‘โธ่เว้ย! หมดกันมาดกู’

“นั่นไงพ่อ...คนนี้แหละ ตีศอกผมจนตาแทบแตก” แล้วเขาก็ชี้นิ้วไปที่แหวนประดับเป็นเชิงฟ้อง “คนนี้เลยพ่อ...คนนี้แหละทำหิน”

“ไหน! คนไหน!”

เสียงทรงอำนาจนั้นทำให้คนร่างบางที่กล้าประทุษร้ายลูกนายทหารใหญ่สะดุ้งเฮือก สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ตามเสียงเรียกของพลเอกเลิศศักดิ์ แม้ว่าแววตาของหญิงสาวจะมีความหวั่นเกรงลึกๆ แฝงอยู่ แต่แหวนประดับก็เลือกก้าวไปหาร่างสูงของพลเอกเลิศศักดิ์และเผชิญหน้ากับเขาอย่างกล้าหาญ

“หนูเองค่ะท่านนายพล” แหวนประดับบอกเสียงดังฟังชัด ยกมือขึ้นนิดๆ เพื่อประกอบคำพูด ราวกับกลัวว่าบิดาศิลาจะมองไม่เห็นเธอ

เพียงเบือนหน้าไปจากบุตรชาย เลิศศักดิ์ก็ตรึงสายตาไว้ที่หญิงสาว ราวกับว่ากำลังจ้องมองคนที่เคยรู้จักอย่างไรอย่างนั้น มือแกร่งที่ดึงหูบุตรชายอยู่ก็เลื่อนหลุดลงมาอย่างอ่อนแรง

“หนู...”

“สวัสดีค่ะท่าน หนูชื่อแหวนประดับค่ะ หนูเป็นคนทำร้ายคุณศิลาเอง” เธอยกมือไหว้พลางแนะนำตัวเสร็จสรรพ

คนสูงวัยกว่าเห็นเค้าหน้างามตรงหน้า...เค้าหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาเคยเชื่อว่าตนลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว ทั้งจากความทรงจำและจากหัวใจ

กระทั่งวันนี้...วินาทีที่เห็นเค้าหน้านั้นจากใบหน้างามของหญิงสาวตรงหน้านี้ หัวใจด้านชาของนายทหารเก่าก็แกว่งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“เห็นไหมพ่อ หินบอกแล้วว่าหินไม่ได้เป็นคนเริ่ม” ลูกชายที่อยู่ข้างๆ ผู้เป็นพ่อยื่นหน้าไปกระซิบฟ้อง

แหวนประดับถลึงตาใส่ชายหนุ่มอย่างคาดโทษทันที

“คุณศิลาเขาปีนเข้าบ้านหนูค่ะท่าน” เรื่องอะไรที่แหวนประดับจะยอมเป็นคนผิด หญิงสาวเชิดหน้าฟ้องเลิศศักดิ์บ้าง “หนูเตือนเขาแล้ว บอกคุณศิลาแล้วด้วยว่าถ้าเขาเข้ามา หนูจะแจ้งตำรวจจับเขา แต่คุณศิลาบอกว่าไม่กลัวเพราะว่าพ่อเขาใหญ่”

คราวนี้คนมีพ่อใหญ่ได้แต่ยิ้มแหย เมื่อตาคมกริบพิมพ์เดียวกับเขานั้นตวัดมามองหน้าคมคายของชายหนุ่มทันทีที่ได้ยินคำกล่าวหาของแหวนประดับ

เลิศศักดิ์เชื่อหญิงสาวหมดใจทันที เพราะคำพูดนี้...ศิลามักจะยกขึ้นมาอ้างกับใครต่อใครทุกครั้งที่มีเรื่องวิวาท กับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างแหวนประดับ ไอ้ลูกชายตัวดีก็เอาเขามาอ้างได้ลงคอ มันน่านัก...

“ไอ้หิน!” เลิศศักดิ์คำราม หน้าคมเข้มขึ้นทุกขณะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ก็ตอนนั้นหินโกรธนี่นา...” ชายหนุ่มแก้ตัวเสียงเบา ตาก็มองค้อนแหวนประดับอย่างโกรธขึ้ง ผู้หญิงอะไรขี้ฟ้องจริง อย่าให้ถึงคราวเขาบ้างก็แล้วกัน

“แกเลยเอาฉันไปขู่ผู้หญิงอย่างนั้นหรือไอ้หิน แกเป็นผู้ชายประสาอะไรวะ!” ครั้งนี้เลิศศักดิ์ไม่เพียงแค่บิดหูลูกชาย เขายกมือขึ้นสูงแล้วฟาดลงบนแผ่นหลังกว้างของศิลาจนชายหนุ่มเสียการทรงตัว ล้มลงไปกองกับพื้น

“พ่อ! หินเจ็บนะ!”

พอแหวนประดับเห็นชายหนุ่มโดนพ่อทุบตีหนักมือเช่นนี้ ความโกรธก่อนหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสารในพริบตา เธอรีบเข้าไปช่วยพยุงร่างสูงของศิลาให้ยืนขึ้น

เพียงมืออุ่นของแหวนประดับแตะต้อง ร่างกายของศิลาก็กระตุกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน เล่นงานหัวใจเขาอย่างไม่ปรานีจนหน้าคมของชายหนุ่มนั้นซีดเผือด

“ไม่เป็นไรนะคะคุณศิลา” แหวนประดับสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มเป็นคนแรกจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง รู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกขั้นทันที “เจ็บมากเหรอคะ”

“เจ็บ...” ศิลาเอ่ยได้เพียงสั้นๆ เพราะตอนนี้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย ลิ้นของเขาใหญ่คับปาก มือไม้ก็เกะกะ ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน จึงเลือกโอบเอวบางของหญิงสาวเอาไว้ อ้างว่าใช้เธอเป็นหลักยึดเพื่อทรงตัว

คนใจดีอย่างแหวนประดับตามเล่ห์เหลี่ยมของคนมารยาอย่างเขาไม่ทันเสียแล้ว

ผิดกับพ่อของศิลา...ที่หนังตากระตุกตุบๆ อยากจะฟาดลูกชายของตนขึ้นมาอีกครั้งครามครัน ทันทีที่เห็นว่ามือไม้ของไอ้ลูกตัวดีนั้นอยู่ไม่สุข เพียงไม่กี่นาทีมือแกร่งของศิลาก็เลื้อยไปโอบกอดเอวสาวสวยเสียแล้ว...สำออยจริง เขาเห็นมันต่อยตีกับคนอื่นมาเป็นร้อยไม่เคยเห็นว่าหนังหนาๆ ของมันจะสะเทือน นี่อะไร...แค่โดนพ่อดีเบาๆ ถึงขั้นยืนเองไม่ได้ ต้องไปออเซาะผู้หญิง

ลูกชายเขานี่มันชอบผู้หญิงสวยเหมือนเขาละสิท่า เชื้อไม่ทิ้งแถว

“ปล่อยมือแกจากเอวหนูแหวนได้แล้วไอ้หิน” เลิศศักดิ์เตือนบุตรชายด้วยเสียงลอดไรฟัน

แหวนประดับรู้ตัวจึงก้มมองมือหนาที่โอบเอวของเธออยู่ ก่อนจะพยายามขืนตัวออกห่าง ทว่าศิลากลับเกาะเอวเธอหนึบ ไม่คิดจะปล่อยเธอไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ลูกเขามีพ่อมีแม่นะแก”

“อะไรล่ะพ่อ...หินไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเสียหน่อย” ศิลาพึมพำ

สรรพนามแทนตัวว่า ‘หิน’ ของชายหนุ่มตัวโตแต่สู้พ่อของตัวเองไม่ได้นั้นทำให้แหวนประดับเงยหน้าขึ้นมองแล้วอมยิ้ม แม้จะรู้สึกขัดหูกับคำเรียกที่ไม่สมตัว แต่ก็ต้องยอมรับว่าเวลาที่ชายหนุ่มแทนตัวเองเช่นนี้ก็น่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอก

“ก็แค่...ยึดเขาไว้พยุงตัวเฉยๆ” “แกเป็นง่อยหรือไง ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้!”

คำพูดนั้นถือเป็นคำสั่งเด็ดขาด ที่แม้แต่คนลูกไม้จัดอย่างศิลาก็หาทางอิดออดไม่ได้ ต้องยอมปล่อยมือจากเอวบางของแหวนประดับ แม้จะแสนเสียดายก็ตามที

“ปล่อยแล้วครับ”

“ปล่อยแล้วก็มานี่ กลับบ้านพร้อมฉัน”

“ไม่เอา” เพียงได้ยินคำว่ากลับบ้าน ท่าทางโอนอ่อนของศิลาก็กลับมาเป็นแข็งกร้าวอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าอะไรรออยู่หากว่าเขายอมกลับบ้านพร้อมกับบิดา การลงโทษที่ทำให้เขาเจ็บไปถึงกระดูกในยามเช้านั้นทำให้ศิลาเข็ดขยาด ถอยกรูดกลับมาใช้แหวนประดับเป็นโล่ทันที “หินไม่กลับ”

“ไอ้หิน!”

“ท่านคะ...อย่าลงไม้ลงมือกันเลยนะคะ” แหวนประดับกางแขนออกเพื่อปกป้องผู้ชายที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อเห็นเลิศศักดิ์ทำท่าจะปรี่เข้ามาทุบศิลาอีกครั้ง

และเพียงหญิงสาวเอ่ยปากขอ พ่อของศิลาก็ชะงักมือที่เงื้อขึ้นสูงเตรียมจะลงโทษบุตรชาย จากนั้นจึงค่อยๆ ลดมือลง

“หนูกับคุณศิลายังมีเรื่องที่จะต้องตกลงกัน...เรื่องค่าเสียหาย ใช่ไหมคะคุณศิลา” แหวนประดับคิดหาข้ออ้างให้ชายหนุ่มได้เดี๋ยวนั้น ก่อนจะหันไปร้องขอคำยืนยันจากศิลาอีกแรง

มีหรือคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือจากศิลาจะปฏิเสธหญิงสาว เขาพยักหน้าแรงๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ใช่ ผมไปพังบ้านแหวนเขา...ต้องเจรจาเรื่องค่าเสียหาย กลับไปกับพ่อไม่ได้”

“ฉันรู้นะว่าแกโกหกฉัน ไอ้หิน” เลิศศักดิ์เอ่ยกับบุตรชายอย่างไม่คิดจะไว้หน้า แม้จะรู้ว่าศิลาโกหกหน้าด้านๆ ก็ตาม แต่เพราะเห็นแก่คนร่างบางที่หน้าเหมือน...คนที่เขาเคยรู้จัก เขาจะยกประโยชน์ให้มันสักหน

“ก็แหวนเขาบอกมาอย่างนี้ ผมจะไปโกหกอะไรพ่อเล่า” พอมีพรรคพวกศิลาก็เริ่มกลับมากร่างกล้าได้อีกครั้ง

“ไปทำร้ายเขา แล้วยังให้เขาช่วยแกอีก” เลิศศักดิ์ต่อว่าบุตรชาย “นับวันแกยิ่งทำตัวไม่ได้เรื่องนะไอ้หิน”

“ผมไม่ได้ทำร้ายแหวนนะพ่อ” ศิลาเถียงพ่อของตัวเองเสียงดัง ส่วนเรื่องที่ต้องให้แหวนประดับช่วยเขานั้น ศิลาเถียงไม่ได้ “แหวนต่างหากที่ทำผม บอกตั้งหลายครั้งแล้ว”

“ค่ะ หนูตีศอกคุณศิลาเอง” แหวนประดับพยักหน้ายืนยัน “คุณศิลายังไม่ได้ทำอะไรหนูค่ะท่าน แค่กระโดดข้ามประตูรั้วมาเท่านั้น”

“อย่าหลงใจดีกับไอ้หินมากล่ะหนูแหวน” เมื่อเอาความกับลูกชายมากไปกว่านี้ไม่ได้ เลิศศักดิ์จึงหันไปเตือนแหวนประดับแทน เพราะรู้ว่าหญิงสาวน่าจะเป็นคนใจดี ใจอ่อน “ไอ้ลูกฉันคนนี้มันไม่ใช่คนโง่อย่างที่หนูคิดหรอก มันโง่จริง...แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสมองเลยหรอกนะ ระวังตัวเองด้วยนะหนู”

“พ่อ!”

 

กว่าแหวนประดับจะแยกกับศิลาได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ทำให้เธอไปทำงานสาย ทว่าเมื่อไปถึงที่นัดหมายพร้อมกับแฟ้มเอกสารในอ้อมกอด เธอก็พบร่างบอบบางของเพื่อนสนิทอย่างพิศานั่งหัวเราะและโปรยเสน่ห์ใส่ลูกค้าของเธอเรียบร้อย มิหนำซ้ำเมื่อแหวนประดับก้าวเข้าไปหาคนทั้งคู่ เธอก็ได้ยินคำตอบว่า

“สัญญาเรียบร้อยแล้วนะครับคุณแหวน...หลังจากนี้ก็ฝากด้วยนะครับ”

แหวนประดับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงสัญญาอะไรที่ว่าเรียบร้อย แต่กระนั้นเธอก็เพียงยิ้มหวานอย่างทรงเสน่ห์ให้ชายหนุ่ม เป็นการไถ่โทษที่ตนมาช้า เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับทำหน้าเหลอหลาอย่างตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าคนหน้าคมตรงหน้าจะยิ้มสวยถึงเพียงนี้

“ขอบคุณมากค่ะคุณเอก แหวนเองก็ต้องรบกวนคุณเอกด้วยนะคะ”

“ยินดีครับ” ผู้ชายคนเดียวในโต๊ะบอกเสียงตะกุกตะกัก

และอาการประหม่าของเขาก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาอันเฉียบแหลมของอดีตมือวางอันดับหนึ่งแห่ง Even for you อย่างพิศาไปได้

“คุณพิศาเธอบอกรายละเอียดสัญญาตัวใหม่กับผมแล้ว...”

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” คนที่ต้องรับหน้าที่มาเจรจาเรื่องสัญญานั้นร้องรับในคอ ก่อนจะเบนสายตาที่มีคำถามไปยังใบหน้างามของเพื่อนสนิทซึ่งกำลังนั่งกรีดนิ้ว ยิ้มกริ่มอยู่ที่ด้านหลังของเอกภพ “ถ้าคุณเอกพอใจ แหวนก็ยินดีค่ะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่แหวนมาตามนัดไม่ทัน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็คุณแหวนเกิดอุบัติเหตุนี่นา ผมเข้าใจครับ”

คราวนี้คนที่ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุถลึงตามองหน้างามของเพื่อนสนิทตนเองอย่างคาดโทษ ทว่าพิศากลับทำเพียงแบะปากและยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ดูเอาเถอะ...ข้ออ้างมีตั้งเยอะแยะ กลับแช่งให้เธอประสบอุบัติเหตุ แม่เพื่อนตัวดี

“คุณแหวนไม่เป็นอะไรมากนะครับ”

“ไม่ค่ะ โดนชนท้ายนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร” เมื่อเพื่อนของเธอนั้นโกหกเป็นตุเป็นตะ แหวนประดับจึงได้แต่เล่นตามน้ำไปเสีย “ขอบคุณคุณเอกมากนะคะที่เป็นห่วง”

“คุณแหวนไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วละครับ เอ่อ...ผมขอตัวสักครู่นะครับ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งมีเสียงเรียกเข้าเดินหลบไปอีกทาง

แหวนประดับได้โอกาสจึงปรี่เข้าไปเอาเรื่องกับเพื่อนสนิทที่นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ไม่ไกลทันที

“แกมาที่นี่ได้ยังไงน่ะพิศา พี่เกดรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

หญิงสาวยิงคำถามใส่เพื่อนของตนเองอย่างเร็วและรัว แต่เสียงก็ยังเป็นกระซิบกระซาบอยู่เหมือนเดิม ด้วยนึกกลัวว่าเอกภพจะมาได้ยินเข้า เพราะตอนนี้พิศาไม่ได้เป็นพนักงานที่ Even for you เหมือนเดิมแล้ว เพราะหลังจากแม่ตัวดีไปก่อเรื่องที่ยุโรป เกศรา...เจ้าของบริษัทก็ต้องจำใจไล่แม่คุณหนูหมื่นล้านนี่ออกจากบริษัทที่เจ้าตัวเป็นหุ้นส่วนอยู่

และดูจากสีหน้า...พิศาก็ไม่เดือดร้อนหรอกที่โดนไล่ออกจากบริษัท ยังคงเดินเข้าเดินออกบริษัท ร่อนไปร่อนมา และซื้อของอย่างบ้าระห่ำเหมือนเดิม

“ก็ต้องรู้สิ...แกคิดว่าใครเป็นคนโทร. ให้ฉันมาหาลูกค้าแทนแกกันล่ะ” พิศาแบะปากตอบเพื่อนสนิท กลอกตาพอเป็นพิธี ก่อนจะชะโงกหน้าไปหาแหวนประดับ หรี่ตาลงอย่างจับผิด “ว่าแต่แกเถอะ ไปทำอะไรที่ไหน ทำไมถึงมาสายได้...แกไม่ใช่คนแบบนี้นี่”

“ฉันเจอพวกโรคจิตป่วนแต่เช้าน่ะ” แหวนประดับเป็นฝ่ายกลอกตาบ้าง เมื่อคิดถึงใบหน้าของ ‘คนโรคจิต’ ที่ทำให้เธอต้องมาทำงานสาย “ฉันเผลอตีศอกเขาไปทีหนึ่ง เลยต้องไปโรงพัก แล้วเรื่องมันก็เลยยาว...แต่ตอนนี้ตกลงกันได้แล้วละ”

“เหรอ ซวยจัง” เพื่อนสนิทที่รู้ดีว่าแหวนประดับไม่มีทางโกหกตนนั้นแบะปากอีกคำรบ คิดว่าถ้าเป็นเธอที่เจอไอ้โรคจิตนั่นละก็ รับรองว่ามันดูไม่จืดแน่ เพราะเธอจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด เพราะเธอไม่ใช่คนใจดีเหมือนแหวนประดับ “แล้วมันเป็นใคร แกเคยเห็นมาก่อนไหม”

“ไม่ เขาเป็นคนบ้า” แหวนประดับรีบชิงบอก ก่อนที่เพื่อนของตนนั้นจะได้มีโอกาสจับผิด ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เอกภพเดินกลับมาที่โต๊ะ และชวนทั้งสองพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ เรื่องของคนโรคจิตที่มาป่วนแหวนประดับจึงถูกลืมเลือนไปอย่างง่ายดาย

 

สองหญิงหนึ่งชายนั่งพูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ เอกภพก็เป็นฝ่ายเอ่ยขอตัวกับสองสาว โดยบอกว่าเขาต้องรีบไปรับลูกชายที่โรงเรียน

แหวนประดับเข้าใจดีว่าชายหนุ่มต้องการแยกตัวไปจึงไม่คิดจะรั้งเขาไว้ เพียงลุกขึ้นและยกมือไหว้ โดยไม่ลืมขอโทษชายหนุ่มทิ้งท้ายอีกครั้ง เรื่องที่เธอมาสายในวันนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกเธอครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาไม่ติดใจก็ตาม

“นี่แหวน...แกรู้ไหมว่านังบี๋มันหายหัวไปไหน” เมื่อลูกค้าอย่างเอกภพเดินคล้อยหลังไปแล้ว พิศาก็หันมาซักฟอกเพื่อนสนิทของตนทันที เพราะแหวนประดับนั้นเป็นคนให้ที่พักแก่ ‘นังบี๋’ ของเธอเป็นคนสุดท้าย ก่อนเด็กสาวจะหายตัวไป ติดต่อไม่ได้ จนใครต่อใครเริ่มเป็นห่วง “โทร. ไปก็ไม่รับ มันน่านัก”

“ก็...ไม่รู้สิ” แหวนประดับบอกเสียงเบา เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเบบี๋ไปอยู่ที่ไหน ครั้งล่าสุดที่เจอก็เมื่อสองสามวันก่อน มาได้ยินชื่ออีกครั้งก็เมื่อเช้า ตอนที่ศิลากล่าวหาว่าเบบี๋เอาเพื่อนสนิทของเขาไปขายโดยมีเธอเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด มาถึงตรงนี้ริมฝีปากของแหวนประดับก็เม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรงด้วยความไม่พอใจ

เด็กเบบี๋ที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี้เป็นเด็กฝึกงานในความดูแลของเธอ แต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวไปทำอะไรอยู่ที่ไหน และทำไมจู่ๆ ศิลาถึงได้โผล่มาหาเรื่องเธอถึงบ้าน แล้วไหนจะเรื่องที่เพื่อนเขาโดนหลอกไปขายนั่นอีก เรื่องนี้ชักจะไม่ชอบมาพากล และคงจะไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดธรรมดาๆ เสียแล้ว ไม่อย่างนั้นศิลาคงไม่โกรธเธอจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วบุกมาเอาเรื่องเธอถึงบ้านอย่างนี้

เบบี๋นะเบบี๋...ไปก่อเรื่องอะไรไว้อีกล่ะเนี่ย...

“งั้นเหรอ แกก็ไม่รู้เหรอว่านังบี๋มันอยู่ที่ไหน” พิศาพึมพำ ก่อนจะเงียบไปอย่างครุ่นคิด

“ไม่รู้หรอก...”

“ช่างเถอะ ไม่รู้ก็ไม่รู้” หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ แล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อหยิบกระเป๋าใบน้อยแต่ราคาไม่น้อยของตนเองขึ้นมาถือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบแว่นกันแดดมาสวมอย่างกรีดกรายตามประสา

แหวนประดับกวาดตามองเพื่อนตั้งแต่หัวจดเท้า...เลิกตกใจเรื่องการแต่งตัวของเพื่อนสนิทของตนเองไปนานแล้ว

ดังนั้นแววตาที่เธอใช้มองร่างบอบบางของสาวหมวยตรงหน้าจึงว่างเปล่า มีเพียงคิ้วงามที่เลิกสูงขึ้นอย่างมีคำถามเท่านั้นที่ทำให้พิศาถอนหายใจเสียงดัง แล้วบอกอย่างเสียมิได้ว่า

“ฉันจะเข้าบริษัท...ไปดูป๊าเสียหน่อยว่าทำงานคุ้มเงินเดือนหรือเปล่า”

“ฝากสวัสดีคุณลุงด้วยนะ” แหวนประดับบอกแล้วลุกขึ้นยืนตามเพื่อนสนิท สมองก็คิดไตร่ตรองว่าเธอจะเข้าไปที่บริษัทหรือจะทำงานข้างนอกดี “ฉันจะขึ้นไปดูจานที่สั่งมา...ที่ห้าง...”

“จานอีกแล้ว...แกจะซื้อจานไปถมที่หรือไงยายแหวน” พิศาแหว ตั้งแต่รู้จักแหวนประดับและเป็นเพื่อนกันมา เธอก็เห็นมีแต่พวกจานชามนี่แหละที่แหวนประดับนั้นหลงใหลได้ปลื้มมาก ไม่ว่าจะซื้อมามากมายแค่ไหนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเลิกซื้อ “ที่บ้านน่ะมีกี่แสนโหลแล้วยะ”

“ก็พอมี...” แหวนประดับไม่สนใจเสียงกระแหนะกระแหนของเพื่อน และตอบกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็นตามประสา “แต่ลายนี้สวยมากนะ ต้องสั่งจากยุโรป...เป็นจานเก่า”

“ระวังมีผีสิงนะ” เมื่อเตือนเพื่อนไม่ได้ผล พิศาจึงเริ่มหันมาขู่แทน โดยยกเรื่องผีสางมาพูด “ช่วงนี้แกยิ่งดวงตกอยู่...ระวังของจะเข้าตัว”

“เพ้อเจ้อ” แหวนประดับบริภาษเพื่อนของตนพร้อมชักสีหน้าขณะก้าวออกมาจากห้องอาหาร แล้วเดินเคียงกันไปที่ลานจอดรถด้านหน้าซึ่งมีรถยนต์หนาตา ด้วยนี่ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายแล้ว จึงมีผู้คนมารับประทานอาหารเที่ยง

แต่นั่นก็ไม่ทำให้การมองหารถของพิศานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะรถของหญิงสาวเด่นสะดุดตาอยู่แล้ว มองปราดเดียวก็เห็น

ผิดกับแหวนประดับที่ต้องล้วงกุญแจรถขึ้นมากดปลดล็อก เธอจึงหารถเก๋งคันน้อยของตนเจอ...รถคันนี้หญิงสาวใช้มาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ นี่ก็เกือบจะคืนความรู้ให้อาจารย์ไปหมดแล้ว สภาพรถของเธอจึงไม่น่าดูเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้อัตคัดหรือลำบากจนต้องเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ เมื่อมองเห็นรถของตนแล้วแหวนประดับก็หันมาบอกลาสาวหมวยด้วยรอยยิ้มเช่นทุกครั้ง

“ไปแล้วนะ...เอาไว้เจอกันนะพิศา”

“ถ้าว่างฉันจะแวะไปหา...” พิศายกมือสะบัดผมยาวๆ ของตนไปเบื้องหลัง ก่อนมองเพื่อนสนิทพร้อมยิ้มมุมปาก “แล้วก็ช่วยบอกพี่เกดให้คิดถึงความสำคัญและฝีมือคนสวยอย่างฉันด้วย เผื่อพี่เกดจะเสียใจที่ไล่ฉันออก”

“ถ้าแกไม่เอาตัวเข้าแลกกับเงิน...ใครจะกล้าไล่แกออก” แหวนประดับหลุดปากจิกกัดเพื่อนสนิทด้วยความหมั่นไส้

“เอ๊ะ ก็บรรยากาศมันพาไปนี่...แกจะมาซ้ำเติมฉันทำไม”

“บรรยากาศพาไปหรือ...กล้าพูดนะ” คราวนี้แหวนประดับก้าวไปประชิดคนร่างบางที่เตี้ยกว่าเธออยู่หลายเซนติเมตร แล้วอดใช้นิ้วจิ้มหน้าผากมนของคนที่อ้างว่าบรรยากาศพาไปไม่ได้ จนอีกฝ่ายผงะหงายหลัง ก่อนทำหน้าเบ้ใส่แม่คนเจ้าลีลาอย่างพิศา “คิดว่าฉันไม่รู้จักแกสินะ ถึงได้พูดออกมาอย่างนี้น่ะพิศา อย่างแกน่ะหรือบรรยากาศจะพาไปได้...ไม่ใช่ว่าหมายตาคุณจืดวริตเอาไว้นานแล้วหรือ” “บ้า!” คนโดนเพื่อนรู้ทันบอกปัดเสียงสูงปรี๊ด ใบหน้าที่ขาวซีดก่อนหน้านี้ขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความอาย ทั้งชีวิตก็มีแค่แหวนประดับนี่แหละที่รู้ทันลูกไม้ของเธอ “หมายตงหมายตาอะไรล่ะ...ไม่มี้...” ว่าแล้วพิศาก็กระแทกรองเท้าส้นสูงกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่รถของตัวเอง

เวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น แหวนประดับก็เห็นรถคันน้อยของเพื่อนตนถูกกระชากออกไปด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียว ทิ้งเธอไว้กับรอยยิ้ม...รอยยิ้มแห่งความยินดี เพราะในที่สุดพิศาก็จะได้มีความสุขเสียที

เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากรีดร้องขึ้นมาทำให้ร่างบางของหญิงสาวสะดุ้ง ก่อนเธอจะรีบค้นหาแล้วหยิบขึ้นมากดรับสาย เมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้ที่อยู่ปลายสาย ความโล่งใจก่อนหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นรู้สึกหนักอึ้งด้วยความลำบากใจ

“ว่าไงจ๊ะเบบี๋ โทร. มาหาพี่ได้แล้วหรือแม่ตัวดี” แหวนประดับกรอกเสียงราบเรียบทว่าเฉียบขาดไปตามสายทันที “รู้ไหมว่าวันนี้เราทำให้พี่ลำบากขนาดไหน หือ...” “พี่แหวน...พี่แหวนต้องช่วยหนูนะคะ”

เสียงของเด็กสาวนั้นเสียขวัญอย่างมาก แหวนประดับจึงแสร้งโกรธต่อไปไม่ได้

“หนูต้องตายแน่ถ้าพี่แหวนไม่ช่วยหนู...พี่แหวน...ฮึก...พี่แหวนขา...”

“ใจเย็นๆ เบบี๋” แหวนประดับปลอบใจคนตัวเล็ก ร้อนรนไปขึ้นรถของตนทันที ในมือก็ยังถือสายของเบบี๋เอาไว้ “อะไรกัน...เกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ เล่า” “หนู...ฮึก...คือหนู” เหมือนว่าเบบี๋จะคุมสติของตัวเองไม่อยู่เสียแล้ว เธอปิดหน้าร้องไห้ฟูมฟายอย่างมืดแปดด้าน...อย่างคนที่ทำเรื่องร้ายแรงเกินกว่าที่กำลังของตัวเองจะแก้ไขไหว “คือหนู...หนูหลอกคุณฌอห์นไปขาย...” “อะไรนะเบบี๋!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น