“ไม่ต้องพูด ไม่คิดจะฟัง อย่าพยายามยกตัวว่าเป็นคนสำคัญสำหรับไอ้เด็กเวรนั่นหน่อยเลย ไอ้เด็กนั่นมันไม่เคยเห็นใครสำคัญนอกจากตัวมันเอง เชื่อฉันสิ เธอไปได้ไม่ถึงสามวันมันก็ลืมเธอแล้ว เธอควรดีใจเสียด้วยซ้ำที่สามารถสลัดไอ้เด็กเปรตนั่นออกจากชีวิตได้ จะบอกอะไรให้ ฉันยังอิจฉาเธอเลยนะที่สามารถไปจากชีวิตของมันได้ ไม่เหมือนฉัน” ดามพ์พ่นลมหายใจออกมา “ฉันต้องติดอยู่กับมันจนกว่าจะตายจากกันไปข้าง”
๑
คฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นร้อนเป็นไฟตั้งแต่เช้ามืด สวรรค์กลายเป็นนรกทันทีที่เจ้าของบ้านลงมายังห้องรับประทานอาหารแล้วไม่พบลูกชายตัวแสบของตน เสียงตวาด เสียงจานชามแตกดังเปรื่องขับไล่ความสงบยามเช้าออกไปจนสิ้น
ทั้งที่สั่งคนรับใช้และพี่เลี้ยงของอาทิตย์เอาไว้แล้วว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของแม่และน้องของมัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ต้องลากมันให้ไปทำบุญที่วัดให้ได้ แต่ดูสิว่าไอ้เด็กเหลือขอนั่นทำอย่างไร นอกจากจะไม่สนใจ ไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้ว มันยังกล้าดื่มเหล้าจนเมาหลับอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกที่เรือนหลังเล็กอีก
บุรุษผู้เริ่มมีผมหงอกแซมทั่วศีรษะแต่ใจร้อนไม่ต่างกับวัยรุ่นยืนกอดอก มองพี่เลี้ยงของลูกชายเขย่าร่างสูงเก้งก้างที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“หลีกไป” ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ได้ สั่งพี่เลี้ยงซึ่งดูแลอาทิตย์มาตั้งแต่ยังเล็กให้หลีกให้พ้นทางแล้วเดินเข้าไปใกล้ลูกชายตน ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล้าก็ยิ่งโชยเข้าจมูกหนักขึ้น สภาพของลูกที่เมาเหมือนหมานั้นน่ารังเกียจเสียจนผู้เป็นพ่อไม่คิดจะปลุกลูกชายดีๆ แต่กลับยกเท้าขึ้นมาวางบนต้นแขนของลูก จากนั้นก็ยันอย่างแรง จนร่างผอมแห้งของเด็กหนุ่มสั่นราวกับถูกไฟชอร์ต
กิริยาหยาบคายที่พ่อกระทำต่อลูกนั้นทำให้ชื่นจิตซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของอาทิตย์ยกมือขึ้นปิดปากตนเอง หาไม่แล้วเธอคงอดห้ามปรามหรือต่อว่าผู้เป็นพ่อของเด็กหนุ่มไม่ได้
จริงอยู่...การที่เด็กอายุสิบหกเมาเหล้าจนตื่นไปทำบุญให้แม่และน้องในวันครบรอบวันเสียชีวิตไม่ได้นั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่การที่พ่อทำกิริยาเช่นนี้กับลูกเหมาะสมแล้วหรือ
สำหรับชื่นจิตแล้ว เธอเห็นพ่อลูกคู่นี้เสมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกัน เข้ากันไม่ได้ แถมยิ่งพยายามดึงให้ชิด ยิ่งส่งแรงผลักกันจนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง
ชื่นจิตรู้ดีว่าการที่อาทิตย์พยศกับพ่อเช่นนี้ ท้าทายพ่อแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะตั้งแต่อาทิตย์ย้ายกลับมาอยู่กับพ่อ พ่อที่ควรเมตตาลูกกลับมองลูกเป็นตัวปัญหา และแทนที่จะแก้ปัญหา พ่อกลับเลือกผูกปมปัญหาใหม่ให้ยิ่งยุ่งเหยิงและแก้ไขยากขึ้น
พ่อลูกคู่นี้นอกจากหน้าตาจะเหมือนกันแล้ว นิสัยยังเหมือนกันอย่างยิ่ง ดื้อรั้น เอาแต่ใจ ไม่ยอมแพ้ ยอมหัก ไม่ยอมงอ การปะทะกันจึงดุเดือดขึ้นทุกวัน จนคนที่อยู่กลางสนามรบแบบชื่นจิตบางครั้งก็ใจหายใจคว่ำ ด้วยไม่รู้จะห้ามปรามเช่นไร เธอก็เป็นเพียงแค่ลูกจ้าง เธอสั่งสอนอาทิตย์ไม่ได้ ทำได้เพียงตักเตือนด้วยความหวังดี และเธอก็ตักเตือนเจ้านายไม่ได้ ได้แต่ภาวนาให้เขาใจเย็นลง
“หยุดเถอะค่ะ น้องหนึ่งเมามากขนาดนี้ ต่อให้คุณฆ่าให้ตายก็คงไม่ตื่นหรอกค่ะ”
พอดามพ์ลดเท้าลงมายืนเท้าสะเอวมองลูก หญิงสาววัยสามสิบห้าก็ปราดเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเด็กหนุ่ม เอาตัวขวางไว้ ไม่ยอมให้พ่อทำร้ายลูกอีก
“ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าให้เตรียมมันให้พร้อม” เสียงดามพ์ดังและดุดัน เข้ากับหน้าคล้ำเข้มแบบชายไทยแท้ที่เวลาทำหน้านิ่งๆ ก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่พอมาขมวดคิ้วนิ่วหน้าสั่งการแบบนี้ รังสีไม่น่าเข้าใกล้ยิ่งกระจายออกมาจนทุกคนอยากหลบลี้หนีไปให้ไกล
เป็นที่รู้กันดีในหมู่คนรับใช้ว่าเจ้านายทั้งพ่อและลูกล้วนแล้วแต่เจ้าอารมณ์ เวลาไม่พอใจจะตะโกนเสียงดังหรือไม่ก็ถึงกับทำลายข้าวของอยู่เป็นประจำ แต่ที่ทนกันมาได้เพราะนายไม่เคยทำร้ายร่างกายคนรับใช้ แถมยังจ่ายค่าจ้างให้สูงลิบ แต่ค่าจ้างสูงก็แลกมาด้วยการเรียกร้องให้คนรับใช้ทุกคนทำงานตอบแทนอย่างดีเลิศด้วย
เรื่องที่เล่าลือกันในหมู่คนรับใช้มาหลายปีแล้วก็คือ วันหนึ่งเมื่อเจ้านายพบเศษผมบนเตียง สาวใช้ที่ทำงานรับใช้บนตึกใหญ่ก็ถูกไล่ออกยกชุด และอีกวันหนึ่ง เมื่อเจ้านายสตาร์ตรถไม่ติด คนดูแลรถวัยใกล้เกษียณก็ถูกไล่ออก แม้จะรับใช้กันมาเป็นสิบปีแล้ว ทว่าหากผิดพลาดเพียงครั้ง คุณดามพ์ผู้เป๊ะเว่อร์ก็ไม่เคยคิดจะอภัย
แต่นาทีนี้ชื่นจิตมิได้หวาดกลัวเจ้านาย เธอห่วงเพียงเด็กที่เธอดูแลจะเจ็บจึงไม่หนี ในยามที่อาทิตย์วิ่งหนีพ่อไม่ได้เช่นนี้ เห็นจะมีเพียงเธอที่พอจะปกป้องเขาได้
“ดิฉันบอกน้องหนึ่งแล้วค่ะ จัดการให้ขึ้นนอนตั้งแต่ยังหัวค่ำแล้วด้วย แต่...”
“แต่มันไม่เชื่อเธอ” ดามพ์ต่อประโยคให้พี่เลี้ยงเด็กแล้วส่ายหน้า “มันไม่เคยเชื่อใคร” คราวนี้เขาหันไปส่ายหน้าให้ร่างซึ่งนอนนิ่งอยู่บนโซฟา “ไม่เคยคิดถึงใครนอกจากคิดถึงตัวเอง กระทั่งคนที่มันทำให้ตาย มันก็ไม่คิดถึง!”
“คุณคะ!” ชื่นจิตอุทานเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยแก้ตัวแทนอาทิตย์ ดามพ์ก็ออกไปจากเรือนเล็กซึ่งเป็นบ้านส่วนตัวของลูกชายเสียก่อน
หญิงสาวถอนหายใจเฮือก ไม่รู้จะทำเช่นไรดีกับรอยร้าวระหว่างพ่อลูกที่นับวันจะยิ่งขยายความร้าวฉานจนยากประสาน
เสียงสูดน้ำมูกและความเคลื่อนไหวด้านหลังทำให้ชื่นจิตหันกลับไปมอง หญิงสาวพบว่าเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในความดูแลของเธอลุกขึ้นมานั่งแล้ว ดวงตาซึ่งมีหยาดน้ำคลอคลองมองตามหลังพ่อของตนเองไป ใบหน้าที่คล้ายพ่ออย่างมากเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ท่าทางเช่นนั้นบอกให้ชื่นจิตทราบว่าอาทิตย์คงตื่นนานแล้ว และได้ยินทุกคำที่พ่อตนพูดออกมาด้วย
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบแขนอาทิตย์ข้างที่ถูกพ่อถีบเบาๆ ก่อนชวน “ลุกได้แล้วเหรอน้องหนึ่ง ถ้าลุกไหวหนึ่งไปอาบน้ำดีไหมลูก น้าจะให้คนไปบอกคุณพ่อให้รอ น้องหนึ่งจะได้ไปวัดพร้อมคุณพ่อ ไปทำบุญให้คุณแม่กับน้องสองกันนะ”
แทนที่เด็กหนุ่มจะลุก เขากลับชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดแล้วซบหน้าลงไป จากนั้นไหล่ผอมบางแบบเด็กกำลังโตก็สั่นสะท้าน
ไม่มีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากลำคอของอาทิตย์ เท่าที่ชื่นจิตจำได้ ตั้งแต่แม่และน้องชายเขาเสียชีวิต อาทิตย์ไม่เคยร้องไห้โฮออกมาเลยสักครั้ง เด็กหนุ่มมักจะทำแบบนี้ กอดเข่าตัวเองเอาไว้ ซบหน้าลงไป และหลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ ซึ่งชื่นจิตเห็นแล้วไม่ชอบเลย เนื่องจากการทำเช่นนี้เหมือนอาทิตย์กำลังกันตัวเองออกจากโลกแล้วเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว
เธอกลัว...กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งอาทิตย์จะทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา
หญิงสาวเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับเด็กซึ่งเธอดูแลมาตั้งแต่หกขวบแล้วตบไหล่เขาเบาๆ เป็นจังหวะ ทำเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเพียงเด็กงอแงและร้องขอให้เธออุ้มเอาไว้จนกว่าเขาจะหลับ
อาทิตย์ในตอนนั้นน่ารักหนักหนา น่ารักจนชื่นจิตยอมปวดหลังทุกคืน ยอมอุ้มเขาเดินวนรอบห้องอยู่แบบนั้นเพื่อให้เด็กชายนอนหลับสบาย
แต่วันนี้เขาไม่ใช่เด็กชายตัวเล็กๆ อีกแล้ว เขาเป็นเด็กที่กำลังย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เท้าสองข้างเหยียบอยู่บนช่วงรอยต่อของวัย เขาไม่ใช่เด็ก แต่ก็ยังไม่ใช่หนุ่ม เขาจึงยังทำตัวไม่ถูก เขารู้ว่าไม่สามารถร้องไห้โฮๆ และโผเข้ากอดเธอเพื่อให้เธอปลอบหรือเช็ดน้ำให้เหมือนตอนเด็กได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับความปวดร้าวแสนสาหัสที่เด็กอายุเพียงสิบหกยังรับมือไม่ได้
ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้มีเพียง...กอดตัวเองเอาไว้และร้องไห้เงียบๆ
เด็กเอ๊ย...
“หนึ่งไม่อยากไป หนึ่งจะมีหน้าไปทำบุญให้แม่ให้น้องได้ยังไง ในเมื่อ...แม่กับน้องตายเพราะหนึ่ง”
“น้องหนึ่ง...” ชื่นจิตเรียกเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงปรานี เธอถอนหายใจก่อนปลอบ “น้าบอกแล้วว่าอย่าคิดแบบนี้ มันเป็นอุบัติเหตุหนึ่งก็รู้ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการโทษตัวเอง มันไม่มีอะไรดีขึ้นนอกจากจะยิ่งทำให้หนึ่งทุกข์และมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขไม่ได้”
เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นจิกผมตัวเองแล้วทึ้ง “หนึ่งมีความสุขไม่ได้ ไม่ได้!”
“หนึ่ง...” ชื่นจิตพยายามเขย่าตัวอาทิตย์เพื่อเรียกสติเขาให้คืนมา แต่อาทิตย์ไม่ฟังเธอ เขาจมอยู่ในความทุกข์จากความผิดที่ตนไม่ได้ตั้งใจก่อ ความผิดถึงแก่ชีวิตที่แม้ต้องการเอาชีวิตตนเองแลกกับสองชีวิตที่ต้องมาตายแทนเขา อาทิตย์ก็ทำไม่ได้
เขาจำต้องอยู่กับความผิดนั้น ความผิดที่นอกจากจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้แล้ว กระทั่งพ่อ...พ่อที่ควรจะประคับประคองจิตใจเขาด้วยความรักก็ยังเป็นผู้คอยตอกย้ำมิให้เขาลืมความผิดนั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
และเหตุผลที่ทำให้พ่อตอกย้ำเขาเช่นนั้นก็เพราะว่าพ่อเกลียดเขา เกลียด...เพราะเขาเป็นต้นเหตุทำให้อาทิวัชร ลูกชายที่พ่อภูมิใจต้องตาย
อาทิตย์กับอาทิวัชรเป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันเพียงสองนาที แต่สองนาทีกลับทำให้หนึ่งกับสองแตกต่างกันเหลือเกินในหัวใจของพ่อและสายตาของแม่
อาทิตย์เกิดก่อน แข็งแรงกว่า จึงเติบโตเป็นเด็กร่าเริง กล้าหาญ มีความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยม ส่วนอาทิวัชรแม้จะอ่อนแอกว่า แต่ก็ช่างคิด ฉลาดเฉลียว ติดจะขี้อ้อน จึงเป็นลูกรักของทั้งพ่อและแม่
ก่อนที่พ่อกับแม่จะหย่าขาดจากกันนั้น อาทิตย์ไม่เคยรู้สึกขาด แม้พ่อจะไม่เคยเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงดู แต่แม่และพวกพี่เลี้ยงก็ดูแลเขากับน้องอย่างเต็มที่ บางที...อาจเพราะยังเด็กด้วยกระมัง อาทิตย์ซึ่งยังไม่รู้จักความรักจึงไม่เคยเรียกร้องหรือเปรียบเทียบตนเองกับน้อง
สำหรับเด็กห้าขวบ แค่กินอิ่ม เล่นสนุก นอนหลับ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
แต่พอพ่อกับแม่หย่าขาดจากกันแล้ว แม่เริ่มหันมาเลี้ยงเขากับน้องด้วยตนเอง เพราะความอ่อนแอของน้องสอง พี่หนึ่งจึงต้องเสียสละอยู่เสมอ หากพี่หนึ่งกับน้องสองร้องไห้พร้อมกัน แม่จะเข้าไปอุ้มน้องสองก่อน ส่วนพี่หนึ่งถูกส่งต่อให้น้าชื่น หลายครั้งที่อาทิตย์ร้องไห้นานกว่าน้องเพราะต้องการให้แม่มาสนใจ แต่ก็ไม่เคยได้รับความสนใจ
ยิ่งไม่ได้ก็ยิ่งอยากได้ เด็กชายเริ่มรู้จักวิธีเรียกร้องความสนใจ เมื่อไม่ฉลาดเท่าน้อง เรียนไม่เก่ง จึงเอาดีทางกีฬาจนกลายเป็นนักบาสเกตบอลของโรงเรียนตั้งแต่ยังเรียนประถม
น้องสองอาจได้ประกาศนียบัตรเรียนดี แต่พี่หนึ่งก็มีเหรียญมีถ้วยกีฬาเด่น น้องสองมีแม่คอยประคบประหงม พี่หนึ่งก็มีน้าชื่นคอยดูแล
ชีวิตหลังพ่อกับแม่หย่ากันค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอย อาทิตย์กำลังมีความสุข มีที่มีทางเป็นของตัวเอง แต่แล้วเพียงไม่กี่นาทีทุกสิ่งก็อันตรธานไปเพราะความผิดที่อภัยให้ไม่ได้ของเขาเอง
ทุกปี เวลาปิดเทอมใหญ่คือช่วงที่แม่จะพาลูกๆ ไปทะเล ไปอยู่กันเป็นเดือนๆ โดยไม่มีพี่เลี้ยงหรือคนรับใช้ไปด้วย
ลูกๆ จะได้ใกล้ชิดกับแม่เป็นพิเศษ แม่จะใช้งานลูกทั้งสองเท่าเทียมกัน จะไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือว่าใครเป็นลูกรัก ลูกคนโปรดอีก
อาทิตย์ชอบเวลาช่วงนี้มากจนนับวันรออย่างใจจดใจจ่อเสมอ
ปีนั้นทุกอย่างเป็นเหมือนเคย ครอบครัวเล็กๆ ที่มีแม่และลูกฝาแฝดอยู่ร่วมกันในบ้านน้อยติดทะเลอย่างมีความสุข
เช้าก็ไปเดินเล่น ปั่นจักรยาน หาอะไรกินนอกบ้าน บ่ายๆ นอนพัก หรือเล่นไพ่ เล่นเกมกันอยู่ในบ้าน พอเย็นสักนิดจึงออกไปเล่นน้ำทะเล ขี่เจ็ตสกี หรือเล่นกีฬาทางน้ำอื่นๆ ที่อยากเล่น
ไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งจู่ๆ อาทิตย์ที่กำลังว่ายน้ำออกไปเก็บลูกบอลก็เกิดเจ็บเกร็งที่นิ้วเท้าขึ้นมา
อาทิตย์ร้องแล้วพยายามยืดตัว พยายามพยุงตัวกลับเข้าฝั่ง แต่ตะคริวไม่ปรานีเขา มันกัดกินอย่างเจ็บปวดจนทำให้คนที่ว่ายน้ำเก่งว่ายน้ำแข็งแบบเขาสติหลุด ตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
อาทิตย์กินน้ำทะเลไปหลายอึกจนแสบคอ แสบจมูก คลื่นใต้น้ำเริ่มม้วนตัวเขาออกไปจากฝั่ง เขาคงตายหากอาทิวัชรไม่ว่ายน้ำมาช่วย
เขายังจำความอบอุ่นที่ลำคอได้ เขารู้ว่าแขนของน้องชายรัดรอบคอเขาเอาไว้ สัมผัสได้ว่ามือและเท้าของน้องพุ้ยน้ำเพื่อพยายามพาเขาออกไปจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
สติของอาทิตย์ติดๆ ดับๆ เขาได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกและสัมผัสได้ถึงมือหลายมือที่ยื่นมาจับ มาดึง มาประคองเขาเอาไว้ จนในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนฝั่ง มีชายหญิงหลายคนล้อมตัวเขาแล้วถามว่าเขาเป็นอะไรหรือไม่
ไม่...เขาไม่เป็นอะไรในตอนนั้น แต่แตกสลายไม่เหลือดีหลังจากนั้นเมื่อทราบว่า น้องสองที่ตามไปช่วยเขาหมดแรงกลางทาง แม่ซึ่งเห็นเหตุการณ์รีบว่ายน้ำไปช่วยลูกทั้งสองพร้อมกับคนที่กำลังเล่นน้ำอยู่บนฝั่ง เขาได้รับการช่วยเหลือแล้วพาเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ในขณะที่แม่กับน้องสู้กระแสน้ำไม่ไหว และ...
และเขาเป็นต้นเหตุทำให้แม่กับน้องสองต้องตาย!
โลกของเขาเหมือนจบสิ้นลงตรงนั้น เขานั่งอยู่หน้าห้องดับจิตคนเดียว ร้องไห้เงียบๆ แล้วรอ รอใครสักคนยื่นมือมาช่วยเขาไปให้พ้นจากตรงนี้ จากทุกข์ที่เขาไม่รู้จะป่ายปีนให้พ้นวังวนนั้นได้อย่างไร
ทว่าทันทีที่คนซึ่งเขารอมาถึง ทันทีที่พ่อมา สิ่งแรกที่พ่อทำคือกระชากเขาขึ้นมาจากพื้นแล้วเขย่าจนหัวเขาแทบหลุดออกจากตัว จากนั้นเขาก็ได้ยินคำกล่าวหาของพ่อ
‘แกทำแบบนี้ได้ยังไงฮะหนึ่ง แกรู้ไหมว่าคราวนี้แกทำอะไรลงไป แกทำให้น้อง ทำให้แม่ของตัวเองต้องตายได้ยังไง ทำได้ยังไง!’
คำพูดนั้นเป็นดังตุ้มถ่วงให้อาทิตย์จมดิ่งอยู่ในโลกแห่งความทุกข์ และกระทั่งวันนี้เขาก็ยังก้าวออกมาจากโลกนั้นไม่ได้
หนทางเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มมีแต่ความดำมืด ความทุกข์ที่เกาะกินใจนับวันยิ่งทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งเขาก็เหนื่อย ท้อ อยากหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ไม่แน่นะ...อีกไม่นานเขาอาจข้ามพ้นความกลัว และได้กลับไปอยู่กับคนที่เขารักและรักเขาก็ได้
เพราะเหตุการณ์กวนโมโหเมื่อเช้าทำให้ดามพ์อารมณ์ไม่ดีทั้งวัน หนุ่มใหญ่กลับถึงบ้านเกือบทุ่ม หลังโยนเสื้อนอก เนกไท และกระเป๋าเอกสารให้สาวใช้ซึ่งมีหน้าที่นำมันไปเก็บแล้วเขาก็สั่งการ
“ไปตามชื่นจิตมาพบฉันที่ห้องทำงานด้วย”
สั่งเสร็จหนุ่มใหญ่ก็เดินลงส้นเท้าเข้าไปในห้องทำงาน แล้วปิดประตูโครมใหญ่เพื่อระบายอารมณ์
สิ่งที่เขากำลังจะทำนี้เขาคิดดีแล้ว คิดมานานแล้วด้วยว่าสมควรทำอย่างยิ่ง ดามพ์คิดว่าการที่อาทิตย์ดื้อด้านกับเขาน่าจะเป็นเพราะสันดานของเด็กที่ไม่เคยเห็นว่าเขาเป็นพ่อ ที่อาทิตย์ไม่เคยเห็นเขาเป็นพ่อก็เพราะณฤดี เมียเก่าเขากีดกันเขากับลูก ทำให้เขากับลูกๆ ได้พบหน้ากันปีละไม่กี่ครั้ง และหากเดาไม่ผิด ณฤดีคงใส่ร้ายเขา ให้ร้ายจนเขากลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ในสายตาลูก ทำให้เด็กๆ ไม่เคยรัก ไม่เคยเคารพ และไม่เคยเชื่อฟังเขา
เขารู้อยู่แล้วว่าการรับอาทิตย์มาเลี้ยงดูคงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะต้องดัดสันดานกันหลายอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะยากเย็นเข็ญใจขนาดนี้
ก่อนนี้อาทิตย์ก็เป็นเด็กเลี้ยงยากอยู่แล้ว การเรียนตกๆ หล่นๆ ไม่เหมือนอาทิวัชรที่เรียนเก่ง หัวดีเหมือนเขา เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล แต่พอแม่กับน้องตาย เด็กเหลือขอนั่นก็ยิ่งทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา โดดเรียนจนเวลาเรียนไม่พอ ทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นไปกราบกรานชาวบ้านเพื่อยัดลูกเข้าไปเรียนในโรงเรียนใหม่ เป็นแบบนี้ถึงสามครั้งสามครา จนหากมีครั้งที่สี่ หากมันถูกไล่ออกจากโรงเรียนอีก เขาคิดว่าคงต้องให้มันไปเรียนในโรงเรียนดัดสันดานน่าจะดีที่สุด
และหากเรื่องเรียนว่าแย่แล้ว เรื่องนิสัยส่วนตัวของไอ้เด็กเหลือขอนั่นยิ่งแย่หนัก เพราะมันทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า และแอบหนีเที่ยวกลางคืน แล้วนี่ไม่รู้ว่าติดยงติดยาด้วยหรือเปล่า
ดามพ์เหนื่อยใจกับความเหลวแหลกของลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวคนนี้มาก หลายครั้งที่เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากคนที่รอดมาได้คืออาทิวัชร นายสองคงไม่กระด้างกระเดื่องทำให้พ่อต้องกลุ้มแบบนี้ แต่ใครล่ะจะลิขิตชีวิตคนได้ กระทั่งเขาที่เป็นคนชอบจัดระเบียบชีวิตก็ยังจัดระเบียบเรื่องนี้ไม่ได้ และคนที่สมควรจะช่วยเขาจัดระเบียบเรื่องนี้ก็ดันทำหน้าที่ได้ไม่คุ้มเงินเดือน
เมื่อนึกถึงคนที่ทำหน้าที่ได้ไม่คุ้มเงินเดือน ประตูหน้าห้องทำงานก็ถูกเคาะ คนเคาะคงเป็นยายไร้คิ้วหน้าตูมเหมือนไม่ได้ถ่ายมาสามวันคนนั้นนั่นเอง
“เข้ามา” ดามพ์ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่เอ่ยปากอนุญาต และรอจนกระทั่งพี่เลี้ยงซึ่งดูแลอาทิตย์มาตั้งแต่เด็กเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานแล้วเดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงานเขา
ใบหน้าไร้ความน่าจดจำนั้นก้มลงมองพื้น ยืนตรง มือประสานอยู่ด้านหน้า กิริยามารยาทเธอเหมาะสม ทว่า เจ้านายกลับไม่มีน้ำใจพอจะเชิญเธอนั่ง แต่เลือกพูดในเรื่องที่อยากพูดมานานแล้วทันที
“ฉันไล่เธอออก”
หากผู้หญิงตรงหน้าเขามีคิ้ว ดามพ์มั่นใจอย่างมากกว่าคิ้วเธอคงเลิกสูงรับกับดวงตาที่เบิกกว้างมองเขาอย่างตกใจ ซึ่งเขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอจึงตกใจเช่นนั้น
คนไร้คุณภาพทำไมต้องตกใจเมื่อถูกไล่ออก คนจำพวกนี้ไม่รู้ตัวหรืออย่างไรว่า เมื่อทำงานไม่คุ้มค่าเงินก็ต้องถูกไล่ออก เจ้านายที่ไหนจะบ้าเลี้ยงเอาไว้ให้เปลืองเงิน
ดามพ์เปิดลิ้นชักกลางออก หยิบซองจดหมายยาวสีขาวขึ้นมาแล้วโยนไปให้อดีตลูกจ้างของเมียเก่าซึ่งเขาอุตส่าห์จ้างต่อเพราะคิดว่าเธอคงดูแลและอบรมลูกชายเหลือขอของเขาได้ แต่ณฤดีก็คือณฤดี คนแบบเมียเก่าเขามักทำอะไรด้วยความพอใจ ด้วยอารมณ์ การจ้างพี่เลี้ยงเด็กก็คงจ้างเพราะความพอใจ ไม่ใช่ด้วยความสามารถ เพราะเหตุนี้ยายไร้คิ้วไร้ความสามารถจึงถูกจ้างด้วยค่าจ้างสูงลิบมาตั้งนานนมแบบนี้
“คุณไล่ดิฉันออกไม่ได้นะคะ!”
คำปฏิเสธนี้ดามพ์คาดเอาไว้แล้วว่าต้องได้ยิน ดังนั้นเขาจึงอดทำหน้าเบื่อหน่ายไม่ได้ คนไร้ความสามารถทุกคนมักขี้ตื๊อ เขาพบเจอจนเบื่อที่จะต่อปากต่อคำแล้ว
“ฉันไล่เธอออกแล้ว” ดามพ์ยืนกราน เขาชี้ไปยังซองขาว “นั่นเป็นเงินเดือนสามเดือน ถ้าเธอออกไปดีๆ ฉันจะไม่หักเงินแม้แต่บาทเดียว แต่ถ้าเธอโวยวายทำให้ฉันปวดหัว เธออาจได้เงินเพียงแค่เดือนเดียวก็ได้”
“ดิฉันไม่ต้องการเงิน!”
โอ๊ะ...ดูเหมือนยายไร้คิ้วไร้ความสามารถคนนี้มีความแตกต่างจากคนไร้ความสามารถคนอื่นที่เขาเคยไล่ออก คนไร้ความสามารถที่ผ่านๆ มามักอยากได้เงิน กระหายเงิน ไม่เคยมีใครบอกว่าไม่อยากได้เงินเลย ดูเหมือนยายนี่นอกจากจะไร้ความสามารถแล้วยังไร้สมองด้วย
หนุ่มใหญ่ยื่นมือไปหยิบซองขาวคืนมาแล้ววางมันลงตรงหน้าตนเอง “เธอพูดเองนะว่าไม่อยากได้เงิน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ให้เงินที่เธอไม่ควรได้จำนวนนี้ ทีนี้เธอไปเตรียมตัวได้แล้ว ฉันอนุญาตให้เธออยู่ที่บ้านนี้ได้อีกคืนเดียว พรุ่งนี้เธอต้องออกจากบ้านนี้แต่เช้าก่อนฉันตื่น ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจมาจัดการเธอ”
“ดิฉันไปจากที่นี่ไม่ได้”
สีหน้าคนไร้คิ้วที่ร้อนใจนั้นดูตลกจนดามพ์เกือบหัวเราะ หากเขาเป็นคนเส้นตื้นกว่านี้สักหน่อยน่ะนะ
“ถ้าดิฉันไปแล้วน้องหนึ่งจะอยู่กับใคร”
“มันโตจนไม่ต้องการพี่เลี้ยงอีกแล้ว” ดามพ์ตอบห้วน สั้น ไร้ไมตรี “อีกอย่าง ยิ่งมีเธอคอยประคบประหงมก็ยิ่งทำให้มันกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ฉันจะส่งมันเข้าโรงเรียนประจำ ดัดสันดานมันซะบ้าง”
“ไม่ได้นะคะ!”
แม้จะได้ยินคำคัดค้าน แต่คนหัวดื้อแบบดามพ์มีหรือจะยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นง่ายๆ เขาชี้ไปยังประตูแล้วไล่อีกหน
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน ฉันไล่เธอออก เธอก็ควรไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจแล้วอนุญาตให้เธออยู่ที่นี่ได้อีกแค่ชั่วโมงเดียว”
“คุณไม่รู้ตัวว่ากำลังก่อเรื่องใหญ่ คุณไม่รู้ว่าตอนนี้จิตใจน้องหนึ่งกำลังบอบช้ำแค่ไหน และดิฉันเป็น...”
ยิ่งฟังคำตื๊อของคนไร้ความสามารถมากเข้า ดามพ์ก็ยิ่งเบื่อหน่าย เขากลอกตามองเพดาน แบะปากเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานโดยไม่ลืมหยิบเงินที่อยู่ในซองขาวไปด้วย
หนุ่มใหญ่ไม่เหลือบมองพี่เลี้ยงลูกชายสักนิด และคงไม่หันไปพูดอะไรอีกหากยายไร้คิ้วคนนั้นไม่คว้าแขนเอาไว้จนเขาต้องสะบัดทิ้งอย่างรังเกียจ
ความคิดเห็น |
---|