6

ตอนที่ 6


 

แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านขนาดค่อนข้างใหญ่ ในรั้วบ้านประกอบด้วยตึกใหญ่สไตล์โมเดิร์น เรือนเล็กรูปแบบเดียวกันกับตึกใหญ่ซึ่งเป็นของอาทิตย์ และตึกยาวรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียบง่ายสำหรับหมู่คนรับใช้ แต่ข่าวว่าอารมณ์ของเจ้านายในวันนี้ขุ่นมัวกว่าปกติกลับกระจายออกไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

‘ลุงหวัง’ คนสวนรีบเก็บกวาดใบไม้ใบหญ้ามิให้รกสายตาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ‘ลุงหมุด’ คนขับรถก็เช็ดทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในรถเสียจนหากมีมดสักตัวตกลงไปบนรถยุโรปสีดำคันนั้น มันต้องลื่นปรื๊ดตกลงมาตายแน่ บรรดาสาวใช้แต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเพื่อให้ผ่านวันนี้ไปอย่างราบรื่น

หนุ่มใหญ่ซึ่งอารมณ์เสียมาตั้งแต่เมื่อคืนรับประทานอาหารอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ทำให้คนรับใช้ที่ยืนรอรับใช้เขาอยู่ตัวเกร็งกันไปหมด ด้วยเกรงว่าหากทำอะไรกระทบอารมณ์เจ้านาย พวกเธอมีสิทธิ์ถูกไล่ออกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

ทว่าเรื่องเลวร้ายที่เหล่าคนรับใช้ทั้งหลายคิดไม่ได้เป็นไปตามที่คาด วันนี้นอกจากเจ้านายจะหน้าโหดขึ้นสิบเท่าแล้ว ดามพ์กลับไม่มีอาการอื่นใด ไม่ด่า ไม่อาละวาด ไม่ทำลายข้าวของ และ...ไม่ไล่ใครออกด้วย

สาวใช้ซึ่งอยู่ในห้องครัวและห้องรับประทานอาหารยิ้มกว้างให้กัน เมื่อในที่สุดเจ้านายก็ลุกออกจากโต๊ะแล้วเดินออกจากห้องอาหารเพื่อไปเขย่าขวัญคนอื่นแทน

นายสมุทร หรือ ‘ลุงหมุด’ คนขับรถก้าวเร็วๆ ไปเปิดประตูรถให้นายทันทีที่เห็นดามพ์เดินหน้างอออกมาจากบ้าน ชายวัยเฉียดห้าสิบมีเหงื่อผุดพราวขึ้นมาบนหน้าผากเมื่อนายซึ่งเดินตรงมายังไม่ก้าวขึ้นรถ แต่หยุดนิ่งแล้วมองเข้าไปภายในรถแทน

‘เกิดอะไรขึ้นหรือ มีเศษกระดาษ เศษผม มด แมลง หรืออะไรที่ทำให้นายขัดใจใช่หรือไม่’ นายสมุทรยืนตัวเล็กลีบลงเท่าหัวเข็มหมุด พยายามมองหาความผิดปกติด้วยใจระทึก

“รอก่อน ฉันจะไปเรือนเล็กสักหน่อย” พูดจบดามพ์ก็ยื่นกระเป๋าใส่เอกสารให้คนขับรถ แล้วหมุนตัวตรงไปยังเรือนหลังเล็กของลูกชาย

นายสมุทรรอจนกระทั่งร่างของเจ้านายลับหายไปจากสายตาจึงถอนหายใจออกมายาวเหยียด ยกมือข้างที่ไม่ได้ถือกระเป๋าเอกสารขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลลงมาจนเกือบจะเข้าตาเขา ก่อนพึมพำว่า “โอ๊ยยย...นึกว่าจะตายซะแล้วตู”

 

ทันทีที่ก้าวขึ้นไปบนระเบียงหน้าเรือน ดามพ์ก็มองทะลุกระจกเข้าไปเห็นสภาพภายในบ้านได้ชัดเจน เนื่องจากผ้าม่านเนื้อหนาไม่ได้รูดปิด

ในห้องรับแขกมีร่างร่างหนึ่งนอนคุดคู้อยู่บนโซฟา ก็คงจะไม่ใช่ใคร...ไอ้ลูกเปรตของเขานั่นเอง

ดามพ์ถอนหายใจเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขากับลูกทะเลาะกันเมื่อคืน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรไอ้ลูกบังเกิดเกล้าจึงอาละวาดขึ้นมา ใช่ว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจทำมันเป็นเรื่องเลวร้าย ตรงกันข้ามมันกลับเป็นเรื่องดี เรื่องที่เหมาะที่ควรทั้งนั้น นี่คงเพราะไอ้ลูกเปรตมันไม่รักดี อยากหนีเที่ยวได้สินะ ถึงได้ค้านหัวชนฝา

หัวคิ้วหนุ่มใหญ่ขมวด มุมปากกระตุก อารมณ์ร้อนคุโชนขึ้นมาจนเขาต้องยืนข่มใจอยู่หน้าประตูบ้าน ยังไม่เปิดเข้าไป

เห็นไหม เขาหรืออุตส่าห์ข่มใจ อุตส่าห์หวังดี พูดกับมันดีๆ แต่ไอ้เด็กเปรตกลับไม่เห็นค่าของความหวังดีสักนิดเดียว เขาไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะดัดสันดานไอ้ลูกไม่เอาไหนคนนี้ได้แล้ว

ดามพ์เลื่อนประตูกระจกออกแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่เย็นฉ่ำ ดูเหมือนอาทิตย์จะหลับลึกเพราะแม้เขาจะไม่ได้ระวังในการเลื่อนประตูจนเกิดเสียงดัง มันก็ยังไม่ตื่น

มีความสุขจริงนะ กินอิ่ม นอนหลับ วันๆ เอาแต่เสพสุข และสร้างเรื่องราวปวดขมองมาไว้บนกบาลเขา

อาทิตย์อาจจะไม่ตื่น แต่คนที่นอนอยู่บนพรมด้านล่างโซฟาไม่ได้หลับลึกเท่าเด็กหนุ่ม ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงเลื่อนประตูชื่นจิตก็ลืมตาตื่น เธอหันหน้าไปทางประตูและเห็นปลายรองเท้าหนังสีดำ เห็นเพียงแค่รองเท้าเธอก็รู้แล้วว่าผู้ที่เข้ามาในบ้านนี้เป็นใคร

หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง และเห็นทันทีว่าดามพ์สะดุ้งเฮือก หน้าเขาเหมือนถูกผีหลอก

หยาบคายที่สุด! แม้เธอจะไม่ได้เป็นคนสวย แต่ก็หน้าตาดีกว่าผีเยอะ แค่เห็นหน้าเธอเท่านั้น ทำไมต้องทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกด้วย

“นี่เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่” เพราะความตกใจดามพ์จึงเสียงดังไปนิด

เสียงของเขาคงดังเข้าหูอาทิตย์ที่นอนอยู่ เด็กหนุ่มจึงขมวดคิ้วและทำเสียงอืออาคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง

พ่อลูกคู่นี้ดูเหมือนเป็นของแสลงของกันและกัน ขนาดหลับแล้วได้ยินเสียงยังทำให้เกิดอาการไม่พอใจได้

ชื่นจิตหันไปหาเด็กหนุ่มซึ่งเธอรักประหนึ่งลูก ยกมือที่จับมือเขาเอาไว้ขึ้นจากพื้น นำมือที่ใหญ่กว่ามือเธอไปวางบนโซฟา ส่วนมืออีกข้างตบอกเด็กหนุ่มเบาๆ ทำเหมือนตอนเขายังเด็กแล้วฝันร้าย ซึ่งเธอก็ทำเช่นนี้เพื่อให้อาทิตย์หลับสนิทอีกหน

เมื่อเด็กหนุ่มคลายคิ้วที่ขมวดออกแล้วถอนหายใจ ชื่นจิตก็ปลดมือที่จับมือเธอเอาไว้ทั้งคืนออก ก่อนลุกขึ้นจากพื้นแล้วกวักมือเรียกพ่อเด็กออกไปข้างนอก ไม่ให้เขารบกวนการนอนของเด็ก

ความเอาใจใส่ของเธอต่ออาทิตย์นั้น ยิ่งนับวันดามพ์ก็ยิ่งสังเกตเห็น แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจรบกวนลูกเขา แม่พี่เลี้ยงคนนี้ก็ยังไม่ปล่อยผ่าน คิดแล้วหนุ่มใหญ่ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ เข้าใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วว่าเพราะเหตุใดเมื่อเขาไล่พี่เลี้ยงคนนี้ออกอาทิตย์จึงอาละวาดและหนีออกจากบ้าน

บางที...ในใจของอาทิตย์คงเห็นพี่เลี้ยงคนนี้มีตัวตนยิ่งกว่าคนที่เป็นพ่ออย่างเขา

“มีอะไรเหรอคะ ถึงได้มาที่นี่แต่เช้า” หลังงับประตูกระจกปิดกั้นเสียงที่อาจรบกวนการนอนของอาทิตย์เรียบร้อยแล้ว ชื่นจิตก็ถามดามพ์ซึ่งยืนหันหลังให้ทันที

ดามพ์หันหน้าไปมองพี่เลี้ยงเด็กแล้วตอบคำถามด้วยคำถาม “ฉันควรจะถามเธอมากกว่าว่า เธอนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืนงั้นเหรอ”

สายตาของดามพ์ดูแปลกๆ มันแปลกแบบที่ทำให้ชื่นจิตร้อนไปทั้งตัว ไม่ได้ร้อนเพราะความอายนะ แต่ร้อนเพราะความโกรธต่างหาก เนื่องจากเธอผ่านโลกมาก็สามสิบกว่าปีแล้ว พอจะแยกแยะออกว่าสายตาที่มองมามันเต็มไปด้วยความระแวงแคลงใจ สงสัย...สงสัยในทางต่ำ ต่ำทะลุนรกเลยทีเดียว

“ถามแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ คุณกำลังสงสัยอะไร แน่จริงก็พูดออกมาสิ”

“อ้อ ฉันแน่จริงอยู่แล้ว” ดามพ์เชิดหน้าขึ้นอย่างน่าหมั่นไส้แถมยกมือขึ้นมากอดอก “ฉันกำลังสงสัยว่า เธอกำลังคิดอะไรกับลูกฉันอยู่รึเปล่า”

นั่นอย่างไรล่ะ เป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ เป็นความคิดอกุศลแบบที่น่าจะเอาไม้ท่อนใหญ่ๆ มาฟาดคนคิดให้กบาลแยก

ชื่นจิตเชิดหน้าขึ้นและกอดอกเลียนแบบคนที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าตน “บางทีฉันก็สงสัยเหมือนกันนะว่าทำไมกรุงเทพฯ ถึงได้น้ำท่วม มาวันนี้ฉันได้คำตอบแล้ว อาจเป็นเพราะว่าในกรุงเทพฯ มีแต่คนคิดอะไรต่ำๆ ถ่วงแผ่นดินอยู่ก็ได้”

“นี่เธอ!” ดามพ์ชี้หน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทันที ปากเขากระตุก โกรธจนบอกไม่ถูก นี่มันครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่แม่นี่ด่าเขา

“คุณกล้าพูดในสิ่งที่คุณคิด ฉันก็กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาเหมือนกัน แฟร์ๆ ฉันยังไม่โกรธเลยที่คุณว่าฉันคิดอุบาทว์ชาติชั่วกับเด็กที่เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ฉันก็ว่าความคิดคุณต่ำตมได้ ฉันว่า...เรื่องที่คุณคิดยังทุเรศกว่าเรื่องที่ฉันคิดอีกนะ แต่ไม่เป็นไร ฉันใจกว้างพอ ยอมเสียเปรียบหน่อยก็ได้”

ปากดามพ์สั่น อ้าๆ หุบๆ ด้วยเหตุที่เขาอยากจะด่าอะไรออกไปสักคำ แต่กลับจนด้วยคำพูด ไม่รู้จะสรรหาคำด่าอะไรถึงจะแสบพอ แสบเท่ากับที่เธอเพิ่งด่าเขาไป

เพราะมัวแต่ประมวลคำด่าที่เหมาะสมอยู่จึงช้าเกินไป กว่าเขาจะคิดออกว่าควรตอกกลับอย่างไร ผู้หญิงไร้คิ้วตรงหน้าก็ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเมื่อครู่เขากับเธอไม่ได้ปะทะคารมกันจนเกือบจะวางมวยแม้แต่น้อย

“คุณมาที่นี่แต่เช้าทำไมคะ ถ้าเป็นห่วงน้องหนึ่งก็เข้าไปดูเถอะค่ะ น้องหนึ่งคงดีใจที่พ่อเป็นห่วงและแสดงความเป็นห่วง แต่ถ้าจะมาเพื่อหาเรื่องทะเลาะกับน้องหนึ่งแต่เช้า เชิญคุณไปทำงานเลยค่ะ”

“นี่เธอ...ไล่ฉันในบ้านของฉันเองอย่างนั้นเหรอ” เสียงดามพ์เข้ม หน้าดุ ตั้งใจจะข่มขวัญคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเต็มที่ ทว่ายายไร้คิ้วคนนี้ดูไม่กลัวเขาเลย เธอเลิกคิ้ว ไม่ใช่สิ ไม่ใช่คิ้วเพราะเธอไม่มีคิ้ว เอาเป็นว่าเธอเลิกส่วนที่ควรจะเป็นคิ้วขึ้นแล้วตอบว่า...

“ค่ะ”

“เธอมีสิทธิ์อะไร”

“เมื่อคืนน้องหนึ่งมีปัญหาค่ะ จู่ๆ ก็โทร. มาหาฉัน น้ำเสียงไม่ค่อยดี บอกให้ฉันช่วยมานอนเป็นเพื่อนได้ไหม”

ดามพ์หรี่ตาลง มองชื่นจิตอย่างไม่ไว้วางใจ แต่ชื่นจิตไม่ได้หาเรื่องเขาอีก เธอรู้ดีว่าเรื่องสภาพจิตใจของอาทิตย์สำคัญกว่าการถอนหงอกคนแก่กะโหลกกะลาเยอะ

“ฉันมาถึงก็เห็นน้องหนึ่งยืนรออยู่หน้าบ้าน ตัวสั่นๆ เหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ฉันพยายามถามแล้ว แต่น้องหนึ่งไม่พูด น้องหนึ่งแค่อ้อนขอให้ฉันอยู่ด้วยก็เท่านั้น”

“แล้วมันเป็นอะไร”

“กรุณาอย่าเรียกลูกว่ามันค่ะ เขาเป็นคน ไม่ใช่สัตว์หรือสิ่งของ”

ดามพ์ส่ายหน้า “นี่มันใช่เวลามาพูดอะไรไร้สาระแบบนี้รึเปล่า เรื่องที่ต้องสนใจน่าจะเป็นเรื่องหนึ่งไม่ใช่หรือ”

เมื่อดามพ์เปลี่ยนสรรพนามเรียกลูก ชื่นจิตก็พอใจ เธอพยักหน้า “ใช่ค่ะ เรื่องที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งตอนนี้คือเรื่องน้องหนึ่ง ฉันเคยเห็นน้องหนึ่งกลัวจนตัวสั่นแบบนี้หลายหน น้องหนึ่งเริ่มเป็นตอน...ตอนที่พี่ฤดีกับน้องสองเสียใหม่ๆ ช่วงนั้นน้องหนึ่งนอนฝันร้ายบ่อย ตื่นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้ ตีอกชกหัว ด่าว่าตัวเอง ฉันต้องห้าม ต้องปลอบ ต้องนอนเป็นเพื่อนน้องหนึ่งอยู่เป็นเดือนๆ กว่าน้องหนึ่งจะดีขึ้น”

นี่เป็นอีกเรื่องของลูกชายที่ดามพ์ไม่เคยรู้มาก่อน ตอนที่ณฤดีกับอาทิวัชรตายใหม่ๆ นั้น ต้องเป็นตอนที่อาทิตย์มาอยู่กับเขาแล้ว ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าเด็กนั่นมีปัญหาแบบนี้ ยิ่งคิดหัวคิ้วเขายิ่งขมวด จ้องชื่นจิตเพื่อค้นหาว่าเธอพูดโกหกหรือพูดเกินกว่าเหตุหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นความไม่จริงใจในแววตาเธอเลย ที่พบมีเพียงความเป็นกังวลเท่านั้น

‘นี่...ตอนนั้นไอ้หนึ่งมันถึงขนาดฝันร้าย ตื่นขึ้นมาร้องไห้ และโทษตัวเองเรื่องทำให้แม่กับน้องตายเชียวหรือ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันเสียใจที่เป็นต้นเหตุการตายของแม่ของน้องมันขนาดนั้น เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา มันนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สากับความผิดที่มันทำให้แม่ให้น้องมันต้องไปตายแทน’

“เมื่อคืนน้องหนึ่งมีอาการแบบนี้อีก อาจเป็นเพราะความกลัวมั้งคะ”

“กลัวอะไร”

“กลัวเพราะรู้ว่าความตายอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้วมือ”

ดามพ์พยายามกำมือ และเพิ่งรับรู้ว่ามือเขาอ่อน ไร้เรี่ยวแรงจนแทบกำเข้าหากันไม่ได้ ภาพตอนอาทิตย์ตกลงมาจากหน้าต่าง ภาพลูกนอนอยู่ที่พื้นปูนด้านล่าง ภาพเลือดเต็มมือเขา และใบหน้าไร้สีเลือดของลูกย้อนกลับมาอีกหน

ทุกอย่างที่ยายพี่เลี้ยงเด็กนี่พูดล้วนแต่เป็นความจริง ความตายอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด หากพลาดไปนิด โชคร้ายอีกหน่อย วันนี้เขาอาจต้องอยู่เพียงคนเดียวในโลก...ไม่มีลูก...ไม่มีใคร

“หรือไม่ก็อาจกลัวว่าจะต้องอยู่คนเดียว คุณบอกน้องหนึ่งไปเมื่อคืนไม่ใช่เหรอคะว่าจะเสือกไสไล่ส่งน้องหนึ่งไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ” ได้ทีชื่นจิตก็วกเข้าเรื่องที่เธอไม่เห็นด้วย

ดามพ์ขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก็บอกว่าไอ้หนึ่งกลัวความตาย เดี๋ยวก็บอกว่ากลัวการอยู่คนเดียว ตกลงแล้วมันกลัวอะไรกันแน่”

“กรุณาอย่าเรียกลูกว่ามัน และอย่านำหน้าชื่อลูกว่าไอ้ด้วย” ชื่นจิตเตือนน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้ง ก่อนพูดต่อ “ส่วนเรื่องน้องหนึ่งกลัวอะไรกันแน่นั้น...ฉันจะไปรู้เหรอ ฉันไม่ใช่น้องหนึ่งนี่ แล้วน้องหนึ่งก็ไม่ยอมพูดออกมา ฉันก็แค่เดาตามความน่าจะเป็นเท่านั้น”

“โธ่...” ดามพ์พ่นลมหายใจออกมา ส่ายหน้าพร้อมมองบน “ไอ้เราก็หลงฟัง ที่แท้ก็เดา”

“ถ้าคุณไม่เชื่อการคาดเดาของฉัน คุณก็ลองเดาบ้างสิ คุณคิดว่าเพราะอะไรจู่ๆ น้องหนึ่งถึงกลับมากลัวอีก เอ...แต่คราวนี้น้องหนึ่งไม่ได้ฝันร้ายหรือว่าร้องไห้นะ แค่เหมือนจะกลัวอะไรบางอย่างแล้วก็ผวาจนไม่อยากอยู่คนเดียวมากกว่า”

คนแบบดามพ์ไม่ชอบการเดา ยิ่งเป็นการเดาใจคนที่เขาแทบจะไม่รู้จักแบบลูกชาย มันยิ่งยากจะตายไป ดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด เขาเดินผ่านชื่นจิตเข้าไปเปิดประตู เดินเข้าไปในห้องรับแขกซึ่งอาทิตย์ยังนอนอยู่แล้วโน้มตัวลงไปเขย่าแขนเด็กหนุ่ม

ชื่นจิตซึ่งเดินตามมาพร้อมเลื่อนประตูกระจกปิดเริ่มเห็นความก้าวหน้าของพ่อลูก อย่างน้อยวันนี้ดามพ์ก็ไม่ใช้ขาเขย่าตัวลูก แถมไม่ได้เขย่าแรงเกินกว่าเหตุด้วย นับว่าพัฒนาจริงๆ

ไม่นานเด็กหนุ่มก็ลืมตาตื่นพร้อมโวยวาย “โอ๊ย! จะเขย่าอะไรกันนักกันหนา จะนอน”

“ตื่นมาคุยกันก่อน แล้วจะนอนก็ค่อยนอนต่อ”

อาทิตย์ทำหน้านิ่วอย่างไม่พอใจ ก่อนตวาด “ไม่มีอะไรต้องคุย ผมบอกแล้วว่าไม่ไปโรงเรียนประจำก็ไม่ไปสิ”

“พ่อไม่ได้มาพูดเรื่องโรงเรียนประจำ แต่มาพูดเรื่องที่เมื่อคืนแกโทร. ไปเรียกพี่เลี้ยงมาอยู่กับแก แกเป็นอะไรฮะหนึ่ง เจ็บตรงไหน ไม่สบายตรงไหนก็ขอให้บอก”

เด็กหนุ่มยอมรับว่าเขาทำตัวไม่ถูก เมื่อพ่อมาพูดกับเขาด้วยประโยคที่มีกระแสความเป็นห่วงแฝงอยู่ในนั้นด้วย

“ว่าไง เป็นอะไร”

“มีอะไรก็บอกพ่อเขาสิน้องหนึ่ง พ่อเขาเป็นห่วงนะ” กาวใจแบบชื่นจิตทำหน้าที่ของตนได้ดี เธอเดินเข้ามานั่งบนที่เท้าแขนของโซฟาแล้วยิ้มให้เด็กหนุ่มซึ่งนั่งทำหน้างงๆ

“ถ้าไม่บอกก็ไปหาหมอ ให้เขาตรวจดูอีกที สแกนใหม่มันทั้งตัวเลยว่ามีอะไรหลุดหรือหลวมบ้างรึเปล่า ไป แต่งตัว ลุกไหวไหม ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวพ่ออุ้ม” ดามพ์ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปข้างหน้า บอกเจตนาว่าเขาคิดจะอุ้มลูกไปโรงพยาบาลจริงๆ หากลูกลุกไม่ไหว

เพียงแค่พ่อยื่นมือมาหาเขา อาทิตย์ก็รู้สึกว่าขอบตาเขาร้อนผ่าวจนต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำที่กลั่นออกมาอยู่ที่ตามากจนเกินไป สีหน้าและท่าทางที่แข็งกร้าวอ่อนลงทันที

“ผม...ไม่ได้เป็นอะไร เมื่อคืน...แค่ปวดหัวนิดหน่อย แต่วันนี้หายแล้ว”

“ไม่น่าไว้ใจ ไปแต่งตัวไป พ่อจะพาไปหาหมอเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง”

“ผมบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ”

แม้จะเป็นคำปฏิเสธ แต่พออาทิตย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ จึงไม่ขัดหูดามพ์ ตรงกันข้ามผู้เป็นพ่อกลับนึกขันขึ้นมานิดๆ เมื่อลูกชายตัวโตทำตัวราวกับกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่กลัวหมอไปเสียอย่างนั้น

“ยังกลัวหมออยู่อีกเหรอ โตแล้วก็ยังไม่หายใช่ไหม”

อาทิตย์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาเหลือบมองพ่อที่ก้มหน้าลงมองเขาด้วยแววตาราวกับมองเด็กตัวเล็กๆ อา...หัวใจเด็กหนุ่มพองโตเมื่อเห็นพ่อมองเขาอย่างเอ็นดู ไม่เหมือนทุกครั้งที่มองเขาเป็นตัวปัญหา

“หายแล้ว แต่ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วย จะไปหาหมอให้เปลืองเงินทำไม”

“พ่อมีเงินเยอะ แต่มีลูกอยู่คนเดียว เสียเงินแค่นี้เพื่อให้รู้ว่าลูกสบายดีไหมมันเรื่องเล็กน้อย เอาละ จะลุกไปดีๆ หรือว่าจะให้อุ้มไปเลย เลือกเอา”

พอเห็นพ่อขยับเข้ามาใกล้อีกนิด อาทิตย์ก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วพูดอุบอิบว่า “ผมไปแต่งตัวก่อน”

ชื่นจิตอมยิ้ม มองสองพ่อลูกพูดจาดีๆ ต่อกัน มันช่างเป็นบรรยากาศที่ดีอะไรอย่างนี้ ดีจนเธอลืมไปเลยว่าเคยแอบคิดให้พ่อกับลูกคู่นี้แตกคอกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้ เธอจะได้งุบงิบเอาลูกเขาไปเลี้ยงอย่างสบายใจ

 

ผลจากการยืนกรานให้แพทย์ตรวจร่างกายอาทิตย์อีกครั้งอย่างละเอียดคือการเสียเงินฟรีดังที่อาทิตย์ว่าเอาไว้ คุณหมอหน้าตาใจดีบอกให้พ่อซึ่งเป็นห่วงทราบว่าลูกชายของเขานั้น นอกจากบาดแผลภายนอกแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก

“เห็นมะ บอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรก็ไม่เชื่อ” เด็กหนุ่มบ่นเสียงเบา

แต่คำบ่นนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อยิ้มได้ เพราะตอนไอ้ลูกเปรตมันทำเสียงงุงิๆ แบบนี้มันน่าฟังกว่าการตะโกนเถียงคอเป็นเอ็นตั้งเยอะ

“ช่าง พ่อมีเงินเยอะ พร้อมเอาเงินแลกความสบายใจอยู่แล้ว” พูดจบดามพ์ก็ตบไหล่ลูกชายดังป้าบแล้ววางมือบนไหล่นั้น ก่อนพาลูกเดินไปยังรถซึ่งจอดเอาไว้บนลานจอดรถที่ชั้นสาม

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ดามพ์โอบลูก คนทำอาจไม่รู้สึก แต่คนที่ถูกโอบเหลือบมองพ่อตนเองแล้วแอบยิ้ม ส่วนคนที่ยิ้มได้อย่างสบาย ไม่ต้องแอบก็คือชื่นจิตที่เดินรั้งท้าย

บันไดขึ้นชั้นสามดูจะสั้นเกินไปในความคิดของคนสองคน เพราะเมื่อมาถึงชั้นซึ่งจอดรถเอาไว้ ดามพ์ก็ลดมือซึ่งโอบลูกชายลงแล้วเดินนำหน้าไปยังรถที่วันนี้เขาขับมาด้วยตนเอง

พ่อไม่รู้เลยว่ากิริยาอ่อนโยน เป็นกันเอง ทำให้ลูกมีความสุขมากแค่ไหน

 

ดามพ์เลือกโรงแรมหรูแห่งหนึ่งเป็นสถานที่เติมความสุขให้ท้องของเขากับลูก อ้อ...พี่เลี้ยงลูกก็ได้อานิสงส์กินของอร่อยไปด้วย

เมนูซึ่งทำจากหนังนิ่มฟอกสีแดงถูกเปิดออก ชื่นจิตมองเมนูที่มีแต่อาหารน่าอร่อยด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ

เธอไม่ใช่คนจน แต่ก็ไม่ได้มีเงินมากพอจะมากินอาหารโค-ตะ-ระหรูแบบนี้โดยไม่เสียดาย แต่วันนี้คนอื่นจ่าย ดังนั้นเธอจะกินให้เต็มคราบเลย

“ดื่มอะไรดี ชาจีน หรือเก๊กฮวย” ดามพ์ถามขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าถามใคร

“เก๊กฮวย”

“เก๊กฮวยค่ะ”

คนจ่ายเงินเหลือบมองลูกและพี่เลี้ยงลูกซึ่งตอบคำถามพร้อมกัน เลือกอย่างเดียวกัน และหันไปยิ้มให้กัน

“จะรับแบบร้อนหรือเย็นดีคะ” พนักงานเสิร์ฟซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงยาวคลุมเข่าสีดำ คาดผ้ากันเปื้อนสีแดงทับกางเกง ยิ้มพร้อมถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“เย็น”

ผู้ซึ่งนั่งฝั่งเดียวกันยังมีความเห็นคล้อยตามกันจนน่าหมั่นไส้สำหรับคนที่แยกไปนั่งฝั่งตรงข้ามคนเดียว แต่ถึงจะหมั่นไส้อย่างไรดามพ์ก็ยังรักษาสีหน้าเอาไว้ได้ดี

“คุณแม่รับแบบหวานน้อยหรือแบบธรรมดาดีคะ”

เมื่อถูกเรียกว่า ‘คุณแม่’ ชื่นจิตก็เบิกตากว้าง เธอกำลังอ้าปากจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันอาทิตย์ที่ตอบกลั้วเสียงหัวเราะแทนว่า

“เราเอาแบบธรรมดาทั้งคู่ครับ”

ได้รับคำตอบแล้วพนักงานเสิร์ฟก็จดลงสมุด ก่อนหันไปถามผู้ชายหน้าดุที่เขม้นมองเมนูอย่างสนใจ “ทางคุณพ่อจะรับน้ำดื่มอะไรดีคะ”

‘คุณพ่อ’ จิกตามองพนักงานเสิร์ฟอย่างดุดัน จนพนักงานผู้โชคร้ายผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวและรีบก้มหน้าลง เธอไม่รู้ว่าพูดอะไรผิด กระนั้นในฐานะผู้ให้บริการก็ต้องรักษามารยาทด้วยการเอ่ยขอโทษเบาๆ

“ผมขอชาจีนร้อน!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น