5

ตอนที่ 5


 

“วันนี้ไม่คิด แต่วันหน้าช่วยคิดด้วย ถ้าแกตาย คนข้างหลังอาจเดือดร้อนแค่จัดงานศพ แต่ถ้าไม่ตาย เกิดพิการจนต้องดูแลไปตลอดชีวิต แบบนั้นจะยิ่งซวย”

หลายครั้งหลายหนที่ชื่นจิตอยากใช้รองเท้ายัดปากดามพ์ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

ลูกเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บ จะปลอบ จะโอ๋ จะพูดจาดีๆ ให้ลูกชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือไง พ่ออะไรแบบนี้

“ครับ ผมจะจำไว้ว่าต่อไปอย่าเจ็บ ให้ตายเลย คนข้างหลังจะได้ไม่เดือดร้อนมาก”

‘นั่นปะไร’ ชื่นจิตอุทานในใจ พ่อแรงมาลูกก็แรงกลับ แล้วก็จบด้วยการเชิดใส่กันไปคนละทางเหมือนเคย

ดามพ์หน้าตึงมองลูกที่เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่มองเขาสักนิด มันสร้างเรื่องแล้วยังโอหัง ทำเชิดไม่ยอมรับผิด เด็กแบบนี้น่าปล่อยให้คอหักตายนัก

เขาอ้าปาก คิดจะสั่งสอนมันให้สำนึก แต่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างปาใส่หน้าเขา

‘เฮ้ย!’ ดามพ์อุทานในใจแล้วชักสีหน้ามองยายไร้คิ้วที่เอาอะไรก็ไม่รู้ปาใส่เขา เธอกล้าดีอย่างไร

“อย่าพูดแบบนี้สิน้องหนึ่ง ไม่เป็นมงคล น้าเห็นด้วยกับพ่อของหนึ่งนะ ต่อไปหนึ่งจะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ อย่าทำอะไรเสี่ยงเจ็บเนื้อเจ็บตัวแบบนี้อีก สัญญากับน้าได้ไหมลูก”

อาทิตย์รู้สึกว่าขอบตาตัวเองร้อนขึ้นมา สงสัยว่าตอนฟื้นขึ้นมาในรถพยาบาลนั้นเขาจะมองผิดไป ‘ไม่มีหรอก พ่อที่เป็นห่วงลูก มีแต่พ่อที่แสร้งเป็นห่วงลูกต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น’ เพราะความน้อยใจทำให้เด็กหนุ่มไม่ยอมสัญญา แต่หลับตาแล้วพึมพำ

“ปวดหัว อยากนอน”

“นอนเหรอ ได้จ้ะได้ นอนก็นอน ว่าแต่ปวดหัวแบบนี้เป็นอันตรายอะไรรึเปล่า ปวดมากไหมลูก น้าตามหมอมาดูดีไหม”

ความเป็นห่วงของชื่นจิตไม่ได้รับการตอบรับ อาทิตย์แกล้งหลับ ไม่ตอบ ดื้อเงียบ จนพี่เลี้ยงได้แต่ถอนหายใจแล้วเอนเตียงลงเพื่อให้เด็กหนุ่มหลับสบาย

พอดูแลคนลูกเรียบร้อยแล้ว ชื่นจิตก็เงยหน้าขึ้นเพื่อขึงตาใส่คนพ่อที่ยืนกอดอกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ หญิงสาวพยักหน้าไปทางประตู บอกด้วยกิริยาให้ดามพ์ตามเธอไปคุยกันข้างนอก

ดามพ์แบะปาก มองผู้หญิงร่างเล็กที่ไว้ผมยาวถึงเอว เอ๋...เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ายายไร้คิ้วไว้ผมยาวขนาดนี้ ปกติเห็นรวบเป็นมวยเอาไว้ที่ท้ายทอย ไม่เคยปล่อยเลย เหมือนคนแก่ ตอนนั้นเองที่หนุ่มใหญ่ก้มลงมองอะไรก็ไม่รู้ที่เธอปาใส่หน้าเขาเมื่อครู่ แล้วก็เห็นยางรัดผมสีดำตกอยู่ใกล้ปลายเท้า

เมื่อครู่เธอคงใช้ไอ้นี่ปาเขาสินะ

ชายร่างสูงก้มลงคว้ายางรัดผมขึ้นมาแล้วหันไปมองสมประสงค์ที่นั่งอยู่บนโซฟาก่อนสั่ง “ดูอาทิตย์เอาไว้นะ” จากนั้นจึงย่างเท้าออกจากห้องคนไข้ตามยายไร้คิ้วไป

 

จากตรงนี้ มองไปทางขวาคือทางตรงไปสู่ลิฟต์ มองมาทางซ้ายคือหน้าต่างกรุกระจกใสทั้งบาน ทำให้เห็นสวนสีเขียวขจีด้านล่าง เป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับพาคนไข้มาหย่อนใจ

ใกล้หน้าต่างยาวจดพื้นนั้น ดามพ์เห็นยายไร้คิ้วยืนหันหลังให้เขาอยู่ ผมดกดำเป็นเงาสยายอยู่เต็มแผ่นหลัง...สวย

ผมนะที่สวย...แต่พอยายไร้คิ้วเบือนหน้าไร้เครื่องสำอางมามองเขา หน้าจืดๆ นั่นก็ทำให้เขาโยนยางรัดผมในมือคืนเธอไป

เธอโยนใส่เขา เขาก็โยนใส่เธอ โดนหน้าพอดี คล้ายเขามาเอาคืน

‘ผู้ชายอะไรปาของใส่ผู้หญิง สุภาพบุหลุดมาก...’ ชื่นจิตคิดในใจ ก่อนก้มลงหยิบยางรัดผมที่ตกอยู่ข้างเท้าขึ้นมา เธอจัดการรวบผมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นผู้หญิงที่ดูแก่กว่าอายุหลายปีเมื่อขมวดผมไว้ที่ท้ายทอย

ดามพ์มองผู้หญิงประหลาดตรงหน้าแบบทึ่งๆ ปกติแล้วเขาเห็นผู้หญิงมีแต่จะทำให้ตัวเองดูสาว ดูเด็ก คงมียายไร้คิ้วนี่คนเดียวที่มีความสามารถทำให้ตัวเองดูแก่

ดูใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มสีสันนั่นสิ ดูทรงผมที่ขมวดเป็นมวยเหมือนยายแก่นั่นสิ ดูเสื้อผ้าที่มีดอกมีดวงแถมยังตัวโคร่งนั่นสิ...ถ้าไม่ใช่มนุษย์ป้าก็ใส่ไม่ได้นะ

“มีอะไร” ดามพ์ถามเพียงแค่นี้ โดยไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำตอบยาวเหยียดกลับมา

“มีแน่ ถ้าไม่มีจะเรียกคุณออกมาทำไม นี่...คุณรักลูกรึเปล่าคะ ลูกเจ็บมาขนาดนั้น ทำไมยังพูดเหมือนแช่งลูกให้ตายๆ ไปซะ จะได้ไม่เป็นภาระ คุณรู้ไหมว่าคนเจ็บเขาต้องการกำลังใจ โดยเฉพาะกำลังใจจากครอบครัว คุณทำแบบนี้เกิดน้องหนึ่งน้อยใจ ไม่ยอมสู้กับอาการเจ็บปวดแล้วอาการหนักลงล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณจะเสียใจหรือโล่งใจ”

“ฉันพูดดีที่สุดแล้ว กับเด็กมันสมองมีแต่ขี้เลื่อย การเอาใจมากๆ รังแต่จะทำให้มันได้ใจ ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรแล้วก็ทำผิดซ้ำอีก มันต้องกระหนาบกันบ้าง”

“ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่จะสั่งสอน”

“อ้อ นี่แปลว่าต่อไปถ้าฉันคิดจะสั่งสอนลูก ฉันต้องขออนุญาตเธอก่อนอย่างนั้นสิ” ดามพ์ชักของขึ้นจึงยกมือขึ้นเท้าสะเอว

ส่วนชื่นจิตพอเห็นดามพ์ทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องแบบนั้นเธอก็ยกมือกอดอก เชิดหน้าพร้อมสู้ เธอไม่ใช่ลูกจ้างเขาแล้วนี่ ตอนนี้เธอเป็นเพียงน้าของอาทิตย์ เป็นคนที่รักและหวังดีกับเด็ก อยากให้เด็กได้แต่สิ่งที่ดีๆ ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องกลัวเกรงเขาอีก แหม...ฐานะแบบนี้มันดีจริงๆ เพราะทำให้เธอกล้าพูดในสิ่งที่อยากพูดมานานแล้ว

“ถ้าสิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่เรียกว่าการสั่งสอน ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมาขอฉันค่ะ ฉันบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่าไม่อนุญาตให้คุณพูดจาทำร้ายจิตใจน้องหนึ่งแบบนั้นอีก”

“พูดแค่นั้นเขาไม่เรียกว่าทำร้ายจิตใจหรอก”

“เอ๊ะคุณนี่ แก่จนหัวหงอกแล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด กะโหลกหนา สมองมีแต่ขี้เลื่อยรึเปล่า”

นานแล้ว...นานจนจำแทบไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ดามพ์ถูกด่าน่ะคือเมื่อไร แต่...แต่เมื่อกี้ยายป้าไร้คิ้วคนนี้ด่าเขาว่าทั้งแก่ กะโหลกหนา หัวมีแต่ขี้เลื่อย ยายนี่กล้าดีอย่างไร

ดามพ์เปิดปากคิดจะด่าตอบ ทว่าพออ้าปากแค่นั้นก็ถูกพูดแทรก

“เป็นไงคะ เวลาฉันพูดแรงกับคุณ คุณก็ไม่ชอบใช่ไหมล่ะ ฟังนะ ถ้าเมื่อครู่ฉันพูดว่า...คุณเป็นพ่อคนแล้วนะคะ ฉันรู้ว่าคุณโกรธน้องหนึ่ง ที่โกรธก็เพราะว่าเป็นห่วงน้องหนึ่ง แต่อะไรที่เราพูดไปเวลาโกรธมักเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟัง เอาแบบนี้ ถ้าคุณโกรธก็ให้เดินหนีไป พอใจเย็นลงค่อยกลับมาพูดจา” ชื่นจิตมองตาคนที่จ้องเธอแล้วยิ้มใส่ นี่อาจเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่เธอยิ้มให้เขา ยิ้มอย่างเมตตา ปรานี ให้เขารู้ว่าการพูดจาดี ทำตัวดีๆ น่ะเป็นอย่างไร “เป็นไงคะ คุณชอบให้ฉันพูดกับคุณแบบไหน ฮาร์ดคอร์หรือแบบสวีต”

เพราะดามพ์ไม่ใช่คนกะโหลกหนา หัวมีแต่ขี้เลื่อยดังเธอว่า เขาจึงเข้าใจในสิ่งที่เธอแสดงให้เห็นทันที แต่เข้าใจไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับว่าตนเองผิด

เขาก็แค่โกรธเลยทำในสิ่งที่ไม่สมควรไปนิดเท่านั้น

ชื่นจิตมองตาดามพ์ก็รู้แล้วว่าตอนนี้เขาคงเข้าใจเธอแล้ว เธอไม่ใช่คนใจร้ายอะไร ดังนั้นจึงไม่โจมตีเขาต่อ แต่กลับเปลี่ยนมาถามในเรื่องที่เป็นห่วงแทน

“ฉันคิดว่าคุณคงเข้าใจแล้ว เอาละ ทีนี้มาพูดเรื่องอาการของน้องหนึ่งดีกว่า น้องหนึ่งไปตรวจมาแล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าคะ”

“เท่าที่ตรวจสมองไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่บวม ไม่มีเลือด แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ ต้องตามดูอาการอีกหลายวัน”

“ฉันต้องคอยระวังอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ”

เพราะเขากับเธอยืนห่างกันเพียงแค่วาเดียว แสงจากหน้าต่างก็สาดเข้ามาจนเห็นกันชัด ดังนั้นแววตาเป็นห่วงเป็นใยของชื่นจิตจึงสาดเข้ากระทบใจดามพ์อย่างจัง

เธอคนนี้อาจไม่สามารถเปลี่ยนสันดานลูกเขาให้เป็นคนดีอย่างที่เขาต้องการได้ก็จริง แต่เธอรักและห่วงใยลูกเขาจริงๆ ดังนั้น...เขาจะยอมลงให้นิดหน่อยก็ได้

เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น ดามพ์จึงพูดจาดีกับชื่นจิต ไม่เหวี่ยง ไม่แขวะ ดีจนชื่นจิตลอบมองเขาหลายครั้งอย่างประหลาดใจเลยทีเดียว

 

อาทิตย์รู้สึกว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นผัก ผักเน่าๆ ด้วย เพราะชื่นจิตไม่ยอมให้เขาลุกขึ้นจากเตียง ยกเว้นเวลาจะถ่ายหนัก

มันน่าอายที่ต้องให้ชื่นจิตหรือพยาบาลสาวมาช่วยเขาทำธุระ เขาโตแล้วนะ อะไรๆ ก็...อื้อ...แล้ว ดังนั้นอาทิตย์จึงยอมเป็นผักแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน พอถึงวันที่สองที่ต้องนอนโรงพยาบาล เขาก็ไม่ยอมให้ใครมาช่วยในเรื่องที่เป็นส่วนตั๊วส่วนตัวอีก

การลุกลงไปยืนและเดินครั้งแรกของเขานั้นไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เพราะเขาวิงเวียนนิดๆ จนต้องตั้งหลักและยอมให้ชื่นจิตพยุงเข้าไปในห้องน้ำ

เพราะยังวิงเวียนนั่นเอง อาทิตย์จึงละเว้นการอาบน้ำสักวัน หลังจากทำธุระเสร็จเขาก็แปรงฟันและล้างหน้าจนรู้สึกสดชื่นขึ้น

เด็กหนุ่มเอียงศีรษะหน้ากระจกเงาเหนืออ่างล้างหน้าเพื่อมองด้านหลังศีรษะตนเองที่มีผ้าก๊อซปิดเอาไว้ เขาคิดว่าที่เขามึนๆ ก็เพราะว่าแผลที่เย็บหลายเข็มยังระบมอยู่ แต่นอกจากอาการมึนเขาก็คิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว และอยากออกจากโรงพยาบาลนี้เต็มทน

อาทิตย์เปิดประตูห้องน้ำก็พบว่าชื่นจิตยืนรอเขาอยู่ และรีบเข้ามาพยุงเขาไปที่เตียงทันที เห็นชื่นจิตทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ แบบนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็หัวเราะเบาๆ

“โธ่...น้าชื่น ไม่ต้องห่วงหนึ่งขนาดนี้ก็ได้”

“ไม่ได้สิ รู้ไหมว่าเจ็บที่ไหนก็ไม่น่ากลัวเท่าเจ็บที่หัว นี่ถ้าเกิดหนึ่งตกลงมาแรงกว่านี้ หัวกระแทกพื้นจนความจำเสื่อม จำน้าไม่ได้ น้าก็ไม่มีใครคอยเลี้ยงตอนแก่น่ะสิ”

เด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียงแล้วมองน้าที่หากนับญาติกันจริงๆ แล้ว ชื่นจิตก็นับได้ว่าเป็นญาติห่างๆ ของตนเอง “หนึ่งถามได้ไหม”

“ได้สิ จะถามอะไรล่ะ”

“พ่อบอกหนึ่งว่าพ่อจ้างให้น้าชื่นออก แล้วน้าชื่นก็ยอมออกเพราะอยากได้เงิน จริงรึเปล่า”

“หนึ่งคิดว่ายังไงล่ะ คิดว่าน้าเป็นคนเห็นแก่เงินรึเปล่า”

อาทิตย์ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ แต่น้าชื่นทิ้งหนึ่งไปจริงๆ”

“ตอนนั้นน้าเป็นลูกจ้างของพ่อหนึ่ง พอเขาไล่ออก จะหน้าด้านอยู่ต่อได้ยังไง แต่ก่อนไปน้าทั้งโทร. ทั้งส่งข้อความทางไลน์ไปหาหนึ่ง แต่หนึ่งไม่ได้อ่านไลน์ ไม่ได้รับโทรศัพท์ เลยไม่รู้ว่าน้าทิ้งที่อยู่เอาไว้ให้หนึ่ง เผื่อว่า...หนึ่งจะตามไปหาน้า”

สีหน้าชื่นจิตดูมีเลศนัย เวลาเธอหน้าทำหน้าแบบนี้แทนที่จะปั้นหน้าเคร่งขรึม น้าชื่นของเขาก็ดูไม่เหมือนยายแก่แต่ดูเหมือนเด็กสาวกำลังซนมากกว่า

“น้ารู้ใช่ไหมว่าหนึ่งกับพ่ออยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก”

ชื่นจิตส่ายหน้าทันที “ไม่จริง หนึ่งกับพ่ออยู่ด้วยกันได้ ถ้ามีน้าอยู่ด้วย คอยเป็นเกราะกันกระสุนให้หนึ่ง”

ฟังคำอธิบายแบบเห็นภาพแล้วคนเจ็บก็หัวเราะ “จริง พอไม่มีน้าอยู่ปุ๊บ หนึ่งก็ทะเลาะกับพ่อปั๊บเลย หนึ่งโกรธมากที่พ่อไล่น้าชื่นออก เอ๊ะ...แล้วแบบนี้น้าชื่นยังจะทิ้งหนึ่งไปอีกรึเปล่า”

คราวนี้ผู้เป็นน้าและพี่เลี้ยงส่ายหน้าแรงกว่าครั้งที่แล้ว “ไม่ทิ้งแล้ว จะทิ้งได้ยังไง ต่อไปถ้าพ่อหนึ่งไล่น้า น้าจะขโมยหนึ่งไปด้วย ไม่ยอมปล่อยให้ต้องเตลิดไปจนเจ็บตัวแบบนี้อีกเด็ดขาด”

“จริงนะ” สีหน้าอาทิตย์ดูแจ่มใสเมื่อรู้ว่าคนที่เขารักและรักเขาจะไม่จากไปอีก

ชื่นจิตยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้า “แต่ไปอยู่กับน้าอาจลำบากนะ ไม่สุขสบายเหมือนอยู่กับพ่อหรอก น้าไม่ได้ร่ำรวยอะไร”

“คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก”

หลังจบสำนวนไทยที่เด็กเรียนไม่ค่อยเก่งพูดออกมา เสียงปิดประตูและเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น บ่งบอกว่ามีผู้เดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย

ชื่นจิตที่ยืนหันหลังให้ประตูหันไปมองก็เห็นดามพ์เดินทำหน้าตูมเข้ามา เขาเมินเธอแล้วเดินเข้าไปถามลูกชายเสียงแข็ง

“ทำไม อยู่กับพ่อมันคับอกคับใจมากนักรึไง”

ยังไม่ทันที่อาทิตย์จะตอบ ดามพ์ก็ร้องโอ๊ยออกมาเมื่อชื่นจิตเตะเข้าให้ที่หน้าแข้งเป็นการเตือนว่า เขาพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดอีกแล้ว

“การอยู่กับคนที่เขาไม่ต้องการเรามันคับใจอยู่แล้วละ” ในที่สุดอาทิตย์ก็ตอบออกมา

“แกไม่ต้องการพ่อสินะ”

“พ่อต่างหากที่ไม่ต้องการผม”

“พ่อไม่เคยคิดแบบนั้น”

“พ่อไม่คิด แต่พ่อทำ พ่อทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น...” ดามพ์ต้องใช้กำลังใจอย่างมากในการพูดประโยคต่อไป เพราะอะไรหวานๆ แบบนี้เขาไม่เคยพูดเลย และไม่คิดด้วยว่าจะต้องมาพูดเป็นครั้งแรกกับลูกตัวเอง “พ่อจะปรับปรุง”

คำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้รับทำให้อาทิตย์มองพ่อตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ ปกติถ้าเขาเถียงพ่อขนาดนี้ พ่อต้องระเบิดอารมณ์ใส่เขาแล้ว

“แต่แกเองก็ต้องปรับปรุงด้วย เพราะการอยู่ด้วยกันมันต้องจูนเข้าหากัน ไม่ใช่ให้ใครคนใดคนหนึ่งปรับเข้าหาอีกฝ่ายฝ่ายเดียว”

ชื่นจิตรีบยกนิ้วโป้งให้ดามพ์ ไม่ใช่เธอโกรธเขานะ แต่เธอชื่นชมเขาต่างหาก โธ่...นี่ถ้าพ่อรู้จักพูดกับลูกแบบนี้ตั้งแต่แรก ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคงไม่ย่ำแย่ขนาดนี้หรอก

“เรามาพยายามกันนะ” ชื่นจิตหันไปหาอาทิตย์ เธอยิ้มอย่างยินดี แต่เด็กหนุ่มกลับมีสีหน้าแปลกๆ บอกไม่ถูกว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร

แต่ไม่เป็นไร แม้อาทิตย์ไม่ตอบรับ ชื่นจิตก็ยังจับมือเด็กหนุ่มและจับมือผู้เป็นพ่อให้มาประสานกัน

ไออุ่นของพ่อในตอนนี้เหมือนตอนที่อาทิตย์รับรู้ได้ในรถพยาบาลไม่มีผิด

 

ช่วงเวลาที่อาทิตย์รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เป็นช่วงที่เขากับพ่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่สุด

พ่อจะมาหาเขาตอนเลิกงาน กินข้าวกับเขา พูดคุยกันถึงอาการเจ็บบ้าง ก่อนพ่อจะกลับบ้านไป

ไม่มีการทะเลาะ มันเงียบ สงบ จนน่าแปลก...เสียดายก็แต่ว่าความแปลกนั้นอยู่ได้ไม่นาน พออาทิตย์ออกจากโรงพยาบาล ชีวิตเขาก็เริ่มเข้าสู่วิถีปกติ วิถีซึ่งพ่อคอยควบคุมและบงการอย่างเผด็จการ

พ่อสั่งให้เขาย้ายขึ้นมานอนบนตึกใหญ่ ส่วนเรือนเล็กนั้นให้ไปอยู่ได้ นอนเล่นได้ แต่ไม่ใช่ค้างคืน และการลิดรอนความเป็นส่วนตัวของเขาดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยหากเทียบกับเรื่องถัดมาที่พ่อบอก

“เทอมหน้าพ่อจะให้หนึ่งย้ายไปเรียนโรงเรียนประจำ”

“อะไรนะ!” อาทิตย์แผดเสียงออกมาทันที แสดงความไม่เห็นด้วยชัดแจ้ง

แต่ผู้เป็นพ่อไม่ได้สนใจ ผู้ใหญ่ยังคงพูดเหตุผลของตนเองต่อไป

“หนึ่งโตแล้ว ควรรู้จักรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว การไปอยู่โรงเรียนประจำจะสอนให้หนึ่งมีระเบียบวินัย แล้วยังได้รู้จักเพื่อนพ้องที่อาจเกื้อหนุนกันต่อไปในภายภาคหน้า ส่วนเรื่องการเรียนการสอนของที่นี่ก็เรียกได้ว่าชั้นหนึ่ง ใครๆ ก็อยากส่งลูกหลานไปเรียนทั้งนั้น ว่าแต่หนึ่งจะเข้าเรียนแผนกไหนดี วิทย์หรือศิลป์ พ่ออยากให้หนึ่งสอบเข้าบริหาร งั้นเรียนศิลป์ที่เน้นวิชาคณิตน่าจะดีกว่าวิทย์”

ระหว่างที่พูดเรื่องการศึกษาของลูก ดามพ์ไม่มองหน้าอาทิตย์เลย เขาคิดเองเออเอง ตัดสินใจในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเองคนเดียวอีกตามเคย

แต่แล้วอนาคตอันสดใสที่พ่อวางเอาไว้ให้ลูกก็จำต้องจบ เมื่ออาทิตย์ปัดแก้วน้ำดื่มที่สาวใช้นำมาเสิร์ฟให้ลงจากโต๊ะแล้วประกาศ

“ผมไม่ไป ไม่เรียน ถ้าพ่ออยากเรียนก็เรียนเอง อ้อ...ผมไม่ย้ายขึ้นมานอนที่นี่ด้วย ไม่อยากเห็นหน้าพ่อมากไปกว่านี้”

“เอ๊ะ...ไอ้...” ดามพ์เกือบหลุดปากเรียกลูกอย่างหยาบคายตามความเคยชิน แต่ยังงับคำนั้นเอาไว้ได้ ทว่าแม้ระงับเอาไว้ทัน อาทิตย์ก็ยังคงรู้ว่าพ่อต้องการพูดอะไรออกมา

“เรียกออกมาสิ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พ่อจะขึ้นไอ้ขึ้นอีกับผม ผมชินซะแล้ว การที่พ่อแอ๊บทำตัวเป็นพ่อที่ดีต่างหากที่ผมไม่เคยชิน ไม่ชินแล้วยังขยะแขยงด้วย”

“ไอ้หนึ่ง!” เมื่อถูกลูกท้าทาย คนเป็นพ่อก็ทนไม่ไหว ทำตามที่ลูกเรียกร้องทันที “ที่ฉันทำทุกอย่างนี่ก็เพราะหวังดีกับแก แกจะเชื่อฉัน ยอมทำตามคำสั่งฉันไม่ได้รึไง”

“ไม่ได้” อาทิตย์ปฏิเสธทันที “เพราะผมเลวไง ขืนเชื่อพ่อผมก็กลายเป็นคนดีที่น่าขยะแขยงเหมือนพ่ออะดิ”

“ไอ้หนึ่ง ไอ้ลูกทรพี นี่แกกล้าด่าฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้เชียวเหรอ ไอ้ลูก...”

อาทิตย์ไม่ฟังคำด่าใดๆ ต่ออีก เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องรับแขกไปยังเรือนหลังเล็กของตนเองทันที

 

เด็กหนุ่มยืนอยู่ใต้ฝักบัวแล้วเปิดน้ำให้แรงที่สุด แรงจนรู้สึกว่าผิวหนังเจ็บยิบๆ แต่เจ็บแบบนี้แหละดี ความเจ็บทำให้เขารู้ว่าตนเองกลับมาสู่โลกเดิม โลกแห่งความจริงที่เขาไม่ใช่ลูกตัวอย่าง และพ่อก็ไม่ใช่คุณพ่อแสนดี

ร่างซึ่งเปียกปอนอยู่ใต้ฝักบัวหัวเราะเบาๆ ราวกำลังมีความสุขหรือสนุก แต่แท้ที่จริงแล้วเขากำลังทุกข์ กำลังท้อต่างหาก

หลังปล่อยให้น้ำรดตัวอยู่นาน ร่างผอมสูงก็เดินออกมาจากใต้ฝักบัว เขาดึงหมวกคลุมผมลายคิตตี้ออก ชื่นจิตซื้อหมวกคลุมผมใบนี้มาให้คลุมผมด้วยเกรงว่าหากให้แผลเปียกน้ำ แผลอาจอักเสบหรือเป็นบ้าเป็นบออะไรขึ้นมาอีก

เป็นบ้าเป็นบออย่างนั้นหรือ เป็นได้ก็ดีน่ะสิ หากเขาบ้าไปเสีย จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดใจแบบนี้

ใช่...เขากำลังเจ็บปวด เจ็บอย่างมากเมื่อรู้ว่าที่แท้แล้วพ่อก็ไม่ได้ต้องการเขา พ่อทำดีกับเขาก็เพื่อให้เขาเชื่อใจ ไว้ใจ จากนั้นพ่อก็จะขับไล่เขาไปอยู่ที่โรงเรียนประจำ

“ถ้าเขารักเรา เขาคงไม่คิดไล่เราอย่างนี้หรอก เขาไม่รัก...ไม่รัก เลยไม่อยากเห็นหน้า ถ้าเราตายไปให้พ้นๆ ได้ก็คงดี ทำไมนะ ทำไมไม่ตกลงมาให้แรงกว่านี้อีกหน่อย ให้สมองแบะไปเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็พ้นทุกข์แล้ว”

เมื่ออารมณ์พุ่งขึ้นมาอยู่เหนือเหตุผล สิ่งที่เด็กหนุ่มอารมณ์ร้อนทำก็คือเอื้อมมือไปยังหลังศีรษะบริเวณที่มีแผ่นเทปใสปิดแผลกันน้ำปิดอยู่ เขาคิดจะดึงแผ่นปิดแผลออกก็พลันได้ยินเสียง...

‘อย่า...’

เสียงคุ้นหูนั้นก้องอยู่ในหู หลังจากได้ยิน ขนอ่อนๆ ทั้งตัวของอาทิตย์ก็ลุกพรึ่บ เพราะในห้องน้ำมีเพียงเขาอยู่คนเดียว แล้ว...แล้วใครเป็นคนพูดกันล่ะ

ทั้งๆ ที่กลัว แต่อาทิตย์ยังเหลือบมองไปยังด้านหลังแล้วหันขวับ...ไม่มีใคร ห้องน้ำค่อนข้างกว้างมีเพียงเขาอยู่คนเดียว

เด็กหนุ่มถอนหายใจก่อนหันกลับมายังหน้าอ่างล้างมือซึ่งมีกระจกขนาดใหญ่ติดอยู่ “หูคงแว่ว” เขาพูดเพื่อให้ตนเองสบายใจจบ ดวงตาซึ่งเป็นสิ่งเดียวบนใบหน้าที่คล้ายดวงตาของมารดาก็มองตนเองในกระจก

เงาที่สะท้อนในกระจก...มันใช่เขาหรือไม่ใช่

อาทิตย์เขม้นมองตนเองจนแน่ใจว่าหัวคิ้วเขาขมวดมุ่น แต่เงาในกระจกหัวคิ้วไม่ได้ขมวด เงาของเขามองมายังเขา มองด้วยแววตาเศร้าสร้อย และขยับปากเป็นคำว่า...

‘อย่า...’

ดวงตาอาทิตย์เบิกกว้าง เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกจากห้องน้ำทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อผ้า ปากก็ตะโกนว่า “ผี...ผีหลอก”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น