4

ตอนที่ ๔


 

ชื่นจิตนิ่งไปนิดหลังจากได้รับรู้ว่าเพราะเหตุใดตนจึงถูกไล่ออก หญิงสาวขมวดคิ้วครุ่นคิด เนื่องจากเธอไม่ได้มองว่าตนเองดีพร้อมเหมือนใครบางคน จึงสำรวจอยู่เสมอว่าเรื่องที่คนอื่นติติงมานั้นมีความเป็นจริงบ้างไหม เธอจะพัฒนาตนเองจากคำติเหล่านั้นได้หรือเปล่า แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า...

“ฉันยอมรับว่าอาจสอนน้องหนึ่งได้ไม่ดีพอ”

พอยอมรับเช่นนั้นแล้วหญิงสาวก็เห็นคนที่ว่าเธอฉอดๆ ยาวเสียยิ่งกว่าที่เธอว่าเขาเสียอีกมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

คนอะไร ตัวเองผิดแล้วไม่ยอมรับ แต่พอว่าคนอื่นได้กลับยินดี

“แต่คุณก็ต้องยอมรับว่าการจะทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมันต้องใช้เวลาและใช้ความพยายาม ซึ่งฉันได้พิสูจน์แล้วว่าความพยายามของฉันยังไม่ดีพอ ตอนนี้ฉันจึงขอเรียกร้องความพยายามจากคุณ”

รอยยิ้มแสนกระหยิ่มค่อยๆ จางลง ก่อนดามพ์จะถามด้วยความกังขา “เรียกร้องจากฉันเนี่ยนะ อ้อ...อยากได้เงินเดือนเพิ่มละสิ ได้ ถ้าเธอทำให้ไอ้เด็กนั่นเป็นคนดีขึ้นมาได้ เกรดไม่ร่อแร่ ไม่หนีเรียน ไม่หนีเที่ยว ฉันจะให้เงินเดือนเธอเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเลยเอ้า”

อีตาบ้านี่เอะอะก็พูดแต่เรื่องเงิน ชื่นจิตไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมเขาจึงเป็นคนหน้าเงินแบบนี้ “ฉันไม่ได้ต้องการเงินเพิ่ม คุณคิดว่าฉันยากจนนักหรือไงคะ ถึงพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเงิน”

เอาเข้าจริงดามพ์ไม่รู้หรอกว่าพี่เลี้ยงของลูกยากจนหรือไม่ เขาไม่ได้ใส่ใจเธอขนาดนั้น เขารู้เพียงแค่ว่า ไม่มีมนุษย์หน้าไหนไม่ต้องการเงินหรอก ยิ่งปากบอกว่าไม่อยากได้ ในใจยิ่งสั่นริกๆ เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว

“สิ่งที่ฉันอยากได้จากคุณและต้องได้ไม่ใช่เงิน แต่เป็นความร่วมมืออย่างเต็มที่ ร่วมมือโดยไม่บ่น ไม่ว่า ไม่เถียง ไม่ต่อรอง เพราะทุกอย่างที่ฉันต้องการให้คุณทำก็เพื่อน้องหนึ่งทั้งนั้น” ชื่นจิตไม่รอให้ดามพ์รับปาก แต่พูดสิ่งที่เธอต้องการทันที

“ต่อไปหน้าที่จัดการเคลียร์เรื่องยุ่งที่น้องหนึ่งทำ คุณจะส่งต่อให้คนอื่นทำไม่ได้ ถ้าน้องหนึ่งหนีเรียน คุณต้องไปพบอาจารย์เอง ถ้าน้องหนึ่งหนีเที่ยว คุณต้องไปตามกลับเอง”

“โอ๊ย! แบบนี้งานการฉันก็ไม่ต้องทำพอดี ไอ้หนึ่งมันก่อเรื่องก่อราวได้ทุกวันเธอก็รู้”

“แรกๆ น้องหนึ่งอาจก่อเรื่องเพื่อสร้างความเดือดร้อนให้คุณได้ทุกวันอย่างที่คุณว่า แต่การสร้างเรื่องสร้างราวมันเหนื่อยนะ มันไม่ใช่เรื่องสนุก ที่สำคัญ ฉันต้องการให้น้องหนึ่งเห็นว่า หากเขาก่อปัญหา ต่อไปพ่อจะเป็นคนแก้ปัญหาให้เขาเอง”

สีหน้าดามพ์ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ไร้สาระ ใครแก้ปัญหามันก็เหมือนกัน” หนุ่มใหญ่ยกแขนขึ้นมากอดอก บ่นอุบ

“คุณต้องเปลี่ยนความคิดซะใหม่นะคะ มนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน มีความสำคัญต่างกัน และฉันเข้าใจน้องหนึ่งดี รู้ดีว่าเรื่องยุ่งต่างๆ ที่เขาทำลงไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อเรียกร้องความรัก ความสนใจ ความใส่ใจจากคุณ”

“ความรัก?” ดามพ์ไม่ได้แค่ขึ้นเสียงสูง แต่เขายังหัวเราะด้วย “มีใครเรียกร้องความรักด้วยการทำให้คนเกลียดบ้างล่ะ”

“เด็กที่ขาดความรักและไม่รู้จะทำยังไงเพื่อให้ได้ความรักมาไงคะ”

ดามพ์รู้สึกว่าเรื่องที่ยายไร้คิ้วคนนี้พูดยิ่งฟังยากขึ้นทุกที เขารำคาญจึงรับปากส่งๆ ไปก่อน “เอาละๆ เอาเป็นว่าฉันจะพยายามไปเคลียร์ทุกเรื่องเองก็แล้วกัน”

คำรับปากส่งๆ นั้นใช่ว่าชื่นจิตจะฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้เท่าทัน ทว่าเธอยังไม่อยากโต้เถียง ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการคือให้ดามพ์รับรู้ถึงหน้าที่ซึ่งพ่อควรกระทำต่อลูกก่อน

“เรื่องต่อไปคือ คุณต้องหยุดใช้ถ้อยคำหยาบคายหรือรุนแรงกับน้องหนึ่ง”

“ได้” ดามพ์รับปากทันที ทุกอย่างจะได้จบ จบหรือยังล่ะ!

“และขอห้ามไม่ให้คุณกล่าวหาน้องหนึ่งว่าเป็นคนฆ่าพี่ฤดีและน้องสองอีกเด็ดขาด”

ข้อห้ามนี้ทำให้ดามพ์จ้องคนพูดเขม็ง เขาจำได้ดีว่าในวันครบรอบวันตายของเมียเก่าและลูกคนเล็ก เขาเคยหลุดปากด่าอาทิตย์ออกไปเช่นนั้น ใจจริงเขาไม่ได้ชอบการกระทำของตัวเองเท่าไรนะ แต่เวลาโกรธคนเราก็มักจะห้ามปากตัวเองไม่ได้ และต้องมาสำนึกเสียใจหลังจากที่พูดออกไปเสมอ

ดังนั้นในเรื่องนี้ ดามพ์จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น “ได้ ฉันจะไม่พูดอีก”

“นอกจากไม่พูดแล้วยังต้องไม่คิดด้วย คุณคิดจริงๆ เหรอคะว่าน้องหนึ่งจงใจฆ่าแม่ฆ่าน้อง”

ล้ำเส้นเกินไปแล้ว! หนุ่มใหญ่มองหน้าชื่นจิตอย่างไม่พอใจ ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินปึงปังจากห้องรับแขกขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านทันที โดยไม่สนใจเสียงห้ามจากชื่นจิตว่าเขากับเธอยังคุยกันไม่จบ

เธอยังไม่จบก็ช่างหัวเธอปะไร แต่สำหรับเขามันจบแล้ว

ชื่นจิตมองตามร่างสูงไปอย่างขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการพูดกับตนเองว่า “นี่เขาคิดจริงๆ เหรอเนี่ย เป็นพ่อประสาอะไรถึงได้คิดว่าลูกทำสิ่งที่ร้ายกาจแบบนี้ได้”

เสียงประตูปิดโครมใหญ่ทำให้ชื่นจิตถอนหายใจเฮือก เธอเบนสายตาจากชั้นบนของบ้านมายังกรอบรูปบานเล็กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะวางโคมไฟข้างโซฟาเดี่ยวสีเหลืองสดที่เมื่อครู่เธอนั่งอยู่

รูปในกรอบเป็นรูปครอบครัว ตัวพ่อยืนอยู่ด้านหลังแม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลุยส์สีทอง บนตักแม่มีลูกชายสองคน ทางซ้ายคืออาทิตย์ ขวาคืออาทิวัชร รอยยิ้มของเด็กในรูปสดชื่นแจ่มใส ตาเป็นประกายไร้เดียงสา แต่สีหน้าและท่าทางห่างเหินของพ่อกับแม่บอกเธอได้ว่ารูปนี้คงถ่ายตอนที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แตกร้าวแล้ว

ชื่นจิตมองใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามซึ่งมองตอบเธอด้วยแววตาว่างเปล่า เธอถามเขาด้วยความคับข้องใจ “เพราะแบบนี้สินะ คุณถึงไม่รักน้องหนึ่ง”

 

สายวันต่อมาพ่อของนายเอ็มก็โทร. มาบอกสถานที่ซึ่งลูกชายตนอยู่กับอาทิตย์ให้ดามพ์ทราบ

แม้ดามพ์จะรับปากชื่นจิตแล้วว่าต่อไปเขาจะเป็นผู้จัดการเรื่องยุ่งๆ ของอาทิตย์เอง กระนั้นเมื่อต้องไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไป ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องพบกับอะไรบ้าง ดามพ์จึงตัดสินใจตามสมประสงค์และเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตาน่ากลัวอีกสองคนไปด้วยกัน

สมประสงค์เป็นผู้ขับรถนำเจ้านายไปตามแผนที่ซึ่งอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเจ้านาย และเนื่องจากหลายวันมานี้เขาต้องระหกระเหินตามหาอาทิตย์ในที่ต่างๆ เขาจึงกลายเป็นผู้ชำนาญเรื่องแผนที่และทิศทางไปแล้ว เขาขับรถเข้ามาในซอยลึกอย่างมั่นใจ ก่อนจอดรถของตนเองหน้าทาวน์เฮาส์เก่าๆ ซึ่งภายในมีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่หลายคัน

บุรุษทั้งสี่ก้าวลงจากรถเกือบพร้อมกัน พนักงานรักษาความปลอดภัยกวาดตามองสำรวจบริเวณท้ายซอยซึ่งไม่มีผู้คนพลุกพล่าน หูได้ยินเสียงเพลงดังมาจากบ้านซึ่งเป็นบ้านเป้าหมาย แม้ไม่ต้องบอกชายซึ่งหัวหกก้นขวิดมาพอสมควรก็เดาได้ว่าภายในทาวน์เฮาส์หลังนั้นคงกำลังมีปาร์ตีสนุกสนานกันอยู่

ว่าแต่...มันเป็นปาร์ตีแบบไหนกันล่ะ

หากเป็นการกิน ดื่ม และสีหญิงในแบบปกติก็คงไม่หนักหนา แต่ถ้าเป็นปาร์ตียา...เห็นทีจะหนักอยู่ไม่น้อย

“คุณกับคุณไปดักซอยด้านหลังเอาไว้ เผื่ออาทิตย์จะหนีไปทางนั้น ส่วนผมกับคุณเข้าทางด้านหน้า”

เมื่อผู้เป็นเจ้านายชี้นิ้วสั่งให้สมประสงค์กับพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งอ้อมไปทางด้านหลัง ชายหนุ่มทั้งสองก็พยักหน้าแล้วเดินอ้อมไปทันที ส่วนดามพ์ก็ยืนรอไม่นาน กะว่าตอนนี้คนของเขาคงไปรอด้านหลังเรียบร้อยแล้วจึงจัดการปีนรั้วเข้าไปในบ้านที่ล็อกประตูรั้วหน้าบ้านเอาไว้

มันไม่ถูกนักหรอกที่มาปีนเข้าบ้านชาวบ้านเขาแบบนี้ แต่ถ้ากดกริ่งเรียก ไอ้เด็กเปรตพวกนั้นก็มีโอกาสไหวตัวน่ะสิ ดามพ์ต้องการรู้ว่าลูกของเขาหนีมาอยู่กับใคร และสุมหัวทำอะไรกัน ไม่ใช่แค่มาตามกลับบ้านอย่างเดียว

ดูเหมือนเจ้าของบ้านจะประมาทไม่น้อย เพราะแม้จะใส่กุญแจประตูรั้วหน้าบ้านเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ล็อกประตูด้านใน ทำให้ดามพ์เปิดประตูเข้าไปได้ง่ายๆ

สภาพภายในบ้านคล้ายกับมีหมอกคลุมอยู่ กลิ่นบุหรี่และอะไรที่ไม่ใช่บุหรี่ลอยคลุ้งจนดามพ์เบือนหน้าหนีพร้อมยกมือขึ้นปิดจมูก

“ผมว่า...นี่มันกัญชานะครับคุณดามพ์”

เสียงกระซิบจากพนักงานรักษาความปลอดภัยทำให้ดามพ์หันไปมองคนพูด ทั้งๆ ที่คิดเอาไว้แล้วว่าเด็กที่หนีออกจากบ้านคงไม่ได้หนีมานั่งสมาธิหรือทำงานเพื่อสังคม แต่ถ้าลูกเขาหันเข้าหายาเสพติด หนทางในการดัดสันดานมันให้กลายมาเป็นคนดีก็คงยากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

อารมณ์ของดามพ์กรุ่นขึ้นมาอีกระดับ และเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเดินเข้าไปในบ้านผ่านหนุ่มสาวที่นั่งกอดกันอยู่บนโซฟาอย่างไม่อาย ไม่หยุด ไม่สนว่าใครจะหยุดดู

“คุณหาข้างล่าง ผมจะขึ้นไปดูข้างบน” ดามพ์สั่งก่อนเดินตรงไปยังบันไดที่อยู่ถัดจากห้องรับแขกไปนิดเดียว

 

อาทิตย์นั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมข้างโทรทัศน์ภายในห้องนอนเล็กของทาวน์เฮาส์ขนาดเท่าแมวดิ้นตายแถมยังสกปรกแห่งนี้

เด็กหนุ่มเคยมีชีวิตสุขสบาย อยู่ในสังคมคนละแบบ คนละระดับกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มั่วสุมอยู่ที่นี่ ดังนั้น...เขาจึงรู้สึกตัวว่ามาอยู่ผิดที่ผิดทางเสียแล้ว แต่ผิดที่ผิดทางแล้วอย่างไร ทางไหนเป็นทางที่ถูกต้องสำหรับเขา เขาก็ไม่รู้

ปลายนิ้วเรียวยาวของคนที่ไม่เคยทำอะไรหนักๆ คีบบุหรี่ซึ่งเหลือเพียงครึ่งเอาไว้ มองควันบุหรี่ลอยอ้อยอิ่งและตัวบุหรี่ที่มอดไหม้ไปเรื่อยๆ ด้วยไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้

แต่แล้วจู่ๆ ประตูห้องซึ่งปิดเอาไว้ก็ถูกเปิดเข้ามา แมนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นๆ ราวกับเพิ่งเห็นผี ดวงตาตื่นกลัวกวาดมองรอบห้องก่อนจะหยุดที่อาทิตย์ซึ่งนั่งซุกกายอยู่ในมุมห้องแล้วตะโกน

“ไอ้หนึ่งหนีเร็ว พ่อมึงมา!”

สำหรับเด็กที่มีความผิดติดตัว เรื่องใดก็ไม่น่ากลัวเท่าเรื่องพ่อแม่มา อาทิตย์ลุกขึ้นยืนทันควันราวถูกไฟจี้ เขาทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วมองหาทางหนี

หากพ่อมาตามเขาจริงๆ แล้วเขาถูกลงโทษต่อหน้าเพื่อนก็ขายหน้าแย่ ดังนั้นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเด็กหนุ่มในขณะนี้ก็คือ...หนี!

หน้าต่างบานใหญ่ใกล้หัวเตียงดูเหมือนจะเป็นทางรอดเดียวของอาทิตย์ เด็กหนุ่มวิ่งขึ้นเตียงแล้วเปิดหน้าต่างออก เขาตวัดขาข้างหนึ่งออกไปนอกหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงพ่อตะโกน

“ไอ้หนึ่ง!”

เด็กหนุ่มที่นั่งคร่อมอยู่บนหน้าต่างบานใหญ่หันไปมองพ่อซึ่งเพิ่งพุ่งเข้ามาในห้องอย่างตกใจ เรียกว่านาทีนี้ไม่รู้ว่าระหว่างพ่อกับลูก ใครตกใจมากกว่ากัน

“นั่นแกจะทำอะไร กลับเข้ามาเดี๋ยวนี้” ดามพ์สั่งพร้อมสาวเท้าเข้าไปใกล้เตียง แต่พอทำแบบนั้นอาทิตย์ที่กลัวพ่อมากกว่ากลัวความสูงก็หย่อนก้นออกไปนอกหน้าต่างและร้องบอก

“อย่าเข้ามานะ”

ดามพ์หยุดที่ปลายเตียงตามคำสั่งของลูกแล้วนึกถึงคำสั่งของชื่นจิตที่บอกเขาเมื่อวาน เธอว่าอย่างไรนะ ให้พูดกับลูกดีๆ ใช่หรือไม่ “ใจเย็นๆ หนึ่ง กลับเข้ามาก่อน มีอะไรเราพูดกันได้”

“ไม่มีอะไรต้องพูดกัน พ่อกลับไปซะ ไม่งั้นผมโดด”

โดดอย่างนั้นหรือ หัวใจดามพ์เต้นแรงเพราะความกลัว นี่เป็นชั้นสอง ความสูงระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองน่าจะอยู่ประมาณสามเมตร หากลูกโดดจริงๆ อาจไม่ถึงตายถ้าไม่เอาหัวลง แต่ถึงไม่ตายก็ต้องเจ็บ คนนะ ไม่ใช่ยอดมนุษย์หรือพระเอกในหนัง จะได้ตกตึกแล้วไม่เป็นอะไรเลย

ไม่มีพ่อคนไหนหรอกที่อยากเห็นลูกเจ็บ

“โดดไปแกก็ไม่รอด พ่อให้คนล้อมบ้านนี้ไว้หมดแล้ว แกจะเจ็บตัวเปล่าๆ” ดามพ์พยายามใช้เหตุผลหว่านล้อมลูกอย่างใจเย็น “เข้ามาเถอะ อย่าทำเรื่องโง่ๆ”

“พ่อลืมแล้วเหรอว่าผมเป็นคนโง่” พูดแล้วขาที่เกี่ยวขอบหน้าต่างเอาไว้ก็เลื่อนลงไป

ดามพ์เห็นมือของลูกที่จับขอบหน้าต่างเอาไว้เกร็งขึ้น บอกว่าตอนนี้เท้าของอาทิตย์ไม่ได้เป็นส่วนที่รับน้ำหนัก แต่มือทั้งสองข้างต่างหากที่ยื้อร่างลูกเอาไว้

โอ๊ย...หัวใจพ่อสั่น ทั้งโกรธ ทั้งโมโหเมื่อเห็นความดื้อของลูก และทั้งกลัว ทั้งสยองกับความกล้าของมัน

“แกไม่โง่ขนาดโดดลงไปหรอก เจ็บตัวเปล่า แถมยังต้องถูกลากกลับบ้านด้วย” ที่ดามพ์ต่อปากต่อคำกับลูกก็เพื่อให้ไอ้เด็กดื้อมันเผลอ และพอมันเผลอเขาก็จะตะครุบตัวมันเอาไว้ “แกลองดูสิ สูงนะ ตกลงไปแล้วเอาหัวลงแกตายแน่”

เด็ก...ถึงอย่างไรก็ไม่ฉลาดเท่าผู้ใหญ่หรอก พอดามพ์เห็นลูกชายเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อมองความสูงแสนน่ากลัวตามที่ตนขู่ เขาก็รู้ว่าได้เวลาของเขาแล้ว

หนุ่มใหญ่พุ่งเข้าหาลูกทันที แต่ก่อนที่เขาจะรวบตัวอาทิตย์เอาไว้ได้ เด็กหนุ่มที่หันมาเห็นผู้เป็นพ่อพุ่งเข้าหาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ อาทิตย์ปล่อยมือที่เกาะขอบหน้าต่างแล้วตวัดขาออกไปนอกตัวบ้าน ตั้งใจว่าจะกระโดดลงไปก่อนที่พ่อจะจับตัวเขาเอาไว้ได้ ทว่า...เพราะตัวเด็กหนุ่มห้อยออกมานอกหน้าต่างตั้งครึ่งค่อน พอปล่อยมือก็เสียหลัก แทนที่จะหมุนตัวแล้วกระโดดได้ เขากลับหงายหลังลงมาจากหน้าต่างเสียอย่างนั้น

อาทิตย์ไม่ทันได้ร้อง เขารู้สึกว่าตัวลอยอยู่ในอากาศเพียงชั่วครู่ จากนั้นความรู้สึกต่างๆ ก็ดับลับหายทันทีที่เขาตกกระแทกพื้นปูนหลังบ้าน

“หนึ่ง!” เสียงเรียกด้วยความเป็นห่วงของผู้เป็นพ่อดังลั่นทาวน์เฮาส์หลังนั้น ดามพ์รีบวิ่งลงมาจากบันไดแล้วลนลานเปิดประตูหลังบ้านเพื่อไปหาลูกที่นอนแน่นิ่ง

เมื่อมือของพ่อประคองศีรษะลูกขึ้นมา ดามพ์ก็สัมผัสได้ถึงของเหลวเหนียวและอุ่น เขาไม่กล้าเขย่าตัวลูก ได้แต่ร้องตะโกนอย่างเสียขวัญ

“ใครก็ได้...ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที!”

 

สมประสงค์เป็นคนส่งข่าวเรื่องอุบัติเหตุและโรงพยาบาลที่อาทิตย์เข้ารักษาตัวให้ชื่นจิตรับรู้

ราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากรู้ข่าว ชื่นจิตก็มาถึงโรงพยาบาลพร้อมด้วยกระเป๋าใบเล็กหนึ่งใบซึ่งภายในมีเสื้อผ้าและของใช้ของเธอ

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาทิตย์เข้าโรงพยาบาลเพราะบาดเจ็บ เด็กซนแบบอาทิตย์เข้าโรงพยาบาลเกือบทุกปีเพราะคางแตก คิ้วแตก นิ้วหัก ข้อเท้าซ้น ดังนั้นชื่นจิตจึงเคยชินกับการต้องมาดูแลเขาที่โรงพยาบาลแล้ว

พอเธอเข้าไปในห้องพักพิเศษแล้วพบสมประสงค์นั่งจ๋องอยู่บนโซฟา เธอก็ยิ้มให้ก่อนถาม “ทำไมคุณอยู่ที่นี่คนเดียวคะ แล้ว...” หญิงสาวมองไปยังเตียงผู้ป่วยที่ว่างเปล่า “น้องหนึ่งล่ะคะ”

“ไปสแกนสมองครับ”

ตอนสมประสงค์โทรศัพท์ไปบอกข่าวเธอนั้น เขาบอกแค่ว่าอาทิตย์ตกลงมาจากชั้นสอง ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ได้บอกว่าเจ็บตรงไหน เป็นอะไรมากหรือเปล่า ดังนั้นชื่นจิตจึงไม่รู้ถึงอาการของอาทิตย์อย่างละเอียด และคาดคิดไปเองว่าการตกบันไดลงมาจากชั้นสองคงทำให้เด็กหนุ่มฟกช้ำดำเขียวไปตามเรื่อง

แต่นี่...สแกนสมอง!

“ทำไมต้องสแกนสมองคะ”

“คือ...” สมประสงค์มองหน้าชื่นจิตที่ซีดลงเรื่อยๆ “คุณอาทิตย์หัวแตกน่ะครับ สลบไปเลย พอฟื้นก็ดูซึมๆ คุณหมอเลยแนะนำให้ตรวจสมองอย่างละเอียดน่ะครับ”

“นี่แปลว่าสมองกระทบกระเทือนใช่ไหมคะ อาจมีเลือดคั่งในสมอง สมองบวม สมองตาย อะไรแบบนี้ใช่ไหมคะ”

จริงๆ มันก็ใช่นั่นแหละ แต่ถ้าสมประสงค์ตอบไปอย่างนั้น ชื่นจิตที่ถลาเข้ามานั่งข้างๆ แล้วเขย่าแขนเขาแรงอาจช็อกตายไปก็ได้ ดังนั้นด้วยความปรารถนาดี สุภาพบุรุษจึงต้องปลอบสุภาพสตรีให้สงบลง

“ใจเย็นๆ ครับคุณชื่น แผลแตกที่หัวคุณอาทิตย์นิดเดียวเองครับ การตรวจนี่ก็เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อนเท่านั้นเอง ยังไม่ได้มีอาการบ่งบอกว่าจะเป็นอะไรหนักหนาอย่างที่คุณกลัวเลยครับ”

“จริงนะคะ”

“ครับ หมอตรวจร่างกายแล้วบอกว่าทุกอย่างดูปกติดีครับ การไปตรวจอย่างละเอียดก็เพื่อป้องกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง”

พอได้ยินคำปลอบ มือที่เขย่าแขนสมประสงค์ยิกๆ จึงเลื่อนมาพนมไหว้ “เจ้าประคู้น คุณพระคุณเจ้าช่วยน้องหนึ่งด้วย แกยังเด็ก ยังมีอนาคต ขออย่าให้แกเป็นอะไรไปเลย”

สมประสงค์อมยิ้มมองชื่นจิต ‘เออ ไม่ใช่มีแต่เขาเนอะที่ชอบยกมือไหว้เจ้าขอพร คนแก่ๆ เขาก็ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้น เอ๊ะ คนแก่งั้นเหรอ เฮ้ย...เขายังไม่แก่สักหน่อย’

 

ถึงแม้สมประสงค์จะปลอบแล้วว่าอาทิตย์ไปตรวจเพื่อความปลอดภัย อาการไม่ได้เป็นอะไรมาก กระนั้นชื่นจิตก็ยังเป็นห่วงจนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

กระทั่งประตูห้องพิเศษเปิดออก ผู้เข็นเตียงพาคนไข้เข้ามาคือบุรุษพยาบาล พยาบาล รวมทั้งดามพ์

ชื่นจิตลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินเร็วๆ ไปยังเตียงเข็นคนไข้ทันที เธอจับมือของเด็กหนุ่มข้างที่ไม่มีเข็มน้ำเกลือจิ้มเอาไว้

ในสายตาของเธอตอนนี้ อาทิตย์ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเธอ แต่เป็นเด็กน้อยที่ตัวสูงแค่เอว เป็นเด็กซึ่งเธอเคยอุ้มเอาไว้แนบอก กล่อมให้เขานอนด้วยเพลงและนิทาน

“น้องหนึ่ง...เป็นยังไงบ้างลูก”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนที่ใกล้ชิดที่สุด อาทิตย์ซึ่งนอนหลับตามาตลอดทางก็ลืมตาขึ้น สีหน้าของเด็กหนุ่มดูดีขึ้นเมื่อเห็นชื่นจิต

“น้าชื่น...”

ยังไม่ทันได้พูดจากันชื่นจิตก็ถูกกันออกไป เพื่อให้บุรุษพยาบาลเคลื่อนย้ายอาทิตย์จากเตียงเข็นมานอนบนเตียงในห้องพิเศษ

ชื่นจิตอดทนรอจนพยาบาลจัดสายน้ำเกลือ วัดความดันเสร็จสรรพ จึงก้าวเข้าไปลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบาๆ พร้อมมองหาบาดแผล

“หัวแตกเหรอลูก เจ็บตรงไหน หายเร็วๆ นะ”

อาทิตย์ยิ้มได้แล้วเอ่ยล้อ “น้าชื่นทำเหมือนจะหาแผลแล้วเป่าเพี้ยงๆ ให้มันหายเลย”

ได้ยินคำล้อและเห็นรอยยิ้มของเขาเช่นนั้นแล้วชื่นจิตก็โล่งใจ ลงว่าอาทิตย์ยังพูดได้ จำได้ และมีอารมณ์ขัน อุบัติเหตุคราวนี้คงไม่ร้ายแรงอะไรนัก...ใช่ไหม

“อยากให้น้าเป่าให้ไหมล่ะ ไหน เจ็บตรงไหน”

เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนบอก “ผมโตแล้วนะ ไม่ต้องเป่าแล้วละ ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้วด้วย แค่มึนๆ นิดหน่อย”

“แล้วทำอีท่าไหนถึงได้ตกลงมาจากบันไดชั้นสองได้ล่ะ” ชื่นจิตยังคิดว่าอาทิตย์คงวิ่งหนีพ่อลงบันไดเลยกลิ้งตกลงมา ดังนั้นพอได้ฟังความจริงเข้า หญิงสาวก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ

“ไม่ได้ตกบันไดครับ หนึ่งโดดหน้าต่างลงมาต่างหาก แต่โดดผิดท่าไปหน่อยหัวเลยโหม่งพื้น”

คนเจ็บพูดถึงเหตุการณ์สยองขวัญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คำพูดมีอารมณ์ขัน แต่คนเป็นพ่อที่ยืนกอดอกอยู่ข้างเตียง ตรงข้ามกับชื่นจิตไม่ยิ้ม ไม่ขันไปด้วย เพราะพอลูกพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุซึ่งเขาเห็นกับตา ใจพ่อก็ตกวูบ

ลูกคงไม่รู้ว่าวินาทีที่ลูกหงายหลังหล่นไปแล้วพ่อคว้าไม่ทัน...พ่อรู้สึกอย่างไร

ลูกคงไม่รู้ว่าการที่พ่อประคองหัวลูกขึ้นมาแล้วรู้สึกถึงเลือดเต็มมือ...พ่อกลัวแค่ไหน

‘ไอ้ลูกเปรต’

“ตายจริง โดดลงมาจากหน้าต่าง ทำไมหนึ่งทำแบบนั้น โอ๊ย หัวใจน้าจะวายตาย”

“ตอนนั้นมันไม่ได้คิด คิดแต่จะหนี” อาทิตย์มองแต่หน้าชื่นจิต ไม่หันไปมองพ่อของตนเองสักนิด ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ...เขาเขิน

อาทิตย์ไม่รู้ว่าพ่อจะรู้ไหมว่าเขารู้สึกตัวตอนอยู่ในรถพยาบาล เขามีสติแต่แกล้งทำเป็นไม่มีสติ และเพราะแกล้งทำเหมือนไม่รู้ตัว เขาจึงได้เห็นว่าพ่อนั่งอยู่ข้างเขา จับมือเขาไปแนบแก้ม และมองเขาอย่าง...

เด็กหนุ่มไม่กล้าพูดว่าพ่อรักเขา แต่ถ้าบอกว่าแค่เป็นห่วงคงได้กระมัง พ่อดูเป็นห่วงเขามาก มากเกินความคาดคิดของเขา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น