7

ตอนที่ 7


 

ติ่มซำในวันนี้อร่อยทุกอย่าง อาทิตย์กินของอร่อยอย่างมีความสุข แถมยังมีน้ำใจคีบติ่มซำจำพวกฮะเก๋าให้ชื่นจิตด้วย เพราะรู้ว่าเธอชอบ

“น้องหนึ่งไม่คีบให้พ่อบ้างล่ะ” ในฐานะผู้กินฟรี ชื่นจิตไม่คิดจะเอากำไรใส่พุงตนเองเฉยๆ ในเมื่อเขามีน้ำใจเลี้ยงเธอ เธอก็มีน้ำใจเชื่อมสัมพันธ์ให้พ่อลูกเช่นกัน

เด็กหนุ่มเหลือบมองพ่อของตนเองที่ไม่ค่อยได้กินอะไรเท่าไร ผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาเอาแต่สไลด์โทรศัพท์ดูอะไรบางอย่าง

‘ขนาดน้าชื่นบอกให้เราคีบอาหารให้พ่อบ้าง พ่อก็คงยังไม่ได้ยิน ไม่สนใจ ทั้งที่เราก็นั่งอยู่ตรงหน้าพ่อแท้ๆ’ คิดแล้วอาทิตย์ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินที่ชื่นจิตพูด

เมื่อเด็กหนุ่มนิ่งเฉย พี่เลี้ยงซึ่งรู้ใจเด็กหนุ่มดีที่สุดก็วางตะเกียบแล้วลดมือลงแตะขาอาทิตย์เบาๆ พอเด็กหนุ่มหันมามองหน้าเธอ ชื่นจิตก็สั่งด้วยสายตาให้เขาละวางทิฐิลงแล้วคีบอาหารให้พ่อซะ

แววตาที่ตอบกลับมามีความดื้อรั้นและไม่ฟังใคร ชื่นจิตรู้ดี เธอเคยเผชิญหน้ากับวัยต่อต้านมาแล้ว ดังนั้นเธอจึงหยิกอาทิตย์หนึ่งทีไม่แรงนักเป็นการเตือน

เด็กหนุ่มที่กำลังคีบหอยจ๊อปูเข้าปากสะดุ้งเฮือก หอยจ๊อหลุดจากตะเกียบทันทีที่ถูกปูหนีบ

“น้าชื่น...” เขาตัดพ้อพร้อมส่งสายตาอ้อนคนที่คิดจะบังคับให้เขาทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่พอถูกมองกลับด้วยแววตายืนกรานอย่างหนักแน่นพอๆ กับแรงหนีบที่ขา อาทิตย์ก็จำต้องยื่นตะเกียบไปคีบหอยจ๊อปูไปวางในจานของพ่อ

คนที่กำลังสไลด์โทรศัพท์มือถืออย่างเมามันยื่นมือข้างที่ถนัดไปจับตะเกียบ คีบหอยจ๊อจิ้มน้ำจิ้มบ๊วยแล้วส่งเข้าปากทันทีโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

เฮ้อ...อย่าว่าแต่พูดเลย จะมองคนคีบอาหารส่งให้สักแวบเดียวก็ยังไม่ทำ

พอน้ำใจถูกตอบแทนด้วยความไร้มารยาท ไร้ความสนใจ อาทิตย์ก็ส่งสายตาเคืองๆ ไปให้ชื่นจิต หากตาเขาพูดได้ มันคงตะโกนว่า ‘เห็นมะ ทำดีแล้วก็ไม่เห็นจะได้ดีเลย!’

ชื่นจิตถอนหายใจเบาๆ พ่อก็แบบนี้ ลูกก็แบบนี้ แล้วเป็นเสียอย่างนี้ จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

แต่ขณะที่ผู้ซึ่งนั่งอยู่อีกฟากกำลังทำใจ คนที่สไลด์โทรศัพท์ไม่หยุดก็พูดลอยๆ ขึ้นมาว่า

“หอยจ๊ออร่อยดีนะ สั่งอีกสักจานดีไหม”

ชื่นจิตที่หมดหวังไปแล้วเบิกตากว้างขึ้นนิด หันไปมองอาทิตย์แล้วยิ้มเหมือนเธอเพิ่งชนะเขา “ดีค่ะ น้องหนึ่งชอบกินหอยจ๊อมาก”

“เหรอ” ดามพ์เหลือบมองลูกชายที่กำลังคีบหอยจ๊อเข้าปากพอดี “เหมือนพ่อเลย ไอ้พวกของนึ่งน่ะเฉยๆ แต่ชอบกินของทอดมากเป็นพิเศษ มะม่วงทอดไส้กุ้งร้านนี้พ่อชอบมากเป็นพิเศษเลยนะ อร่อยมาก ลองดูสิ”

แล้วมือที่จับโทรศัพท์มือถือก็วางโทรศัพท์ลงเพื่อคีบของชอบของตนลงในจานลูกชาย

อาทิตย์มองของชอบของพ่อนิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนช้อนตามองพ่อแล้วเอ่ย “ขอบคุณครับ”

ดามพ์ยิ้มให้ลูกชายเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาก้มหน้าสไลด์มันต่อ ทำลายบรรยากาศดีๆ ที่ตนเองเพิ่งก่อลงไปอีกแล้ว

“ขอโทษเถอะนะคะ เวลากินข้าวไม่ควรเล่นโทรศัพท์ค่ะ” เมื่อการกันตนเองออกจากโลกภายนอกของดามพ์มันทำลายความสัมพันธ์พ่อลูก ชื่นจิตจึงไม่รีรอที่จะเอ่ยเตือนตรงๆ

คำเตือนของเธอทำให้ดามพ์ตวัดสายตามองพี่เลี้ยงเด็กที่ดูเหมือนจะทำเกินหน้าที่ไปแล้ว เขาชูโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วอธิบาย

“จริงๆ วันนี้ฉันมีประชุมย่อยช่วงเช้า แต่ฉันเลือกที่จะพาหนึ่งมาหาหมอแทน ดังนั้นก่อนเข้าประชุมช่วงบ่ายฉันจึงต้องอ่านรายงานการประชุมตอนเช้าให้เสร็จ” ตาคมมองคนที่บังอาจเตือนเขา และมองลูกชายที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน “เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องมานั่งจ้องมือถือจนปวดตาแบบนี้”

เด็กหนุ่มและหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาพยักหน้า เห็นแบบนั้นแล้วดามพ์ก็รู้สึกว่าตนเอง...ชนะ

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอทำงานต่อนะ”

“แต่ฉันคิดว่าถ้าคุณวางงานแล้วมากินให้อิ่มก่อนทำงานต่อ มันน่าจะดีกว่ากินไปทำงานไปนะคะ แบบนี้มันไม่ดีต่อกระเพาะ ไม่ดีต่อสมอง การทำอะไรสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ดีเท่าทำไปทีละอย่างหรอกค่ะ”

ดามพ์ตวัดสายตาจ้องคนที่ขัดเขาอีกแล้ว “เธอรู้ได้ยังไงว่าการทำสองเรื่องในเวลาเดียวกันไม่ดี ฉันว่าดีออก ประหยัดเวลา”

“ไม่ดีหรอกค่ะ แม้จะประหยัดเวลาได้ แต่คุณก็จะเสียเวลาที่จะได้คุย ได้ถาม ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูก”

“คุย ถาม แลกเปลี่ยนความเห็นอย่างนั้นหรือ” ดามพ์ทวนคำที่ชื่นจิตเพิ่งพูดออกมาแล้วแค่นหัวเราะเบาๆ เขาหันไปหาลูกชายแล้วถาม “เราอยากพูด คุย ถาม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพ่อรึเปล่าหนึ่ง”

แน่นอน อาทิตย์ส่ายหน้าดิก เพราะเขากับพ่อคุยกันได้ไม่เกินห้าประโยคก็ต้องทะเลาะกันทุกครั้งนี่ ดังนั้นการที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน หรือข้องเกี่ยวกันให้น้อยที่สุดจึงเป็นหนทางที่จะอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบ

ดูเหมือนพ่อกับลูกจะคิดเห็นตรงกันเป็นครั้งแรกในชีวิต ดามพ์เบนสายตากลับมามองชื่นจิตแล้วทำหน้า...ชนะ

โอ๊ย! เธอละเกลียดไอ้การที่เขาทำหน้าแบบนี้เสียจริง

“มนุษย์อยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี อย่างเข้าใจ ก็เพราะเราติดต่อสื่อสารกันนะคะ จริงอยู่ การที่ต่างคนต่างอยู่อาจทำให้เราไม่ต้องกระทบกระแทกกันให้เปลืองอารมณ์ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็ต่างคนต่างไปก็ได้นี่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเลย นิยามของคำว่าครอบครัวคืออะไรคะ คุณดามพ์ น้องหนึ่ง ไหนลองตอบมาซิ”

นักเรียนทั้งสองต่างทำหน้าเหลอหลา มองหน้าคุณครูที่ถามคำถามที่ยากระดับนักศึกษาปริญญาเอกด้านความสัมพันธ์ในครอบครัวยังตอบได้ลำบาก แล้วพวกเขา...พวกที่เพิ่งเรียนชั้นอนุบาลจะไปตอบได้อย่างไร

“ถ้าถามคุณดามพ์อาจจะยากเกินไปสักหน่อย น้าถามน้องหนึ่งดีกว่า หนึ่งคิดว่าครอบครัวคืออะไรลูก”

น้ำเสียงที่ใช้ถามอาทิตย์นั้นอ่อนโยน รวมทั้งการที่ชื่นจิตแตะไหล่ของเด็กหนุ่มราวให้กำลังใจก็ทำให้อาทิตย์เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้

“ก็คง...เป็นเหมือนตอนที่หนึ่งอยู่กับแม่...กับสอง” ตอบออกมาแล้วอาทิตย์ก็แสบจมูกขึ้นมากะทันหัน ดวงตาเริ่มมีน้ำหล่อเลี้ยงมากเกินไปจนน้ำแทบหยดลงมาจากขอบตา

“หนึ่งอธิบายให้พ่อเขาฟังได้ไหมว่า ตอนหนึ่งอยู่กับแม่และสองเป็นยังไง”

พอชื่นจิตเริ่มลูบศีรษะเด็กหนุ่ม อาทิตย์ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีก เขาสะอื้นแล้วรีบเบือนหน้าหนี เช็ดน้ำตาลวกๆ

กิริยาของเด็กหนุ่มทำให้ชื่นจิตมองอย่างสงสาร แม้เวลาจะผ่านมาเป็นปี แต่เมื่อใดที่อาทิตย์ย้อนคิดถึงแม่และน้องเขาก็ยังคงทำใจไม่ได้ หญิงสาวซึ่งเป็นผู้สะกิดแผลนี้ขึ้นมาด้วยตนเองถอนหายใจ และยื่นมือไปบีบบ่าที่สั่นน้อยๆ แล้วเอ่ย

“น้าขอโทษ มันอาจเร็วเกินไปสำหรับหนึ่ง น้าขอโทษนะครับ”

ความอ่อนโยนของผู้หญิงนั้นมหัศจรรย์ ดามพ์ไม่เคยเห็นความอ่อนโยนแบบนี้มานาน นานมาก นานจนจำไม่ได้ว่านานแค่ไหน

แต่เพียงแค่เห็น หัวใจเขายังเจ็บราวกับถูกบีบไปด้วย มีทั้งความเศร้า ซาบซึ้ง และอาดูรลึกๆ จนเขารู้สึกขมปร่าในคอ

“มันเร็วเกินไปสำหรับหนึ่ง และ...คงจะเร็วเกินไปสำหรับฉันด้วย ครอบครัวอย่างนั้นหรือ ฉันไม่ได้นึกถึงคำนิยามของมันมานานแล้ว สำหรับฉัน เวลาคิดถึงคำว่าครอบครัวจะนึกไปถึงวันแห่งความแตกร้าว ไร้ความสุข”

ชื่นจิตหันมองคนที่เพิ่งพูดความในใจออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวไร้ความรู้สึก

ไร้ความรู้สึกอย่างนั้นหรือ แม้น้ำเสียงเขาจะไร้ความรู้สึก แต่ประโยคที่ออกมาจากใจนั้นแสนจะกระทบความรู้สึก

“คนเรามักจำเวลาที่เราทุกข์ที่สุดได้ดีกว่าเวลาที่สุขที่สุดเสมอ ความทุกข์จากความแตกร้าว ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่มันทำให้คุณลืม ลืมวันที่คุณได้พบพี่ฤดีเป็นครั้งแรก วันที่คุณได้อุ้มลูกเป็นครั้งแรก แต่คุณเชื่อไหมคะว่า แม้ความทุกข์อาจบดบังความสุขเอาไว้ได้ แต่มันทำลายความสุขไม่ได้ ความสุขมันยังอยู่ที่เดิมของมัน นิยามคำว่าครอบครัวของคุณก็ยังเหมือนเดิม เพียงแต่คุณไม่อยากย้อนกลับไปคิดถึงมันก็เท่านั้นเอง”

เพียงแค่ประโยคยาวๆ ประโยคเดียว ความรู้สึกด้านลบที่มีต่อพี่เลี้ยงเด็กคนนี้ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ก่อนนี้ดามพ์ยอมรับว่าไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอนัก แต่มาวันนี้เขาพบว่าเธอเป็นคนที่มีความรู้สึกลึกซึ้ง เธอพูดเหมือนมานั่งอยู่ในใจเขา เพราะแบบนี้สินะ เธอถึงได้เข้าถึงไอ้ลูกไม่รักดีของเขาได้ และยังเข้าถึงใจเขาได้ด้วย

ดามพ์คิดว่าตัวเองต้องมองเธอใหม่อีกครั้ง ฟังคำพูดของเธอแล้วเก็บไปคิดมากขึ้นกว่าเดิม เผื่อว่าครอบครัวที่แตกสลายไปแล้วของเขาอาจจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

 

การร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันครั้งแรกประสบความสำเร็จ...ชื่นจิตคิดว่าอย่างนั้นนะ เพราะหลังจากกินติ่มซำร่วมกันวันนั้นแล้ว ทั้งอาทิตย์และดามพ์ก็ดูอ่อนลง ไม่ทะเลาะกันทุกครั้งที่คุย หญิงสาวจึงเชื่อว่าการติดต่อสื่อสารจำเป็นสำหรับครอบครัวจริงๆ

ด้วยเหตุนั้นเธอจึงไปยื่นข้อเสนอให้ดามพ์ “ฉันต้องการให้คุณกับน้องหนึ่งรับประทานอาหารร่วมกันทุกเย็นค่ะ”

ดามพ์ซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ขมวดคิ้ว นิ่งคิดก่อนต่อรอง “ทุกเย็นอาจจะไม่ได้ บางวันฉันเลิกงานดึก บางวันก็มีงานเลี้ยงต้องไป เปลี่ยนเป็นตอนเช้าได้ไหม ฉันว่าเหมาะที่สุด”

“ถ้าคุณคิดว่าสามารถร่วมโต๊ะกับน้องหนึ่งในมื้อเช้าได้ด้วย ก็เพิ่มเป็นกินข้าวด้วยกันวันละสองมื้อเถอะค่ะ”

“เธอเรียกร้องมากเกินไป ฉันต้องทำงาน ไม่...”

ก่อนที่ดามพ์จะยกแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผล ชื่นจิตก็ชิงบอกเหตุผลทางฝั่งเธอเสียก่อน “เด็กก็เหมือนต้นไม้นะคุณ ช่วงที่ต้นไม้ยังอ่อนๆ ดัดง่าย หากคุณไม่ยอมดูแลต้นไม้ให้เติบโตไปในทิศทางที่ตนเองต้องการแล้ว คุณจะรอจนถึงวันที่ต้นไม้เริ่มสูงใหญ่ เริ่มไม่ยอมให้ตัดให้ดัดง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ฉันบอกเลยนะว่าถ้ารอจนถึงวันนั้น คุณต้องย้อนกลับมาเสียใจแน่ และถ้าน้องหนึ่งเกิดโตขึ้นมาเป็นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงแต่รูปทรงเละเทะ เกะกะระราน คุณจะโทษต้นไม้ไม่ได้นะ เพราะที่ต้นไม้เป็นแบบนั้นก็เพราะคุณปลูก แต่ไม่รู้จักดูแล คุณต้องโทษตัวเองก่อนคนอื่น”

“ฉันรู้หรอกน่า เพราะแบบนี้ฉันถึงได้ให้เวลาช่วงเช้าเป็นช่วงตัด ช่วงแต่งต้นไม้ไง เธอก็ต้องเข้าใจฉันด้วยนะ ฉันต้องทำงาน คนปลูกต้นไม้ก็ต้องทำงาน ต้องหาเงินมากินมาใช้ ไม่อย่างนั้นต้นไม้ยังไม่ทันโตก็คงตายก่อน เพราะไอ้คนปลูกต้นไม้นี่ไม่มีเงินมาทำนุบำรุงต้นไม้”

ชื่นจิตขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณจนเหรอคะ”

“ตอนนี้ไม่ได้จน แต่ถ้าทำงานแบบไม่เต็มที่ต้องจนแน่ หรือไม่จริง”

เมื่อถูกย้อนถามชื่นจิตก็ชักสีหน้าใส่ดามพ์นิดหนึ่ง แต่ก็แค่นิดเดียว เพราะพอเธอคิดไตร่ตรองตามที่เขาพูดก็เห็นจริงตามนั้น คนเป็นหัวหน้าครอบครัวมีภาระสำคัญคือการหาเงินหาทอง ดังนั้นปกติแล้วหน้าที่ในการดูแลลูกๆ และบ้านเรือนจึงถูกยกให้เป็นของผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงทำงานได้หลายอย่างหลายหน้าที่ในเวลาเดียวกัน ส่วนผู้ชาย แค่ตั้งสมาธิกับการทำงานหาเงินก็บ่นว่าเหนื่อยแล้ว

“ที่คุณพูดมามันก็จริง แต่ตอนนี้นอกจากหาเงินมาดูแลครอบครัวแล้ว คุณยังมีหน้าที่ต้องดูแลลูกอีกด้วย ซึ่งหน้าที่สองอย่างนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ฉันขอให้คุณช่วยจัดลำดับความสำคัญของทั้งสองเรื่องให้เท่าเทียมกัน แค่นั้นก็พอ”

ชื่นจิตยอมพร้อมยกมือไหว้ดามพ์หนึ่งครั้ง “ต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่ฉันกดดันคุณมากไปหน่อย ทุกอย่างที่ฉันทำลงไปก็เพราะหวังดีกับน้องหนึ่ง บางครั้งเลยลืมมองทางมุมของคุณไปบ้าง หวังว่าคุณคงจะไม่โกรธฉัน และนำสิ่งที่ฉันพูดไปคิดบ้างนะคะ”

ดามพ์งงในนาทีแรกเมื่อจู่ๆ ยายไร้คิ้วตรงหน้าก็อ่อนให้เขา ยอมคล้อยตามเขา นี่ไม่มีอะไรอยู่เบื้องหลังใช่ไหม ไม่ใช่ว่ายอมอ่อนให้ในคราวนี้เพื่อนำไปสู่ข้อเรียกร้องใหม่ในครั้งหน้านะ

เขายังไม่ไว้ใจเธอหรอก คนแบบเธอ คนที่กล้าชี้หน้าด่าเขา เขาจะพลาดให้เธอไม่ได้เด็ดขาด

 

แต่สิ่งที่ดามพ์คิด ระแวง ดูจะเป็นความระแวดระวังที่เกินกว่าเหตุไปเอง

หลังจากวันที่ชื่นจิตมาขอเวลาให้ลูกชายเขาแล้ว เธอก็ไม่ได้มาวุ่นวาย จิกหัวสั่ง สอน หรืออบรมใดๆ เขาอีก เธอจะพาอาทิตย์มารับประทานอาหารเช้ากับเขาทุกเช้า มองเขากับอาทิตย์คุยกันเรื่องสัพเพเหระ ไม่สอดแทรก ไม่ชี้นำ แต่ทุกครั้งที่การพูดคุยเริ่มจะมีกลิ่นไม่ค่อยดี มีความคุกรุ่น พี่เลี้ยงเด็กซึ่งยืนอยู่หลังเก้าอี้ของอาทิตย์จะเข้ามาหาลูกชายเขาแล้วทำให้ไอ้เด็กใจร้อนนั่นเย็นลง

การจัดการของเธอนับว่ามีประสิทธิภาพมาก และเริ่มทำให้เขาปรับตัวได้ รู้ว่าควรพูดกับไอ้ลูกชายอย่างไร พูดเรื่องอะไร หนักเบาแค่ไหน รวมถึงจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ด้วย

เขาสังเกตได้ว่าพอเขาเริ่มขึ้น อาทิตย์ก็มักจะถึงจุดเดือดด้วย ทว่าก่อนที่เขาจะขึ้น ชื่นจิตมักสอดเข้ามาพูดคุยกับอาทิตย์ และทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเสมอ

เธอรู้ได้อย่างไรว่าอีกเดี๋ยวมันจะพัง

ดามพ์ลองนำเรื่องนี้มาคิดดูแล้วก็เริ่มรับรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเองก็รู้เช่นเดียวกันว่าเมื่อใดที่เขากำลังจะโกรธ จะโมโห จะทำบรรยากาศดีๆ พัง แต่เขาไม่เคยระงับอารมณ์ร้อนเอาไว้ เขาเป็นพวกชนวนสั้น ระเบิดรุนแรง ทว่าก็หายเร็ว ดังนั้นเขาจึงพอใจที่จะระเบิดบ่อยๆ ไม่หลงเหลือตะกอนใดเอาไว้ในใจ เพราะคิดว่าทำแบบนี้โล่งกว่า สบายใจกว่า

ทว่าหลังจากมีคนสาดน้ำใส่ชนวนก่อนระเบิดบ่อยครั้งเข้า เขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องระเบิดก็ได้ บางเรื่องก็ไม่ต้องอาละวาดโวยวายระบายอารมณ์ รอให้เวลาผ่านไป เขาก็จะไม่โกรธ หรือบางทีก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่ปรี๊ดแตกเรื่องอะไร

พอคิดได้แบบนี้ ดามพ์ก็เริ่มควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้น อารมณ์เย็นลง ปะทะกับผู้ใต้บังคับบัญชาน้อยลง จนแอบได้ยินเหล่าพนักงานและคนในบ้านพูดกันอย่างยินดีว่า

‘พักนี้คุณดามพ์ใจดีจัง ไม่รู้ว่าผีเข้ารึเปล่า’

พอเขามีความอดทนมากขึ้น รู้จักที่จะปล่อยวางบางเรื่อง อภัยให้บางสิ่ง หรือบางสิ่งที่ขัดหูขัดตาก็เลือกที่จะเมิน เขาก็เข้ากับลูกชายได้มากขึ้น

บางเรื่องที่ไอ้ลูกชายมันพูดไม่เข้าหู เมื่อปล่อยไป ทำเหมือนไม่ได้ยิน บรรยากาศยามเช้าก็สุข สงบ

บางเรื่องที่ไอ้ลูกชายทำไม่เข้าตา เมื่อเมินหนี ทำเหมือนไม่เห็น เขากับไอ้ตัวแสบก็ต่างไปทำงาน ไปโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่สดชื่น ไม่ขุ่นมัว

เมื่ออารมณ์ดี การทำงาน การเรียนก็ราบรื่น เมื่อชีวิตราบรื่น ยามเย็นที่ต้องมาร่วมโต๊ะกันอีกครั้งก็สนุกสนาน

ดามพ์ไม่เคยคิดว่าเขาจะได้ยินลูกชายเล่าเรื่องตลกที่เพื่อนทำอย่างสนุกสนานให้เขาฟัง เอ่อ...ที่จริงแล้วไอ้ลูกตัวแสบไม่ได้เล่าเรื่องสนุกให้เขาฟังหรอก มันเล่าให้พี่เลี้ยงมันฟังต่างหาก แต่พอเขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยจึงพลอยได้อานิสงส์ ได้หัวเราะไปด้วย

และเมื่อบนโต๊ะมีเสียงหัวเราะ อาหารก็ดูเหมือนจะอร่อยขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเริ่มเข้ารูปเข้ารอย เพียงแค่เขาระงับอารมณ์ตนเอง

ดามพ์ไม่เคยคิดว่ามันจะง่ายแบบนี้เลย

 

เขาคิดถูกแล้ว ชีวิตเขาไม่เคยง่ายเพราะไอ้ลูกไม่รักดีมันไม่เคยหยุดก่อเรื่อง

ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเหมือนกำลังเดินหน้าไปสู่ทางที่ถูกต้อง แต่ท่ามกลางทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันยังมีหนามกุหลาบคอยทิ่มแทง และหนามแหลมก็แทงได้ถูกที่ แทงจนได้เลือด!

ขณะที่ดามพ์กำลังรอประตูบ้านเปิด กระจกหน้าต่างทางตอนหลังของรถก็ถูกผู้ชายที่เขาไม่รู้จักเคาะ ดามพ์ขมวดคิ้วทันทีแล้วบ่น

“อะไรกัน คนบ้ารึไง”

นายสมุทรที่รอจะขับรถเข้าบ้านหันไปมองผู้ชายที่ทำกิริยาหยาบคาย ตะโกนโหวกเหวก โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งคอยห้ามปราม

“ไม่น่าจะใช่นะครับคุณดามพ์ ดูแต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หน้าตาก็ดี”

แต่คนที่ดูเหมือนไม่ใช่คนบ้ายังพยายามตบกระจกหน้าต่าง ง้างมือจับเพื่อเปิดประตูรถอย่างเอาเป็นเอาตาย และเมื่อทั้งเคาะ ทั้งพยายามเปิดแล้วไม่เป็นผล ชายคนนั้นก็สะบัดผู้หญิงที่รั้งมือเขาเอาไว้จนเธอเซล้ม ก่อนวิ่งไปยังหน้ารถ กางแขนกางขากั้นไม่ให้รถของดามพ์เข้าไปในบ้านตัวเองได้

นายสมุทรกดแตรทันทีพร้อมบ่น “เฮ้ย ทำอะไร หลบไป” เขายังกดแตรซ้ำๆ แต่ชายคนนั้นยังทำหน้าดื้อดึง กางมือขวางรถไม่ยอมจากไป

ดามพ์เริ่มรู้สึกถึงอะไรที่ไม่ชอบมาพากลจึงสั่งนายสมุทร “ลดหน้าต่างลงนิดแล้วถามมันซิว่ามันทำอย่างนี้ทำไม”

พอกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับรถลดลง ผู้ชายซึ่งทำกิริยาคล้ายคนบ้าก็ปราดเข้ามาเกาะกระจกเอาไว้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองมองเข้ามายังเบาะหลังซึ่งดามพ์นั่งอยู่ ก่อนตะโกนว่า...

“มึงต้องรับผิดชอบ ลูกมึงทำลูกกูท้อง!”

 

พ่อแม่ของผู้เสียหายถูกพาเข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ในห้องรับแขกของตึกใหญ่

ดามพ์สั่งให้คนนำของว่างและน้ำดื่มเย็นๆ ไปต้อนรับแขก ทว่าเจ้าของบ้านที่ควรอยู่คุยกับแขกกลับบอกแขกที่ไม่ได้รับเชิญสั้นๆ ว่า

“รออยู่ตรงนี้ รอให้ตัวต้นเหตุมาก่อนแล้วค่อยพูดกัน ฉันเป็นคนไม่ชอบพูดอะไรหลายครั้ง”

สั่งจบดามพ์ก็มองแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยหางตาแล้วสะบัดหน้านิดๆ ให้แขกรู้ว่าเขาไม่พอใจ ไม่ได้ต้อนรับทั้งคู่อย่างเต็มใจ ก่อนเดินอย่างหยิ่งๆ เข้าไปในห้องทำงาน

เมื่อประตูห้องทำงานปิด คนที่วางมาดหยิ่งไม่เห็นหัวคนก็มือสั่นด้วยความโกรธและกลัวนิดๆ เขาไม่รีรอ รีบโทรศัพท์หาทนายความ เรียกสมประสงค์มายังบ้านของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยเล่าเรื่องราวยุ่งๆ ที่ไอ้ลูกเปรตไปสร้างเอาไว้คร่าวๆ เพื่อที่ระหว่างทนายขับรถมาจะได้หาทางแก้ หาทางออกให้แก่ปัญหานี้ไปด้วย

หลังวางหูใส่สายแรก เขาก็โทร. ไปยังโทรศัพท์ของชื่นจิตซึ่งตอนนี้ขับรถออกไปรับไอ้ลูกเปรตของเขาที่โรงเรียน

แม้จะใช้เวลาไม่นานนักชื่นจิตก็รับสาย กระนั้นดามพ์ก็ยังอดโยนอารมณ์ร้อนใส่หูเธอไม่ได้

“มัวรำแก้บนอยู่รึไง ถึงได้รับโทรศัพท์ช้าแบบนี้!”

ปลายสายไม่ตอบอะไร แถมยังวางสายทันที สิ่งที่ชื่นจิตทำเหมือนเอาฟืนมาสุมใจที่กำลังคุโชนของดามพ์ เขาจึงห้ามตัวเองไม่ได้ ระงับอารมณ์ไม่ไหว

ใครวะจะทำใจยอมรับข้อหาฉกรรจ์ที่แขกไม่ได้รับเชิญโยนใส่หน้าเขาได้ แล้วนี่แทนที่เธอจะช่วยเขาแก้ปัญหา กลับมากดสายเขาทิ้งอีก เธอกล้าดีอย่างไร

ดามพ์โทร. กลับไปอีกหนและตวาด “อย่าได้บังอาจวางหูใส่ฉันเป็นครั้งที่สอง!” แต่ทันทีที่พูดจบ เสียงตู๊ดก็ดังยาว บอกว่ายายไร้คิ้วคนนั้นทำในสิ่งที่แสนบังอาจเป็นครั้งที่สอง

ดามพ์มือสั่น โทร. กลับไปอีกหน แต่คราวนี้เขายังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีเสียงเย็นๆ ดังมาเสียก่อน

“ถ้ายังตั้งสติไม่ได้ กรุณาอย่าโทร. กลับมาอีก ฉันไม่ใช่ถังขยะหรือกระโถนรองรับอารมณ์ใคร สวัสดี”

แล้วเธอก็วางสาย...แล้วเธอก็วางสาย...วางสายอีกแล้ว!

ดามพ์คำรามก่อนปาโทรศัพท์มือถือใส่ผนังห้อง แล้วมองโทรศัพท์แสนแพงเครื่องนั้นแตกออกเป็นชิ้นๆ อย่างสาแก่ใจ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น