บทที่ 3

บทที่ ๓

                หลังจากนั้น กาแฟที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าของร้าน Perfect Cup

                ศรายะเป็นคนที่กาเฟอีนทำอะไรไม่ได้ ต่อให้ดื่มกาแฟก่อนนอนเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้ตรงเวลา สิ่งที่ทำให้ไม่หลับมีอยู่สองอย่าง หนึ่งคืองาน สองคือการถ่ายทอดสดฟุตบอลที่ชอบมาตอนตีหนึ่งตีสอง

                ฉะนั้นการจิบกาแฟตอนเย็นไม่ใช่ปัญหา การติดแหง็กอยู่บนท้องถนนร่วมชั่วโมงเพื่อจะมาคาเฟ่ลับก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน เขาไม่ได้อยากให้พัตรากลับบ้านคนเดียว แต่ช่วงนี้หงุดหงิดหลายอย่าง ถ้าไปพาลใส่พี่สะใภ้คนไหนเข้า เดี๋ยวแม่ก็ว่าเขาอีก ต่อด้วยหาทางเชิญเขาออกจากบ้าน

                เรื่องหงุดหงิดหลักๆ ช่วงนี้คือเอมมาลินบอกสามีว่าเธอต่อราคาที่ดินได้แล้ว และหว่านล้อมภูริทัตทุกทางไม่ให้สนใจที่ที่ศรายะลองเสนอ เขายอมรับว่าทำเลของเธอดีกว่า แต่ถ้าแพงขนาดนั้นอาจไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน เวลานี้เขาจึงต้องหาทางโน้มน้าวผู้บริหารคนอื่นๆ ที่มีอำนาจตัดสินใจให้ลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกที

                เพราะใจรุ่มร้อนจึงสั่งกาแฟเย็นดื่มตลอด อีกทั้งเครื่องดื่มเย็นจะถูกเสิร์ฟในแก้วพลาสติก ไม่ใช่แก้วเซรามิกที่เสี่ยงตกแตก ระหว่างดูดกาแฟเพลินๆ ก็นั่งทำงานบ้าง ดูหนังบ้าง มองเจ้าของร้านบ้าง...

                กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ดำเนินไปห้าวันติดกัน ไม่ใช่ว่าศรายะไม่มีเพื่อนให้ไปหา แต่เพื่อนส่วนใหญ่ของเขาเป็นเพื่อนสมัยมัธยม ความสนิทเริ่มน้อยลงตั้งแต่เขาไปเรียนเมืองนอก ทำให้ปัจจุบันไม่ได้เจอกันบ่อยนัก

                เย็นวันศุกร์รถติดหนัก กว่าจะมาถึงที่หมายก็ปาไปหกโมงครึ่ง ชายหนุ่มกวาดตามองเมนูอย่างคร่ำเครียดเหมือนกับว่าตรงหน้าคือ สมการคณิตศาสตร์ที่เขาไม่ถนัด

                สั่งอะไรดีวะ

                “วันนี้ลองเมนูชาบ้างไหมคะ เพิ่มช็อตกาแฟได้นะ”

                ลลิภัทรยืนอยู่ข้างปีเตอร์ที่รอรับออร์เดอร์จนรากงอก เธอมองออกว่าลูกค้ากำลังเครียดกับการเลือกเมนูเดิมๆ แต่ที่นี่ไม่ได้มีแต่กาแฟเสียหน่อย ถ้าไม่ยึดติดกับเมนูไหนเป็นพิเศษก็น่าจะลองให้ครบ

                เธอเห็นเขามาทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้คุยด้วย เพราะสั่งเครื่องดื่มเสร็จเขาจะไปนั่งโต๊ะประจำ มีอะไรให้ทำตลอด เธอจึงไม่อยากเข้าไปรบกวน

                “โอเคครับ” ศรายะไม่เรื่องมาก เขาหยิบทั้งเงินและบัตรสะสมแต้มออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะพบว่าเหลืออีกสองช่องก็จะแลกได้หนึ่งแก้ว รวมของวันนี้ไปก็จะเหลือช่องเดียว...

                “โอเค?” ปีเตอร์เอียงคอเล็กน้อย “โอเคนี่รับอะไรครับคุณลูกค้า”

                “ผมมีงบให้หนึ่งร้อย ทำอะไรก็ได้มาให้ผมหน่อย” 

                ธนบัตรสีแดงถูกวางบนเคาน์เตอร์ แต่พนักงานหนุ่มกลับทำหน้าว่างเปล่าเหมือนไม่รู้จักมัน ลลิภัทรกะพริบตาปริบๆ ตั้งแต่เปิดร้านมาไม่เคยเจอลูกค้าสั่งแบบนี้มาก่อน

                “เอาคะแนนให้ผมด้วย” ศรายะเคาะนิ้วกับบัตรสะสมแต้มที่วางอยู่ข้างๆ บัตรใบนี้น่าประทับใจตรงที่โลโก้ร้านเรียงตัวกันสวยงาม ถ้าแลกแก้วฟรีแล้วต้องเสียบัตรไป เขาคงเสียดายน่าดู

                “ค่ะ” ลลิภัทรหยิบบัตรมาปั๊มโลโก้ให้แล้วส่งคืน “นั่งรอที่โต๊ะได้เลยนะคะ เดี๋ยวอะไรก็ได้จะไปเสิร์ฟ”

                ปีเตอร์ขำคิกคักเมื่อเห็นว่าศรายะนิ่งไป ทว่าลูกค้าหนุ่มไม่ชายตาแลเพราะกำลังจดจ้องรอยยิ้มสวยหวานกับแววตาขี้เล่นของเจ้าของร้าน

                อยากจะวางอีกหนึ่งร้อยบาทแล้วบอกว่าไม่ต้องยิ้มแล้วครับ ใจผมเต้นแรง

                เขาคว้าบัตรกลับแล้วเดินหนี อีกสองคนที่เหลือมองหน้ากัน ก่อนที่หญิงสาวจะพยักพเยิดไปทางเงินที่ลูกน้องไม่เก็บเข้าแคเชียร์สักที

                “ผมยังไม่รู้เลยครับว่าจะคีย์อะไร”

                “อ่า...มัตฉะลาเต้เย็นเพิ่มกาแฟหนึ่งช็อต” ลลิภัทรกลอกตามองเพดานขณะคิดเพิ่มราคาต่อแก้วให้ถึงหนึ่งร้อยบาท ถ้าจะปั่นและเพิ่มวิปครีมก็กลัวไม่ถูกใจลูกค้ารายนี้ เพราะเขาไม่เคยสั่งเมนูปั่นกับทอปปิงมาก่อน 

“พี่ใส่วิปครีมชีสไหม” ปีเตอร์ช่วยออกไอเดีย

“เขาจะกินเหรอ”

“มันคือเมนูอะไรก็ได้ไงพี่ลิส ตามนั้นนะ” พนักงานหนุ่มตัดบทด้วยการคีย์ออร์เดอร์อย่างรวดเร็ว ราคาเครื่องดื่มรวมวิปครีมชีสสูตรของร้านได้หนึ่งร้อยบาทพอดีเพราะเขาคำนวณไว้ในหัวแล้ว 

“พี่ทำเองแล้วกัน” 

ลลิภัทรเดินห่างไปเพื่อจะกดช็อตกาแฟ ทว่าชะงักฝีเท้าเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอหันไปหาปีเตอร์อีกครั้งด้วยรอยยิ้มกับประกายตื่นเต้นในแววตา 

“บางทีร้านเราน่าจะมีเมนูอะไรก็ได้เหมือนกันนะ”

“กาแฟโอมากาเสะเหรอพี่” อีกฝ่ายมีสีหน้าพิศวง

“มีไว้สำหรับลูกค้าอย่างเขา” เธอมองแผ่นหลังกว้างของคนที่นั่งโต๊ะติดกระจกร้านและเริ่มเปิดโน้ตบุ๊กที่พกมาด้วยเพื่อทำงาน “ลูกค้าที่มาแบบหัวโล่งๆ มาถึงก็ไม่รู้จะสั่งอะไร”

เครื่องดื่มสีเขียวขุ่นกับโฟมครีมสีขาวในแก้วพลาสติกสร้างความประหลาดใจให้ศรายะพอควร แต่ไม่ต้องเสียเวลาถามว่าคืออะไร เพราะคนที่ลงมือทำและนำมาเสิร์ฟอธิบายให้ฟังอย่างฉะฉาน

“มัตฉะลาเต้เย็นหวานน้อย เพิ่มช็อตกาแฟค่ะ ด้านบนเป็นวิปครีมชีส ลิสใส่ไม่เยอะเพราะกลัวคุณเลี่ยน”

“ขอบคุณครับ” พอรู้ว่าแก้วนี้เธอเป็นคนทำ เขาก็มองมันใหม่ มันดูเป็นเครื่องดื่มลึกลับชวนให้ลิ้มลองโฟมสีขาวดูมีราคา รสชาติน่าจะเข้ากันได้ดีกับชาผสมกาแฟที่รังสรรค์มาเพื่อเขาโดยเฉพาะ

“ยินดีค่ะ” 

                “ร้านเปิดทุกวันเลยเหรอครับ”

                “ค่ะ เปิดทุกวัน”

                “แสดงว่าคุณอยู่ที่นี่ทุกวัน ไม่ไปไหนเลย?”

                ศรายะมองว่าชีวิตที่เป็นแบบเดิมทุกวันออกจะน่าเบื่อไม่ใช่น้อย เธอควรมีวันหยุดสักวันให้พักผ่อน ไม่ต้องเปิดร้านแต่เช้า ไม่ต้องรับมือกับลูกค้าที่ไม่ได้ปกติทุกคน และได้ออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นกับครอบครัวหรือพบปะสังสรรค์กับเพื่อน

                “ลิสชอบอยู่ที่นี่ค่ะ แต่ถ้ามีเรื่องจำเป็นที่ต้องปิดจริงๆ ก็ปิด แต่จะแจ้งลูกค้าทางเพจกับหน้าร้านไว้ก่อน”

                ชายหนุ่มเคยเซิร์ชชื่อร้านในกูเกิลและเจอแฟนเพจ แต่มันร้างมากจนเขาคิดว่าเจ้าของร้านลืมรหัสเข้าเฟซบุ๊กไปแล้ว ยอดไลก์ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หรือเธอจะไม่มีความรู้ด้านการโพรโมตร้าน 

                “เคยคิดจะขยายสาขาไหมครับ” ศรายะถามต่อ เขาว่าร้าน Perfect Cup ควรมีสาขาที่เข้าถึงง่ายกว่านี้ อย่างเช่นไปอยู่ในห้างของเขา รับรองว่าจะหาที่ดีๆ ให้จนร้านดังเปรี้ยงปร้าง นอกจากนี้ลลิภัทรจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกเพราะต้องเดินทางไปดูสาขาสองบ่อยๆ

                “ไม่เคยค่ะ”

                ความคิดพังทลายชั่วพริบตา

                “อยู่แบบนี้ดีแล้วค่ะ ลิสตัวคนเดียว ไม่อยากทำอะไรเกินแรง” รอยยิ้มบางบ่งบอกว่าเธอพอใจกับร้านนี้แล้วและคงไม่ทำอะไรมากกว่านี้อีก 

แต่ศรายะตงิดใจตรงที่บอกว่าตัวคนเดียว พ่อแม่เธอล่ะไปไหน หรือว่าจะเสียแล้ว

                เพราะสันนิษฐานแบบนั้นจึงไม่กล้าถาม ยังไม่รู้จักกันมากพอ ประเดี๋ยวจะถูกหาว่าเสียมารยาทเอาได้

                “ที่นั่งตรงข้ามว่าง นั่งได้นะครับ”

                ลลิภัทรงุนงงไปนิดหน่อยที่จู่ๆ ก็ถูกเชิญ แถมยังเป็นการเชิญแบบแปลกๆ เหมือนเธอเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่ไม่มีที่นั่ง แต่เอาเถอะ เผื่อเขาอยากคุยต่อ

                หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามในขณะที่ศรายะยกแก้วชาขึ้นมาจิบ ในห้างของเขามีร้านชาชีสเหมือนกัน เคยเห็นโฆษณาว่าต้องดื่มชากับชีสพร้อมกันถึงจะได้รสชาติที่ลงตัว

                จังหวะหนึ่งชายหนุ่มเผลอมองหน้าคนทำ และเห็นสีหน้ารอลุ้นของเธอว่ารสชาติจะออกมาใช้ได้ไหม

                “อร่อยครับ” เขาวางแก้วลงที่เดิมพลางเม้มปากเก็บรสชาติที่ติดอยู่ ครีมชีสไม่หวานเลี่ยน ตัดรสชาติขมฝาดของชาและกาแฟได้อย่างดี ปกติเขาไม่ดื่มชาเขียว แต่หลังจากนี้ว่าจะลองสั่งแบบเพียวๆ ดู

                ลลิภัทรยิ้มกว้าง มือเรียวดึงทิชชูจากกล่องและส่งให้ “ครีมเลอะปากค่ะ บนๆ หน่อย”

                ชายหนุ่มเบิกตาเล็กน้อย เดาว่าตัวเองต้องเหมือนซานตาคลอสที่มีหนวดสีขาวประดับแน่ๆ เขารับทิชชูมาเช็ดปากตัวเองให้สะอาดหมดจด สายตามองแก้วชาอย่างชั่งใจ 

ยังไม่ดื่มแล้วกัน พักก่อน

                “ลิสเพิ่งลองทำไม่นานนี้เองค่ะ ยังไม่กล้าเอาไปใส่ในเมนู ได้ยินว่าอร่อยก็ว่าจะเริ่มขายแล้วค่ะ”

                ศรายะก็สงสัยอยู่ว่าทำไมในเมนูไม่มีครีมชีส แสดงว่าแก้วนี้เกิดมาเพื่อเขาจริงๆ เธอทำให้เขาได้ลองเป็นคนแรก 

ไม่น่าเชื่อว่าร้านกาแฟธรรมดาๆ จะทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นลูกค้าวีไอพีได้มากขนาดนี้ บางทีนี่อาจเป็นกลยุทธ์การตลาดของเจ้าของร้าน ไม่ต้องโพรโมตมาก แต่ก็มีลูกค้าเข้ามาประจำ

                “คนอื่นน่าจะชอบหวานกว่านี้นะครับ” ชายหนุ่มเสนอเพราะความชอบของเขาคือหวานน้อย ซึ่งแบบนี้โอเคแล้วสำหรับเขา

                “ค่ะ สูตรนี้ของคุณคนเดียว ถ้าคนอื่นจะหวานกว่านี้ค่ะ” เธอย้ำในสิ่งที่เขาคิด คราวนี้เขาจึงไม่สามารถมองชาแก้วนั้นเฉยๆ ได้ มือหนาหยิบสมาร์ตโฟนออกมากดถ่ายรูปแก้วเก็บไว้ อยากจะถ่ายคนทำด้วย แต่ไม่กล้าขอ หลังจากนี้คงต้องดูแก้วต่างหน้าไปก่อน

เธอมองการกระทำนั้นเงียบๆ เป็นเรื่องปกติที่ลูกค้าถ่ายรูปแก้วกาแฟลงโซเชียลมีเดีย สงสัยเขาเพิ่งนึกออกหลังจากจิบไปแล้วนิดหน่อย

                “คุณเปิดร้านมากี่ปีแล้ว” ศรายะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและกลับไปสบตากับคู่สนทนา

                “สามปีแล้วค่ะ ได้ป้าแพรช่วย”

                “ไม่มีคนอื่นแล้วเหรอครับ” นี่เป็นคำถามที่ระมัดระวังที่สุดแล้วของคนที่อยากรู้อะไรต้องได้รู้ ทำไมเธอถึงมาซ่อนตัวอยู่ในนี้คนเดียวอย่างคนไร้ญาติขาดมิตร

                ลลิภัทรส่ายหน้า “ทำคนเดียวไม่ลำบากหรอกค่ะ”

                ในเมื่อเธอไม่บอกรายละเอียด ศรายะจึงไม่เซ้าซี้ เขาสรุปเอาเองว่าเธอยังไม่มีแฟน เป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับผู้ชายทั้งประเทศที่ยังไม่ค้นพบ Perfect Cup จึงไม่มีโอกาสได้เจอเจ้าของร้านคนสวยพ่วงด้วยความอัธยาศัยดีชนิดที่จับลูกค้าอยู่หมัด

                ลองคิดเล่นๆ ถ้าเขาพาคนนี้ไปฝากแม่ แม่จะต้องประทับใจกับการเลือกสรรของเขาแน่นอน ทั้งสวยและใจดี ไม่หาเรื่องมาให้ใครปวดหัว

                พลันความคิดชะงักเมื่อมีเสียงกระดิ่งที่ประตู ลลิภัทรเงยหน้ามองแวบเดียวแล้วรีบขอตัวทันที

                “เชิญตามสบายนะคะ”

                ศรายะไม่ทันได้พูดอะไร เธอก็ลุกไปต้อนรับลูกค้าคนใหม่ เป็นผู้ชายหุ่นนักกีฬาหน้าเข้ม ที่สำคัญคือทั้งสองคุยกันอย่างสนิทสนม

                “ผมเพิ่งกลับมาจากนครนายกครับ ซื้อมะยงชิดมาฝากสามกิโลฯ”

                “ขอบคุณค่ะคุณเดียว วันนี้ลิสเลี้ยงฟรีตอบแทนนะคะ” ลลิภัทรรับของฝากมาด้วยรอยยิ้มยินดี อีกฝ่ายโบกมือพัลวัน

                “ไม่ต้องครับไม่ต้อง ผมจะจ่าย เอาลาเต้คาราเมลไซรัปเหมือนเดิมนะครับ คุณลิสลองกินมะยงชิดดู หวานอร่อย”

                ลูกค้าที่ถูกทิ้งดื้อๆ นิ่วหน้า ใจคันยุบยิบจนอยากจะคว้าแก้วกลับบ้าน แต่สุดท้ายก็ลอบมองสองคนนั้นคุยกันต่อ เจ้าของมะยงชิดได้ลลิภัทรไปคุยด้วยที่โต๊ะ นี่หมอนั่นรู้ตัวไหมว่าแย่งคู่สนทนาของเขาไป!

            พัตราคิดว่าช่วงนี้ศรายะกลับบ้านช้าเพราะจงใจไม่ร่วมโต๊ะกินข้าว หล่อนค่อนข้างกังวลที่เขามีประเด็นขัดแย้งกับภูริทัตและเอมมาลินเรื่องงาน ซึ่งกระทบมาถึงความสัมพันธ์ภายในบ้าน และไม่มีใครคิดจะเริ่มคุยกันอย่างจริงจังเพื่อยุติปัญหา

                ส่วนกีรติกับวิภาวีไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น คนหนึ่งทำงานดึก อีกคนอยู่บ้านเฉยๆ อย่างคนรวยล้นฟ้า ไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้

                “ยาบำรุงครรภ์กินครบใช่ไหม” พัตราถามวิภาวีหลังมื้ออาหาร อีกฝ่ายพยักหน้า

                “วินนี่ดูแลหลานคุณแม่ดีอยู่แล้วค่ะ แต่คุณแม่ต้องดูลูกคุณแม่ด้วยนะคะ วินนี่กลัวคุณกีร์มีเมียน้อย นี่ถ้าไม่ติดว่าท้องจะตามไปเฝ้าที่คลับเลย” หญิงสาวกอดอกหงุดหงิด ทุกวันนี้คุยกับสามีเป็นคำๆ ได้เพราะเขาหมางเมินราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ ถ้ากีรติไม่รวย ป่านนี้โดนเธอด่าไปแล้ว

                “คนท้องคนไส้ อย่าเครียดมากนักเลย กีร์ไม่ทำแบบนั้นหรอก” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าคู่สนทนาขึ้นเสียงขุ่นอย่างอารมณ์เสีย

                “คุณแม่น่าจะรู้นิสัยลูกชายตัวเองดีนะคะ ไม่ต้องปกป้องให้เสียเวลาเลย แล้วพรุ่งนี้วินนี่มีธุระข้างนอก วินนี่จะไม่ไปกับโพธิ์ แต่จะไปกับคุณกีร์” เธอจ้องแม่สามีเขม็ง เสาร์อาทิตย์ก่อนกีรติออกไปข้างนอกกับพัตราตลอด เธอจึงไม่ได้ใช้เวลากับเขาเลย

                “ใจเย็นๆ ก็ได้วินนี่ ทำไมต้องเสียงดังด้วย” ภูริทัตไม่ชอบนิสัยเอาแต่ใจของน้องสะใภ้ เธอควรเคารพแม่ของเขามากกว่านี้

                ทว่าพัตราเข้าใจจุดประสงค์ของเธอดีจึงพยักหน้า “อื้ม ไว้จะบอกกีร์ให้”

                “ขอบคุณค่ะ วินนี่ขึ้นห้องก่อนนะคะ” ว่าจบวิภาวีก็ลุกจากไป โต๊ะกินข้าวจึงเหลือแค่ภูริทัตและเอมมาลินที่นั่งคนละฝั่ง

                สะใภ้คนโตมีเรื่องที่ต้องพูดอยู่แล้ว จึงไม่รีรอที่จะประเด็นเมื่อถึงโอกาส

                “คุณแม่คะ ใกล้วันเกิดของเอมแล้ว เอมมีอะไรจะขอ”

                ลมหายใจของพัตราติดขัด เอมมาลินไม่เหมือนวิภาวีที่ชอบขอเล็กๆ น้อยๆ ความต้องการของเธอมักจะใหญ่โตตามฐานะเสมอ นานทีปีหนจะมีมาสักที

หล่อนปรายตามองลูกชายที่ไม่ได้สงสัยอะไร แสดงว่าคุยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ได้แต่หวังว่าจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากนัก

“อะไรล่ะ”

“เอมมีแพลนอยากสร้างบ้านเด็กกำพร้าค่ะ เอมคุยกับคุณพ่อแล้ว ท่านว่าจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ว่า...เอมไม่มีที่ดีๆ”

ฟังดูน่าแปลกสำหรับพัตรา เพราะพศิน บิดาของเอมมาลินน่าจะมีที่ทางเยอะ

หญิงสาวเห็นความแคลงใจในสายตาแม่สามีจึงอธิบายต่อ “คุณพ่อมีที่ต่างจังหวัดเยอะค่ะ แต่ว่าเอมอยากตั้งในกรุงเทพฯ พี่ภูก็เลยเสนอที่ตรงรามอินทรา เอมขอตรงนั้นได้ไหมคะ”

พัตราย่นคิ้วฉงนใจ หล่อนมองหน้าภูริทัตอีกครั้งและเห็นสายตาอ้อนวอนของเขา

“ภูก็รู้ว่าที่ตรงนั้นแม่ให้ศราไปแล้ว” หล่อนจัดการแบ่งที่ทางให้ลูกชายทั้งสามคนไว้แล้ว ภูริทัตลงทุนสร้างคอนโดโครงการใหญ่ในที่ของตนเองเมื่อสองปีก่อน ส่วนกีรติปล่อยเช่าเป็นจุดๆ เพราะที่ของเขาไม่ได้กว้างมาก แต่มีหลายแห่ง เหลือว่างก็แค่ของศรายะ

“เราชดเชยเป็นเงินให้คุณศราไม่ได้เหรอคะ” เอมมาลินถาม แววตาดื้อรั้นของเธอไร้ซึ่งความเกรงใจ

“ผมจ่ายให้ศราได้นะครับ ถ้าคุณแม่โอเค ผมจะไปคุยกับเขาเอง ผมว่าถ้าเอมได้ทำบ้านเด็กกำพร้ามันจะส่งผลถึงภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจเรา”

หญิงวัยกลางคนระบายลมหายใจ แต่ก็ไม่อาจลดทอนความอึดอัดลงได้ หล่อนไม่อยากเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้เพราะกลัวว่าจะกระทบจิตใจของลูกชายผู้เป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น

“ภูไปคุยกับศราก่อนนะ แล้วค่อยมาคุยกับแม่”

“เอมรบกวนคุณแม่พูดก่อนได้ไหมคะ” เอมมาลินขัดขึ้นก่อนที่สามีจะอ้าปากรับคำ “คุณศราฟังคุณแม่มากกว่าใคร อีกอย่าง ช่วงนี้เรามีประเด็นกันเรื่องที่ที่เชียงรายด้วย คุณศราอาจจะไม่อยากยอมพี่ภู”

“นั่นสิ ศราเขาไม่ยอมแน่เลย” ภูริทัตลืมคิดไปสนิท เรื่องความรอบคอบเขาต้องยอมภรรยาเลยจริงๆ

ความหนักใจปรากฏผ่านสีหน้าอ้ำอึ้งของพัตรา แต่สะใภ้คนโตทำเป็นไม่เห็น เธอผลิยิ้มหวานก่อนจะลุกขึ้น

“เอมขอตัวไปคุยกับคุณพ่อก่อนนะคะ”

ศรายะกลับมาถึงบ้านตอนสองทุ่ม มาถึงก็เข้าครัวไปหามื้อค่ำกิน ช่วงนี้เขาเปลี่ยนเวลากินข้าวเพราะไม่อยากร่วมโต๊ะกับใคร เลื่อนมื้อเช้าไปเป็นมื้อสาย มื้อกลางวันกินตอนบ่าย มื้อเย็นก็เพิ่งได้กินตอนนี้เพราะมัวแต่นั่งอยู่ในคาเฟ่

ชายหนุ่มซ้อนแก้วพลาสติกกับอีกสี่แก้วก่อนหน้านี้ ถึงจะดื่มหมดก่อนกลับ แต่ก็คว้าแก้วมาด้วยทุกครั้ง จิ้งหรีด สาวใช้วัยยี่สิบสี่ปีซึ่งเป็นน้องสาวของโพธิ์เดินผ่านมาเห็นเข้าจึงทักเขา

“อ้าว คุณศรา กลับมาแล้วเหรอคะ แล้วนี่ตั้งใจจะสะสมกี่แก้วคะ”

“ไม่ได้สะสม” เขาตอบขณะเปิดดูกับข้าวที่จิ้งหรีดครอบฝาชีพลาสติกไว้ให้

“แล้วเก็บไว้ทำไมคะ เจสซี่เอาไปขายให้เอาไหม”

“อย่า! เอาไว้อย่างนั้น ถ้าเอาไปขายเมื่อไรฉันจะเรียกค่าเสียหายสามพัน” เขาขู่สาวผมแกละที่ตั้งชื่อตัวเองว่าเจสซี่ เจ้าตัวเปลี่ยนเองมาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครเรียกตามสักคน 

“โหดจริงจริ๊งงง! เก็บไว้ประดับบ้านก็ได้ค่ะ นี่ๆ กินข้าวดีกว่าคุณศรา วันนี้เจสซี่ทำคอหมูย่างผัดกะเพราแซ่บๆ ไว้ให้ ถ้าเอาไข่ดาวบอกได้”

“ไม่เป็นไร ไปปิดบ้านเถอะ”

“รับแซ่บ!” จิ้งหรีดรับคำอย่างขยันขันแข็งและออกไปจากครัวตามคำสั่ง ส่วนศรายะยกจานอาหารออกจากครัวไปที่โต๊ะกินข้าวข้างนอก ไม่คิดว่ามารดาจะยังนั่งอยู่

“อ้าว คลีโอพัตรายังไม่เสด็จขึ้นห้องเหรอครับ” ชายหนุ่มทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสขัดกับสีหน้าของพัตราอย่างยิ่ง

“แม่มีเรื่องจะคุยด้วย กินข้าวก่อนก็ได้”

“พูดไปกินไปก็ได้ครับ ไม่มีอะไรที่ทำให้อาหารไม่อร่อยเท่ากับการกินข้าวกับวินนี่” เขานั่งลงตรงที่ประจำของภูริทัต ตักข้าวเข้าปากหนึ่งคำแล้วรอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร

เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของมารดาแล้วใจก็เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ สังหรณ์ใจว่าอาหารจะไม่อร่อยอีกแล้ว

“ภูกับเอมบอกแม่ว่าอยากได้ที่ของศราไปทำบ้านเด็กกำพร้า ถ้าศราโอเค ภูจะจ่ายให้”

“ที่ผม? แถวรามอินทราน่ะเหรอ”

ประเด็นวันนี้มาแปลก เหนือความคาดหมาย จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เรื่องเก่ายังคาราคาซัง ยังจะหาเรื่องใหม่มาให้วุ่นวายอีก

“อื้อ”

“นี่เขาตั้งใจแย่งสมบัติผมหรือเปล่า” ศรายะถามอย่างไม่จริงจังนัก ทว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับพัตรา

“ศรา ไม่มองพี่ในแง่ร้ายสิ พี่เขายอมจ่ายนะ”

“ครับๆ รู้แล้ว แล้วทำไมเอมอยากทำบ้านเด็กกำพร้าล่ะครับ” กินเยอะเข้า ชายหนุ่มก็รู้สึกเผ็ดขึ้นมา เขาเพ่งมองแก้วน้ำของพัตราโดยอัตโนมัติเพราะไม่มีของตนเอง คนเป็นแม่จึงเลื่อนแก้วไปให้

“เอมบอกว่าใกล้วันเกิด ภูก็เห็นด้วยว่าเราน่าจะทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง”

“นี่พี่ชายกับพี่สะใภ้ผมเป็นคนดีขนาดนี้เลยเหรอ” ว่าจบเขาก็กระดกน้ำดับความเผ็ดร้อน

“ศรา” พัตรากดเสียงต่ำเรียกชื่อ ปรามคำพูดเชิงเสียดสีของลูกชาย

“คุณแม่ว่าผมเรียกเท่าไรดี ตารางวาละแสนดีไหม” ที่ของศรายะไม่ได้มีราคาถึงขนาดนั้น แต่อยากลองเสนอ เพราะอยากรู้ว่าภูริทัตจะใจป้ำเพื่อภรรยามากแค่ไหน

“เว่อร์ไปน่ะ สรุปว่ายอมใช่ไหม แม่จะได้บอกพี่เขาให้มาคุยเอง”

“ส่งคุณแม่มาขอก่อนแบบนี้ ผมจะไปปฏิเสธยังไง แต่ขอเวลาผมตีราคาก่อน บอกเลยว่าไม่ลดให้ ไม่ต้องเอาบุญมาอ้างเพราะผมทำเยอะแล้ว” เขาฉีกยิ้ม ขณะที่คนเป็นแม่ถอนหายใจหนักหน่วง ศรายะไปทำบุญตอนไหน หล่อนไม่เห็นรู้ 

“จริงๆ ขายที่ไปก็ดีนะครับ คุณแม่จะได้รู้ว่าผมไม่มีที่ให้อยู่แล้ว เรื่องแต่งงานและปลูกเรือนหอนี่ฝันไปได้เลย”

“เงินมีเยอะแยะ แม่ซื้อให้ใหม่ก็ได้”

มือของศรายะที่กำลังตักข้าวชะงัก เหลียวมองมารดาอีกครั้ง 

“ยังไงผมก็ต้องไปเหรอ”

พัตราไม่ได้ตั้งใจจะผลักไส แค่พูดให้เขารู้ว่ามีทางออก แต่สุดท้าย...ความต้องการของหล่อนก็คือให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับใครสักคนนอกบ้าน คนที่ไม่ต้องการอะไรมาก ไม่ทำให้เขาปวดหัวในแต่ละวัน 

“แม่รักศรานะ”

นี่คือเหตุผลของทุกอย่าง

“ผมก็รักคุณแม่” 

“ถ้าอย่างนั้นหาคนดีๆ ให้ตัวเอง ให้แม่ และเริ่มต้นชีวิตที่ควรมี”

น่าเศร้า...ศรายะเพิ่งอายุยี่สิบหก แต่มารดากลับทำเหมือนเขาอายุหกสิบที่ต้องรีบหาเมียให้ได้ก่อนนกเขาจะไม่ขัน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น