บทที่ 2

บทที่ ๒

มื้อเย็นในบ้านหลังใหญ่ของครอบครัวเรืองรัตนพัฒน์วันนี้มีสมาชิกทั้งสิ้นห้าคน กีรติเปิดคลับตอนกลางคืนจึงไม่ค่อยอยู่บ้านเวลานี้ มื้อเช้าก็ตื่นไม่ทัน วันๆ ไม่ค่อยมีใครได้เห็นหน้า เว้นแต่ภรรยาคนสวยที่กำลังจ้องกุ้งแม่น้ำตัวโตตาเป็นมัน

วิภาวีไม่มีปัญหาที่ไม่ได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตหรูหราอย่างภูริทัตกับเอมมาลิน แค่ได้จดทะเบียนสมรสกับลูกชายคนรวยเพื่อรับรองสถานะ เธอก็พอใจแล้ว แต่ถ้าไม่ได้จดเธอจะอาละวาดโวยวาย หาวิธีทำลายชื่อเสียงคนบ้านนี้ให้ย่อยยับ!

ในตอนแรกกีรติไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อของลูกเธอ แต่เธอมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายในวันที่นอนกับเขา ไฟล์รูประบุวันที่ซึ่งถ้านับย้อนไปจะตรงกับอายุครรภ์ในเวลานั้น แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าเธอจงใจจับเขา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม่คุณเล่นขู่จะปล่อยภาพนี้ลงโซเชียล และท้าให้ทุกคนรอดูผลดีเอ็นเอ ถ้าผลออกมาว่าใช่ เขาก็จะถูกประณามว่าทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับ

พัตราจึงหาทางออกให้ด้วยการจดทะเบียนสมรสไปก่อนตามที่วิภาวีต้องการ เมื่ออายุครรภ์ถึงกำหนดที่ตรวจดีเอ็นเอได้ก็ส่งไปตรวจ ผลออกมาว่าเด็กเป็นลูกของกีรติ เขาจึงหนีเธอไปไหนไม่รอดอีก

“วันนี้ลูกแม่นี่มีบุญจัง ได้กินกุ้งตัวเบ้อเร่อ” ว่าที่คุณแม่หัวเราะคิกคักกับตัวเอง เมื่อเช้าเธอบ่นดังๆ ว่าลูกหิวกุ้งมังกรเจ็ดสีนึ่งมะนาว ตกเย็นพัตราก็เอาอกเอาใจด้วยการซื้อมาฝาก ลูกชายในท้องของเธอคือเทวดาลงมาเกิดแท้ๆ

แต่คงเกิดไม่ได้ถ้าเธอไม่มอมเหล้ากีรติก่อนรวบหัวรวบหางเขา เห็นเพื่อนสนิทได้ดีแล้วก็อยากได้บ้าง สุดท้ายก็ได้สมใจอยาก

พัตรานั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ หล่อนระบายลมหายใจเบาๆ พยายามจะทำใจให้เป็นสุขตามสะใภ้คนรองที่นั่งถัดไปจากสะใภ้คนโต แต่ก็อดเหนื่อยหน่ายใจไม่ได้

ภูริทัตนั่งอยู่อีกฝั่ง ถัดไปก็คือศรายะที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับทุกครั้งที่เห็นท่าทีระริกระรี้ของวิภาวี ไม่สิ...ทุกครั้งที่เห็นหน้าของวิภาวีเลยก็ว่าได้ 

“แต่เอ...กุ้งมังกรเจ็ดสีไม่มีเหรอคะคุณแม่” วิภาวีเง้างอด พลางใช้ส้อมเขี่ยดูกุ้งที่สังเวยชีวิตเพื่อผู้หญิงเรื่องมากคนหนึ่ง มันเป็นแค่กุ้งแม่น้ำธรรมดา ไม่สมฐานะของเธอเอาเสียเลย

“ไม่มี” ศรายะตอบแทน เขานี่แหละที่เป็นคนเข้าภัตตาคารไปสั่งกุ้งแม่น้ำนึ่งมะนาวมาให้ ถ้าไม่ใช่คำสั่งของมารดา เขาคงไม่มีวันทำเด็ดขาด

กุ้งมังกรเจ็ดสีอย่างนั้นหรือ เหอะ ขอให้หลานเขาไม่เรื่องเยอะเหมือนคนเป็นแม่!

“แน่เหรอคะ คุณศราไม่สนใจรีเควสต์ของวินนี่มากกว่า” วิภาวีจิกตามองคนที่นั่งตรงข้าม เธอและเอมมาลินอายุเท่าเขา จึงไม่มีใครต้องเคารพใคร แต่ถึงเธออายุน้อยกว่าก็จะไม่มีวันเคารพคนกวนประสาทแบบเขาหรอก

“กุ้งมังกรเจ็ดสีนี่หายากนะ น้ำมนต์เจ็ดป่าช้าหาง่ายกว่า สนใจไหมล่ะ” ศรายะยักคิ้วยียวน

วิภาวีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถ้าเอมมาลินไม่วางมือบนตัก เตือนให้ใจเย็นๆ เธอคงได้ด่าน้องชายสามีสักยก

หญิงสาวข่มอารมณ์ให้เย็นไว้ก่อน จากนั้นก็ตักกุ้งแม่น้ำใส่จานตัวเอง ไม่สนใจมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ผู้อาวุโสที่สุดต้องเริ่มลงมือรับประทานก่อน เธอเองก็เป็นคุณนายเหมือนกัน ไม่เห็นต้องเกรงใจ

“เห็นกุ้งแม่น้ำแล้วนึกถึงสมัยมหา’ ลัยเนอะเอม เราไปกินกันออกจะบ่อย”

“อืม” เอมมาลินรับคำเพื่อนสนิท เมื่อเห็นว่าพัตราเริ่มรับประทานแล้วจึงจับช้อนส้อมบ้าง ท่วงท่ากิริยาบ่งบอกถึงการอบรมสั่งสอนที่ดี ต่างจากอีกคนที่ไม่สนใจจะรักษาภาพลักษณ์

สมัยเรียนวิภาวีชอบชวนเอมมาลินไปกินข้าวร้านหรู ไปกี่ครั้งๆ เพื่อนคนสวยและรวยมากก็จ่ายให้เธอตลอด การคบลูกสาวเจ้าของธุรกิจสินเชื่อรายนี้สร้างโพรไฟล์ที่ดีให้ลูกแม่ค้าขายไส้อั่วย่างอย่างเธอ มิหน้ำซ้ำเอมมาลินยังเป็นสะพานในการจับคนรวย หญิงสาวจึงรักเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษ อีกหน่อยคงจะเป็นคุณนายอยู่ในบ้านกันสองคน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างดี ส่วนใครที่ไม่สวามิภักดิ์ด้วย เธอจะหาทางเขี่ยออกไปให้หมด!

“คบกันอยู่สองคนเหรอ” 

คู่อริเบอร์หนึ่งของวิภาวีทำเส้นประสาทเธอกระตุกอีกรอบ น้ำเสียงตอนถามเป็นปกติ แต่สองสาวฟังดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเหน็บแนมอยู่

“จริงๆ มีอีกคนนะคะ แต่พอดีว่ามันตอแหล ไม่จริงใจ ปากวอนมือวอนเท้า เห็นหน้าแล้วอยากตบล้างน้ำ ก็เลยเลิกคบน่ะค่ะ” พูดจบวิภาวีก็กระทุ้งแขนเพื่อนเบาๆ “จำได้ไหมว่าใคร”

เอมมาลินเลิกคิ้วสงสัย “ใครเหรอ”

“อ้าว ทำไมจำไม่ได้ล่ะ อีศราไง!”

เคล้ง!

ศรายะปล่อยช้อนส้อมใส่จานกระเบื้อง สายตาเอาเรื่องจับจ้องหญิงสาวที่กรีดยิ้มสะใจ 

“อะไรคะคุณศรา วินนี่พูดถึงเพื่อนเก่าค่ะ อย่าร้อนตัว”

“ศรา กินข้าว” พัตราเอ่ยเสียงเรียบ แค่มองตาก็รู้ว่าลูกชายคนเล็กกำลังคิดคำด่ากลับ สีหน้าของเขาเหมือนยักษ์ทีพร้อมฉีกคนเป็นชิ้นๆ

“จริงเหรอเอม มีเพื่อนชื่อเหมือนศราด้วยเหรอ” ภูริทัตถามภรรยาอย่างขำขัน 

เอมมาลินปรายตามองเพื่อนที่ชอบหาเรื่องให้ตัวเองสะใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ แต่ศรายะไม่เชื่อเป็นอันขาด เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อน ซึ่งเพื่อนที่วิภาวีพูดถึงเมื่อสักครู่ไม่มีตัวตนอยู่จริงหรอก หลอกด่าเขามากกว่า!

“ประชุมวันนี้เป็นยังไงบ้างภู” พัตราหาประเด็นใหม่ขึ้นมาพูด เพราะอยากยุติสงครามประสาท วันนี้หล่อนให้ภูริทัตเข้าประชุมเรื่องการซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างห้างแห่งใหม่ เพราะนัดแพรพิไลเอาไว้ การประชุมครั้งนี้เป็นแค่การนำเสนอราคาที่ดิน ยังไม่ใช่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย หล่อนจึงวางใจให้ลูกชายคนโตเข้าประชุมแทน

“ที่ที่เราดูไว้ราคาสูงขึ้นมากครับคุณแม่ ได้ยินมาว่าเขาเปลี่ยนเจ้าของ ผมว่าจะปรึกษาคุณแม่อยู่พอดีว่าควรเอาไหม”

ก่อนหน้านี้ภูริทัตส่งคนไปสอบถามราคาที่ดินเบื้องต้นมาและคิดว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน ทว่าผ่านไปสองเดือนดันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เจ้าของที่ดินขายที่ต่อให้นายทุนรายหนึ่ง เมื่อสอบถามราคาแล้วพบว่าสูงขึ้นหลายเท่า

ศรายะเลิกสนใจวิภาวีที่กินกุ้งอย่างเอร็ดอร่อยและเข้าร่วมบทสนทนาเรื่องงานด้วย

“ไปดูที่ใหม่ไว้ก่อนดีไหมครับ เชียงรายก็ไม่ใช่เล็กๆ มันต้องมีที่ดีๆ ที่ไม่แพงให้เราสิ”

“ที่ตรงนั้นดีสุดแล้วค่ะคุณศรา”

ชายหนุ่มตวัดสายตามองพี่สะใภ้คนโตที่เฟ้นหาที่ตรงนี้มาเอง เดาได้ว่าเธอต้องเถียงขาดใจเพื่อไม่ให้ผลงานตัวเองถูกปัดตก

“ทั้งอยู่ใกล้โรงเรียน ติดถนนสายใหญ่ มีรถขนส่งสาธารณะผ่าน สะดวกแก่การเข้าถึง เทียบกับกำไรในอนาคตแล้วยังไงก็คุ้มค่าแก่การลงทุนค่ะ”

“เรามีชอยส์ที่ดีกว่านี้ไหม”

“ไม่น่ามี” ภูริทัตตอบน้องชาย “เชียงรายไม่เล็กก็จริง แต่สิ่งก่อสร้างแข่งกันขึ้น เราควรรีบตัดสินใจก่อนที่จะมีใครชิงซื้อตัดหน้าไปก่อน”

“พี่ภูพูดเหมือนยังไงก็จะเอาตรงนั้น” ศรายะชักหมั่นไส้คนที่ว่าตามเมียไปเสียทุกเรื่อง และเรื่องนี้มันเกินไปมาก

“ก็นี่ไง เรามาคุยกัน นายยังไม่รู้เลยว่าเท่าไร”

“เท่าไรล่ะ”

“คำนวณแล้วก็ราวๆ สามหมื่นต่อตารางวา”

“โอ้โฮ!” ศรายะแทบจะทำช้อนร่วงใส่จานเป็นรอบที่สอง ภูริทัตอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ เขาไม่มีทางได้ยินผิดแน่ “จะบ้าเหรอพี่ภู! ทำไมขึ้นเยอะขนาดนั้นล่ะ ตอนนั้นที่ดูกันไว้ไม่ถึงหมื่นเลยนี่”

“อาจจะมีทางต่อรอง” ภูริทัตพูดเหมือนรับได้ จนคนเป็นน้องอยากเอาส้อมข่วนหน้าพี่ให้รู้สึกถึงความผิดปกติสักที

“แม่ก็ว่ามันเกินไปนะภู” พัตราเห็นด้วยกับศรายะ หล่อนรู้สึกแปลกๆ ที่ราคาพุ่งสูงมากขนาดนั้น 

“เอมจะหาทางต่อรองให้ก่อนนะคะ” เอมมาลินว่า

“ไม่ต้องหรอกครับ หาใหม่เถอะ” ศรายะค้าน ก่อนจะถูกพี่ชายมองเขม่น 

“ให้เอมลองก่อนสิ” 

ทีแรกว่าอาหารไม่อร่อยเพราะนั่งกินตรงข้ามกับวิภาวี แต่ตอนนี้ทั้งภูริทัตและเอมมาลินทำให้เขากินข้าวไม่ลง!

 

            ศรายะมักจะตื่นสายในวันเสาร์อาทิตย์ ทว่าเสาร์นี้ตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ แน่นอนว่าไม่ทันข้าวเช้า แต่ก็ใช่ว่าต้องนั่งกินคนเดียวเพราะมีคนตื่นสายเหมือนกัน เขาจึงถือโอกาสบ่นเรื่องปัญหาที่ดินเมื่อวานให้ฟังอย่างอัดอั้นตันใจ

                “โคตรแพงเลยพี่กีร์ แค่พูดถึงก็รู้สึกจนแล้ว เชียงรายด้วย ไม่ใช่กรุงเทพฯ”

                “กรุงเทพฯ แพงกว่านี้อีก แต่เดี๋ยวนี้ราคาที่ที่เชียงรายมันก็ประมาณนั้นไม่ใช่เหรอ” กีรติปาดเนยลงบนขนมปังอย่างไม่เร่งรีบ สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใด สำหรับสาวๆ อาจจะมองว่าเขาเป็นผู้ชายมาดนิ่งน่าค้นหา แต่สำหรับศรายะ พี่ชายของเขาดูเหมือนคนยังไม่ตื่นดี

                ใบหน้าของกีรติได้พัตรามาเต็มๆ จึงติดจะหวานเหมือนผู้หญิงไปสักหน่อย ผิวขาวกว่าพี่น้องเพราะเป็นมนุษย์ค้างคาวที่ชอบทำงานกลางคืน เวลาออกไปนอกบ้านตอนกลางวันจะใส่คาร์ดิแกนคลุมอย่างดี และมักเล่นกีฬาแค่ในร่มเท่านั้น

                “ผมเคยเช็กราคาประเมิน ตรงนั้นมันไม่แพงเลย” ศรายะถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกโมโหคนที่ซื้อตัดหน้าแล้วขึ้นราคาชนิดขูดเลือดขูดเนื้อ ถึงการลงทุนเป็นพันล้านจะเป็นเรื่องปกติสำหรับพัตรา แต่สถานการณ์แบบนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบ

                อีกสองคนที่ทำให้เขาหงุดหงิดก็คือภูริทัตกับเอมมาลิน สนับสนุนกันดีเหลือเกิน

                “พี่กีร์อย่าให้ท้ายเมียเหมือนพี่ภูนะขอร้อง” 

                กีรติคือความหวังของศรายะ พี่ชายคนนี้ทำตัวเหมือนไม่มีเมียด้วยซ้ำ

                “อย่าไปพูดถึงเขาได้ไหม” ว่าที่คุณพ่อกลอกตาเซ็ง จนป่านนี้ยังไม่เข้าใจว่าไปทำกรรมอะไรไว้ ทำไมถึงต้องมาใช้ชีวิตกับผู้หญิงพูดมากน่ารำคาญแบบที่เขาไม่ชอบ

ตอนที่วิภาวีย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในบ้านเขาช่วงแรก เขาขอนอนแยกห้อง ทว่าเธอไม่ยอมเด็ดขาด อ้างว่าถ้าแพ้ท้องตอนกลางคืนใครจะดูแล สุดท้ายเขาก็ต้องยอมให้เธอมานอนร่วมเตียง แต่หลังจากนั้นก็คอยหาโอกาสค้างที่ร้านบ้าง ค้างบ้านเพื่อนบ้าง ไม่ได้กลับบ้านทุกวันอย่างเคย

                “ไม่พูดถึงไม่ได้เลย เมื่อวานบอกลูกอยากกินกุ้งมังกรเจ็ดสี กินสีเดียวแล้วลูกจะออกมาพิการหรือไง” ศรายะบ่น

                “เกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน กุ้งมังกรเจ็ดสี รู้จักแต่ดาบเจ็ดสี”

                “มี ผมเซิร์ชแล้ว”

                กีรติส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ยังคงมองเนยกับขนมปังในมือ ขณะนี้วิภาวีนอนอยู่ในห้อง กิจวัตรประจำวันของเจ้าหล่อนไม่มีอะไรมากนอกจากกิน นอน และชอปปิง ส่วนงานอดิเรกคือไลน์มาทวงเงินประจำสัปดาห์จากเขา

                “แล้ววันนี้พี่กีร์อยู่บ้านไหม” ศรายะยกน้ำขึ้นมาดื่มหลังจากกินข้าวต้มหมูสับหมดชาม

                “ไม่อยู่ จะไปห้างกับคุณแม่ ไปด้วยกันได้นะ”

                “ไม่ละ วันนี้จะหาที่ที่ดีกว่าของเอมให้ได้” ชายหนุ่มมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว จะไม่ว่อกแว่กไปเที่ยวไหนเด็ดขาด

                “โอเค วันนี้ฝากดูวินนี่ด้วย”

                “บ้า! เรื่องอะไรล่ะ” 

                “จำไว้เลย แกมีเมียเมื่อไร ฉันจะเล่นงานให้หนัก” กีรติขู่อย่างไม่จริงจังก่อนจะเอาขนมปังเข้าปาก ที่จริงเขาเข้าใจน้องชายดีว่าทำไมถึงปฏิเสธเสียงแข็ง ขนาดเขายังไม่อยากดูแลภรรยาตัวเอง

                “ไม่มีหรอกเมียน่ะ สยอง” เห็นตัวอย่างจากพี่ๆ แล้วคนยังโสดไม่ขอมีภาระดีกว่า ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะยกชามไปเก็บ ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวให้พี่ชายรับรู้ “วันนี้จะออกไปหาที่เงียบๆ ทำงานนะ”

            เมื่อนึกถึงสถานที่ที่สงบ นอกจากวัดแล้ว ศรายะก็คิดถึงร้าน Perfect Cup ที่ไปเยือนมาเมื่อวาน ถึงจะอยู่ลึกไปหน่อย แต่เจ้าของร้านใจดี บรรยากาศในร้านเหมาะนั่งหาข้อมูล หากเป็นคนอื่นคงไม่กล้ากลับไปเหยียบสถานที่ที่เคยทำเรื่องขายหน้ามาก่อน แต่ศรายะหนังหนาหน้าทน มาร้านนี้ก็ดีกว่าไปนั่งทำงานในกุฏิเจ้าอาวาส

                ปกติถ้าไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพัตรา เขาจะขับรถมาเอง โพธิ์เป็นคนขับรถส่วนตัวของแม่เขา จะไม่ขับรถให้คนอื่นมั่วซั่ว แต่ก็มักถูกเจ้านายสั่งให้ขับรถรับส่งลูกสะใภ้คนรอง และวันนั้นถือเป็นวันดวงตกของโพธิ์

                วันนี้ใครจะรับมือกับความเรื่องมากของวิภาวีก็ช่าง ศรายะคิดว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว

                หน้าร้านมีรถยนต์จอดอยู่สามคัน รวมของเขาเป็นสี่คัน กระดิ่งหน้าร้านส่งเสียงเช่นเดิมเมื่อประตูร้านถูกผลักเข้าไป ต่อด้วยเสียงทักทายของพนักงานราวกับถูกตั้งโปรแกรมอัตโนมัติเอาไว้

“Perfect Cup ยินดีต้อนรับครับ”

                ศรายะกอดโน้ตบุ๊กไว้ มือหนึ่งถือสายชาร์ตติดมาด้วย เขาสาวเท้าไปหาพนักงานที่ยืนรอรับออร์เดอร์ ไม่ทันอ้าปากสั่ง อีกฝ่ายก็เบิกตาและทักทายด้วยรอยยิ้มกว้าง

                “คุณลูกค้าคนเมื่อวานที่ขอพี่ลิสแต่งงานใช่ไหมครับ!” ปีเตอร์จำได้เพราะที่นี่ไม่ได้มีลูกค้าเยอะ ยิ่งเป็นลูกค้าพีกๆ แล้วยิ่งติดตรึงในความทรงจำ

                “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ” ศรายะระบายยิ้ม กวาดตามองหาคนที่ถูกพูดถึง แต่ก็ไม่เห็นว่าอยู่แถวนี้ จะมีก็แต่บาริสตาชายหญิงที่ยืนอยู่ข้างกัน และทั้งสองกำลังชำเลืองมองเขา พอเขาสบตาด้วยก็รีบก้มหน้าทำงานต่อ

                “ครับๆ รับอะไรดีครับ” หนุ่มลูกเสี้ยวกลั้นขำสุดฤทธิ์ 

เห็นแล้วหมั่นไส้ ศรายะเลยแกล้งสักหน่อย “เอาเหมือนเมื่อวานครับ”

                “เมื่อวานสั่งอะไรครับ”

                “สั่งกาแฟครับ”

                “กาแฟอะไรครับ”

                “น่าจะอะราบีกา ไม่ทราบสิครับ ที่นี่ใช้อะไรล่ะ”

                ปีเตอร์หมดอารมณ์ขันในทันที นานทีปีหนจะเจอลูกค้ากวนโอ๊ย ผู้ชายคนนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ

                ขณะที่เขาคิดหาวิธีถามใหม่ เจ้าของร้านก็เอ่ยสั่งด้วยเสียงหวานให้

                “คาปูชิโนร้อนหวานน้อย”

                ศรายะหันขวับไปมองข้างหลังและได้สบตากับลลิภัทรซึ่งยืนอมยิ้มอยู่ ตอนเขาเข้ามาเธอเช็ดโต๊ะด้านในสุดอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขายืนคุยกับปีเตอร์จึงเดินเข้าไปใกล้ เพื่อดูให้แน่ใจว่าใช่ลูกค้าคนเมื่อวานหรือเปล่า และทันได้ยินบทสนทนาเชิงกวนประสาท

                “คาปูชิโนร้อนหวานน้อยนะครับ หกสิบห้าบาทครับ” ปีเตอร์คีย์ออร์เดอร์ด้วยความรวดเร็ว 

                ลูกค้าหนุ่มหันไปจ่ายเงินเจ็ดสิบบาทให้พนักงานแคเชียร์ “ไม่ต้องทอนนะครับ ให้ทิป” 

ถือเป็นค่าความอดทน

                “ยินดีที่ได้พบกันอีกนะคะ คุณศรายะ” ลลิภัทรทักอย่างเป็นมิตร เขาจึงส่งความเป็นมิตรกลับบ้าง

                “ครับ เรียกศราเฉยๆ ก็ได้”

                “ค่ะ วันนี้มานั่งทำงานคนเดียวเหรอคะ” เธอเห็นว่าอีกฝ่ายมีโน้ตบุ๊กมาด้วย น่าดีใจที่เขาคิดถึงที่นี่แม้จะเดินทางมายากแค่ไหนก็ตาม

                “ครับ มาเอาแต้ม” ศรายะยื่นบัตรสะสมแต้มให้ปีเตอร์ ปกติเวลาได้บัตรแบบนี้มาเขาจะโยนทิ้งตลอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเก็บใบนี้ไว้ น่าจะเป็นเพราะมีสามแต้มแล้ว จะทิ้งก็เสียดาย อีกทั้งเจ้าของร้านตั้งใจปั๊มให้โลโก้อยู่กึ่งกลางช่องพอดิบพอดี ต้องขอบคุณพัตราที่สอนให้เขาเป็นคนเห็นคุณค่าของความพยายาม

                “แบบนี้พอได้ครบก็ไม่มาแล้วใช่ไหมครับ” ปีเตอร์หยอกเล่นๆ แต่ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าใช่ ก็จะรีบปั๊มบัตรให้ครบทันที

                ศรายะหรี่ตามองคนถาม ก่อนจะดึงบัตรสะสมแต้มมาดูและตำหนิในความไม่พิถีพิถัน

                “โลโก้เอียงซ้ายไปสิบห้าองศา ครั้งต่อไปเล็งให้ดีนะครับ” ว่าจบก็เดินไปหาโต๊ะนั่ง เขาเลือกมุมเงียบที่สุด ห่างจากลูกค้าอีกสองโต๊ะ โต๊ะนี้ดูเหมือนเพิ่งมีคนเช็ดหมาดๆ

                บนกล่องทิชชูแปะรหัสวายฟายเอาไว้ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์ตนเอง เขาเริ่มเช็กราคาที่ดินในเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง ค้นไปได้สองสามเว็บไซต์ก็มั่นใจว่าราคาที่ภูริทัตบอกมันเว่อร์เกินเหตุ

                จะบ้าตาย พี่ชายของเขาไม่รู้สึกว่ามันแพงบ้างหรือไง!

                กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยมาใกล้ ไม่นานนักแก้วเซรามิกสีขาวก็ถูกวางบนโต๊ะ ศรายะปรายตามองมัน ข้อความบนแก้วบอกว่า...

            Stay strong even when it's hard.

                ชายหนุ่มช้อนตามองคนที่นำมาวางเป็นลำดับต่อมา รอยยิ้มของลลิภัทรตรึงสายตาเขาไว้อย่างนั้น

                “อยากได้อะไรสั่งเพิ่มได้นะคะ”

                ถ้าตอบว่าอยากได้แก้วกลับบ้านไปเป็นกำลังใจให้ตัวเองคงแปลก

                หญิงสาวเดินจากไปทำงานอย่างอื่นต่อ ปล่อยให้เขานั่งทำงานจนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง เท่าที่สังเกตร้านนี้มีคนเข้าเรื่อยๆ คงเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์คนจึงเยอะกว่าเมื่อวาน แต่ไม่มีใครทำลายบรรยากาศเงียบสงบได้ลง

                ศรายะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ เขาชอบรสชาติกลมกล่อม ความขมอมหวานที่ลงตัว แต่จังหวะนั้นมัวแต่สนใจตัวเลขบนหน้าจอจึงวางแก้วหมิ่นขอบโต๊ะ

                เคล้ง!

                แก้วหล่นกระแทกพื้นอย่างแรง เรียกทุกสายตาให้หันมามองจุดเดียว ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เบิกตาค้างมองเศษแก้วกระจัดกระจายกับของเหลวสีน้ำตาลที่หกเลอะพื้น ไม่นานนักลลิภัทรก็สับเท้ามาถึงโต๊ะของเขา

                “เอ่อ ขอโทษนะครับ เรียกค่าเสียหายได้เลย”

                เธอโบกไม้โบกมือไปมา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณอยู่เฉยๆ นะ เดี๋ยวลิสเคลียร์ให้” 

ว่าแล้วร่างบางก็รีบเข้าไปเอาอุปกรณ์เก็บกวาดจากหลังร้านออกมาจัดการเศษแก้วและคราบกาแฟอย่างชำนาญราวกับเจอเหตุการณ์นี้บ่อยจนกลายเป็นความเคยชิน บาริสตาอีกคนเข้ามาช่วย ส่วนลูกค้าหนุ่มได้แต่นั่งมองอยู่เฉยๆ อย่างไร้ประโยชน์ หน้าเจื่อนเล็กน้อยตอนเห็นคำว่า Stay กับ strong แยกออกจากกัน

                เขาควรจะไปจากที่นี่ มาสองครั้งแล้วไม่เคยเป็นลูกค้าปกติเลยสักครั้ง อย่างน้อยต้องสร้างเรื่องอะไรสักอย่างให้เจ้าของร้านวุ่นวาย

                ชายหนุ่มพับหน้าจอโน้ตบุ๊กให้ปิดสนิท ขณะนั้นลลิภัทรเช็ดพื้นเสร็จพอดี

                “ผมว่าผมขอตัวดีกว่า”

                แม้ไม่คิดว่าเขาจะขอตัวทันที แต่เธอก็พยักหน้า “ค่ะ ไว้พบกันอีกนะคะ”

                ยังจะอยากพบอีกหรือ

                ความสงสัยฉายชัดในสีหน้าของเขา ลลิภัทรพอเดาคำถามออก เธอจึงหลุดหัวเราะเบาๆ

                “แก้วหลุดมือเป็นเรื่องปกติค่ะ”

                “คุณว่าถ้าผมมาอีกครั้ง ผมจะทำเรื่องอะไรอีก” คนถนัดสร้างเรื่องถามในสิ่งที่สงสัยอยู่

                หญิงสาวยักไหล่ “ไม่รู้สิคะ ลองมาอีกสิ จะได้รู้”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น