บทที่ 1

บทที่ ๑

สิบห้านาทีก่อน

รถเก๋งซีดานราคาเฉียดห้าล้านวิ่งบนท้องถนนด้วยความเร็วพอประมาณ ภายในห้องโดยสารเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ทว่าคนที่อารมณ์เย็นมีแค่สารถีนามว่าโพธิ์ ส่วนคู่แม่ลูกด้านหลังกำลังดำเนินบทสนทนากันอย่างดุเดือด

“ศรา รอบนี้ห้ามทำหน้าบึ้ง ห้ามพูดจาเสียงห้วน ห้ามเสียมารยาทเป็นอันขาด น้าแพรเป็นเพื่อนสนิทแม่ แม่ไม่อยากเสียเพื่อน”

“รู้แล้วครับ” ศรายะตอบด้วยหน้าบึ้งและเสียงห้วนตรงข้ามกับความต้องการของคุณนายพัตราโดยสิ้นเชิง

                ทั้งเบื่อและเซ็ง เขาผ่านการนัดดูตัวมาสี่ครั้งแล้ว แต่แม่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจจะหาลูกสะใภ้คนเล็ก หรือพูดง่ายๆ คือหาเมียให้เขา หลังจากที่ประสาทเสียกับการเลือกสรรของลูกชายคนโตและคนรอง

                พัตราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาสิบห้าปี หลังสามีเสียชีวิตหล่อนก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจบริหารธุรกิจห้างสรรพสินค้าด้วยตนเอง ภาระหน้าที่อันหนักอึ้งได้รับการแบ่งเบาเมื่อภูริทัต ลูกชายคนโตเรียนจบและเข้ามาช่วยบริหารงาน ส่วนกีรติ ลูกชายคนกลางขอเปิดสถานบันเทิงตามประสาคนชอบเที่ยวมาแต่ไหนแต่ไร แรกๆ พัตราไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เขาเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวมากกว่า แต่พอได้ศรายะที่ถูกส่งไปเรียนถึงเมืองนอกกลับมาช่วยอีกแรง หล่อนจึงยอมปล่อยกีรติไป

                เดิมทีพัตราไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการเรื่องชีวิตรักของลูกๆ อยากคบใครก็คบ อยากโสดก็โสด แต่แล้ววันดีคืนดีภูริทัตก็พาเอมมาลิน แฟนสาวมาให้รู้จัก เธอเป็นลูกสาวของเจ้าของธุรกิจสินเชื่อ มีภาพลักษณ์เป็นลูกผู้ดี หน้าตาสะสวย แม้นิสัยติดจะหยิ่งทะนง แต่ก็มีสัมมาคารวะ พัตรายอมให้ทั้งสองคบกันและจับมือกันเข้าพิธีวิวาห์เมื่อปลายปีก่อน จากนั้นเอมมาลินก็เข้ามาทำงานกับภูริทัต

                ฟังดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เว้นก็แต่เรื่องการแบ่งผลประโยชน์ภายในครอบครัว ภูริทัตโอนหุ้นเกือบครึ่งให้ภรรยา โอนทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้เธอเป็นผู้ดูแลเพียงคนเดียว แน่นอนว่าทั้งศรายะและพัตรารู้สึกถึงความผิดปกติ แต่พูดอะไรไปภูริทัตก็ไม่ฟัง เขายืนกรานว่าเอมมาลินเก่งพอจะเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง

                และแม่คนเก่งก็เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชวางท่าเป็นคุณนายคนที่สอง ความอ่อนน้อมต่อเจ้าของบ้านค่อยๆ ลดลง ไม่แน่อาจจะรอวันที่ผู้กุมบังเหียนคนปัจจุบันวางมือและแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูกชายทั้งสาม ถึงเวลานั้นศรายะคิดว่าภูริทัตน่าจะส่งต่อให้เมียอย่างเคย 

                ความวัวยังติดๆ ขัดๆ ไม่นานนักกีรติเอาความควายเข้ามาให้คนในบ้านปวดหัว เพลย์บอยเจ้าสำราญพลาดท่า ทำสาวแซ่บรายหนึ่งท้อง อีกทั้งสาวแซ่บผู้นั้นดันเป็นเพื่อนสนิทกับเอมมาลิน ศรายะคิดว่าเธอน่าจะเล็งเหยื่ออยู่นานแล้ว ถึงเวลาก็ตะครุบไว้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมเหนือชั้น เพราะคนช่ำชองอย่างกีรติไม่น่าพลาด

                เธอชื่อวิภาวี ขณะนี้เฉิดฉายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขา เจ้าหล่อนเก่งเรื่องแผลงฤทธิ์ชนิดที่เอมมาลินชิดซ้าย ถ้าทั้งสองทะเลาะกันเอง ศรายะจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ดันจับมือกันเหนียวแน่น มีเรื่องอะไรก็หนุนหลังกันตลอด สร้างความรำคาญใจให้หลายๆ คนรวมถึงเขาด้วย

                คิดถึงพี่สะใภ้สองคนแล้ว ชายหนุ่มก็ปวดหัว แต่คิดถึงภารกิจของพัตราแล้วน่าปวดหัวยิ่งกว่า ภารกิจที่ว่าคือหาสะใภ้ที่ดีและไว้ใจได้ให้ลูกชายที่ยังโสด ให้เขาไปมีครอบครัวที่ดีนอกบ้าน ส่วนหล่อนจะทนอยู่กับบรรดาลูกสะใภ้ร้ายกาจเอง

                ฝันไปเถอะ! ศรายะไม่ใช่ลูกอกตัญญูที่จะทิ้งแม่ไว้กับปีศาจร้ายสองตน ตนหนึ่งร้ายเงียบ อีกตนร้ายแบบไม่มีสาระ

                “จำน้าแพรได้ไหม” พัตราถาม หล่อนเจอแพรพิไลไม่บ่อยเท่าไร ส่วนศรายะเคยเจอเพื่อนมารดาครั้งสุดท้ายตอนเขาอายุสิบหกปี

                “คุ้นๆ ครับ” ศรายะนึกใบหน้าของคนที่พูดถึง ความจำของเขาไม่ค่อยดีเท่าไร ที่ว่าคุ้นคือคุ้นชื่อ

                “คุ้นๆ ของคุณศราคือจำไม่ได้ครับคุณพัต” โพธิ์เอ่ยอย่างรู้ดี ไม่ต้องมองกระจกหลังก็รู้ว่าเจ้านายหนุ่มถลึงตาใส่เขาอยู่

                “แล้วผมเคยเจอคุณพุดเดิลหรือเปล่าครับ” ศรายะถามมารดาอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเบี่ยงตัวหนีกระเป๋าคลัชที่หล่อนทำท่าจะฟาดมันลงมา

                “เดี๋ยวเถอะ! เขาชื่อพุดอย่างเดียว”

                “อ่าครับ พุดก็พุด”

                “ผมจำได้ว่ามีชื่อเต็มด้วยนี่ครับ จำได้ไหมครับคุณศรา” คราวนี้โพธิ์มองกระจกหลังเพราะอยากรับชมความบันเทิงให้เต็มตา

ลูกชายคนเล็กของคุณนายพัตราพยักหน้ารัว

“จำได้ๆ ชื่อว่าพุดหมาล่า”

                ผัวะ!

                “โอ๊ย!”

                กระเป๋าพัตราที่ยกสูงเมื่อครู่ฟาดใส่ไหล่แกร่งของลูกชายอย่างไม่ออมแรง พัตราตาเขียวปัด ส่วนลูกชายลูบไหล่ตัวเองอย่างน่าสงสาร

                “พุดมาลี” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน สังหรณ์ว่ารอบนี้ศรายะจะทำพังอีกแล้ว นัดกินข้าวดูตัวสี่ครั้งที่ผ่านมากับลูกสาวของเพื่อนที่หล่อนไว้ใจ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาไม่ทำให้ผิดหวัง

คนแรกเป็นกุลสตรีอ่อนหวาน แต่ศรายะดันยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับเพื่อนต่อหน้าและสาดคำหยาบไม่ยั้งจนสาวหน้าเสีย ตัดสินใจเด็ดขาดว่าต่อให้หล่อราวเทพบุตรเพียงใดก็จะไม่เอาทำพันธุ์เด็ดขาด

                คนที่สองเป็นหญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยวผจญภัย เขาเลยตีไข่ใส่สีว่าชีวิตตัวเองมีแต่งาน งาน งาน และอภิปรายความน่าเบื่อหน่ายของชีวิตจนเธอเซย์กูดบายซึ่งหน้า มิหนำซ้ำยังสั่งสอนวิธีการใช้ชีวิตให้เป็น ต่อหน้าเธอคนนั้นเขาทำเป็นเซื่องซึม แต่ลับหลังหัวเราะลั่น

                คนที่สามเป็นลูกครึ่งตาสีฟ้าสวย สวมชุดสีฟ้าน้ำทะเล เครื่องประดับส่วนใหญ่เป็นสีฟ้าเพราะเจ้าตัวเชื่อว่าเป็นสีนำโชค ศรายะไม่สนใจสักอย่าง ไม่แม้แต่จะสบตาเธอ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวและพูดหน้าตาเฉยว่า ‘ผมเกลียดสีฟ้าและไม่เชื่อเรื่องโชคลาง’

                คนที่สี่เป็นสาวมั่นใจในตนเองสูง พูดจาฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ ลักษณะดูเป็นคนสู้คนเหมือนศรายะ พัตราคิดว่าคนนี้ต้องถูกใจลูกชาย เพราะเขาดำเนินบทสนทนากับเธอไม่ขาด แต่พ่อลูกชายเรื่องมากดันแกล้งทำกาแฟหกใส่กระเป๋าใบโปรดของเธอ ผลคือถูกโกรธชนิดไม่เผาผี

                พัตราเคยคิดว่ากีรติหัวแข็งที่สุด แต่ตอนนี้ขอยกตำแหน่งอันดับหนึ่งให้ศรายะ หัวแข็งไม่พอ ยังกวนประสาททุกคนที่ขวางหน้า ปากบอกว่ารักแม่ แต่ทำแม่เครียดยิ่งกว่าใคร!

ชายหนุ่มเบนสายตาหงุดหงิดมองออกไปนอกกระจกรถ และพบว่าโพธิ์เลี้ยวรถเข้าซอยแคบซอยหนึ่ง เขามองแผนที่บนจอติดรถ นึกสงสัยว่าทำไมสถานที่นัดหมายมันลึกลับขนาดนี้

“ที่ที่เราจะไปมันคือคาเฟ่แน่เหรอครับ อยู่ลึกแบบนี้มีลูกค้าด้วยเหรอ”

“เจ้าของร้านเป็นหลานสาวของน้าแพรน่ะ น้าแพรคงอยากอุดหนุนหลานตัวเองก็เลยนัดเราที่นี่”

“น้าแพรเขาไม่ได้จ้างคนมาลอบฆ่าเราใช่ไหมครับ...อย่าครับ เดี๋ยวไหล่ผมหัก” ศรายะยกมือห้ามพัตราที่ง้างกระเป๋าขึ้นอีกรอบ “ผมเดินไม่ตรงขึ้นมาคุณพุดมาแรงจะไม่ประทับใจเอาได้”

“พุดมาลี!”

“ชื่อไม่ค่อยเป็นที่น่าจดจำสักเท่าไร สู้คลีโอพัตราของผมก็ไม่ได้” ปลายนิ้วเรียวของศรายะเชยคางมนของมารดาเป็นเชิงหยอกเย้า ชื่อนี้เขามอบให้ราชินีหนึ่งเดียวของบ้านเรืองรัตนพัฒน์หลังจากที่บิดาจากไป

“นี่ศรา เลิกกวนโมโหแม่ได้ไหม แม่จริงจังกับเรื่องนี้นะ” พัตราปัดมือเขาออกพลางขมวดคิ้วดุ เสียงหนักแน่นบ่งบอกว่าอารมณ์ขุ่นมัวยากจะข่ม 

ศรายะเริ่มจริงจังบ้าง เขาไม่อยากตระเวนดูตัวทั่วราชอาณาจักรอีกต่อไปแล้ว ที่จริงวันนี้เขาควรจะทำงานอยู่ในออฟฟิศของห้างสรรพสินค้า แต่มารดากลับลากมาจิบกาแฟและคุยกับผู้หญิง!

“เราอยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอครับ คุณแม่ไม่ต้องหาความสงบให้ผม เพราะผมไม่มีวันอยู่อย่างสงบ ถ้าคุณแม่ต้องตื่นมาเจอความวุ่นวายทุกวัน”

                “แม่เอาอยู่น่ะศรา”

                “ผมเสียใจนะที่คุณแม่ไล่ผมออกจากบ้านทางอ้อม” ชายหนุ่มไม่ได้ปั้นหน้าเศร้า สีหน้าของเขาเศร้าตามความรู้สึกจริงๆ แม้จะรู้จุดประสงค์ แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ “ถึงผมเจอคนที่ใช่ ผมก็ไม่อยากไปจากคุณแม่หรอกนะ”

                “พูดซะเป็นลูกแหง่”

                “แล้วพี่ภูกับพี่กีร์ไม่ใช่ลูกแหง่หรือไง มีเมียแล้วแต่ไม่ยอมพาไปอยู่บ้านอื่น ปล่อยเมียมาทำแม่เครียด โคตรบ้า”

                พัตราถอนหายใจเฮือกใหญ่ หล่อนว่าลูกชายอีกสองคนไม่ใช่ลูกแหง่ติดแม่หรอก ภูริทัตอยากให้เอมมาลินอยู่บ้านหลังใหญ่สมฐานะ มีสาวใช้คอยอำนวยความสะดวกให้ ขณะที่กีรติเอาวิภาวีมาทิ้งไว้บ้านเพื่อให้มีคนดูแล ส่วนตนเองก็ไปเที่ยวเตร่ตามใจอยาก

                “ถึงแล้วครับ ผมว่าร้านนี้แหละ” โพธิ์เอ่ยเมื่อรถเข้ามาสุดซอย สองแม่ลูกมองคาเฟ่ขนาดย่อมตรงหน้า ก่อนที่พัตราจะหันมาขอร้องลูกชายหัวดื้ออีกครั้ง

                “ทำตัวดีๆ นะ แม่ขอ แม่ไว้ใจน้าแพรมาก ถ้าศราเข้ากับลูกสาวของเขาได้ แม่จะเบาใจที่สุด อย่างน้อยลูกของแม่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล”

                แต่ก็ต้องไปอยู่ดี...

                เหมือนว่าหล่อนไม่เข้าใจที่เขาพูดไปสักอย่าง ไม่รับฟังแม้แต่คำเดียว สักแต่จะขับไสไล่ส่งเขาให้ออกไปใช้ชีวิตดีๆ ทิ้งหน้าที่บอดีการ์ดส่วนตัวของมารดาไป แต่กับพี่ๆ ทั้งสองไม่เคยสักครั้งที่มารดาจะหาบ้านใหม่ให้อยู่

                “คุณแม่จะให้ผมแต่งงานให้ได้เลยใช่ไหม”

                “แค่จะให้ดูๆ กันไว้ก่อน ไม่ไปตัดความสัมพันธ์...ศรา!”

                ศรายะไม่ฟังอะไรอีกแล้ว เมื่อรถจอดสนิทเขาก็เปิดประตูลงและก้าวยาวๆ เข้าไปในร้าน ความหงุดหงิดพลุ่งพล่านในใจ กวาดตามองรอบร้าน หาคนที่แม่นัดไว้ ไม่สนใจเสียงทักทายของพนักงานหนุ่มหลังเคาน์เตอร์

                หากไม่เอาคนนี้อีก พัตราก็จะหาคนใหม่ให้ไม่จบไม่สิ้น วิธียุติความพยายามของแม่คงมีแค่วิธีนี้เท่านั้น 

                เจอแล้ว...ผู้หญิงวัยกลางคนที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอมาก่อน หล่อนนั่งอยู่กับผู้หญิงผิวขาววัยประมาณเขา ผมสีดำขลับของเธอยาวสลวยเป็นคลื่น ดวงหน้าหวานไร้ที่ติ คิ้วซึ่งเป็นมงกุฎของใบหน้าเรียวยาวเหมาะเจาะกับดวงตากลมโต จมูกสวยรับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อ

                จะเป็นใครได้อีกล่ะ นอกจากน้าแพรพิไลกับคุณพุดมาแรง

                ศรายะเดินดุ่มๆ ไปยังโต๊ะของทั้งคู่ 

                “สวัสดีครับ ใช่น้าแพร เพื่อนคุณแม่พัตราหรือเปล่าครับ” ต้องถามให้แน่ใจสักหน่อย อีกฝ่ายจะได้พอนึกออกว่าเขาเป็นใคร

แพรพิไลคล้ายตั้งตัวไม่ทัน แต่ก็ยิ้มรับ 

“จ้ะ นี่ศราเหรอ โตแล้วจำไม่ได้เลยนะเนี่ย” 

เมื่อมั่นใจว่าใช่ชายหนุ่มจึงเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าจรวดพุ่งออกนอกโลก

“คุณครับ” เขาจ้องผู้หญิงหน้าสวยที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา “เรามาแต่งงานกัน”

                กริบ...

                พุดมาแรงเบิกตาค้างพอๆ กับแม่ของเธอ สติของทั้งคู่คงหลุดลอยไปพร้อมกัน ศรายะหัวเราะประชดตัวเองในใจ นี่สินะสิ่งที่แม่ของเขาต้องการ

                “ศรา!” พัตรากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาสมทบ ครั้นเห็นหน้าเพื่อนที่ดูตกใจก็สังหรณ์ใจไม่ดี

                “ผมขอลูกสาวน้าแพรแต่งงานแล้วนะครับ รอให้เขาตกลงก็จบ”

                “หา!” หญิงวัยกลางคนอึ้งตามไปอีกคน ขอฟันธงว่านี่เป็นอีกหนึ่งวิธีกวนประสาทของศรายะ แต่เดี๋ยวก่อน...ที่นั่งข้างๆ แพรพิไลไม่ใช่พุดมาลีแน่นอน หล่อนเคยพบลูกสาวเพื่อนสนิทครั้งหนึ่ง แม้จะนานแล้ว แต่ก็จำได้ว่าไม่ใช่คนนี้

                “ดะ...เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันอะไรกันพัตรา ศรา” แพรพิไลงงเป็นไก่ตาแตก ก็พอรู้ว่าเพื่อนอยากให้ลูกๆ ได้รู้จักกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ แต่ไม่คิดว่าศรายะจะก้าวกระโดดถึงขั้นขอแต่งงาน มิหนำซ้ำยังไม่ทำการบ้านมาให้ดี นี่ไม่ใช่พุดมาลีสักหน่อย!

                ลูกสาวของแพรพิไลไม่ชอบการนัดดูตัว จึงขับรถหนีไปต่างจังหวัดตั้งแต่เช้า คนเป็นแม่หนักใจไม่น้อยแต่ก็เข้าใจลูก หล่อนจึงมาที่คาเฟ่ของหลานสาวเพียงคนเดียวโดยไม่โทร. บอกเพื่อนว่าพุดมาลีไม่มา ตั้งใจว่าเมื่อพบหน้ากันแล้วค่อยบอก วันนี้อาจได้เพียงจิบกาแฟคนละแก้ว และพูดคุยปรับทุกข์เกี่ยวกับเรื่องในบ้านของพัตราที่หล่อนพอรู้มาบ้าง

                แล้วนี่มันอะไรกัน...

                “ก็วันนี้คุณแม่พาผมมาดูตัวลูกสาวน้าแพรไงครับ ดูแล้วผมชอบมาก อยากแต่งเลยทันที”

                ผัวะ!!

                แม่บังเกิดเกล้าฟาดกระเป๋าคลัชใส่แผ่นหลังเขาอย่างไม่ปรานี คราวนี้ศรายะไม่ร้องสักแอะ เขากัดฟันแน่น แววตาแสดงออกว่าเจ็บปวดทั้งกายและใจ ทำไมทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง

                “เอ่อ ศราจ๊ะ นี่ไม่ใช่พุดมาลีนะ ลูกสาวน้าไม่มา”

                “หืม?”

                ความเจ็บปวดมลายสิ้นเพราะความงุนงงเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มยืนตัวแข็ง ถ้าพุดมาลีไม่มา แล้วผู้หญิงสวยๆ ที่นั่งจ้องเขาอยู่ตรงนี้เป็นใคร

                จู่ๆ ขนกายของชายหนุ่มก็ลุกชัน รู้สึกว่าหน้าตาแม่ลูกคู่นี้ไม่เหมือนกันเลย แน่สิ เขาไม่ใช่แม่ลูกกัน!

                “นี่ลิส ลลิภัทร หลานสาวน้าเอง เจ้าของร้านนี้”

                ผิดคน!!!

                ถ้าเป็นพ่อมดเขาคงจะดีดนิ้วเป๊าะแล้วอันตรธานไปจากตรงนี้ในทันที แต่เขาดันเกิดมาเป็นมนุษย์ที่หนีได้ด้วยสองขา ซึ่งมันไม่ทันใจ เพราะขณะนี้ความอับอายตีกรอบไม่ให้เขาขยับขาหนีไปไหนได้

                ต้องเป็นเวรกรรมที่เขาเคยกลั่นแกล้งผู้หญิงสี่คนก่อนหน้านี้แน่ๆ...

                เจ้าของร้านหน้าหวานกะพริบตาเรียกสติตัวเอง ก่อนจะกระพุ่มมือไหว้ทักทายพัตราด้วยรอยยิ้มและลุกขึ้นยืนพร้อมแก้วกาแฟของเธอ

                “เชิญตามสบายนะคะ” เธอสบตาศรายะด้วย แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนเดินจากไป ซึ่งขณะนั้นชายหนุ่มยังเรียกสติกลับมาไม่ครบ

                “คือยายพุดติดนัดเพื่อนกะทันหันน่ะ” แพรพิไลอ้างพลางเลื่อนเมนูบนโต๊ะให้สองผู้มาใหม่ 

พัตราดึงลูกชายให้นั่งเก้าอี้และสั่งเสียงเข้ม

                “ศรา ขอโทษน้าแพรเดี๋ยวนี้” 

คนที่ยังคิดอะไรไม่เป็นระบบระเบียบทำตามอย่างว่าง่าย จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่กล้าหันไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งมีเจ้าของร้านยืนอยู่ ไม่สนใจเมนูตรงหน้าด้วยซ้ำ

                “รีบมากเหรอพัตรา ศราถึงได้พรวดพราดเข้ามาขอผู้หญิงแต่งงานสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้” แพรพิไลไม่ถือสาอะไร ออกจะขำด้วยซ้ำกับนิสัยขี้เล่นของลูกชายเพื่อนที่อายุเลยเบญจเพสไปแล้ว แต่คราวนี้เล่นได้น่าสะพรึงเลยทีเดียว

                “เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” พัตราค้อนให้ลูกชายหนึ่งวง

                “ก็คุณแม่อยากอยู่กับลูกสะใภ้ทั้งสองโดยไม่มีผมนี่” ถึงจะทำเรื่องขายหน้าไปแล้ว แต่ศรายะก็ยังเหลือหน้าบึ้งตึงไว้ให้คนเป็นแม่รับรู้ว่าน้อยใจอยู่ “ที่จริงเจ้าของร้านกาแฟก็ดีนะ”

                ประโยคสุดท้ายเขาพึมพำเสียงเบาจนพัตราฟังไม่ถนัดนัก หล่อนจึงเลิกสนใจและเริ่มคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน

                “หนูพุดมาลีเป็นยังไงบ้างล่ะ ถ้าวันนี้ติดนัด วันหลังค่อยมาเจอกันใหม่ก็ได้นะแพร”

                “อ่า...” แพรพิไลอ้ำอึ้งก่อนจะสารภาพตามตรง เพราะรู้ว่าพัตราเข้าใจอะไรง่ายๆ และจะไม่เซ้าซี้ใคร เว้นแค่เพียงศรายะ “เอาจริงๆ ยายพุดมันไม่อยากคบหาใครตอนนี้น่ะสิ”

                “คุณพุดมาลีตั้งใจไม่มาใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มรีบหาทางรอดให้ตัวเองทันที ถ้าแพรพิไลไม่ได้คิดไปเอง หล่อนเห็นว่าดวงตาคู่คมมีประกายวาววับอย่างถูกอกถูกใจด้วย

                “ปะ...เปล่าจ้ะ วันนี้ติดธุระจริงๆ” จะบอกว่าใช่ก็กระไรอยู่ แค่นี้ก็วางหน้าไม่ถูกแล้ว เมื่อสบโอกาสจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่หนูเอมกับหนูวินนี่เป็นยังไงบ้าง”

                พอมีชื่อเอมมาลินกับวิภาวีโผล่ขึ้นมา ศรายะก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หน้าเซ็งไปโดยอัตโนมัติ

                “สบายดีตามประสาเขานั่นแหละ เอมก็ช่วยตาภูทำงาน ส่วนวินนี่ท้องได้สี่เดือนแล้ว” พัตราตอบ

                “รู้หรือยังว่าหลานสาวหรือหลานชาย” 

                “หลานชาย”

                “ดีใจด้วยนะ คลอดแล้วฉันจะไปเยี่ยม”

                ศรายะเผลอย่นคิ้ว ดีใจอะไรกัน เด็กออกจะน่าสงสาร บ้านรวยก็จริง แต่พ่อกับแม่ไม่ได้ตั้งใจมี กีรติกับวิภาวีไม่ได้รักกันด้วยซ้ำ ฝ่ายชายมีหน้าที่รับผิดชอบด้วยการเลี้ยงดูลูกเมีย ฝ่ายหญิงก็อุ้มท้องไป คลอดออกมาแล้วคนเลี้ยงคงหนีไม่พ้นสาวใช้ที่บ้านกับสถานรับเลี้ยงเด็ก

                “เวลานี่มันก็ผ่านไปไวเนอะ ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งเรียนจบพร้อมเธอเมื่อวาน เดี๋ยวเดียวเธอจะได้อุ้มหลานซะแล้ว”

                ถ้าเมื่อวานคือสามสิบกว่าปีก่อน ศรายะคิดว่าแพรพิไลข้ามเวลามาไกลพอสมควร

                ชายหนุ่มไม่แทรกบทสนทนาที่ไหลลื่นของสองหญิงวัยกลางคน เขาสนใจเมนูบนโต๊ะ ดีไซน์เรียบง่ายเห็นทีจะเป็นจุดขายของร้านนี้ ภายในร้านมีเฟอร์นิเจอร์ประดับตกแต่งไม่เยอะ พื้นที่ดูโล่ง ทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังสว่างเพราะกระจกรอบร้านรับแสงอาทิตย์เข้ามา หากตรงไหนแดดแรงก็จะปิดม่านกันแสงเอาไว้

                “อ้อ ลืมสั่งน้ำเลย คุยเพลิน” พัตราเห็นลูกชายเปิดเมนูดูก็นึกขึ้นได้ หล่อนชำเลืองมองรายการเครื่องดื่มปราดเดียวแล้วสั่งเมนูเดิม “แม่เอาลาเต้เย็น”

                “ครับ น้าแพรเอาอะไรครับ” ศรายะเลือกเมนูของตัวเองได้ตั้งนานแล้ว แต่หาโอกาสลุกไปสั่งอยู่

                “อ้อ น้าเอาชาเขียวเย็นจ้ะ แต่ศราไม่ต้องจ่ายนะ บอกลิสเขาได้เลยว่าเดี๋ยวน้าจ่ายเอง” 

                ความจำของชายหนุ่มไม่ค่อยดีเรื่องชื่อคน แต่ชื่อนี้ฝังแน่นติดตรึงในความทรงจำ ลิสคือลลิภัทร คนที่เกือบจะได้แต่งงานกับเขาแล้ว...

                ร่างสูงลุกจากที่นั่งและเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่ม พยายามจะควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ถ้าไม่ใช่คนหน้าด้านเป็นทุนเดิมคงไม่กล้าย่างกรายเข้าใกล้เจ้าของร้านกับลูกน้องที่เห็นเขาปล่อยไก่ชัดเจน

                ปีเตอร์ย้ายไปทำหน้าที่อบขนมให้ลูกค้า ขณะนี้จุดรับออร์เดอร์กลายเป็นของลลิภัทรที่รอให้เขาเข้ามาหา เธอยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตร ไม่ถือสาเรื่องเข้าใจผิดเมื่อสักครู่

                “รับอะไรดีคะ”

                “คาปูชิโนร้อนหวานน้อยครับ” ตอนสั่งเขาชั่งใจว่าควรจะพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่ปากของเขาหนักเอาเรื่อง

                “ชอบทานร้อนเหรอคะ” ลลิภัทรมักจะถามลูกค้าแบบนี้ประจำเวลาได้รับออร์เดอร์ที่เป็นเมนูโปรดของเธอ กดปลายนิ้วบนหน้าจอสัมผัสตรงหน้าอย่างว่องไวตามความเคยชิน ครู่เดียวก็สบตาลูกค้าหนุ่มอีกครั้ง

                “ครับ แล้วก็เอาลาเต้เย็นกับชาเขียวเย็น หวานปกติครับ ทั้งหมดเท่าไร” ศรายะหยิบธนบัตรสีม่วงออกมาจากกระเป๋าสตางค์และวางบนเคาน์เตอร์ ถือว่าเลี้ยงแทนคำขอบคุณแพรพิไลที่ไม่บังคับให้ลูกสาวมา

                “ป้าแพรบอกว่าไม่ต้องคิดค่ะ แต่เดี๋ยวลิสให้แต้ม”

ไม่บ่อยนักที่ลลิภัทรไม่ฟังความต้องการของลูกค้า แต่ครั้งนี้เธอเชื่อฟังผู้เป็นป้าที่ออกปากสั่งมาว่าไม่ต้องคิดเงิน เธอส่งออร์เดอร์ให้บาริสตาแล้วปั๊มบัตรสะสมแต้มให้ ขณะที่อีกฝ่ายจำต้องเก็บเงินเข้ากระเป๋าสตางค์ไป

                “หนึ่งแก้วได้หนึ่งแต้ม ครบสิบแก้วได้ฟรีหนึ่งแก้วนะคะ ตอนนี้คุณได้สามแต้มแล้ว”

                นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ศรายะจะมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าไม่ถูกใจหรือรู้สึกอับอาย สาเหตุเดียวคือเข้าซอยลึกไป แต่เจ้าของร้านอุตส่าห์ให้บัตรสะสมแต้มมาก็ต้องรับไว้

                ไม่มีอะไรแล้วก็ว่าจะกลับไปนั่งที่ แต่เขาดันไม่สามารถทำเป็นลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตลอดรอดฝั่ง 

                “เมื่อกี้ขอโทษนะครับ”

                ลลิภัทรเข้าใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร เธอไม่ถือสาเอาความ ถึงจะยังไม่รู้ชัดก็ตามทีว่าทำไมเขาถึงพรวดพราดเข้ามาขอผู้หญิงแต่งงาน

                “ถ้ารู้จักคุณพุดมาลี ฝากบอกเขาด้วยนะครับว่าขอบคุณมากที่ไม่มา” เขาสบตาคู่หวานนิ่ง เวลานั้นก้อนเนื้อในอกกระตุก ก็คงเป็นธรรมชาติของผู้ชายเวลาเจอผู้หญิงสวย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย

                “ไม่ค่อยคุยด้วยเท่าไรค่ะ ฝากป้าแพรไปบอกสิคะ” ลลิภัทรเหลียวมองแพรพิไล เธอให้คำแนะนำที่ตลกร้ายจนศรายะอยากขำ “ไม่เคยเจอกัน ทำไมถึงไม่ชอบล่ะคะ”

                “ไม่ได้ไม่ชอบครับ แค่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเจอ”

                “ก็นึกว่าคุณอยากแต่งงานไวๆ” 

                คราวนี้ศรายะแค่นหัวเราะประชดโลก “เปล่า แม่ผมต่างหากที่อยากให้ผมแต่งงานไวๆ แล้วออกไปอยู่นอกบ้าน ก่อนที่ผมจะรบกับพี่สะใภ้จนเสียสติไปก่อน”

                เขาไม่มีปัญหากับการป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับบรรดาเมียๆ ของพี่ชายไม่ค่อยดีเท่าไร ไม่แน่คนตรงหน้าอาจจะพอรู้เรื่องของเขาจากปากแพรพิไลแล้ว 

เธอไม่ได้แสดงอาการอยากรู้เรื่องต่อ เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและทิ้งประโยคที่อ่อนโยนต่อจิตใจคนฟังไว้ให้

“ลำบากใจเมื่อไรก็มานั่งร้านนี้ได้นะคะ เปิดตั้งแต่เก้าโมงถึงสองทุ่ม”

สรุปได้ว่าเจ้าของร้านไม่ได้มีดีแค่สวย สกิลการขายก็ดีไม่ใช่เล่น

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น