บรรยากาศในบ้านเรืองรัตนพัฒน์ตอนสี่ทุ่มกว่าเงียบเชียบ ไฟส่วนใหญ่ถูกปิด เหลือเพียงไฟบริเวณโซฟารับแขกที่เปิดทิ้งไว้เพราะยังมีสมาชิกของบ้านคนหนึ่งที่นั่งหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว
วิภาวีอยู่ในชุดนอนยาวผ้าซาตินสีขาว สวมเสื้อคลุมตัวบางทับอีกชั้น คิ้วเรียวขมวดเป็นปมตลอดเวลาที่นั่งรอสามีกลับบ้าน ปกติเธอไม่มานั่งอยู่อย่างนี้ แต่วันนี้นอนไม่ค่อยหลับเพราะหิวกลางดึก กินอะไรไม่อิ่ม จึงลงมาหาของว่างและถือโอกาสรอกีรติไปด้วย
“อ้าว วินนี่” เอมมาลินเดินผ่านมาเจอเธอเข้าจึงมานั่งเป็นเพื่อน ในมือมีขวดน้ำที่ตั้งใจเอาไปดื่มบนห้อง “มานั่งทำอะไรคนเดียว ดึกแล้วนะ”
“รอคุณกีร์น่ะสิ จะกลับตีอะไรก็ไม่รู้”
“ปกติเธอไม่รอนี่”
“วันนี้ฉันนอนไม่หลับด้วย แป๊บๆ หิวตลอดเลย” วิภาวีหน้างอแล้วเอื้อมมือไปหยิบบราวนีชีสเค้กในกล่องเข้าปาก
“ของใครเนี่ย” เอมมาลินถาม ลองนับช่องว่างในกล่องคาดว่าเพื่อนสนิทกินไปแล้วสี่ชิ้น
“ไม่รู้ มันอยู่ในตู้เย็น ฉันก็หยิบมา เธอกินได้นะ”
“ไม่ละ ดึกแล้ว” สะใภ้คนโตของบ้านยิ้มบาง มองหน้าเพื่อนสลับกับขนมในกล่อง ถ้าเป็นของคนอื่นคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นของศรายะละก็ พรุ่งนี้ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
“นี่ เมื่อไรเธอจะท้องอะ รีบมีลูกมาเล่นกับลูกฉันสิ” วิภาวีแลบลิ้นเลียริมฝีปาก จบแค่ชิ้นที่สี่เพราะเริ่มอิ่มแล้ว
“คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ฉันอยากทำงานก่อน” เรื่องนี้เอมมาลินคุยกับภูริทัตแล้ว ไว้ลูกชายของวิภาวีโตสักหน่อย ทั้งคู่ค่อยมีบ้างก็ได้ แต่เหตุผลส่วนตัวที่สามีไม่รู้คือ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้อยากมีลูก ครั้นจะบอกตามตรงก็เกรงว่าคนที่ใฝ่ฝันอยากมีเจ้าตัวน้อยจะผิดหวัง ท้ายที่สุดแล้วเธออาจต้องมี
“รวยอยู่แล้วจะทำไปทำไมเยอะแยะ บ้างานจริงๆ เลย”
อีกฝ่ายบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เอมมาลินเพียงแต่หัวเราะในลำคอ ยังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้ายามเมื่อมองเพื่อนคนนี้...
สมัยมหาวิทยาลัย คุณหนูไฮโซอย่างเธอมีคนรู้จักมากมาย แต่เพื่อนสนิทจริงๆ จังๆ มีอยู่แค่ไม่กี่คนเพราะเธอไม่สนิทสนมกับใครง่ายๆ หนึ่งในนั้นคือคนไม่มีอะไรเลยอย่างวิภาวีที่อยากเป็นจุดเด่นในสายตาคนอื่น
เธอมองวิภาวีออก รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าหาเพราะเงินทอง ในตอนแรกที่สาวสวยคนนี้เข้ามาตีสนิทด้วย เธอพยายามตีตัวออกหาก ทว่าวิภาวีไม่ละความพยายาม ตามติดเธอไปทุกที่และเที่ยวบอกใครต่อใครว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ
นานวันเข้าก็ชักชิน...ชินกับการถูกขอให้เลี้ยงอาหารแพงๆ ชินกับการถูกลอบมองอย่างอิจฉาตาร้อนเวลาที่เธอได้คะแนนสูงสุดในคลาส และชินกับคำชื่นชมที่ฟังอย่างไรก็ไม่จริงใจ ชินกับการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนแบบนี้ วิภาวีไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะเวลาผ่านไปแล้วกี่ปี ยังคงดันทุรังผลักดันตัวเองให้สูงส่งอยู่เสมอ
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับชัยชนะที่แท้จริง
คว้าผู้ชายก็ได้แค่ตัว ไม่ได้หัวใจอย่างที่เธอได้
“ทำไมเงียบไป” วิภาวีทักเมื่อบรรยากาศเกิดเงียบสงัด
“ฉันคิดถึงสมัยเรียนน่ะ”
ว่าที่คุณแม่ยิ้มร่า ก่อนจะเขยิบเข้าใกล้เพื่อนซี้ “ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะได้เป็นครอบครัวเดียวกับเพื่อนที่แสนดีของฉัน”
เพื่อนที่แสนดี...
คราวนี้ความคิดของเอมมาลินย้อนกลับไปเมื่อสมัยเรียนอย่างจริงจัง
เธอรู้จักกับวิภาวีตอนอยู่ปีสอง เรียนคลาสเดียวกัน นั่งข้างกัน ทำงานด้วยกันเสมอ วิภาวีไม่จริงจังกับการเรียนเท่าเธอจึงไม่สามารถช่วยติวได้ ซ้ำยังชวนไปชอปปิงหลังเรียนเสร็จทั้งที่อยู่ในช่วงใกล้สอบ
‘ฉันต้องติวโลจิกก่อน’ เอมมาลินไม่เก่งวิชาตรรกศาสตร์ เธอเครียดกับวิชานี้มากจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่น เช้าวันนี้ตั้งใจมาอ่านหนังสือเตรียมตัวสำหรับการเรียนการสอนสองชั่วโมงสุดท้ายของเทอม แต่แล้วก็ถูกรบกวน
‘ไปแป๊บเดียวเอง’ เพื่อนผู้ไม่ใฝ่เรียนกระเง้ากระงอด
‘หลังสอบนะ’
‘ก็ได้ๆ แล้วนี่เธอจะไปไหน’ วิภาวีเอ่ยถามเมื่อเอมมาลินทำท่าจะเดินจากไป
‘ร้านกาแฟ’
‘ฉันไปด้วย!’
ด้านล่างคณะมีร้านกาแฟอยู่หนึ่งร้าน ซึ่งเปิดรับนักศึกษาเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างเป็นรายชั่วโมง เอมมาลินไปที่นั่นทุกเช้า สาเหตุไม่ใช่เพราะบรรยากาศหรือรสชาติของกาแฟ แต่เธอต้องการพบใครบางคน
ภายในร้านมีลูกค้าอยู่สองสามคน ร่างบางเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ วันนี้เหมือนทุกวันที่มีหญิงสาวหน้าหวาน ผิวขาว ผมดำขลับยาวสลวยเป็นคลื่นยืนประจำแคเชียร์ เปิดรอยยิ้มกว้างน่ามองรับลูกค้าเสมอ
‘อ้าวเอม วันนี้มอคคาเหมือนเดิมไหม’
‘อื้ม เย็นนี้เธอว่างไหมแสนดี ไปติวโลจิกให้หน่อย’
คนที่กำลังคีย์ออร์เดอร์ทำหน้าเสียดาย ‘มีแข่งน่ะสิ’
เอมมาลินถอนหายใจห่อเหี่ยว ขณะที่เพื่อนอีกคนมีเวลาว่างล้นเหลือและเอาแต่ชวนไปเที่ยว เพื่อนคนนี้กลับใช้เวลาทุกนาทีที่มีอย่างคุ้มค่า ตื่นเช้ามามหาวิทยาลัยเพื่อทำงานในร้านกาแฟก่อนเข้าเรียนตามเวลา ตั้งใจเรียนตอนอยู่ในห้องเพราะรู้ว่าเวลาว่างสำหรับอ่านทบทวนมีน้อย ตกเย็นก็วิ่งไปสนามแบดมินตันเพื่อซ้อมกับโคช การแข่งขันแต่ละครั้งหวังเพียงเงินรางวัลจากชัยชนะ
มนิศราคือมดงานดีๆ นี่เอง
‘ถ้าฉันรอเธอแข่งจนเสร็จล่ะ’
‘ได้นะ แบบนี้เธอก็อยู่เชียร์ฉันขอบสนามเลยน่ะสิ’ มนิศรายิ้มยินดี ก่อนที่วิภาวีจะเข้ามาขัด
‘เธอไม่ร้อนหรือไงเอม ในยิมอบจะตาย’
‘เธอไม่อยากไป เธอก็ไม่ต้องไป กลับบ้านไปก่อนเลย’ เอมมาลินบอกเพื่อนสาวขี้บ่น
‘ไม่เอาอะ จะติวด้วย’ เรื่องอะไรวิภาวีจะปล่อยให้เพื่อนฉลาดกันอยู่สองคน อีกอย่าง เธอไม่อยากกลับบ้านเร็วไปช่วยแม่ย่างไส้อั่วขาย ยืนหน้าเตาถ่านร้อนยิ่งกว่าอยู่ในโรงยิมเสียอีก
‘หกสิบห้าบาท เดี๋ยวฉันทำไปให้นะ’ มนิศรารับเงินมา ก่อนจะเอ่ยแซวคนที่ชอบทำหน้ามุ่ยให้เห็นตลอด ‘เธอรอข้างนอกยิมก็ได้วินนี่ จะได้ไม่หน้าบูดเป็นตูดลิง’
‘อีแสนดี!’
พนักงานพาร์ตไทม์ยิ้มขันจนดวงตาสีนิลกลายเป็นสระอิ เอมมาลินส่ายหน้าอย่างระอาใจ ก่อนจะเดินไปหาที่นั่งและเปิดชีตเรียน
ถ้าชีวิตมีแต่เพื่อนอย่างวิภาวีคงปวดหัวหนัก โชคดีที่ได้รู้จักมนิศราตอนทำงานกลุ่มด้วยกัน มนิศราไม่ใช่คนเพื่อนเยอะเพราะสนิทกับรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันในร้านกาแฟมากกว่า ตอนอาจารย์สั่งให้จับกลุ่มจึงเดินมาขออยู่กลุ่มเดียวกับสองสาว
เอมมาลินมองว่ามนิศราพึ่งพาได้เสมอ หัวดี ตั้งใจกับทุกอย่าง แม้ว่าฐานะครอบครัวจะไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่เคยร้องขออะไรจากใคร ขยันทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินให้ได้ด้วยตนเอง ครั้งหนึ่งเธอเคยเสนอเลี้ยงอาหารดีๆ ตอบแทนที่ช่วยติวหนังสือให้ ทว่าอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ขณะที่วิภาวีไม่เคยทำแบบนั้นเลยสักครั้ง
ไม่ต้องเสียเวลาคิดก็สรุปได้ว่าใครน่าคบกว่ากัน
‘มอคคาได้แล้ว’
มนิศราวางแก้วกาแฟบนโต๊ะ ตามด้วยจานขนมที่เอมมาลินไม่ได้สั่ง
เห็นเพื่อนทำหน้าสงสัยพนักงานสาวจึงไขข้อข้องใจ‘บราวนีสูตรใหม่ของร้าน ฉันอยากให้เธอสองคนลองชิมหน่อย จะได้เอาไปบอกพี่เขาว่าควรปรับอะไรบ้าง’
เจ้าของร้านกาแฟแห่งนี้ทำเบเกอรีขายเองและมักจะออกเมนูใหม่ๆ ในช่วงเทศกาล ปลายปีนี้เป็นบราวนีสตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก เมื่อลองทำแล้วก็แจกจ่ายให้พนักงานลองชิมดู มนิศราเห็นว่าขนมเหลือเยอะจึงเอามาแบ่งเพื่อน
วิภาวีคว้าช้อนมาตัดบราวนีชิมหนึ่งคำ ก่อนจะติว่า ‘ขมไป ฉันอยากได้หวานกว่านี้’
เอมมาลินหยิบช้อนอีกคันมาลองชิมบ้าง คงเพราะเธอไม่ชอบรสหวานเท่าไรจึงพอใจกับความหวานประมาณนี้ ‘ฉันว่าอร่อยแล้ว’
‘ฉันก็ว่าแบบนี้โอเคแล้ว ไม่หวานไป...อุ๊ย ลูกค้ามา’
มดงานตัวบางในชุดนักศึกษาวิ่งรี่ไปอยู่หลังเคาน์เตอร์เพื่อรับออร์เดอร์ลูกค้าที่เข้ามาใหม่ เอมมาลินตักบราวนีเข้าปากเรื่อยๆ จนหมดขณะที่อีกคนยอมแพ้ตั้งแต่คำแรก จากนั้นหญิงสาวก็ส่งข้อความบอกพศินว่าจะกลับช้าเพราะต้องไปเชียร์เพื่อนแข่งแบดมินตัน
เพื่อนที่ชื่อว่าแสนดี
“โอ๊ย ไม่ตอบไลน์สักที!”
เสียงแหลมสูงของวิภาวีดึงเอมมาลินให้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน คนท้องขี้โมโหจ้องแชตของสามีที่อีกฝ่ายตอบกลับไม่กี่ครั้ง ก่อนจะคว่ำโทรศัพท์ลงบนโซฟา
เอมมาลินไม่ได้พูดอะไรเพราะยังฉงนใจว่าทำไมจู่ๆ ก็คิดถึงเพื่อนที่หายสาบสูญไปนานแล้ว อาจจะเป็นเพราะคำว่าแสนดีที่หลุดออกจากปากของวิภาวี...กับบราวนีสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กที่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ
“เออนี่เอม ฉันได้ยินจิ้งหรีดคุยกับโพธิ์ว่าคุณศรากำลังจีบหญิงอยู่ เธอพอรู้อะไรบ้างไหม” วิภาวีเริ่มประเด็นใหม่ที่น่าสนใจพอควร เธอพอรู้ว่าพัตราอยากให้ลูกชายคนเล็กมีเมียสักที จึงพาไปดูตัวอยู่บ่อยๆ วันดีคืนดีเขาดันเจอคนที่ถูกใจ ไม่แน่บ้านนี้อาจมีสมาชิกเพิ่มในไม่ช้า
ถ้าผู้หญิงของศรายะนิสัยเหมือนเขา วิภาวีคงได้ประสาทเสียกว่าเดิม
“รู้แค่ว่าเป็นเจ้าของคาเฟ่” เอมมาลินได้ยินภูริทัตพูดถึงอยู่ เขารู้เรื่องมาจากพัตราอีกที เธอไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของศรายะมากนัก เพราะช่วงนี้วุ่นอยู่กับการซื้อขายที่ดินของพศิน สัปดาห์หน้ากระบวนการต่างๆ คงเสร็จสิ้นตามที่ต้องการ
“ฉันละอยากเห็น...”
“ฉันขึ้นห้องก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ภูสงสัยว่าลงมาทำไมนาน” หญิงสาวตัดบทและลุกขึ้นยืน แสร้งมองไม่เห็นดวงตาของคู่สนทนาที่วาววาบด้วยไฟริษยา
เพราะเธอมีสามีอยู่ในห้องนอน ไม่ได้อยู่นอกบ้าน
ถึงแม้ว่าร้าน Perfect Cup จะเปิดทุกวัน แต่ใช่ว่าจะไม่มีวันหยุด ในช่วงเทศกาลสำคัญลลิภัทรมักจะปิดร้านเพื่อให้พนักงานได้พักผ่อนอยู่กับครอบครัว ช่วงสิ้นปีก็เช่นกัน เธอจะปิดร้านสี่วันและใช้ชีวิตเงียบๆ คนเดียว...
ถ้าศรายะอนุญาต
เขาไปพัทยาในวันอาทิตย์และค้างที่นั่นหนึ่งคืน แม้ตัวจะไป แต่คอยส่งข้อความมาคุยด้วยตลอด บางทีก็ถ่ายวิดีโอวิวทะเลส่งมาให้ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวกับเขาด้วย
หญิงสาวอมยิ้มเสมอเมื่อได้อ่านข้อความจากคนไกล จินตนาการได้ถึงวิธีการพูดแบบมั่นใจในตัวเองและติดตลก แต่ละวันที่ผ่านพ้นเธอได้รู้จักเขามากขึ้น ได้เห็นเขาในมุมต่างๆ เมื่อเริ่มสนิทกัน เธอฟังเขาบ่นพี่สะใภ้ที่แย่งบราวนีกินไปครึ่งกล่องมาแล้ว สรุปได้ว่าเขาเป็นคนขี้บ่นในระดับหนึ่ง
หลังปิดร้านเธอให้เวลากับพนักงานทั้งสามด้วยการพาไปกินหวานเย็น ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าเธอกำลังถูกไฮโซหนุ่มจีบ แป๋วกับดิวเชียร์เต็มที่ แต่ปีเตอร์ขออยู่เฉยๆ เพราะหมั่นไส้ศรายะเกินกว่าจะสนับสนุน
เนื่องจากตุ๊กตาสโนว์แมนตัวใหญ่ไม่สามารถร่วมเตียงกับเธอได้ เธอจึงต้องเอามันไปนั่งเก้าอี้ข้างตู้เสื้อผ้า ก่อนนอนเธอเห็นหน้ามันทุกวัน มันคอยส่งยิ้มให้กำลังใจเธออยู่เสมอ
ตอนหนึ่งทุ่มของวันจันทร์ศรายะเปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมถุงของฝากมากมาย ขณะนั้นลลิภัทรเสิร์ฟขนมให้ลูกค้าอยู่ เธอเห็นเขาเดินไปยื่นขนมจากสามถุงให้ปีเตอร์
“แบ่งกันกับน้องๆ นะ”
“ขอบคุณครับ สามถุงนี่ของผม ดิว และก็แป๋วใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“แล้วของพี่ลิสล่ะครับ” พนักงานหนุ่มพยักพเยิดไปทางลลิภัทรที่เดินมาใกล้
ศรายะหันมองเธอ ก่อนจะยื่นถุงขนมไทยอย่างอื่นให้
“ของวีนัสต้องเป็นขนมอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ขนมจาก ชื่อมันไม่ดี”
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวรับมาไว้ในมือ
ปีเตอร์กลอกตาเป็นเลขแปด ยังไม่ทันเป็นแฟนเจ้าของร้านก็ไล่พนักงานออกด้วยขนมเสียแล้ว ส่วนคำว่าวีนัสที่ใช้เรียกเธอทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครชิน
“เมื่อวานพี่ลออมาทำงานหรือเปล่าครับ”
“มาค่ะ ลิสจ่ายไปแล้ว ที่จริงคุณไม่ต้องแบ่งจ่ายกับลิสแล้วก็ได้นะ” นับวันเธอยิ่งเกรงใจเขา วันไหนที่ไม่จ่ายค่าจ้าง เธอรู้สึกแปลกๆ และก็กลัวตนเองจะลืมจ่ายเมื่อถึงคิวจนลออต้องทวง
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจ่ายเป็นเงินเดือนให้พี่เขาไปเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ นี่ร้านของลิสนะ”
“คุณศราจีบพี่ลิสเพื่อฮุบกิจการเหรอครับเนี่ย!” ปีเตอร์แสร้งทำหน้าตื่นก่อนจะถูกลูกค้าวีไอพีของร้านตวัดสายตามองอย่างรำคาญใจ
“เอาขนมจากไปกินให้หมดสามถุงเลยดีไหม”
ศรายะไม่แปลกใจที่คนที่นี่รู้หมดแล้วเรื่องที่เขาจีบลลิภัทร ใครไม่รู้สิแปลก เล่นมาหาตอนร้านใกล้ปิดทุกวัน ช่วงนี้บัตรสะสมแต้มไม่ค่อยได้ใช้ เพราะไม่ได้อุดหนุนเครื่องดื่มเลย สงสัยต้องสั่งกาแฟไปเลี้ยงพนักงานในออฟฟิศสักวัน
“สรุปให้ลิสจ่ายทั้งหมดนะคะ ไม่อย่างนั้นลิสไม่เอาของฝากของคุณนะ” เธอยื่นถุงขนมคืนด้วยสีหน้าจริงจัง ทว่าอีกฝ่ายพยักหน้าและรับคืนแต่โดยดี
“ให้น้องเขาไปกินก็ได้ครับ” ถุงขนมของลลิภัทรถูกวางไว้ข้างๆ ถุงขนมจาก
“คุณศรา...”
“เอาอย่างนี้ คุณมาเป็นแฟนผม แล้วผมจะตามใจคุณทุกอย่างเลย” คนพูดฉีกยิ้มสดใส ทว่าแววตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวเหลือเกิน
หญิงสาวยืนอึ้ง ปีเตอร์ที่ได้ยินชัดเต็มสองหูก็เช่นกัน
“อย่างนี้ก็ได้เหรอครับคุณศรา”
“เอาขนมไปเก็บก่อนนะคะ เรื่องพี่ลออพักไว้ก่อน” เจ้าของร้านจำต้องล้มเลิกความตั้งใจและคว้าขนมทั้งหมดไปเก็บหลังร้าน หนีเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ไล่หลังมา
ลออมาตรงตามเวลาทุกวันและเจอศรายะจนกลายเป็นเรื่องปกติ มีเจ้านายมาเฝ้าตอนทำงานพิเศษขนาดนี้ หากไม่ทำเต็มที่อาจถูกตำหนิเอาได้ ดูเหมือนว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคือ การที่ร้านปิดเร็วขึ้นแต่ลลิภัทรเหนื่อยน้อยลง
ศรายะไม่ได้ชวนเธอออกไปข้างนอกทุกวัน ถ้าไม่รู้จะไปไหน ทั้งสองคนก็จะนั่งอยู่ในร้าน วันนี้ก็เช่นกัน เขานั่งมองเธอทำบัญชี บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ เพราะเธอแยกสมาธิในการทำงานและคุยกับเขาได้
“คุณอยู่ที่นี่คนเดียวไม่กลัวเหรอ” ชายหนุ่มถาม ร้านนี้ทั้งอยู่ในซอยลึกและเงียบ ผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวค่อนข้างน่าเป็นห่วง
“ลิสชินแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบ สายตายังจับจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กสลับกับสมุดจดบันทึกเล่มบางที่มักใช้จดเรื่องจิปาถะ ส่วนใหญ่เธอจะเก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์มากกว่า
“ครอบครัวของคุณล่ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถามถึง หลังจากเก็บความอยากรู้มานานเพราะไม่กล้าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว
หญิงสาวชะงักนิ้วที่เคาะตัวเลข ดวงตาคู่งามไหววูบ วินาทีนั้นคนถามรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ดีเท่าไร
“แม่เสียแล้วค่ะ ส่วนพ่อ...แยกกันอยู่น่ะค่ะ ญาติคนอื่นก็เหลือแต่ป้าแพร”
เนื่องจากรู้สึกได้ว่าเธอพูดคำว่า ‘พ่อ’ เบากว่าคำอื่นๆ ราวกับไม่อยากพูดถึง เขาจึงไม่กล้าถามต่อว่าทำไมถึงต้องแยกกัน
“ไม่เหงาบ้างเหรอครับ”
ลลิภัทรสังหรณ์ว่าเขาต้องหยอดมุกอะไรสักอย่าง เธอเงยหน้าสบตากับคนที่มักอารมณ์ดีเสมอ เสน่ห์ของศรายะอยู่ตรงที่เข้ากับคนง่าย ขี้เล่นกับทุกคน บางทีเธอก็สงสัยว่ากับผู้หญิงคนอื่นเขาหยอดแบบนี้ไหม
“ชินแล้วค่ะ” เธอย้ำประโยคเดิม
“แล้วชินกับที่ผมมาหาเกือบทุกวันหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิคะ” หญิงสาวปิดโน้ตบุ๊กแล้วเหลียวมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เข็มสั้นตรงกับเลขเก้าพอดี “กลับเถอะค่ะคุณศรา ดึกแล้ว”
เจ้าของร่างสูงยอมลุกขึ้นแต่โดยดี เธอลุกตาม ก่อนจะเดินนำไปเปิดประตูร้าน
“ขอบคุณที่นั่งเป็นเพื่อนนะคะ”
“ไม่ได้นั่งเป็นเพื่อนสักหน่อย”
ลลิภัทรหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ และยอมแก้ใหม่ให้ตามที่เขาต้องการ
“นั่งเป็นคนพิเศษก็ได้ค่ะ”
แม้ว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างจริงจังแค่ตอนฟ้ามืด แต่ศรายะกลับไม่รู้สึกว่ามันมืดเลยสักวัน คงเพราะผู้หญิงคนนี้สว่างไสวเหมือนพระอาทิตย์ยามเช้า และถ้าเขาจะเปรียบเทียบตัวเองเป็นดอกทานตะวันก็คงไม่ผิด
กลับมาถึงบ้านวันนี้ ศรายะพบว่าพัตรานั่งดูโทรทัศน์อยู่ แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือข้างกายมีกีรตินั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วย ร่างสูงสาวเท้าไปนั่งเคียงข้างมารดา ก่อนจะส่งคำถามให้พี่ชายที่ไม่น่าอยู่บ้านในเวลานี้
“ทำไมไม่ไปคลับอะ”
“วินนี่ไม่ค่อยสบาย” กีรติตอบสั้นๆ อาการป่วยของวิภาวีทำให้เขาต้องฝากร้านให้เพื่อนสนิทดูแลในวันนี้
“เฮ้ย มีโหมดดูแลเมียด้วยเหรอ แล้วนี่อะไร” ศรายะยื่นมือไปพลิกดูปกหนังสือ ก่อนจะเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน “วิธีการเลี้ยงเด็ก!”
“เบาๆ ศรา พี่เขาอ่านแล้วมันแปลกตรงไหน” พัตราตีเข่าลูกชายคนเล็กเบาๆ ศรายะยังคงหัวเราะเพราะตลกพี่ชายตัวเอง เห็นนิ่งๆ ไม่แยแสวิภาวีแต่ก็มีช่วงเตรียมตัวเป็นสามีและคุณพ่อที่ดีเหมือนกัน
“เออ ไม่แปลก แกคิดว่าวินนี่เลี้ยงเด็กได้เหรอ” กีรติปิดหนังสือและวางไว้บนโต๊ะ “แล้วแกน่ะยังไง คุณแม่บอกว่ากลับดึกทุกวันเพราะไปหาสาว”
“ช่ายยย เพราะว่าสาวที่ไปหาน่ะทำงานหามรุ่งหามค่ำ ว่างแค่ดึกๆ ไม่ได้นั่งกินนอนกินเหมือนสาวของใครบางคนที่นี่”
“ไอ้ศรา” คนถูกแซะหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง หมายจะโบกหัวน้อง โชคดีที่พัตรายกมือห้ามทัพไว้ทัน
“นี่ๆ ไม่กัดกันเองสิ ศรา พี่เขาถามดีๆ นะ”
“ครับๆ ขอโทษนะพี่กีร์” ศรายะแกล้งดัดเสียงอ่อน กีรติต้องข่มอารมณ์หนักมากไม่ให้สันหนังสือไปกระแทกหัวน้องเข้า “นี่ตั้งชื่อลูกยัง”
“ยังอะ แต่อยากให้มี ก. ไก่”
“ชื่อไก่ไปเลย จะได้มีอารมณ์ขัน ไม่หน้าตึงเหมือนพ่อ”
“ฉันจะหาหนังสือตั้งชื่อเด็กมาตบหัวแก” กีรติชักทนความกวนประสาทถี่ๆ ไม่ไหว ถึงกับต้องลุกขึ้นพร้อมคู่มือเลี้ยงเด็กและยอมกลับขึ้นห้องไปอยู่กับภรรยา “ผมไปแล้วนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณแม่”
พัตราพยักหน้า คล้อยหลังลูกชายคนกลางก็ตวัดสายตามองลูกชายคนเล็กที่อารมณ์ดีกว่าปกติ คนที่ควรชื่อไก่น่าจะเป็นเขามากกว่า
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ ดีขึ้นทุกวัน” ใบหน้าของศรายะยังคงเปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาเปล่งประกายเสมอเวลาพูดถึงลลิภัทร
คนเป็นแม่ผุดยิ้ม เห็นทีต้องโทร. ไปคุยกับแพรพิไลว่าอาจจะได้ดองกันเร็วๆ นี้ หล่อนมั่นใจว่าลลิภัทรจะไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง และเป็นความสุขที่ศรายะควรมี
“ไหน เล่าให้แม่ฟังหน่อยว่าวันนี้ทำอะไรมาบ้าง”
ชายหนุ่มเริ่มเล่าทันทีโดยไม่รีรอ เขาอาจใช้เวลาทั้งคืนในการพูดถึงช่วงเวลาดีๆ กับเทพธิดาผู้งดงามของเขา หากไม่เกิดเรื่องที่จะพลิกชีวิตของเขาให้กลับตาลปัตรภายในคืนเดียวขึ้นเสียก่อน
ความคิดเห็น |
---|