บทที่ 9

บทที่ ๙

                วิภาวีรู้สึกว่าอาการป่วยของตัวเองค่อนข้างประหลาด...

                เมื่อวานเธอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงหดหาย มีอาการปวดท้องช่วงล่างจนต้องนอนติดเตียง ต้องวานให้จิ้งหรีดเอากับข้าวขึ้นมาให้พร้อมยาบำรุงครรภ์ จากนั้นก็นอนหลับยาว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามีกลับบ้านมาตอนไหน

                กีรติสังเกตได้ในเช้าวันนี้ว่าคนเป็นภรรยาอ่อนเพลีย แม้คิดว่าเธอไม่น่าเป็นอะไรมาก แต่ก็อยู่ดูอาการทั้งวัน ระหว่างนั้นเขานั่งอ่านหนังสือเพลินๆ วันนี้เธอไม่พูดมากให้เขาปวดหัว เอาแต่นอนซมอย่างเดียว ตกเย็นเขาว่าจะไปทำงาน แต่เธอกลับหยุดเขาด้วยคำพูดไม่กี่คำ

                “ปวด...ท้อง...”

                กีรติตัดสินใจทิ้งร้านทันที อาการที่เกี่ยวกับท้องเขาไม่ไว้ใจสักเท่าไร พอถามว่าจะไปหาหมอไหม เธอก็บอกว่าขอนอนก่อน เขาจึงรอดูอาการเธออีกนิด

                ตอนกลับเข้าไปในห้อง เขาเห็นวิภาวีนอนตัวงอ เสียงครางโหยดังขึ้นเป็นระยะๆ ร่างสูงรุดไปที่เตียงและเอาหลังมือทาบหน้าผากกลมมน ก่อนจะพบว่าเธอมีไข้อ่อนๆ

                “ไปหาหมอดีกว่าไหม”

                “ปะ...ไปค่ะ” หญิงสาวหายใจแรง มือเรียวคว้ามือเขาเอาไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวซ่อนความหวั่นกลัวบางอย่าง “คุณกีร์ วินนี่ว่า...มันเหมือนตอนปวดท้องเมนส์เลยค่ะ”

                “ถ้าอย่างนั้นลุกเลย เดี๋ยวผม...” กีรติชะงักเมื่อดึงผ้าห่มที่คลุมร่างเธอออก และเห็นว่าผ้าปูสีขาวมีคราบเลือด เนื้อตัวของเขาเย็นเฉียบเมื่อไล่มองว่าต้นตอของเลือดมาจากไหน

                “โอ๊ย...”

                “วินนี่!!” เขาร้องลั่น ดวงตาเบิกโพลงจับจ้องอยู่ที่กึ่งกลางกาย วิภาวีใจเสีย เธอก้มสำรวจร่างกายตัวเองก่อนจะเห็นว่าชุดนอนสีฟ้าอ่อนมีคราบสีแดงเปรอะ พอลองเอามือแตะบั้นท้ายก็พบว่าเปียกชุ่ม

                กีรติเรียกสติกลับมาโดยเร็ว เขาลงจากเตียงไปเปิดประตูค้างไว้ ก่อนจะกลับมาอุ้มเธอออกจากห้อง

                “ศรา! ออกรถหน่อย!!”

                คืนธรรมดากลับกลายเป็นคืนแห่งความวุ่นวายเมื่อวิภาวีมีอาการที่น่ากลัว เสียงของกีรติเรียกทุกคนในบ้านให้ออกมาดู เมื่อศรายะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบไปสตาร์ตรถและเป็นสารถีพาพี่ชายกับพี่สะใภ้ไปโรงพยาบาล ส่วนพัตรา ภูริทัต และเอมมาลินตามมาสมทบทีหลัง

                วิภาวีถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินทันที เวลานี้สีหน้าที่มักเรียบนิ่งของกีรติมีแต่ความหวั่นวิตก เขาไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆ ได้ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาและลูก ทุกคนในครอบครัวเกาะกลุ่มรวมกัน พัตราคอยพูดให้กำลังใจ แม้ว่าลูกชายไม่สามารถรับสารได้ดีในเวลานี้

                กีรติเคยได้ยินว่ามีคนแท้งเพราะเครียด ถ้าเป็นอย่างนั้นความผิดอาจตกอยู่ที่เขาคนเดียว เพราะเขาคือสาเหตุหลักที่ทำให้วิภาวีอารมณ์ไม่ดีสักวัน

                ทันทีที่นายแพทย์ออกมาจากห้องฉุกเฉิน ชายหนุ่มก็พุ่งพรวดไปสอบถามอาการทันที

                “เขาเป็นอะไรครับหมอ ลูกผมยังปลอดภัยหรือเปล่า”

                แพทย์วัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง

                “เสียใจด้วยนะครับ หมอช่วยชีวิตเด็กไว้ไม่ได้”

                กีรติตัวชาดิก สมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ คล้ายกับมีอะไรบางอย่างบีบรัดหัวใจของเขาแน่น

                ช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ได้...

                หมายความว่าลูกของเขาไม่อยู่แล้วอย่างนั้นเหรอ...

ถึงจะไม่ได้ตั้งใจมีลูก แต่ก็ตั้งใจจะดูแลอย่างดี ไม่คิดว่าวันดีคืนดีเด็กคนนั้นจะจากไป ไม่ให้เวลาเขาได้เตรียมตัวเตรียมใจเลยสักนิด เหตุใดวันดีคืนดีถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้

                “หมอต้องตรวจร่างกายคุณผู้หญิงให้ละเอียดอีกที แต่รบกวนขอดูยาที่คุณผู้หญิงทานเป็นปกติได้ไหมครับ”

                “ไม่ได้ติดมาด้วยค่ะ แต่เดี๋ยวจะให้ลูกชายกลับไปเอามาให้” พัตราตอบแทนเพราะดูออกว่ากีรติยังช็อก จากนั้นจึงส่งสายตาให้ศรายะเป็นเชิงไหว้วาน เขาพยักหน้าตอบทันที ข่าวที่เพิ่งรู้ทำให้คนที่เกือบจะได้เป็นอาเสียศูนย์เช่นกัน

                ภูริทัตแยกกับเอมมาลินเพื่อไปกับน้องชาย เขาคิดว่าถ้าวิภาวีฟื้นคงอยากได้คำปลอบใจจากเพื่อนสนิทจึงบอกให้ภรรยาของเขาอยู่ที่นี่ ระหว่างทางสองพี่น้องคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างเดาไปเรื่อยว่าวิภาวีไปทำอะไรมา

                โพธิ์กับจิ้งหรีดตกใจไม่แพ้คนอื่นๆ เมื่อได้รู้เรื่อง สาวใช้ผู้ทำหน้าที่จัดยาเป็นประจำรีบส่งถุงยาให้ ขากลับไปยังโรงพยาบาลภูริทัตทำหน้าที่ขับรถแทน ส่วนศรายะนั่งดูฉลากยาทีละซอง

                “ก็ปกตินะ ไม่รู้วินนี่เขาไปกินยานอกอีกหรือเปล่า”

                “วันๆ ไม่ออกไปไหน จะไปหายามาจากไหนล่ะ คงเป็นเพราะสุขภาพกับอารมณ์เขานั่นแหละ” ภูริทัตเดาไว้อย่างนั้นตั้งแต่แรก เพราะวิภาวีดูเป็นคุณแม่ที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย

                “แต่ผมว่าต้องลื่นล้มแล้วคิดว่าไม่เป็นอะไร ก็เลยไม่บอกใคร”

                “แต่หมอไม่ได้พูดถึงรอยอะไรบนตัววินนี่เลยนะ”

                ศรายะถอนหายใจสั้นๆ คิดจนหัวแทบระเบิดแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น มาถึงโรงพยาบาลเขาก็เอายาให้พยาบาลนำไปตรวจทั้งถุง เวลานั้นวิภาวีถูกย้ายไปนอนในห้องพักผู้ป่วยและยังคงหลับใหลไม่ได้สติ กีรตินั่งเฝ้าด้วยสายตาหม่นหมอง ซึ่งเป็นภาพไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

                ถึงจะไม่ชอบหน้าพี่สะใภ้คนรองเอามากๆ แต่ศรายะก็ไม่อยากให้เธอพบเจอโชคร้ายแบบนี้ เขาอดจินตนาการถึงความเจ็บปวดของวิภาวีไม่ได้ ครั้งนี้ถ้าเธออาละวาดโวยวาย เขาคงไม่เข้าไปปะทะคารมด้วยเหมือนอย่างทุกครั้ง

                นายแพทย์คนเดิมเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมพยาบาลคนหนึ่ง ในมือมีถุงยาที่ศรายะส่งตรวจ มันไม่ควรจะมีอะไรผิดปกติ แต่กลับมี

                “มียาหนึ่งตัวไม่ตรงกับฉลากบนซองครับ”

                ซองพลาสติกซิปล็อกของยาตัวหนึ่งถูกยื่นให้กีรติ เขารับมาแกะดูเพื่อเปรียบเทียบชื่อยาด้านหลังแผงกับชื่อยาที่ปรากฏอยู่บนซอง พบว่าไม่ตรงกันจริงๆ

                “ยาตัวที่ถูกสับเปลี่ยนทำให้มดลูกบีบตัวและขับเนื้อเยื่อออกมา ทานเม็ดเดียวจะยังไม่มีผลอะไรมาก แต่หมอคิดว่าคุณวิภาวีทานมาหลายครั้งแล้ว และน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของการแท้ง”

                “หา!?” ทุกคนในห้องร้องอุทานเป็นเสียงเดียว 

กีรติขมวดคิ้วแน่น ยามาอยู่ผิดซองแบบนี้อาจมีผู้ไม่หวังดีจงใจทำให้วิภาวีแท้ง คนแรกที่นึกถึงก็คือคนจัดยาอย่างจิ้งหรีด วิภาวีไม่เคยจัดยาเองเลยสักครั้ง เพราะเขากลัวว่าเธอจะทานไม่ตรงเวลา

                “ผมกลับบ้านก่อนนะครับคุณแม่ จะไปถามจิ้งหรีด” กีรติคิดว่าถ้าโทร. ไปไม่น่าคุยกันรู้เรื่อง ต้องคุยกันต่อหน้า จะได้รู้ที่มาที่ไปของยาตัวนี้

                “แม่ไปด้วย สามคนอยู่เฝ้าวินนี่นะ”

                “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ภูกับคุณศราไปด้วยก็ได้ เดี๋ยวคืนนี้เอมอยู่เฝ้าวินนี่เอง” 

ตอนที่ภูริทัตกลับไปบ้าน เอมมาลินโทร. ไปวานให้เขาเอาเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้มาให้เธอด้วย จึงไม่มีปัญหากับการอยู่เฝ้าเพื่อช่วยปลอบใจเพื่อน

                “เดี๋ยวเราขอกลับไปถามคนที่บ้านก่อนนะครับคุณหมอ ขอบคุณมากๆ ครับ” ภูริทัตบอกกับแพทย์ จากนั้นเดินนำทุกคนออกจากห้องไปก่อน

                “พี่กีร์ไม่อยู่กับวินนี่เหรอ ผมไปถามให้ก็ได้นะ” ศรายะกระซิบถามพี่ชายที่ออกเดินตาม อีกฝ่ายส่ายหน้า ดวงตาเผยความเจ็บปวดอย่างชัดเจน 

                “ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าใครสลับยา แล้ววินนี่กินยาตัวนี้นานแค่ไหนแล้ว”

                ศรายะไม่ขัด เขาเป็นคนขับรถพากีรติกลับบ้าน ส่วนภูริทัตขับรถตนเองกลับพร้อมมารดา เมื่อเข้าไปในบ้านก็เจอจิ้งหรีดกับโพธิ์ที่ยังไม่นอน กีรติเข้าไปถามสาวใช้ของบ้านเรื่องยาที่ไม่ตรงฉลาก เขาบอกชัดเจนว่ามันเป็นยาที่ทำให้วิภาวีแท้ง 

จิ้งหรีดเบิกตาโพลงแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้เลยค่ะคุณกีร์ เจสซี่คิดว่าเป็นยาตัวใหม่ที่หมอให้มา”

                “แล้วมันมาตั้งแต่เมื่อไร” เสียงของกีรติเข้มขึ้น นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ

                “สามวันก่อนค่ะ”

“เธอไม่สงสัยหรือไงว่าจู่ๆ มันก็มา”

                “สะ...สงสัยค่ะ แต่พอไปถามคุณวินนี่ เธอก็ไม่รู้เรื่อง เจสซี่คิดว่าคุณกีร์เอามาเติม”

                “เติมบ้าอะไร! เธอต้องรู้สิว่ายาตัวเก่ามันหายไป แล้วยาตัวใหม่มาแทน เธอแน่ใจนะว่าเธอไม่รู้เรื่อง!”

                “ไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะคุณกีร์ ถึงคุณวินนี่จะเหวี่ยงใส่บ่อยๆ แต่เจสซี่มีความอดทนสูงนะคะ และถ้าทำจริง ป่านนี้คงหนีไปแล้ว ไม่อยู่ให้คุณกลับมาด่าหรอก อีกอย่าง เรื่องมันสาวมาถึงตัวง่ายมาก เจสซี่ไม่โง่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ!” จิ้งหรีดรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน ทั้งโกรธและกลัวในเวลาเดียวกัน ดวงตาสั่นเทาจับจ้องเจ้านายตรงหน้าเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

                “กีร์ ใจเย็นๆ ก่อน” พัตราบีบไหล่ลูกชายคนกลาง หลังจากนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กีรติหยิบออกมาดูหน้าจอก่อนกดรับสาย 

                “ครับเอม”

                ชื่อบนหน้าจอปรากฏว่าเป็นเอมมาลิน ทว่าเสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นของคนที่เพิ่งรู้เรื่อง

                “คุณกีร์...ฮึก ฮือ...”

                กีรติไม่เคยแพ้น้ำตาหรือความน่าสงสารของวิภาวี เพราะเขามองออกเสมอว่าเธอกำลังแสดง ทว่าครั้งนี้เสียงร้องไห้ถูกกลั่นออกมาจากความเจ็บปวดจากใจจริง ทั้งเขาและเธอเหมือนกันตรงที่ภายนอกอาจดูไม่สนใจเด็กที่กำลังจะเกิดมา แต่ลึกๆ แล้วมีความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นพร้อมกับการรอคอยจะได้พบหน้า

                “คุณอยู่ไหน วินนี่อยากเจอคุณ” เสียงของนางมารร้ายประจำบ้านทั้งอ่อนแรงและต้องการที่พึ่ง แต่เขายังกลับไปที่โรงพยาบาลไม่ได้ ถ้าไม่เจอตัวคนทำผิด

                “เดี๋ยวผมไปหา คุณทำใจดีๆ ก่อนนะ”

                “สรุปว่าจิ้งหรีดมันทำวินนี่ใช่ไหม” เธอส่งคำถามเคล้าเสียงสะอื้นกลับมา 

                “จิ้งหรีดบอกว่าเปล่า”

                “แล้วยาตัวจริงที่อยู่ในซองมันไปไหน! ฮึก...คุณต้องจัดการให้วินนี่นะคะ”

                กีรติเสยผม ใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะเริ่มต้นสืบสวนจากตรงไหน และแล้วเสียงปลายสายก็ทำให้เขาตัวแข็งทื่อ

                “ถ้าไม่ใช่จิ้งหรีดก็ต้องเป็นคุณศราแน่ๆ! ในบ้านก็มีแค่เขานี่แหละที่เกลียดวินนี่!”

                ชายหนุ่มตวัดสายตามองน้องชายที่ยืนเงียบ 

ศรายะเลิกคิ้ว จู่ๆ ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี เหมือนว่าจะถูกสงสัย

                กีรติกำลังสับสนอย่างหนัก ใจคัดค้านเพราะเห็นน้องชายมาตั้งแต่จำความได้ ศรายะไม่ใช่คนที่กล้าทำเรื่องโหดเหี้ยมพรรค์นั้น แม้จะเป็นคนเดียวในบ้านที่มีเรื่องกับวิภาวีก็ตาม

                “ใจเย็นๆ ก่อน ผมจะจัดการให้” เขาเอ่ยกับปลายสาย

                “คุณจะปล่อยให้ลูกเราตายฟรีไม่ได้นะคะ!” วิภาวีส่งเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ ชายหนุ่มจำต้องตัดสาย ไม่ใช่ว่าไม่อยากฟัง แต่ยิ่งฟังเขายิ่งเครียด และจะไม่มีสมาธิตามหาตัวคนผิด

                สายตาของเขายังอยู่ที่ศรายะ พัตราใจไม่ดีเท่าไร หล่อนไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือของลูกชายคนใดคนหนึ่งเพราะเลี้ยงมาอย่างดี ไม่มีใครมีความคิดสกปรกแบบนั้น

                “แกไม่รู้เรื่องยาใช่ไหม”

                “ไม่รู้ ไม่เคยยุ่งกับยาของวินนี่เลย” ศรายะตอบเสียงหนัก เขาเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าจิ้งหรีดเก็บถุงยาของวิภาวีไว้ในตู้ยา

                “ขอค้นห้องหน่อยได้ไหม” กีรติเอ่ยเสียงเรียบ แค่อยากค้นให้พอเป็นพิธี จะได้บอกวิภาวีว่าค้นห้องศรายะแล้ว ไม่ใช่ว่าปล่อยคนที่เธอสงสัยไปโดยไม่ทำอะไร

                “เชิญ” คนที่ถูกสงสัยกอดอกหงุดหงิด ไม่คิดว่าพี่ชายจะระแวงกันเอง

                “ค้นห้องพี่ด้วย เพื่อความเท่าเทียม” ภูริทัตเอ่ยขึ้นบ้าง “และถ้าไม่เจออะไรก็ค้นทุกห้อง ค้นทั้งบ้าน”

                กีรติพยักหน้าแล้วเรียกโพธิ์ให้ตามขึ้นไปข้างบน คนที่เหลือเดินตามหลัง พัตราเข้าไปจับมือศรายะไว้พร้อมส่งสายตาบอกว่าหล่อนมั่นใจในตัวเขา

                คนที่ถูกค้นห้องไม่กลัวอะไรทั้งนั้นเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด เขาเป็นคนเปิดประตูให้กีรติเข้าไปสำรวจทุกซอกทุกมุม โพธิ์กับจิ้งหรีดแยกกันสำรวจตู้และลิ้นชัก ถึงศรายะจะไม่ชอบให้ข้าวของส่วนตัวถูกคนอื่นหยิบจับ แต่ก็ห้ามปรามอะไรไม่ได้ เวลานี้ความบริสุทธิ์ต้องมาก่อน

                “คุณศราครับ ตู้นี้ล็อก” โพธิ์ชี้ลิ้นชักล่างสุดของตู้ชิดหัวเตียง 

เจ้าของห้องขมวดคิ้วสงสัย ปกติเขาเสียบลูกกุญแจค้างไว้ตลอด ถ้ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่รู้แล้วว่าไปอยู่ไหน

                “กุญแจอยู่ไหน” กีรติจ้องหน้าน้องชายที่เงียบไป 

                “ไม่รู้ ปกติก็เสียบไว้ แป๊บนะ” ร่างสูงเดินไปเปิดลิ้นชักอื่น หาจนทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอกุญแจอยู่ดี จึงหันมาส่ายหน้าให้พี่ชาย “ไม่เจอ หายไปไหนไม่รู้ แต่ในลิ้นชักนี้มีพวกหนังสือรุ่นกับหนังสือเก่าๆ”

                “แกต้องเปิดให้ฉันดู”

                “เปิดยังไง”

                “ให้ผมแงะไหมครับ” โพธิ์เสนอ

ถึงจะคิดว่ามากเกินไป แต่ศรายะก็พยักหน้ายอม เพราะยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งอึดอัดกับสายตาไม่ไว้วางใจของกีรติ “แงะดีๆ แล้วกัน”

                “ครับ ไอ้จิ้ง ขอกิ๊บ” 

                จิ้งหรีดแกะกิ๊บหนีบผมบนหัวแล้วส่งให้พี่ชายที่ไม่ได้ชำนาญการสะเดาะกุญแจเท่าไร แต่เคยทำมาบ้าง ทุกสายตาจ้องมองลิ้นชักที่ล็อกแน่นหนาอย่างรอคอย ผ่านไปประมาณห้านาทีโพธิ์ก็เปิดมันได้

                “ฝุ่นเยอะอยู่นะครับ มีแต่หนังสือ”

                กีรติเดินไปชะโงกหน้าดู ในนั้นนอกจากจะมีหนังสือหลายเล่มแล้วยังมีของใช้เก่าๆ จำพวกอุปกรณ์การเรียน สมุดบันทึก มองเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ ทว่าสายตาเฉียบคมของเขากลับเห็นบางอย่างแอบอยู่ในซอกข้างหนังสือเข้าเสียก่อน

                กีรติคีบแผงยาที่ไม่ควรอยู่ในนี้ออกมาดู ทุกสายตามองสิ่งที่อยู่ในมือของกีรติอึ้งๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาจุดรวมสายตาก็เปลี่ยนเป็นเจ้าของห้องที่กำลังสงสัยว่ามันเป็นยาอะไร เขาไม่เคยมีมาก่อน

                “นี่ใช่ยาที่เธอจัดประจำหรือเปล่า” กีรติส่งต่อให้จิ้งหรีด แม้สีหน้าจะเรียบเฉย แต่ในใจร่ำร้องขอให้ไม่ใช่

                ทว่าสาวใช้พยักหน้ารัว เธอก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเจอมันในห้องนี้

                ความเงียบโรยลงมาปกคลุมห้องนอน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อจากนั้น เมื่อครู่กีรติอ่านชื่อยาด้านหลังแผงแล้วพอจำได้รางๆ ว่าเป็นยาที่หายไป คงไม่จำเป็นต้องเอาไปเทียบ เพราะจิ้งหรีดก็ยืนยันว่าใช่

                คำถามแรกที่เขามอบให้น้องชายก็คือ “เก็บยาบำรุงครรภ์ไว้ให้ใคร”

                “พี่กีร์ ผมไม่รู้เรื่อง” ศรายะเน้นเสียงหนักทุกคำ เขารู้ว่ากีรติและคนอื่นๆ สงสัยเขา แต่สิ่งที่น่าสงสัยมากกว่าคือมีคนจงใจใส่ร้ายเขา! “ถ้าผมจะสลับยา ผมจะเก็บหลักฐานไว้ทำไม เอาไปทิ้งดีกว่าไหม”

                “แล้วมันมาอยู่ในห้องแกได้ยังไง!”

                “ไม่รู้! ปกติผมเสียบกุญแจลิ้นชักตู้นี้ค้างไว้ด้วยซ้ำ นี่กุญแจหายไปไหนยังไม่รู้เลย!!”

                สองพี่น้องขึ้นเสียงแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ใจของพัตราวูบหล่น แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้มาก่อน

                “กีร์ แม่ว่า...”

                “ผมไม่ใจเย็นครับ!” กีรติโพล่งด้วยรู้ดีว่ามารดาจะพูดอะไร ก่อนจะสาวเท้าไปใกล้น้องชายที่สู้สายตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “ถ้าคิดว่ามีคนใส่ร้ายก็พูดมาว่าใคร ใครที่มันเกลียดทั้งแกทั้งวินนี่ถึงได้ทำแบบนี้!!”

                “ไม่รู้! รู้อย่างเดียวว่าผมไม่ได้ทำ เมียพี่เขาอาจจะทำตัวเองก็ได้นี่!”

                นั่นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ในความคิดของกีรติ วิภาวีจะทำร้ายลาภก้อนใหญ่ของตนเองทำไม มิหนำซ้ำยังเสี่ยงต่อสุขภาพของตัวเธอเองอีกด้วย เสียงร้องไห้ของเธอยังดังชัดเจนในความทรงจำ ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำอย่างที่ผ่านมา และเขาไม่คิดว่านางมารร้ายที่เคยตั้งท้องลูกของเขาจะร้ายกาจถึงขั้นนั้น

                ไม่คิดสักนิดว่าศรายะจะทำได้ลงเช่นกัน แต่ทำไมหลักฐานถึงมาอยู่ในห้องนี้ล่ะ

                “แต่คนที่มีแรงจูงใจมีแค่แกคนเดียว” กีรติกดเสียงต่ำ มือสองข้างกำหมัดแน่น 

นอกจากจะเป็นคนเดียวในบ้านที่ปะทะฝีปากกับวิภาวีอยู่บ่อยครั้ง ศรายะยังไม่ต้องการให้พัตราคอยรองรับอารมณ์ของวิภาวีด้วย ซึ่งวิธีการกำจัดเธอออกไปคือ การทำลายพันธะที่มีร่วมกับสามีของเธอ

                “แม่ไม่เชื่อว่าศราจะทำแบบนั้นนะกีร์” พัตราโพล่งขึ้น กระบอกตาร้อนผ่าวเหมือนว่าน้ำตาจะไหล หล่อนนึกถึงกล้องวงจรปิด ทว่าส่วนใหญ่ติดอยู่ชั้นล่าง ชั้นบนมีแค่สองตัวอยู่บริเวณหน้าต่าง ซึ่งอยู่คนละมุมและไกลจากห้องนี้

หล่อนยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว ถึงแม้ว่าการหาหลักฐานมายืนยันว่าศรายะเป็นผู้บริสุทธิ์จะดูเป็นเรื่องยาก แต่หากลองตรวจสอบกล้องทุกตัวดีๆ อาจเจอพิรุธของสมาชิกสักคนในบ้าน

                “บ้านเรามีอยู่แค่แปดคน แต่ละคนก็ไม่น่าทำแบบนั้น” นัยน์ตาดุดันของกีรติเลื่อนมามองมารดา ต่อด้วยโพธิ์และจิ้งหรีดที่ยืนอยู่ข้างกัน สองคนนี้เป็นลูกของแม่บ้านที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว อยู่ที่นี่มาเป็นสิบปีได้ ผูกพันกับคนในบ้านเหมือนเป็นญาติคนหนึ่ง ถ้าต้องการทำร้ายวิภาวี ก็ไม่น่าใส่ร้ายศรายะ

                อีกอย่าง โพธิ์กับจิ้งหรีดไม่น่าหายาบีบมดลูกที่มีราคาสูงมาได้ ระหว่างทางมากีรติลองเซิร์ชชื่อยาและพบว่าไม่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ต้องให้แพทย์เป็นผู้จ่ายเท่านั้น ซึ่งการสั่งจ่ายยาตัวนี้มีหลายขั้นตอนเนื่องจากเป็นยาอันตราย

                พูดง่ายๆ ก็คือคนที่หามาได้ต้องมีเส้นสาย หรือไม่ก็มีเงินมากพอสมควร

                ตัดสองพี่น้องคู่นี้ทิ้ง...ตัดพัตราที่เป็นคนใจเย็นมาแต่ไหนแต่ไรและรอคอยที่จะได้อุ้มหลาน...ตัดภูริทัตที่ไม่เคยมีเรื่องกับวิภาวี...ตัดเอมมาลินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของวิภาวีมาตั้งแต่สมัยเรียน...ก็เหลือแค่ศรายะคนเดียว

                “พี่กีร์คิดว่าผมทำแบบนั้นเหรอ” คนถูกกล่าวหาถามอย่างไม่อยากเชื่อ ถ้าอีกฝ่ายผิดหวังในตัวเขา เขาก็ผิดหวังในตัวอีกฝ่ายเช่นกัน โตมาด้วยกัน รู้จักกันดี แต่วันนี้ทำเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

                “เออ! จิตใจแกทำด้วยอะไรวะศรา!” กีรติกระชากคอเสื้อของศรายะให้เข้ามาใกล้ สี่คนที่เหลือต่างตกใจ ภูริทัตที่ยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่นานรีบเข้าไปช่วยแยกทั้งสองออกจากกันและจับตัวกีรติเอาไว้ ส่วนพัตราดึงแขนลูกชายคนเล็กให้ถอยห่าง

                ศรายะไม่กลัว แต่โกรธพี่ชายที่มองเขาอย่างกับเป็นศัตรูกัน

                “หลักฐานมันชัดขนาดนี้แล้ว ผมหวังว่าคุณแม่จะไม่ปกป้องลูกรักของคุณแม่นะครับ” กีรติสบตามารดา

                “แม่รักลูกทุกคนเท่ากันนะกีร์ แม่ไม่อยากให้มาทะเลาะกันแบบนี้” เสียงของพัตราสั่น ไม่นานนักน้ำตาก็ร่วงเผาะ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนทั้งสองคนยังพูดจาล้อเล่นกันอยู่ ทำไมตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้

                “แล้วจะให้ผมบอกว่าไม่เป็นไรน่ะเหรอ ลูกผมเพิ่งตายไปนะ!” ถึงกีรติจะไม่น้ำตาตก แต่เขาเชื่อว่าตนเองเจ็บปวดจากการเสียเลือดเนื้อเชื้อไขมากกว่าใครในที่นี้ เจ็บใจที่ผู้บงการเป็นน้องชายที่คลานตามกันมา และเวลานี้แม่ที่เขารักกำลังปกป้องคนผิด

                “กีร์ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้” ภูริทัตช่วยกล่อมน้องชาย ทั้งที่สมองว่างเปล่า พอเจอคำถามสวนกลับจึงไปต่อไม่ถูก

                “แล้วเรื่องจริงมันเป็นยังไง!” กีรติมองพี่ชายเพียงครู่เดียวก่อนจะตวัดสายตากลับไปหาพัตราที่ยังคงจับแขนศรายะไม่ปล่อย “ผมถามจริงเถอะ เวลานี้คุณแม่ยังปกป้องมันอีกเหรอ”

                “กีร์...”

                “ผมเสียลูก เมียผมนอนในโรงพยาบาล แต่คุณแม่เลือกยืนอยู่ข้างคนที่ทำร้ายครอบครัวของผม”

                พัตราส่ายหน้าทั้งน้ำตา อยากปฏิเสธว่าศรายะไม่ได้ทำอีกครั้ง แต่สายตาตัดพ้อของกีรติหยุดทุกคำพูดเอาไว้ เขาเชื่อความคิดตัวเองมากที่สุดในเวลานี้ 

                ศรายะขยับแขนออกจากการเกาะกุม เขารู้ว่าตนเองพ่ายแพ้ต่อการปองร้ายของใครบางคน เวลานี้ถ้าไม่มีอะไรมายืนยันความบริสุทธิ์ก็ลบภาพฆาตกรอำมหิตออกจากความคิดของพี่ชายไม่ได้

                “ไม่เป็นไรครับ เขาอยากคิดแบบนั้นก็คิดไปก่อน ยังไงผมก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้” เขาเอ่ยด้วยความมั่นใจ ไม่มีวันที่จะยอมเป็นแพะรับบาปง่ายๆ

                “กีร์ ใจเย็นก่อนนะ แม่จะช่วยหาคนผิดให้” พัตราปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนจะสะดุ้งเมื่อลูกชายหัวแข็งยืนกรานประโยคเดิม

                “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่เย็น! ความจริงก็คือมันทำ ถ้าคุณแม่เลือกอยู่กับมัน ก็ไม่ต้องเรียกผมว่าลูกแล้ว!”

                “กีร์!”

                “แรงไปหรือเปล่า” พี่ชายคนโตปราม ทว่าคนเป็นน้องไม่คิดจะฟัง

                “ผมจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด ไม่มีคำว่าพี่น้องอะไรทั้งนั้น!”

                “ก็เอาสิ อยากทำอะไรก็ทำ ผมไม่กลัวหรอก!” ศรายะตะคอกกลับ ถ้าแค่หลักฐานชิ้นเดียวที่เจอในห้องเขาจะทำให้กีรติเชื่อเป็นตุเป็นตะจนไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ก็จนปัญญา ให้ตำรวจมาพิสูจน์หลักฐานคงดีกว่า ถึงเขาจะไม่มั่นใจก็ตามว่าคนที่ใส่ร้ายเขาเตรียมการมาดีแค่ไหน...

                ไม่มั่นใจเลยว่าท้ายที่สุดเขาจะกลายเป็นแพะรับบาปโดยไร้ทางรอดหรือเปล่า

                “โพธิ์ เรียกตำรวจ”

                “กีร์ อย่าเพิ่ง!” พัตราขัด หล่อนกลัวว่าตำรวจจะปักใจเชื่อว่าเป็นศรายะ เพราะตอนนี้หลักฐานมัดตัวเขามากที่สุด

                กีรติตวัดสายตามองผู้ที่ห้ามปรามอย่างไม่พอใจ

                “ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักกีร์นะ แต่แม่ไม่เชื่อว่าน้องทำ และจะไม่ให้น้องต้องรับผิดแทนใคร” หล่อนละล่ำละลักอธิบายด้วยแววตาหนัก หล่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าต้องทำในสิ่งที่วางแผนมาตลอดเสียที และวิธีการนี้อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด

                ปกป้องลูกคนหนึ่งไม่ให้รับผิด พร้อมทั้งปกป้องความรู้สึกของลูกอีกคนที่กำลังบอบช้ำ

                “แม่จะแยกศราออกไปอยู่ที่อื่นก่อนจนกว่าแม่จะหาตัวคนผิดได้ แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้วศราผิดจริง...” พัตรากลั้นหายใจ ความอึดอัดในอกไม่มีทางระบายออกได้สักทาง “แม่จะตามใจกีร์ทุกอย่าง”

                ศรายะยืนนิ่ง ไม่มีพูดใดหลุดออกจากปาก เพราะพูดไปไม่มีประโยชน์อะไร ราวกับโลกใบนี้ถล่มชั่วข้ามคืน ไม่มีลางบอกเหตุแม้แต่นิดเดียว

                เขาไม่เคยมีความคิดจะไป แต่สุดท้ายราชินีผู้ยิ่งใหญ่ก็เลือกที่จะเนรเทศเขาออกจากอาณาจักรแห่งนี้...

                พัตราส่งสายตาแสดงความเสียใจมาให้ รวมถึงวิงวอนให้เขาเข้าใจจุดประสงค์ของหล่อน ทว่าเขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ใบหน้าเรียบไม่แสดงความรู้สึกให้เห็นสักนิด 

                “ภูช่วยน้องเก็บของหน่อยนะ คืนนี้แม่จะให้น้องไปนอนคอนโดของภูก่อน” หล่อนบอกลูกชายคนโตก่อนจะดึงกีรติออกไป ในห้องนอนจึงเหลือเพียงสี่คน 

ภูริทัตหันมองน้องชายที่ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน เขาไม่เห็นด้วยที่จะให้ศรายะออกไปอยู่ข้างนอกเวลาตีหนึ่งแบบนี้ แต่เมื่อพัตราออกปากว่าจะให้ลูกชายคนเล็กออกไปอยู่ข้างนอกก็ต้องไปทันที ถ้าเขารั้งให้อยู่ก่อน กีรติคงหาว่าเขาเข้าข้างศรายะด้วยอีกคน

                สักพักเจ้าของห้องก็ก้าวไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าเดินทางออกมาโดยไม่เอ่ยปากขอให้ใครช่วย จิ้งหรีดกับโพธิ์มองภาพนั้นด้วยความอึดอัดใจจนพูดไม่ออก สาวใช้เบะปากร้องไห้ ที่ไม่เข้าไปช่วยเพราะไม่อยากให้เขาต้องไปจากที่นี่

                “เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ แล้วถ้ากีร์ใจเย็นกว่านี้จะช่วยพูดให้” ภูริทัตว่า

                “พี่ภูไม่ได้คิดว่าผมทำใช่ไหม” ศรายะถามด้วยความคาดหวัง อีกฝ่ายพยักหน้าทันที

                “พี่รู้ว่านายไม่ใช่คนแบบนั้น”

                เวลานี้แค่มีคนเชื่อใจก็พอแล้ว จะกล้าขออะไรไปมากกว่านี้อีก

                “ทั้งสองคนออกไปก่อนนะ” ภูริทัตบอกสองพี่น้องที่ยืนตัวติดกันอยู่มุมห้อง ทั้งคู่พยักหน้าก่อนจะเดินออกไป จากนั้นชายหนุ่มก็ช่วยคนเป็นน้องเก็บของเท่าที่จำเป็น 

                ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง คนเป็นแม่เข้ามาเพียงคนเดียว ใบหน้าแดงก่ำมีคราบน้ำตาหลงเหลือ มาถึงก็โผกอดลูกชายคนเล็กที่เพิ่งยกกระเป๋าเดินทางขึ้นตั้ง

                “กีร์ไปโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวแม่ต้องตามเขาไป ศราเข้าใจแม่หน่อยนะ”

                “ครับ” ศรายะพยักหน้า ฝืนยิ้มทั้งที่เจ็บปวดใจ ถูกแล้วที่พัตราต้องทำอะไรสักอย่างให้กีรติเห็นว่ามารดามีความยุติธรรม “พี่ภูไม่ต้องไปส่งหรอก ผมขับรถไปเองได้ เอาคีย์การ์ดมาก็พอ”

                ภูริทัตถอนหายใจก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ศรายะลากกระเป๋าของตนเองตามออกไปพร้อมพัตรากระเป๋าของเขาหนักเท่าภูเขา เพราะตั้งใจจะไม่กลับมาเอาอะไรอีกแล้ว 

                “คุณแม่สงสัยใครหรือเปล่า”

                “แม่จะไม่พูดจนกว่าจะมั่นใจ ไม่อยากปรักปรำใครมั่วซั่ว”

                “แสดงว่ามีคนในใจ” ขณะที่เขาคิดอะไรไม่ออกเลยในเวลานี้

                พัตราไม่ตอบ หล่อนเดินลงไปส่งเขาถึงประตูบ้านแล้วจึงพูดประโยคหนึ่ง

                “กีร์จะต้องเสียใจที่เข้าใจศราผิด”

                ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “ผมฝากเช็ดน้ำตาพี่กีร์ด้วยแล้วกัน”

                แต่ไม่ต้องเช็ดน้ำตาให้เขา เพราะคนอย่างเขาไม่ร้องไห้ง่ายๆ อย่างมากก็แค่แสบเคืองตา

                “แม่ไม่ได้ทิ้งศราไปไหนนะ”

น่าแปลกที่เขารู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนไม่เหลือใครแล้ว ทั้งถูกคนในครอบครัวโกรธเกลียดถึงขั้นตัดขาด ต้องออกไปอยู่ข้างนอกกะทันหันยามวิกาล ไปโดยลำพัง และจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไรก็ไม่รู้

ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ช่างใกล้เคียงกับคำว่าถูกทิ้ง 

ก่อนเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งจะทำลายความรู้สึกนั้นลง

“คุณศรา...”

                เป็นเสียงคุ้นเคยที่ไม่น่าจะได้ยินในเวลานี้

                ศรายะนึกว่าตัวเองฝันไปเมื่อหันไปพบผู้หญิงที่เขาเรียกว่าวีนัส...

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น