ยี่สิบนาทีก่อน
ภายในห้องนอนมืดที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง ลลิภัทรปรือตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเครื่องมือสื่อสาร เธอเอื้อมหยิบมันมาดู ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลก แต่ก็รับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“ลิสใช่ไหม นี่ป้าพัตราเองนะ”
แม่ของศรายะ?
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ด้วยความแปลกใจ ไม่ทันได้ถามอะไรปลายสายก็รีบอธิบายต่อ
“ป้าขอเบอร์หนูมาจากป้าแพร ขอโทษที่รบกวนเวลานะ แต่...” เสียงของคนพูดสั่นไหว คนฟังที่ชักใจไม่ดีตามรีบถาม
“แต่อะไรคะ”
“จะว่าอะไรไหม ถ้าจะขอให้มาบ้านป้าตอนนี้”
ลลิภัทรเพ่งมองนาฬิกาบนผนัง เห็นรางๆ ว่าขณะนี้เป็นเวลาตีหนึ่งครึ่งแล้ว จึงถามขณะก้าวลงจากเตียงไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง
“ไปทำไมเหรอคะ”
“ก็แค่อยากให้หนูมาเจอศราตอนนี้ คือ... มีเรื่องเกิดขึ้นในบ้าน แล้วเขาต้องออกไปอยู่ข้างนอกกะทันหัน”
หญิงสาวไม่เข้าใจสถานการณ์สักเท่าไร แต่ความกังวลของพัตราที่แสดงออกผ่านน้ำเสียงทำให้เธอต้องรีบเปิดลิ้นชักเอากุญแจรถออกมา ใบหน้าของศรายะลอยเด่นในห้วงความคิดขณะฟังปลายสายพูด
“ตอนนี้ป้าไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ ป้าไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว”
“ทำไมเขาต้องอยู่คนเดียวด้วยล่ะคะ” เธอถามออกไปก่อนสมองจะสั่งการ ยิ่งได้ยินแบบนั้นยิ่งเร่งฝีเท้า
เกิดอะไรขึ้นที่บ้านหลังนั้นกันแน่ ทำไมคนที่เขารักถึงจำเป็นต้องทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว
บนโลกนี้ไม่มีใครสมควรต้องอยู่คนเดียว...เหมือนเธอ
“เขา...มีปัญหากับพี่สะใภ้น่ะ” พัตราตอบคร่าวๆ “หนูมาได้ไหม”
พี่สะใภ้อย่างนั้นเหรอ...
“หนูกำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ลลิภัทรกล่าวอย่างหนักแน่น
“จะ...จริงเหรอ ขอบคุณมากๆ เลยนะลิส”
คำขอบคุณอันเปี่ยมไปด้วยความยินดีคือประโยคสุดท้ายที่ลลิภัทรได้ยิน เธอตัดสายก่อนจะออกไปจากคาเฟ่ด้วยเสื้อยืดธรรมดาและกางเกงขายาวที่ใส่นอน ไม่เปลี่ยนชุดให้เสียเวลาไปเปล่าๆ
พัตราส่งพิกัดบ้านมาให้หลังจากนั้น เพียงแค่สิบห้านาทีรถของเธอก็มาจอดหน้าบ้านเรืองรัตนพัฒน์ ไฟด้านในสว่างโร่ บ่งบอกว่าคนในบ้านยังไม่หลับ โพธิ์เป็นคนกดรีโมตเปิดประตูรั้วต้อนรับรถของผู้มาเยือน เนื่องจากพัตราได้สั่งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องอยู่ฝั่งกีรติ ศรายะควรมีใครสักคน และคนที่ทำให้เขายิ้มออกทุกครั้งคือคนที่หล่อนนึกถึงเป็นคนแรก
เวลานี้เธออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังมืดแปดด้านตกตะลึง
ผ่านไปหลายวินาทีแต่ศรายะก็ยังนึกว่าตัวเองเห็นภาพหลอน
“จะไปจริงๆ เหรอคะ” ลลิภัทรมองกระเป๋าเดินทางอย่างไม่อยากเชื่อ ก่อนจะสอดส่ายสายตาหาพี่สะใภ้สักคนที่เขามีปัญหาด้วย อยากถามเหลือเกินว่าปัญหาหนักแค่ไหน ถึงต้องไล่ให้เขาออกไปอยู่นอกบ้านตอนตีสอง!
แต่เธอไม่เจอผู้หญิงคนไหน นอกจากพัตรา ก่อนจะได้พบกับภูริทัตซึ่งเดินตามมาด้วยสีหน้าประหลาดใจเนื่องจากมีผู้หญิงแปลกหน้ามายืนหน้าบ้าน
“วีนัส ใครเรียกคุณมา” ศรายะเดินเข้าไปจับแขนเธอ ตัวอุ่นๆ แบบนี้ต้องเป็นคนจริงแล้วละ
“แม่โทร. เรียกมาเอง” พัตรารับคีย์การ์ดจากภูริทัตมาส่งให้เขา นี่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่หล่อนทำได้ในเวลานี้
“ทำไมปุบปับขนาดนี้ล่ะคะคุณป้า รอให้เช้าก่อนก็ไม่ได้เหรอคะ” ลลิภัทรถามอย่างไม่เข้าใจ และคำบอกเล่าของคนตรงหน้าทำให้เธอชะงัก ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ
“พี่ชายผมเข้าใจว่าผมทำให้เมียเขาแท้ง แต่ผมเปล่า”
ลลิภัทรไม่คิดว่าเรื่องจะสาหัสขนาดนี้
“คุณแม่ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมต้องรบกวนวีนัสด้วย” ศรายะทำหน้าเซ็ง จากนั้นก็ลากกระเป๋าตัวเองไปขึ้นรถ ทุกสายตามองตามหลัง และดูออกว่าเขากำลังเก็บซ่อนความรู้ย่ำแย่ให้มิดชิด
“แค่นอนที่นี่สักคืนก็ยังไม่ได้เลยเหรอคะ” ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวจับจ้องพัตราขณะส่งคำถาม อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว ให้เขาพักผ่อนสักหน่อยก็ยังดี
“ไม่มีใครหลับลงหรอกลิส ป้าคิดว่าให้เขาไปนอนที่คอนโดจะดีกว่า”
ลลิภัทรที่อับจนหนทางเม้มริมฝีปากอิ่มแน่น เธอไม่ได้โกรธที่ถูกรบกวนเวลานอน ไม่ได้โกรธที่ถูกร้องขอให้ขับรถมาที่นี่ แต่โกรธแทนศรายะสำหรับทุกเรื่องที่เกิดขึ้น
พัตรามั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำ แต่ทำไมถึงไม่ใจดีกับเขาเลย
บางที...นี่อาจจะเป็นการกระทำที่รุนแรงยิ่งกว่าการด่าทอต่อว่าแบบที่ ‘พ่อ’ ทำกับเธอ
การจินตนาการถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของศรายะในตอนนี้ไม่ยากเลยสักนิด เพราะเธอเคยเจอมามากกว่านั้น เหตุการณ์ในอดีตหวนกลับมาฉายซ้ำในความทรงจำ สร้างความปวดแปลบในใจทุกครั้งที่นึกถึง
หญิงสาวไม่ตอบอะไร เธอหมุนตัวหนีผู้อาวุโสกว่ามาดื้อๆ โดยไม่เอ่ยขอตัวและตรงไปหาคนที่เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จ
“เดี๋ยวลิสขับตามไปส่งที่คอนโดนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เกรงใจ นี่มันเวลานอนนะ”
ประโยคหลังลลิภัทรเห็นด้วย...นี่เป็นเวลานอน ไม่ใช่เวลาย้ายที่อยู่
“คุณไม่ได้เป็นอะไรกับผมด้วยซ้ำ”
เมื่อประมาณหกชั่วโมงก่อนเธอเพิ่งบอกไปว่าเขาเป็น ‘คนพิเศษ’ สงสัยว่าเขาจะลืมแล้ว แต่ก็เอาเถอะ ยังมีอีกคำให้ความรู้สึกไม่อ้างว้างมากนัก
“เพื่อนไงคะ เพื่อนที่ดีต่อกัน”
ศรายะแทบน้ำตาไหล ไม่ได้ซึ้งแต่เจ็บ...ตามจีบตั้งสองสัปดาห์ ได้แค่คำว่าเพื่อน
“ถ้าคุณอยู่คนเดียวได้ แม่คุณจะโทร. หาลิสทำไม”
ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่พยายามแสดงออกในเวลานี้ ความอ่อนแอสะท้อนอยู่ในดวงตาที่กำลังมองเธอ ทั้งเหนื่อย เศร้า และหงุดหงิดที่เรื่องบ้าๆ เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้เตรียมตัว แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่อยู่ในใจเขาไม่อาจเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ขึ้นรถลิสก็ได้นะคะ เดี๋ยวไปส่ง”
ศรายะมองรถยุโรปราคาหลายล้านของเขาพร้อมบอกลาในใจ ไม่ลังเลที่จะเปิดท้ายรถอีกครั้งและยกกระเป๋าออกมา จากนั้นเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ รถของลลิภัทร
หญิงสาวหันไปไหว้ลาพัตราและภูริทัต ก่อนจะเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ ปลดล็อกท้ายรถให้ศรายะเก็บกระเป๋า เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามานั่งข้างๆ และคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว เธอก็ขับรถออกไปจากบ้านหลังนี้
“เล่าให้ฟังหน่อยสิคะว่าเรื่องมันเป็นยังไง” เจ้าของรถทำลายบรรยากาศเงียบเชียบ อีกฝ่ายจึงเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะไม่อยากให้เธอเป็นห่วงความรู้สึก
ท้องถนนเวลานี้โล่งและเงียบ ลลิภัทรขับรถไปเรื่อยๆ ขณะรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น เธอไม่ถามแทรก ไม่ท้วงอะไร เพิ่งปริปากพูดตอนนึกขึ้นได้ว่าไม่มีพิกัดที่จะไป
“คอนโดไปทางไหนนะคะ ขับเพลิน จะกลับคาเฟ่อยู่แล้ว”
“อ้อ ผมลืมเลย” ศรายะหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู ก่อนจะพบว่าแบตฯ หมด “อ้าว...”
ลลิภัทรปรายตามองหน้าจอ เห็นมันมืดสนิทก็พอเดาออก
“เดี๋ยวคุณเอามือถือลิสไปเปิดแมปก็ได้” หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มาปลดล็อกและส่งให้คนข้างกาย
ชายหนุ่มรับไปเข้าแอปพลิเคชันแผนที่และเซิร์ชหาพิกัด ก่อนจะวางเครื่องมือสื่อสารไว้ในช่องวางแก้ว
“คุณคิดว่าผมสามารถฆ่าเด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกได้ไหม”
“ก็ทำได้นะคะ”
“...”
“แต่คุณไม่ทำหรอก”
กว่าเธอจะต่อประโยคให้สมบูรณ์ หัวใจคนถามก็ร่วงไปอยู่ใต้ล้อรถแล้ว
“คนที่ทำเขาไม่เก็บหลักฐานไว้กับตัวหรอกค่ะ ถึงจะล็อกลิ้นชักอย่างแน่นหนาก็เถอะ คนทำจงใจใส่ร้ายคุณและทำร้ายพี่สะใภ้คุณในเวลาเดียวกัน”
“ผมคิดไม่ออกเลยว่าเขาต้องการอะไร” ถ้าลองเดาตัวการเล่นๆ ศรายะสงสัยวิภาวี เธออาจจะไม่อยากมีลูกและอยากดูเป็นคนน่าสงสารก็เลยใช้วิธีนี้ เพราะเธอมั่นใจว่ากีรติจะไม่ขอหย่า ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกทั้งยังได้ใส่ความให้คนอื่นมองเขาในแง่ร้าย
ถ้าไม่ใช่วิภาวีก็คงเป็นเอมมาลิน แต่ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของการทำร้ายเพื่อนคืออะไร ใจจึงเอนเอียงไปทางวิภาวีมากกว่า ผู้หญิงที่ลงทุนสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่น่าใจดำฆ่าเด็กได้ลงคอ
“คุณยังไม่ต้องคิดก็ได้ค่ะ เดี๋ยวคืนนี้นอนไม่หลับนะ”
“วีนัสครับ”
“คะ?”
“คุณไม่ไปไหนได้ไหม”
ไม่รู้ว่าอะไรสั่งให้เขาขอร้องออกไปแบบนั้น แต่รู้ตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้ว น่าตลกที่เขาคาดหวังให้เธอตอบตกลง ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อน
“ตอนเช้าลิสต้องเปิดร้านนะคะ”
“ผมช่วย”
ลลิภัทรผ่อนแรงเหยียบคันเร่ง สายตายังคงมองท้องถนนเบื้องหน้าเป็นหลัก ขณะที่หางตาแลเห็นว่าศรายะจ้องมองเธออยู่ เส้นทางไปคอนโดไกลขึ้นในความคิดของเธอ แม้ว่าบนจอสมาร์ตโฟนจะบอกว่าอีกสิบห้านาทีถึงก็ตาม
“คุณอยากอยู่กับลิสขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ครับ”
เธอหันไปส่งยิ้มให้คนตอบอย่างซื่อตรง ก่อนจะตีไฟเลี้ยวและยูเทิร์นที่ช่องกลับรถข้างหน้า ศรายะมองเส้นทางของเธอสลับกับแผนที่ด้วยความแปลกใจ จากที่จะไปคอนโดเลยกลายเป็นว่าขับออกห่างไปทุกที
“คุณจะไปไหน”
“ก็คุณบอกจะช่วยลิสเปิดร้าน ลิสก็จะพาคุณไปเปิดร้าน”
ชายหนุ่มตั้งใจจะขอให้เธอไปส่งเขาที่คอนโดและอยู่เป็นเพื่อนจนถึงเช้า จากนั้นเขาก็จะตามเธอไปที่ร้านและอยู่ที่นั่นทั้งวัน ไม่คิดว่าเธอจะพาเขาไปตั้งแต่ตอนนี้
“คุณเปิดร้านตอนตีสามเหรอ”
“ค่ะ” มือซ้ายของหญิงสาวละจากพวงมาลัยเพื่อกดล็อกโทรศัพท์ เส้นทางกลับคาเฟ่เธอคุ้นเคยดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งแผนที่ “แต่เปิดให้คุณเข้าคนเดียวนะ”
ชั้นสองของร้าน Perfect Cup มีห้องนอนสองห้อง ช่วงเปิดร้านแรกๆ แพรพิไลแวะมานอนเป็นเพื่อนลลิภัทรอยู่บ่อยครั้ง บางทีแป๋วก็ขอค้างด้วย เพราะที่บ้านไม่มีคนอยู่ เจ้าของคาเฟ่จึงต้องคอยเข้าไปทำความสะอาดห้องนอนอีกห้องสัปดาห์ละครั้งเพื่อไม่ให้ฝุ่นเกาะหนาเกินไป
คาเฟ่แห่งนี้เกิดขึ้นด้วยทุนจากแพรพิไลเป็นส่วนใหญ่ โดยใช้เงินซึ่งเป็นมรดกของพ่อแม่ หรือก็คือตายายของลลิภัทร หญิงสาวจึงอยากดูแลให้ดีทุกซอกทุกมุม และวันนี้ก็ได้รับรองแขกหน้าใหม่ที่ไม่เคยขึ้นมาชั้นสองเลยสักครั้ง
ศรายะแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพาเขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว
“พักห้องนี้ก่อนนะคะ ลิสเพิ่งกวาดถูไปเมื่อสองวันก่อน แต่เดี๋ยวจะกวาดให้อีกที”
“ไม่ต้องครับ ไม่มีฝุ่นเลยเนี่ย” เขาใช้เท้าถูพื้นห้องเพื่อทดสอบ ก่อนจะมีเสียงหัวเราะตามมา
“คุณมองไม่เห็นหรอกค่ะ เดี๋ยวลิสมานะ”
เมื่อร่างบางเดินจากไปเขาก็ใช้สายตาสำรวจรอบห้องที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย ห้องนี้มีขนาดแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของห้องนอนเขาที่บ้าน เดินไม่กี่ก้าวก็สำรวจได้ทั่วทุกซอกทุกมุม
ลลิภัทรจะให้เขาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนกัน อย่างต่ำต้องหนึ่งวัน...ตั้งแต่ร้านเปิดจนกระทั่งร้านปิด เพราะเขาไม่อยากหิ้วกระเป๋าขึ้นแท็กซี่ไปคอนโดคนเดียว
“คุณศรา คุณแม่คุณโทร. มาค่ะ” เธอกลับมาอีกครั้งพร้อมโทรศัพท์ของตนเอง อีกมือถือไม้กวาดกับที่โกยผง พอเขารับโทรศัพท์ไป เธอจึงเริ่มกวาดห้องให้
“ครับคุณแม่”
“ศรา ทำไมปิดเครื่องล่ะ” พัตราถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“แบตฯ หมดครับ”
“อ้อ แล้วนี่ถึงคอนโดแล้วใช่ไหม แม่เป็นห่วงนะ”
ศรายะถอนหายใจเบาๆ ถ้าเขาขับรถมาเองคนเดียวในค่ำคืนนี้คงรู้สึกกังขากับคำว่าเป็นห่วงจากคนที่เชิญเขาออกจากบ้านกะทันหัน แต่ตอนนี้เข้าใจคำคำนั้นแล้ว ความเป็นห่วงนั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้คนที่มีความเกรงใจสูงอย่างพัตราถึงกับต้องโทร. ไปรบกวนเวลานอนของลลิภัทร
“ผมไม่ได้อยู่คอนโดครับ ตอนนี้อยู่ Perfect Cup”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
ศรายะสบตากับลลิภัทรที่มองมาก่อนจะกระตุกยิ้ม “เพราะผมอยากอยู่กับวีนัส และวีนัสทำใจทิ้งผมไปไม่ได้”
เธอหลุดขำออกมาเบาๆ ส่วนปลายสายเงียบไปเหมือนกำลังประมวลผลสิ่งที่ได้ยิน
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมโอเค ฝากเป็นกำลังใจให้คนที่ไม่โอเคด้วยนะ”
“มีเรื่องอะไรโทร. หาแม่ได้ตลอดนะศรา” เสียงของพัตราเริ่มสั่นเครือ ขณะที่เสียงของศรายะยังสดใสเหมือนเดิม เพราะเขากำลังบอกตัวเองอยู่ในใจว่าชีวิตตอนนี้ไม่ได้แย่เลย
“ครับ ผมว่าจะลางานสองวันด้วย แล้วเดี๋ยวจะกลับไปทำงานเหมือนเดิม”
“...”
“ไม่ได้เหรอครับ” ความเงียบของอีกฝ่ายพาให้ใจวูบโหวง หยุดไม่ได้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไม่ให้ไปทำงานแล้ว
“ได้สิ พร้อมเมื่อไรก็มา”
แต่แล้วพัตราก็ตอบให้เขาเบาใจ ถึงกระนั้นก็แอบหวั่นๆ ว่ากีรติจะทักท้วงในภายหลังว่าไม่ต้องการให้เขาข้องเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัวอีก แบบนั้นเรียกตัดหางปล่อยวัด
คุยกันอีกไม่กี่คำจนรู้ว่าเขาน่าเป็นห่วงน้อยลงแล้วพัตราก็วางสายไป เวลาเดียวกับที่ลลิภัทรเอาไม้ถูพื้นเข้ามา
“ไม่ต้องครับ ผมทำเอง” ชายหนุ่มแย่งไม้ถูไปดื้อๆ ก่อนจะทำในสิ่งที่นานทีปีหนถึงจะทำ ครั้งล่าสุดที่ถูพื้นน่าจะเป็นสมัยมัธยมซึ่งมีการจัดเวรทำความสะอาดห้องเรียน
มันไม่ได้ยากอะไร แต่แปลกตาสำหรับลลิภัทรจนเธอต้องยืนดูอย่างสนอกสนใจ ไม่นานนักพื้นห้องก็สะอาด หญิงสาวเปิดตู้เอาชุดเครื่องนอนที่เก็บไว้ในถุงพลาสติกอย่างดีออกมา ศรายะรู้ทันทีว่าต้องช่วยปูผ้าปูที่นอน เธอจับมุมหนึ่ง เขาจับอีกมุม ร่วมมือกันดีครู่เดียวก็เสร็จ
“ที่นอนผมใช่ไหม”
“ค่ะ นอนพักนะคะ นี่ผ้าห่มค่ะ ซักแล้ว” ลลิภัทรดึงผ้าห่มผืนหนาออกมาจากถุงและวางลงบนเตียง ตามด้วยหมอนใบไม่ใหญ่มาก
ถ้าเทียบกับคอนโดของภูริทัตแล้ว ที่นี่เล็กกว่าเยอะ เตียงกว้างแค่สามฟุตครึ่ง แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงชอบที่นี่จนไม่อยากไปไหนอีก
หลังจากที่ชายหนุ่มหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง หญิงสาวก็ดึงเก้าอี้มานั่งบ้าง พลางนึกทบทวนความสัมพันธ์ของเธอและเขา น่าตลกตรงที่รู้จักกันไม่นาน แต่เวลานี้กลับอยู่เคียงข้างกันเหมือนสนิทกันมาเป็นปี
เขาอยากอยู่ที่นี่ และเธอก็ตัดใจทิ้งเขาไม่ลง
“ขอบคุณนะครับที่ทำให้วันนี้มันไม่แย่มาก”
ริมฝีปากอิ่มเผยรอยยิ้มรับคำขอบคุณ เธอดีใจทุกครั้งที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นเรื่องดีๆ ของใครสักคนในวันแย่ๆ เหมือนกับลูกค้าที่ถามหาโอเลี้ยงคนนั้น
“เดี๋ยวมันก็ผ่านไปค่ะคุณศรา”
“ให้ผมอยู่กับคุณจนกว่ามันจะผ่านไปได้ไหม”
จะว่าศรายะได้คืบจะเอาศอกก็ว่าได้ เขาไม่ได้วิงวอนแค่คำพูด แต่ใช้สายตาร่วมด้วย ในเมื่อเธอเชื่อใจให้เขามาอยู่ที่นี่ในคืนนี้ก็น่าจะเชื่อใจเขาในคืนต่อๆ ไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนใจดีอย่างลลิภัทรจะใจอ่อนกับเขาบ่อยๆ
ทว่าเธอเงียบ สีหน้าปรากฏความลังเลขึ้นมา
“คิดว่าผมเป็นเหมือนปุยก็ได้ มันชื่อปุยใช่ไหม” ศรายะนึกถึงแมวจรที่ลลิภัทรให้อาหารเป็นประจำ ถ้าเทียบตัวเองเป็นแมวแล้วเธอยังปฏิเสธ เขาจะตัดสินว่าเธอเป็นคนสองมาตรฐาน
“ให้ลิสคิดว่าคุณเป็นแมวน่ะเหรอคะ” ลลิภัทรทำหน้าพิลึก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา “โอเคค่ะ เลี้ยงเพิ่มอีกตัวก็ได้ ตอนกลางวันอย่าไปพิงล้อรถนะคะ เดี๋ยวรถเหยียบ”
“โอเคครับ ไม่พิงล้อรถ” ชายหนุ่มรับคำอย่างมาดมั่น “แล้วก็...ผมอยากเอากระเป๋าขึ้นมาไว้บนนี้เลย”
ทีแรกคิดว่าอย่างไรก็ต้องกลับคอนโดชายหนุ่มจึงทิ้งกระเป๋าไว้ท้ายรถ ทว่าตอนนี้แผนการเปลี่ยนหมดแล้ว เขาจะนอนอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ทำให้อุ่นใจ อยู่ใกล้กับคนที่ชอบ และด้านล่างคือคาเฟ่ร้านโปรด จะมีอะไรเพอร์เฟกต์ได้มากกว่านี้อีก
“ได้ค่ะ ไปเอากระเป๋ากัน”
ลลิภัทรพาเขาไปเอากระเป๋าที่รถ ก่อนจะแยกจากกันที่หน้าห้องนอนเนื่องจากเธอปิดปากหาวถี่ขึ้น ศรายะเป็นคนบอกให้เธอไปนอนเอง เพราะไม่อยากรบกวนไปมากกว่านี้
แต่เรื่องราวหนักหนาสาหัสทำให้คืนนี้เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้
ความคิดเห็น |
---|