4

บทที่ 4

 

ชีวิตในค่ายของหน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทรายของรินดาเริ่มดีขึ้น เธอปรับตัวและปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับภูมิประเทศ และวิถีชีวิตของคนริยาร์ ทุกๆ เช้าและหลังเลิกงาน เธอจะวิ่งออกกำลังกายไปตามเส้นทางรอบๆ หน่วย ผ่านลานจอดเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินไอพ่น สนามกีฬา และรั้วลวดหนามที่ฉากหลังห้อมล้อมไปด้วยทะเลทราย จบภารกิจของวันด้วยการอ่านหนังสือที่ได้รับมอบหมาย หนึ่งปีที่เธอจะต้องอยู่ที่นี่เป็นภารกิจที่เธอต้องปฏิบัติมันให้ได้

เฮลิคอปเตอร์ที่ร่อนลงจอดบนลานบินในช่วงเวลาค่ำคืนกลายเป็นเรื่องปกติที่รินดาเห็นจนชินตา เพราะหนึ่งในภารกิจใหม่ที่พันโทมาลิกเป็นผู้ดูแลรวมทั้งบังคับบัญชาคือการบินออกตรวจตราการลักลอบขนส่งยาเสพติดและขบวนการค้ามนุษย์ตามตะเข็บชายแดน ตลอดจนเยี่ยมเยียนให้ความรู้เกี่ยวกับสุขอนามัยให้แก่ชนเผ่าต่างๆ

“ฉันว่าฉันกลับดีกว่า ผู้พันมาเหนื่อยๆ จะได้พักผ่อน พรุ่งนี้ฉันค่อยมาใหม่ หมวดว่าดีไหมคะ” รินดาละสายตาจากเฮลิคอปเตอร์ที่ร่อนลงจอดบนลานอย่างนิ่มนวล คืนนี้เธอมีภารกิจที่จะต้องมาเล่าเรื่องราวของริยาร์ให้คนริยาร์อย่างพันโทมาลิกฟัง

“แต่ผู้พันเป็นคนนัดหมายเองนะครับผู้กอง” ซีมมาให้ความเห็น

“ผมว่าถ้าผู้พันต้องการพักผ่อนก็คงบอกผู้กองเองแหละครับ”

คำตอบของซีมมาแม้จะไม่บอกให้เธอต้องคอย แต่โดยนัยเธอก็ต้องคอยผู้พันหรือรอคำสั่งของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นว่าจะให้เธออยู่หรือไป

เวลาผ่านไปไม่นาน ร่างสูงเพรียวในชุดของนักบินก็ก้าวเท้าเดินอาดๆ เข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับอามีนนายทหารคนสนิท

“ฉันต้องบินไปส่งผู้หญิงของเผ่านายาคนหนึ่ง เธอเจ็บท้องใกล้คลอด” สาเหตุการมาสายของผู้พัน

มาลิกยังมีสีหน้าและท่าทางที่กระฉับกระเฉง แม้ว่าวันนี้เขาจะต้องทำหน้าที่เป็นนักบินที่หนึ่งขับเครื่องบินลาดตระเวนตามรอยต่อของริยาร์และเปซาร์เพื่อสกัดขบวนการลักลอบขนส่งยาเสพติด หรือแม้แต่ขบวนการค้ามนุษย์

“เอาเป็นว่าคืนนี้เธอกลับไปพักผ่อนได้ แต่พรุ่งนี้ต้องมารอฉันแต่เช้า เราจะไปตรวจแถวนายทหารพร้อมกัน”

“รับทราบค่ะ” พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้ คืนนี้เธอยังมีเวลาที่จะอ่านทวนซ้ำอีกรอบ รินดากำลังจะหมุนตัวกลับ แต่เสียงทุ้มๆ เรียกไว้ก่อน

“อ้อ! พอดีฉันเจอไอ้นี่ เห็นว่าสวยดี เธอคงชอบ”

ไอ้นี่ของผู้พันทำให้รินดาตาโตด้วยความประหลาดใจ ดอกตะบองเพชรสีชมพูที่ผลิบานชูช่อสวยงาม กลีบของมันคล้ายกับดอกบัว เกิดมารินดาเพิ่งจะเคยเห็น

“ว้าว! สวยจังค่ะผู้พัน ดอกของต้นตะบองเพชรใช่ไหมคะ ผู้พันไปเจอที่ไหนคะ”

“ฉันแค่บินผ่านๆ”

คนบินผ่านๆ อมยิ้มอย่างพอใจที่เธอชอบ ก่อนจะถลึงตาใส่อามีน นายทหารคนสนิทที่หุบปากได้อย่างทันท่วงที ก็ใครจะไปคิดว่าเมื่อไปถึงเผ่านายา คำสั่งแรกที่เขาได้รับคือให้รีบไปหาดอกตะบองเพชรสีชมพูที่ดูเหมือนผู้พันขาโหดของเขาจะขีดเส้นใต้คำว่าสีชมพูตัวโตๆ จนเขาตามอารมณ์ไม่ทัน จะมาเข้าใจก็ต่อเมื่อดอกไม้สีสวยนั่นมาอยู่ในมือของผู้กองสาวชาวไทยนี่เอง

“ต๊าย! ขนาดบินผ่านๆ ยังมองเห็น ไปเจอมันที่ไหนคะ”

“แถวๆ เผ่านายา”

“สวยมากค่ะ ขอบคุณนะคะผู้พัน ฉันจะดูแลรักษาและบำรุงมันอย่างดีเลยค่ะ”

“อย่าลืมบอกราตรีสวัสดิ์มันก่อนนอนทุกคืนด้วยล่ะ”

“ได้ค่ะ ผู้พัน”

คนตัวเล็กหน้าบานที่ได้ของฝากอย่างคาดไม่ถึง

 

“นายอมยิ้มอะไรอามีน” ลับร่างผู้กองสาวชาวไทยแล้ว มาลิกก็หันมาเล่นงานคนสนิทที่กิริยาท่าทางบอกว่ากำลังล้อเลียนเจ้านายหนุ่ม

“เปล่าครับ...”

“ฉันแค่อยากให้เธอได้เห็นว่า ถึงทะเลทรายจะแห้งแล้ง แต่ก็ยังมีสิ่งสวยๆ งามๆ ซุกซ่อนอยู่ก็เท่านั้น”

“ครับ...ก็เท่านั้น”

อามีนก้มศีรษะ อมยิ้มให้แก่สายตาและท่าทางของผู้พันหนุ่มอีกครั้ง จนอีกฝ่ายออกอาการพิรุธ

“แล้วนี่จะยืนเซ่ออยู่อีกนานไหม ไปเรียกพวกนายทหารที่อยู่ข้างนอกเข้ามาประชุมสรุปงานกันได้แล้ว”

“ครับท่าน”

ลูกน้องตัวดีตะเบ๊ะรับคำสั่ง ก่อนจะกระวีกระวาดออกไป

 

ผู้ชายที่สูงเด่นและดูน่าเกรงขามตรงหน้าทำให้รินดาอดจะตะลึงไม่ได้ พันโทมาลิก บิน อัสฟาน บิน ฟาอิส ซัมมาล ดูเข้มแข็งและแข็งแกร่งสมชายชาติทหาร รูปร่างสูงเพรียวอยู่ในชุดพรางทะเลทรายที่ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าทอเนื้อดี ใบหน้าแม้จะมีหนวดและเครา แต่ก็ถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ความคมเข้มของดวงตาส่งให้ใบหน้าของผู้พันหนุ่มหล่อเหลาและสะดุดตามากกว่านายทหารทั้งหลายทั้งมวล

การเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว ทุกย่างก้าวที่ทรงพลัง บ่งบอกถึงความห้าวหาญและมุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ยิ่งนัก

“ผู้พัน”

รินดาทำความเคารพ เมื่อร่างสูงสง่าของผู้พันหนุ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับอามีนและซีมมานายทหารคนสนิท

“เช้าวันนี้เราจะไปตรวจเยี่ยมนายทหารที่ประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ด้วยกัน เริ่มจากฝูงบินเหยี่ยวเวหา แล้วค่อยไปเยี่ยมทหารม้า” มาลิกบอกภารกิจคร่าวๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างชายชาวตะวันออกกลางถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดสีดำและหมวกเบเร่ต์สีเขียว

“ผู้กอง...”

“คะ...ค่ะ” รินดาได้สติ เพราะผู้พันทำให้เธอเผลอคิดถึงชีคหล่อล่ำ พระเอกในนิยายตบจูบอยู่ร่ำไป

“เป็นอะไร เห็นยืนยิ้มอยู่คนเดียว”

“ปะ...เปล่าค่ะ”

“วันนี้ฉันจะพาเธอไปเยี่ยมชมหน่วยงานย่อยของที่นี่ มันเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เธอจะต้องได้รู้ได้เห็นถึงการปฏิบัติงานของริยาร์ ซึ่งอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับหน่วยของเธอที่เมืองไทยก็เป็นได้”

“รับทราบค่ะ” รินดารับคำแข็งขัน ภารกิจตรงหน้านี้คือสิ่งที่เธอจะต้องใส่ใจ ไม่ใช่พระเอกในนิยายที่เธอละเมอเพ้อพก เพราะชีคตรงหน้าไม่ใช่ชีคที่จะจับเธอขังไว้ในกระโจมแล้วลงโทษเธอด้วยบทรักแสนหวาน แต่เป็นชีคที่จะสั่งลงโทษเธอ หากเธอยังมัวแต่อ้อยส้อยพิรี้พิไรตามเขาไม่ทันอยู่ตรงนี้

 

อาคารที่ทำการของฝูงบินเหยี่ยวเวหาตั้งอยู่ภายในบริเวณของหน่วยปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวทะเลทราย มีร้อยเอกอามัสเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วย และแน่นอน ทุกหน่วยย่อยที่นี่จะต้องมีพันโทมาลิกเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงสุด

“นายทหารของเราส่วนใหญ่มาจากเผ่านายา” มาลิกเกริ่นนำ เขาลงจากรถตรงไปรับการเคารพและตรวจแถวของผู้ใต้บังคับบัญชา รับฟังรายงาน และถามไถ่การดำเนินงานของฝูงบินเหยี่ยวเวหา โดยมีอามีน ซีมมา และนายทหารติดตามหลายคน จะมีพิเศษก็ผู้กองสาวจากเมืองไทย ร้อยเอก แพทย์หญิงรินดา หรัญพฤกษ์ ทหารหญิงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ติดตามสังเกตการณ์การทำงานของผู้พันมาลิก

“ทหารที่นี่ส่วนใหญ่มาจากชนเผ่าต่างๆ คงไม่เหมือนเมืองไทย” มาลิกเอ่ยขึ้นหลังเสร็จสิ้นการตรวจแถว ทหารทุกนายกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ประจำตำแหน่งตามปกติ

“ฉันรู้ว่าที่เมืองไทยมีการเกณฑ์ผู้ชายให้มาเป็นทหาร แต่ที่นี่ไม่มี ใครอยากเป็นทหารก็ต้องมาทดสอบ เมื่อผ่านเกณฑ์ต่างๆ แล้วจึงจะรับเข้าโรงเรียนนายทหารต่อไป”

“แล้วมีจำกัดไหมคะว่าปีหนึ่งๆ จะต้องรับกี่คน”

“ไม่จำกัด แล้วแต่ความสามารถว่าแต่ละคนจะทดสอบผ่านเกณฑ์ของเราหรือเปล่า”

“ไม่ว่าหญิงหรือชาย?”

“ถูกต้อง ไม่ว่าหญิงหรือชาย” ดวงตาคมกริบสบกับตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินนำคณะของนายทหารเพื่อตรวจเยี่ยมหน่วยทหารม้า

 

หน่วยทหารม้าของมาลิกเป็นหน่วยเล็กๆ ที่มีทหารประจำการอยู่ไม่กี่คน แต่มีเนื้อที่มากมายเพราะต้องใช้เป็นสนามไว้ฝึกหรือให้ม้าได้วิ่งออกกำลัง

“ที่นี่มีม้าทั้งหมดห้าสิบตัว” มาลิกเดินนำเธอไปยังโรงม้า “แต่ละปีม้าพวกนี้จะออกงานก็แค่ปีละครั้งคือวันชาติของริยาร์”

“แล้วตัวไหนที่ผู้พันรักเป็นพิเศษ มีไหมคะ”

“มี ตัวนี้ไง” มือใหญ่ลูบแผงขนของม้าพันธุ์อาระเบียนสีขาวตัวใหญ่อย่างอ่อนโยน

“ฉันเพิ่งได้มาไม่นาน ยังไม่มีเวลาทำความรู้จักกันเท่าไรเลย”

“มันมีชื่อไหมคะ”

“The white horse เจ้าม้าขาว”

“จริงด้วยค่ะ สีของมันขาวมาก”

“เธอขี่ม้าเป็นไหม”

“เป็นค่ะ แต่ไม่เก่ง”

“ไม่เป็นไร ว่างๆ ฉันจะให้คนสอนให้ อย่างน้อยมาอยู่ริยาร์จะต้องขี่ม้าตะลุยทะเลทรายเป็น”

ขี่ม้าตะลุยทะเลทราย ความคิดของรินดาเตลิดไปไกล มันคงจะมีความสุข และเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับเธอเป็นอย่างยิ่ง

“เอาละ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของเธอ” มาลิกวกเข้ามาที่เรื่องสำคัญ “อ่านไปถึงไหนแล้ว”

“เกือบจบแล้วค่ะ”

“งั้นก็มีความรู้มากกว่าริยาร์ไม่ติดทะเลแล้วสินะ”

“ค่ะ” เธอรับคำเสียงอ่อย เพราะรู้ว่าโดนผู้พันประชดเข้าให้แล้ว

“ริยาร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างเปซาร์กับมายาวี เดิมนั้นปกครองด้วยชนเผ่านายา และเป็นประเทศเดียวในแถบนี้ที่รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของประเทศอังกฤษ ต่อมาในปีสองพันสี่ร้อยแปดสิบแปด ได้มีการทำรัฐประหารขึ้นโดยการนำของชีคอิสมา เพราะไม่เห็นด้วยที่หัวหน้าเผ่านายาในตอนนั้นจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ เพราะชีคอิสมามีความต้องการให้ริยาร์เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นชนเผ่าต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการนองเลือดกัน แต่ในที่สุดท่านชีคอิสมาก็เป็นฝ่ายชนะ”

“รู้ไหมว่าท่านชีคอิสมาเป็นใคร”

“เป็นปู่ทวดของผู้พันค่ะ”

“เก่งมาก เธอคงรู้แล้วสินะว่าริยาร์ไม่ได้มีแค่ไม่ติดทะเลอย่างเดียว”

“ค่ะ...” เธอยิ้มจนตาหยี

“ก็ตอนนั้นฉันไม่รู้นี่คะ แล้วหนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีขายในเมืองไทยด้วย”

“เล่มนี้พี่อัสวานของฉันเพิ่งจะทำขึ้นมา ก็เพราะประโยคของเธอที่ว่าริยาร์ไม่ติดทะเลนี่แหละ ฉันจึงต้องเอามาให้เธออ่าน มันเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของริยาร์ เป็นประตูบานแรกที่เปิดให้คนทั้งโลกได้รับรู้ ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ ก็คงมองริยาร์เหมือนกับที่เธอมอง คือเป็นประเทศที่มีแต่ทะเลทราย รวยขึ้นได้เพราะน้ำมันและ...”

“ไม่ติดทะเล” เธอหัวเราะเบาๆ ให้แก่ความไม่เอาไหนของตัวเอง

“แล้วก็ไม่มีตำรวจศาสนา เพราะที่นี่นับถือศาสนาซิร์ หญิงชายที่ไม่ได้เป็นญาติหรือสามีภรรยากันสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้ และริยาร์เป็นประเทศแรกในแถบนี้ที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศหรือรับราชการเคียงบ่าเคียงไหล่ผู้ชายได้”

“เก่งมาก รู้เรื่องริยาร์เพิ่มขึ้นตั้งเยอะ”

“นอกจากนี้นะคะ สองสามปีให้หลังนี่เศรษฐกิจของริยาร์ดีขึ้นมาก เพราะนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติต่างที่เข้ามาลงทุนที่นี่”

“เห็นไหม ริยาร์ไม่ได้มีแค่ประเทศไม่ติดทะเลอย่างเดียว”

“โห...ผู้พัน...ล้อฉันอีกแล้ว”

“เอาละ วันนี้ฉันรู้เรื่องประเทศของฉันมากทีเดียว ไว้พรุ่งนี้เธอคงมีเรื่องการท่องเที่ยวของริยาร์มาเล่าให้ฉันฟัง”

“ได้ค่ะผู้พัน”

“อ้อ! เดี๋ยวก่อนผู้กอง” เสียงทุ้มๆ เรียกไว้

“เพื่อนใหม่ของเธอเป็นอย่างไรบ้าง”

และเพราะท่าทางขมวดคิ้วทำหน้าฉงนของผู้กองสาว จึงทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของอีกคน

“ดอกตะบองเพชรสีชมพูแสนสวยนั่น เป็นอย่างไรบ้าง”

“อ๋อ มันยังคงสวยงามบานสะพรั่งอยู่เหมือนเดิมค่ะ ฉันตั้งไว้ที่ริมหน้าต่าง”

“อย่าลืมดูแลมันให้ดีล่ะ”

“รับรองค่ะ ฉันจะดูแลมันให้ดีที่สุดเลยละค่ะผู้พัน”

คำตอบของผู้กองสาวชาวไทยทำให้มาลิกระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขายิ้มทั้งปากและนัยน์ตา จนทำให้หญิงสาวออกอาการเคอะๆ เขินๆ เธอรีบทำความเคารพ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับด้วยหัวใจตุ๊มๆ ต้อมๆ

‘ไม่ได้ๆ’ รินดาเตือนสติตัวเอง เธอมาเพื่อหาประสบการณ์ ไม่ได้มาเพื่อให้หัวใจของตัวเองต้องชอกช้ำเหมือนอย่างที่เจอมาไม่ใช่หรือ

 

หนังสือที่บ่งบอกความเป็นริยาร์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่รินดาขาดมันไม่ได้ ไม่ว่าหญิงสาวจะไปทำงาน หรือแม้แต่ปฏิบัติภารกิจที่ไหน หากมีเวลาว่าง รินดาก็มักจะหยิบจับขึ้นมาอ่านและบันทึกข้อมูลไว้เพื่อไปรายงานต่อ พันโทมาลิก บิน อัสฟาน บิน ฟาอิส ซัมมาล อยู่เสมอ

วันนี้ก็เช่นกัน ผู้กองสาวชาวไทยยังคงนั่งซุกตัวอยู่ในมุมห้องทำงานอันเต็มไปด้วยภารกิจที่อัดแน่นของเจ้าของห้อง เพราะทหารหลายนายผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาประชุมปรึกษาหารือกับพันโทมาลิกอยู่ตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่าที่มุมห้องจะมีทหารหญิงคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ แต่สมาธิของเธอกระเจิดกระเจิงเพราะมัวแต่คอยจ้องผู้พันของตนตาแป๋ว

“วันนี้ยุ่งหน่อย” มาลิกเปรยขึ้นเมื่อห้องทำงานของเขาปราศจากนายทหารที่เดินเข้าออกแล้ว

“ไม่หน่อยละมั้งคะ ฉันเห็นผู้พันไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากเอกสารเลย”

“แต่ฉันเห็นเธอกัดเล็บ” คนที่ยุ่งตลอดเวลาพูดขึ้นเบาๆ

“ฉัน...ก็...”

‘ก็ฉันเบื่อนี่คะ’

“เธอคงเบื่อ”

“เปล่าค่ะ ใครว่าฉันเบื่อคะ ฉันกำลังสนุกกับเรื่องราวของริยาร์อยู่เลย” คำตอบของรินดาทำให้พันโทมาลิกหัวเราะเบาๆ

“ฉันเชื่อว่าเธอสนุก เพราะไม่งั้นเธอคงไม่อ่านหนังสือกลับหัวหรอก”

“ผู้พัน...” รินดายิ้มแหยๆ เห็นท่าทางเอาการเอางาน ที่แท้ก็ยังมีเวลาแอบมองเธอ คอยจับผิดเธอจนได้

“ความจริง มันก็มีบางเวลาที่ฉันนึกเบื่อบ้างละค่ะ การเห็นริยาร์ผ่านตัวหนังสือมันจะสนุกตรงไหนคะ”

“จริงสินะ ผู้กองไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะมานั่งอ่าน นั่งท่อง และคอยตอบคำถามฉันเหมือนเด็กนักเรียน เอาเป็นว่าฉันจะให้ผู้กองได้รับประสบการณ์ตรงดีกว่า”

“ฉันขอออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ค่ะ ถ้าผู้พันจะกรุณา” รินดาได้ที เธออยากจะออกไปสัมผัสกับทะเลทรายและวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองจะตายไป

“หือ” มาลิกเลิกคิ้วขึ้น

“โอเคค่ะ ฉันรู้ว่าที่ผ่านๆ มา ทหารแลกเปลี่ยนไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่กับพวกคุณเลย แต่ครั้งนี้ฉันขอค่ะ ฉันอยากออกไปใช้วิชาความรู้เพื่อหาประสบการณ์มากกว่าจะลงประวัติคนไข้และรอจ่ายยาแก้ปวด แก้ไข้ ภายในห้องสี่เหลี่ยมเท่านั้นนะคะผู้พัน”

“เพราะคิดอย่างนี้นี่เอง เธอถึงขออาสาไปทำภารกิจอีตัว”

“ก็...มันตื่นเต้นกว่าไม่ใช่หรือคะ”

“แน่ใจหรือว่าผู้กองอยากไป”

“แน่ใจค่ะ”

“มันร้อน และเป็นงานที่หนัก อีกอย่าง การกินอยู่หลับนอนมันก็ไม่ได้สบายเหมือนอยู่ที่ค่ายนี้หรอกนะผู้กอง”

“ฉันรู้ค่ะ ว่ามาที่นี่แล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง”

“ถ้าเธอรู้ เธอคงไม่มีหนังสือของริยาร์อยู่ในมือหรอก จริงไหม”

“ฉัน...” รินดาอึกอักเมื่อถูกผู้พันย้อน

“แต่ฉันอยากไปจริงๆ ค่ะ และหวังว่าผู้พันจะทบทวนคำขอของฉัน”

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”

“ฉันก็ไม่ได้ขอเล่นๆ เหมือนกันค่ะ”

รินดาตอบเขาด้วยความมั่นใจ เพราะหากว่าเธอกลัวลำบาก เธอคงไม่เลือกมาเป็นทหาร และคงไม่เลือกมายังริยาร์ ดินแดนแห่งทะเลทรายที่ไม่ได้มีแค่ ‘ไม่ติดทะเล’ อย่างเดียวแบบนี้หรอก


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น