อรอินทุ์แวะไปที่วังธาดาเพื่อรับพราวรัมภาไปพบนักลงทุนชาวต่างชาติด้วยกันโดยมีนาตาลีเป็นตัวกลางในการนัดหมายครั้งนี้ แต่เมื่อใกล้ถึงเวลา คนกลางกลับโทร. มาบอกว่าติดงานและคงไม่ได้ร่วมพบปะเพื่อเจรจาด้วยในเย็นนี้ แต่ได้จัดเตรียมสถานที่โดยจองโต๊ะในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ทั้งคู่ไปถึงโรงแรมแกรนด์อารินาก่อนเวลานัดพอสมควร เมื่อสอบถามพนักงานถึงร้านอาหารที่นาตาลีจองไว้ พนักงานจึงเดินนำไปที่ห้องอาหารญี่ปุ่นภายในโรงแรมซึ่งทั้งสองคนเคยได้ยินมาก่อนว่าอาหารญี่ปุ่นที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติ
พนักงานหญิงในชุดกิโมโนออกมาต้อนรับ แล้วรีบเชิญให้แขกพิเศษไปนั่งรอในห้องตกแต่งแบบญี่ปุ่นที่มิดชิดและเป็นส่วนตัว
“อีกสักครู่คุณรอนจะมาพบตามเวลานัดนะคะ” พนักงานบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ
อรอินทุ์ขมวดคิ้วทันที “คุณรอนหรือคะ”
“ใช่ค่ะ คุณนัดกับคุณรอน เจ้าของโรงแรมนี้ไว้ไม่ใช่หรือคะ” พนักงานสาวเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช่คนที่นัดกับคุณรอน หรือ มิสเตอร์โรนัลด์ แอนเดอร์สัน เจ้าของโรงแรมแห่งนี้หรือไม่
“เรา...นัดกับคุณจัสตินค่ะ แต่คุณนาตาลีบอกว่าคุณจัสตินจะมีที่ปรึกษามาด้วย” อรอินทุ์เริ่มไม่มั่นใจ เพราะที่ปรึกษาไม่น่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมไปได้
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะไปเช็กให้นะคะว่าตกลงนัดกับคุณรอนไว้รึเปล่า”
“ขอบคุณค่ะ”
พนักงานสาวถอยออกจากห้องแล้วปิดประตู ยังไม่ทันก้าวไปไหนก็พบเข้ากับ ‘คุณรอน’ ที่เดินมาถึงหน้าห้องพอดีพร้อมกับชายชาวต่างชาติอีกคน
“แขกที่นัดไว้มาถึงแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ แต่...เธอไม่แน่ใจว่านัดกับคุณรอนไว้รึเปล่า”
“แล้วเธอบอกไหมว่านัดกับใครไว้”
“บอกค่ะ นัดกับคุณจัสติน” พนักงานในชุดกิโมโนเหลือบมองชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังไปเล็กน้อย จัสตินน่าจะเป็นเขาคนนี้แน่ๆ
“งั้นก็ถูกคนแล้วละ” รอนบอกพนักงาน เธอจึงรีบเดินไปเปิดประตูห้องให้ทันที
สองหนุ่มซึ่งมีหน้าตาเป็นชาวตะวันตกทั้งคู่จึงเดินเข้าไปในห้องอาหารแบบญี่ปุ่นพร้อมๆ กัน เห็นหญิงสาวสองคนนั่งรออยู่ ทั้งคู่แต่งกายเรียบร้อยในแบบที่มาติดต่อธุรกิจ ฝ่ายหนุ่มๆ เองก็อยู่ในชุดทำงานเช่นกัน
“ตามสบายเถอะครับ” รอนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อสองสาวทำท่าจะลุกขึ้นจากเบาะรองนั่งแบบญี่ปุ่น ทางร้านทำพื้นเป็นหลุมสำหรับห้อยขาลงไปเพื่อให้นั่งสบายกว่าการนั่งกับพื้นแบบญี่ปุ่นแท้ซึ่งชาวตะวันตกอาจไม่ถนัด
“ไม่ต้องลุกหรอก เพราะพวกผมก็กำลังจะนั่งเหมือนกัน” รอนบอกแล้วแจกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ ที่เดินตามเข้ามาเป็นภาษาอังกฤษ ขณะที่หญิงสาวทั้งคู่นั่งลงตามเดิม “นั่งแบบนี้พอไหวไหม”
“ยิ่งกว่านี้ก็ไหว” ชายหนุ่มหน้าไม่ยิ้มอีกคนตอบกลับกวนๆ เป็นภาษาเดียวกัน
สองสาวเหลือบสบตากันด้วยความสงสัยตรงกันว่าทำไมสองคนนี้ดูหนุ่มกว่าที่คิด
พราวรัมภาคิดไว้ว่า ‘คุณจัสติน’ ที่นาตาลีเป็นตัวกลางติดต่อน่าจะอายุเกือบๆ ห้าสิบ ไม่คิดว่าจะดูหนุ่มฟ้อแถมยังรูปหล่ออีกด้วย แม้จะยังไม่รู้แน่ว่าคนไหนคือจัสติน แต่ก็เดาว่าน่าจะเป็นคนที่พูดไทยไม่ได้
“สวัสดีครับ คุณอรอินทุ์ คุณหญิงพราวรัมภา” หนุ่มหน้าตาลูกครึ่งที่พูดไทยชัดเป๊ะเอ่ยทักทายก่อน
“สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวทั้งสองคนรีบยกมือไหว้ทักทายเขาทันที ในเมื่อเขาพูดภาษาไทยได้ขนาดนี้ก็น่าจะถือตามธรรมเนียมไทย แล้วไหว้เลยไปที่อีกคนซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเป็นใคร
“คุณ...เอ่อ...” อรอินทุ์ไม่รู้จะเรียกเขาอย่างไร และรู้สึกประดักประเดิดชอบกลที่เขามองมาแล้วทำหน้ายิ้มๆ เหมือนคนที่ทั้งขำและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
“ผมรอนครับ แล้วนั่นก็จัสติน”
“ค่ะ ฉันชื่ออรอินทุ์ แล้วนี่หุ้นส่วนของฉันค่ะ” หญิงสาวแนะนำตนเอง แม้เขาจะรู้จักชื่อเธอมาก่อนล่วงหน้า แต่อาจไม่รู้ก็ได้ว่าคนไหนชื่ออะไรเพราะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ทำการบ้านมาดี แถมมีมารยาทมากด้วยที่อุตส่าห์จำชื่อคนที่นัดพบได้
“พราวรัมภาค่ะ” หญิงสาวแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มบางๆ และเห็นว่าชายหนุ่มคนที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จามองมาที่ตนอย่างจับสังเกต สายตาคมกริบบาดลึกของเขากึ่งสนใจและประเมินอยู่ในที
“สวัสดีครับ คุณหญิง” คนที่ยังจับจ้องใบหน้าของพราวรัมภาเอ่ยทักทายด้วยภาษาไทยที่ค่อนข้างชัด ก่อนจะหันไปหาหญิงสาวอีกคน “สวัสดีครับ คุณอรอินทุ์”
“พูดไทยได้หรือคะ” อรอินทุ์ถามด้วยความแปลกใจ เพราะดูหน้าตาแล้วเขาเหมือนฝรั่งแท้มากกว่าลูกครึ่งอย่างรอนซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
“ได้ครับ ผมเคยอยู่กรุงเทพฯ ตอนเด็กๆ” จัสตินตอบให้หายสงสัยแล้วบอกว่า “เราจะคุยกันเป็นภาษาไทยก็ได้ ถ้าคุณทั้งสองคนรู้สึกว่าสะดวกกว่า”
“ดีค่ะ” อรอินทุ์ยิ้มให้จัสตินแบบไม่เต็มที่นัก เพราะเขาไม่ได้หน้าระรื่นอย่างรอน แต่ดูเคร่งขรึมกว่าตามแบบนักธุรกิจ
“ผมให้ทางร้านจัดอาหารไว้ให้แล้วนะครับ อีกสักพักคงจะเสิร์ฟ” รอนบอกอย่างเป็นกันเองพลางหยิบผ้าอุ่นๆ ที่อยู่ในถาดบนโต๊ะขึ้นมาเช็ดมือ
“ขอบคุณค่ะ” อรอินทุ์รีบบอกพร้อมกับค้อมศีรษะแบบคนที่คุ้นเคยกับการติดต่องาน โดยเฉพาะกับคนที่อยู่เหนือกว่า
จัสตินหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือพลางเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม เห็นว่าเธอเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย แม้จะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่ดูเป็นคนวางตัวมากกว่าญาติสาวซึ่งมีบุคลิกคล่องแคล่วตามประสาคนเก่งเรื่องค้าขาย
พราวรัมภาไม่ได้ดูสงบเสงี่ยม แต่ดูไว้ตัวและมีมาดแบบนางหงส์ที่ค่อนข้างระแวดระวังตัวเอง โดยเฉพาะการพูดจากับใครสักคน
“อาหารญี่ปุ่นที่นี่อร่อยนะครับ ไม่รู้ว่าคุณหญิงกับคุณอรอินทุ์เคยมาทานบ้างไหม”
“ไม่เคยค่ะ” พราวรัมภาตอบเพื่อไม่ให้ตนดูนิ่งเกินไปนัก แล้วจึงบอกรอนอย่างเป็นกันเองว่า “เรียกพราวก็ได้นะคะ ไม่ต้องเรียกคุณหญิงหรอกค่ะ”
“เราสองคนเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกค่ะ เอ่อ...คุณรอนเป็นเจ้าของโรงแรมนี้หรือคะ” อรอินทุ์ถามเมื่อสบโอกาส
“เรียกว่าเป็นผู้บริหารดีกว่าครับ เพราะคนที่ถือหุ้นจริงๆ คือคุณพ่อกับคุณแม่ของผม”
“ค่ะ”
“ส่วนเรื่องที่จะคุยกันวันนี้คงต้องคุยกับจัสติน เพราะผมเป็นแค่ที่ปรึกษาเท่านั้นเองครับ” รอนบอกหญิงสาวที่ยังดูเป็นสาวรุ่นด้วยกันทั้งคู่ แม้จะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง
“เราเริ่มคุยกันเลยก็ได้นะครับ” จัสตินบอกอย่างรวบรัดตัดความ รู้สึกทึ่งพอสมควรที่สาวไทยยุคนี้มีความสามารถไม่แพ้ผู้ชายจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เขารู้มาจากรายงานของนักสืบเอกชนที่มีข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาเมื่อวานนี้ว่า ครอบครัวของอรอินทุ์ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนในอดีต แต่ก็ยังดีกว่าพราวรัมภาที่ถึงขั้นติดลบ อรอินทุ์จึงขวนขวายเรื่องทำมาหากิน เพราะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองแม้จะมีนามสกุลดังก็ตาม
“ผมลืมแนะนำตัวเอง ผมชื่อ จัสติน บราวน์ นี่นามบัตรครับ”
หนุ่มนักลงทุนชาวอเมริกันเริ่มต้นอย่างเป็นงานเป็นการ แล้วก็เห็นว่าพราวรัมภาเลิกคิ้วนิดๆ ด้วยความประหลาดใจ
เขายื่นนามบัตรของบริษัทก่อสร้างและจำหน่ายคอนโดมิเนียมชื่อดังให้หญิงสาวทั้งสองคน โดยมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาและผู้ถือหุ้น แม้พราวรัมภาจะไม่เคยสนใจธุรกิจด้านนี้ แต่ก็เคยเห็นโลโก้ของคอนโดหรูใจกลางกรุงผ่านหูผ่านตาอยู่บ่อยๆ จนจำได้ แต่ที่สะดุดใจอยู่บ้างคือนามสกุลของเขา
พราวรัมภาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่เพิ่งรับมาแล้วมองสบดวงตาสีฟ้าอมเทาที่กำลังจ้องมาอยู่พอดี ราวกับเจ้าของดวงตาคมมองเธออยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมคุณ...เอ่อ...คุณบราวน์ถึงสนใจธุรกิจทำกระเป๋ากับรองเท้าด้วยล่ะคะ ดูเหมือนจะคนละสายงานกับธุรกิจคอนโดมิเนียมนะคะ” พราวรัมภาเอ่ยถามสิ่งที่ข้องใจโดยไม่คิดเก็บงำไว้ หากต้องร่วมงานกันจริงๆ ก็ควรจะได้รับความกระจ่างเสียตั้งแต่ต้น
“ผมเป็นนักลงทุน ไม่เจาะจงว่าเป็นธุรกิจอะไร ถ้าดูแล้วกำลังไปได้ดีผมสนใจทั้งนั้น” เขาพูดภาษาไทยได้เกือบชัดเจนทุกคำด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่ติดขัด
“บริษัทของเราเพิ่งเริ่มมาได้แค่สามปีกว่าค่ะ ยังเป็นธุรกิจเล็กๆ และเล็กมากถ้าเทียบกับบริษัทคอนโดที่คุณบราวน์ถือหุ้นอยู่ในตอนนี้” อรอินทุ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เขาตัดสินใจอย่างรอบคอบ
“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
จัสตินบอกพร้อมรอยยิ้มด้วยความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ที่หญิงสาวทั้งสองคนคุยเรื่องธุรกิจแบบใสซื่ออย่างที่เขาแทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน ตามปกติแล้วคนทำธุรกิจมักมีชั้นเชิงและสร้างภาพเข้าหากันไม่มากก็น้อยตามประสบการณ์ที่เขาเคยพบเจอ
“ไม่ต้องเรียกผมคุณบราวน์หรอกครับ เรียกจัสตินก็ได้ ปกติคนไทยไม่เรียกนามสกุลกันอยู่แล้วนี่”
พราวรัมภาได้ยินแล้วรู้สึกแปลกใจที่เขาพยายามทำตัวให้เข้ากับคนไทยอย่างสนิทแนบเนียนแทบทุกเรื่อง แม้แต่การพูดภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดถ้อยชัดคำซึ่งคงต้องใช้ความพยายามอยู่ไม่น้อย หากว่าเขาไม่ได้เป็นอัจฉริยะด้านภาษาที่สามารถเรียนรู้ภาษาอื่นได้อย่างรวดเร็ว
“แต่ผมได้ยินมาว่าแบรนด์ของคุณสองคนกำลังดังในหมู่วัยรุ่นและคนทำงานนี่ครับ ตอนนี้ใครไม่มีกระเป๋ากับรองเท้าเบอร์รีแบ็กดูเหมือนจะเชยหรือตกเทรนด์กันเลยใช่ไหม” รอนเอ่ยแทรกขึ้นมาตามข้อมูลที่รู้จากนาตาลีและจัสติน ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลลอยๆ เพราะพอเขาให้เลขานุการส่วนตัวเข้าไปเช็กกระแสในอินเทอร์เน็ตก็พบว่าเป็นเรื่องจริง
“น่าจะอย่างนั้นค่ะ” อรอินทุ์ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ตัวจริงยิ้มเขินๆ ที่มีคนชื่นชมสินค้าฝีมือการออกแบบของตนเองต่อหน้า ทำให้คนที่เอ่ยปากชมพลอยยิ้มตามไปด้วย
ท่าทียิ้มเขินทำให้สาวเปรี้ยวทันสมัยแลดูเป็นสาวน้อยน่ารักขึ้นมาทันตา รอนเดาว่าอรอินทุ์น่าจะอายุพอกันกับคุณหญิงพราวรัมภาที่ดูสงบนิ่งและอ่อนหวานมากกว่า แต่เป็นความหวานที่แลดูลึกลับอยู่ในที
“เท่านี้ก็พอแล้วที่ผมจะสนใจลงทุน ในยุคนี้ธุรกิจทุกประเภทอยู่ได้ด้วยการสร้างแบรนด์ขึ้นมาในตลาดทั้งนั้น ถ้าผลิตและขายอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าใครจะรู้จักหรือไม่อาจอยู่ได้ไม่นาน” จัสตินพูดประโยคยาวๆ เป็นภาษาไทยอย่างที่คนฟังต้องทึ่ง
“วันนี้เรามีรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทและโพรเจกต์ใหม่ที่คิดไว้มาให้ดูด้วยค่ะ เป็นเรื่องขยายงานเพื่อการส่งออก” อรอินทุ์ว่าแล้วส่งรายงานฉบับไม่หนามากนักให้ชายหนุ่มทั้งสองคน
จัสตินและรอนรับไปเปิดอ่าน ในรายงานมีทั้งรายละเอียดต่างๆ ของบริษัทเบอร์รีแบ็กและรูปสินค้าที่มีพราวรัมภาเป็นพรีเซนเตอร์ทุกรูป รูปร่างหน้าตางดงามรวมถึงบุคลิกท่าทางแบบนางหงส์ช่วยส่งให้สินค้าดูดีมีราคาขึ้นมาอย่างไม่ต้องบรรยายใดๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะความเป็นราชนิกุลจากตระกูลดังยิ่งส่งเสริมให้ทั้งกระเป๋าและรองเท้าดูหรูหราเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า ซึ่งเป็นจุดแข็งของแบรนด์น้องใหม่อย่างเบอร์รีแบ็กในเวลานี้
สาวๆ คนใดเล่าที่ไม่อยากดูดีและสูงส่งอย่างคุณหญิง!
นี่เองกระมังที่ทำให้เบอร์รีแบ็กขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนผลิตกันแทบไม่ทันยอดที่สั่งจองเข้ามาในแต่ละวัน
อรอินทุ์เห็นว่าหนุ่มฝรั่งทั้งสองคนมองภาพ ‘หญิงพราว’ พรีเซนเตอร์ตลอดกาลของ ‘เบอร์รีแบ็ก’ แล้วต่างก็นิ่งตะลึงกันไปชั่วครู่
“สินค้าของเราเป็นยังไงบ้างคะ” อรอินทุ์ถามทำลายความเงียบ
“เอ่อ...” รอนเงยหน้าขึ้นจากภาพหนึ่งของพราวรัมภาที่หิ้วกระเป๋าหนังใบหรูแล้วยิ้มเขินๆ เล็กน้อย เพราะเผลอจ้องภาพนานไปหน่อย ทั้งที่ตัวจริงก็มานั่งอยู่ตรงหน้าแล้วในตอนนี้
แต่หญิงสาวในภาพที่แต่งกายและแต่งหน้าโดยฝีมือทีมงานมืออาชีพทำให้เธอดูแปลกตาไปจากตัวจริงอยู่บ้าง เพราะเย็นนี้พราวรัมภาสวมสูทและกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนแบบเรียบๆ แถมยังรวบผมเป็นหางม้าแบบไม่พิถีพิถันนัก แล้วหน้าตาก็แทบไม่ได้แต่งจนมองเห็นผิวเนื้อที่แท้จริง
“คุณหญิงสวยมากเลยครับ” รอนตอบตามที่รู้สึกจริงๆ แทนที่จะตอบเรื่องสินค้า คือกระเป๋าและรองเท้า ตามที่อรอินทุ์ถาม
จัสตินได้ยินแล้วส่ายหน้ากับคำตอบของเพื่อน แต่ก็อดไม่ได้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง ‘คนสวย’ ที่น่าจะมีส่วนทำให้กระเป๋าขายดิบขายดี และเธอก็เหลือบมาสบตาเขาเข้าพอดีราวกับนัดกันไว้
พราวรัมภายิ้มรับคำชมจากรอน แต่ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่ไม่ได้เอ่ยปากใดๆ แล้วเมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าแกมเทาเข้าอย่างจัง ก็รู้สึกว่าเขาจ้องมาด้วยสายตาประเมินอีกครั้ง ทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาจนต้องเบนสายตาไปทางอื่น
“ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยเสียงเบากับคนที่ออกปากชม
“สินค้าดูดีมากเลยครับ” รอนต้องวกกลับมาตอบคำถามของหญิงสาวอีกคนที่คงรอคำตอบอยู่ “ผมไม่แปลกใจแล้วละว่าทำไมถึงขายดี”
“หญิงพราวช่วยได้เยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เราเปิดขายสินค้ากันใหม่ๆ เพราะคนยังไม่รู้จัก” อรอินทุ์ให้เครดิตหุ้นส่วน
“น่าจะเป็นภาพรวมของสินค้าด้วยครับ เพราะดูเป็นของดีมีคุณภาพ ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับตลาดประเทศไทย แต่เรื่องการโฆษณาหรือวางแผนการตลาดก็มีส่วนสำคัญ” จัสตินออกความเห็นหลังจากดูรายงานที่อ่านง่ายเพราะมีตัวหนังสือไม่มากนัก เน้นการใช้กราฟแสดงสถานะต่างๆ รวมถึงภาพประกอบที่เหมาะกับการอ่านในเวลาสั้นๆ
“ใช่ค่ะ เราวางสินค้าของเราไว้ที่คนทำงานระดับไวต์คอลลาร์ และเผื่อตลาดวัยรุ่นระดับนักศึกษามหา’ลัยด้วยค่ะ เพราะกลุ่มนี้ที่ฐานะทางบ้านดีๆ มีสตางค์จับจ่ายใช้สอยถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่อยู่เหมือนกัน ราคาเลยอาจจะสูงอยู่สักหน่อยถ้าเทียบกับสินค้าแบรนด์ไทยในตอนนี้” อรอินทุ์อธิบายเพิ่มเติมอย่างคล่องแคล่ว
“เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหาหรอกครับถ้าเป็นสินค้าระดับพรีเมียม” จัสตินให้ความเห็นอย่างคนที่ช่ำชองเรื่องการตลาด “ลูกค้ากลุ่มนี้อาจไม่ซื้อถ้าเป็นของถูก”
“ใช่ค่ะ”
“คุณสองคนคิดถูกแล้วครับที่ให้คุณหญิงเป็นพรีเซนเตอร์”
จัสตินบอกด้วยความชื่นชมที่หญิงสาวทั้งสองคนกล้าตัดสินใจทำธุรกิจส่วนตัวและรู้จักวางแผนการตลาดได้ดีพอสมควร แต่เขาก็อดสงสัยอะไรบางอย่างไม่ได้
“แต่ดูเหมือนคุณอรอินทุ์จะเป็นคนควบคุมทุกอย่างในเบอร์รีแบ็กนะครับ ผมไม่เห็นคุณหญิงพูดอะไรเลย”
“ที่ผ่านมาหญิงพราวมีงานส่วนตัวเปิดโรงเรียนสอนดนตรีค่ะ แต่เวลาเราทำอะไรก็จะปรึกษาหรือขอความเห็นกันก่อนนะคะ อย่างเรื่องการออกแบบรองเท้า ในช่วงนี้ที่เราเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ไม่นาน หญิงพราวก็มีส่วนร่วมในการออกแบบค่ะ” อรอินทุ์ช่วยอธิบายแทนญาติสาวซึ่งตามปกติเป็นคนค่อนข้างประหยัดคำพูด
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่พรีเซนต์ไม่ค่อยเก่ง แต่จริงๆ แล้วเรื่องในบริษัทส่วนใหญ่หนูอินเป็นคนจัดการ” พราวรัมภาตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนหากเขาจะมองว่าเธอทำงานไม่เก่ง เพราะนั่นเป็นความจริง ในเมื่อเธอถนัดด้านดนตรีมากกว่าค้าขาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหญิง ผมแค่ถามสถานการณ์โดยทั่วไปของธุรกิจเท่านั้นเอง” จัสตินตอบเสียงเรียบ
“แต่ทุกวันนี้หญิงพราวเป็นคนดูแลเรื่องการเงินของบริษัทนะคะ เกือบสองปีมาแล้วค่ะ”
“นักดนตรีกับไฟแนนซ์ไม่น่าจะไปด้วยกันได้เลยนะครับ” จัสตินเลิกคิ้วแล้วหัวเราะเบาๆ
“ฉันเรียนรู้มาจากคุณพ่อน่ะค่ะ ท่านอยากให้รู้เรื่องเงินทองประดับสมองไว้บ้างเผื่อต้องใช้ในอนาคต ก็เลยได้เอาความรู้มาช่วยหนูอิน” พราวรัมภาบอกคนที่เพิ่งขำด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย แต่พยายามเก็บสีหน้าอย่างที่สุด แม้จะเริ่มรู้สึกว่าเขาหาเรื่องรวนเป็นระยะๆ
“คุณสองคนมีชื่อเล่นที่ใช้เรียกกันเองทั้งแปลกและน่ารักดีนะครับ” รอนทะลุกลางปล้องไปอีกเรื่องเพื่อลดความตึงเครียดในการสนทนาลงบ้าง
หญิงสาวทั้งสองคนได้แต่หันไปมองหน้ากันแล้วยิ้ม เพราะเรียกกันมาอย่างนี้ตั้งแต่จำความได้จนติดปาก และมักจะเผลอเรียกต่อหน้าคนอื่นเป็นประจำ
ในจังหวะนั้นพนักงานสาวคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาโดยมีพนักงานเสิร์ฟตามมาอีกสองคน จากนั้นจานอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยจึงถูกลำเลียงเข้ามาเสิร์ฟจนครบชุดทั้งสี่ที่นั่ง
“ทานกันเลยนะครับ” รอนเป็นฝ่ายเชิญทุกคนในฐานะเจ้าบ้านที่ดี
ทุกคนจึงลงมือรับประทานอาหารญี่ปุ่นจากร้านชื่อดังในโรงแรมระดับห้าดาว ทั้งสามคนที่เพิ่งเคยชิมเป็นหนแรกต่างก็รู้สึกตรงกันว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นที่มีรสชาติแบบต้นตำรับแทบไม่ผิดเพี้ยน
“รสชาติเป็นไงบ้างครับ คุณอรอินทุ์” รอนเจาะจงถามหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า
“อร่อยมากค่ะ”
จัสตินเหลือบมองหญิงสาวอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเอง เห็นเธอรับประทานช้าๆ ด้วยกิริยามารยาทแบบผู้ดีที่ดูแล้วค่อนข้างแปลกตาสำหรับชาวต่างชาติอย่างเขา แม้คุณหญิงพราวรัมภาจะไม่ได้ดูเชื่องช้า แต่ทุกอย่างกลับเนิบนาบในสายตาคนที่มองอยู่
“คุณหญิงชอบทานอาหารญี่ปุ่นรึเปล่าครับ” จัสตินเอ่ยถาม จึงเห็นว่าดวงตาโตค่อยๆ มองช้อนขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ชอบเหมือนกันค่ะ แต่ปกติชอบทานอาหารไทย แล้ว...คุณจัสตินล่ะคะ” เธอถามกลับบ้างตามมารยาท
“ผมทานได้ทุกอย่างครับ แต่ถ้าให้เลือกก็คงเลือกอาหารไทย” เขาบอกพลางจ้องตาหญิงสาวราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง
พราวรัมภาสบตาเขาอยู่ชั่วขณะ กระทั่งเห็นแวววูบไหวแปลกๆ ในดวงตาสีฟ้าแกมเทาคู่นั้น จึงก้มหน้าลงมองอาหารบนโต๊ะ
“มีร้านแนะนำไหมครับ” เขาถามต่อเมื่อเห็นว่าเธอหลบตาลง ซึ่งเป็นลักษณะท่าทางของหญิงสาวที่จัสตินไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก ส่วนใหญ่ถ้าเขาสบตาใคร แม่สาวคนนั้นก็มักจะมองตอบอย่างสนอกสนใจหรืออาจถึงขั้นเชิญชวนกันเลยทีเดียว
“ในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารไทยอร่อยๆ เยอะค่ะ”
“เอาร้านที่คุณหญิงชอบไปทานสิครับ” จัสตินถามเหมือนชวนคุย เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายค่อนข้างสงบปากสงบคำ ท่าทางต่างจากคืนนั้นที่เขาเห็นเธอครั้งแรกในไนต์คลับ คงเพราะหญิงสาวดูสนิทสนมกับคุณชายคนนั้นที่มีนามสกุลเดียวกันเป็นพิเศษ เขายังจำได้ว่าเห็นทั้งคู่ล่ำลากันด้วยกูดไนต์คิสในรถเบนซ์คันนั้นหน้าวัง
“ฉันไม่มีร้านประจำหรอกค่ะ ส่วนใหญ่จะทานข้าวที่บ้าน” พราวรัมภาตอบไปตามจริง เพราะไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องกินหรืออาหารมากมายนัก แล้วที่วังก็มีคนทำอาหารให้กินอยู่ทุกวัน
“ทานที่วังหรือครับ”
“ใช่ค่ะ”
“วังคงจะสวยน่าดูเลยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับจ้องตากลมโตดำขลับที่มองสบกันอยู่ เห็นแววตาของเธอสลดไปวูบหนึ่งเมื่อเขาเอ่ยถึงวัง แต่ดูเหมือนพราวรัมภาพยายามจะกลบเกลื่อน
“ก็เป็นบ้านเก่าๆ น่ะค่ะ” เธอว่าอย่างถ่อมตนพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ
วูบหนึ่งเขารู้สึกสงสารเจ้าของใบหน้าสวยหวานที่วันนี้แทบไม่ได้แต่งเติมใดๆ นอกจากทาแป้งบางๆ ทำให้มองเห็นผิวหน้าเนียนใสถนัดตา เธอดูอ่อนเยาว์กว่าที่คิดไว้มากต่อมาก แถมตอนนี้ตาโตๆ ก็ดูหม่นลง หากเขาไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกของเธอมาก่อนก็คงไม่อาจจับสังเกตได้ แต่สุดท้ายหนุ่มเชื้อสายยิวอย่างจัสตินก็รีบปัดความรู้สึกอ่อนไหวนั้นออกไปโดยเร็ว
เธอไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น แต่ความสวยงามอ่อนหวานแบบลูกผู้ดีเต็มตัวนี่ต่างหากที่เป็นอาวุธชั้นเลิศไว้ตบตาใครๆ โดยเฉพาะผู้ชายแก่อย่างพ่อของเขาที่กระโจนลงไปในหลุมของคุณหญิงพราวรัมภาโดยไม่รู้ตัว
“วังของหญิงพราวสวยมากเลยค่ะ ถ้าคุณจัสตินชอบบ้านเก่าๆ น่าจะลองแวะไปดูสักหน่อยนะคะ” อรอินทุ์เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนแทนเจ้าของวังซึ่งยังนั่งนิ่ง
“เจ้าของยังไม่ชวนผมเลยนะครับ” จัสตินว่าพร้อมกับยิ้มให้หญิงสาวอีกคนที่ออกปากอย่างเอื้อเฟื้อ
“ถ้าอยากไปดูก็เชิญค่ะ เพียงแต่ว่าก็เป็นแค่บ้านเก่าๆ ไม่มีอะไรมาก ไม่เหมือนวังที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์หรอกนะคะ”
“ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ” จัสตินว่าอย่างเกรงใจ เพราะเจ้าของเพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าบ้านของเธอไม่ใช่พิพิธภัณฑ์ที่จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชม
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ” พราวรัมภารีบบอก เพราะเห็นว่าเขากำลังจะหอบเงินมาลงทุนกับบริษัทเล็กๆ ของตนซึ่งเป็นความหวังหนึ่งเดียวของอรอินทุ์ที่จะมีโอกาสได้ขยายกิจการอย่างรวดเร็วในตอนนี้
“ขอบคุณครับ” จัสตินตอบด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าปกติ ก่อนจะวกกลับมาคุยเรื่องธุรกิจต่อเพื่อให้ดูแนบเนียนว่าเขาสนใจจะลงทุนจริงๆ ไม่ได้มาเพราะเหตุอื่น “ผมสนใจจะร่วมลงทุนกับคุณทั้งสองคน เพราะดูจากโพรเจกต์ที่อยู่ในรายงานก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงเรื่องการส่งออกเพื่อสร้างแบรนด์”
“ค่ะ แต่ตอนนี้เราผลิตสินค้าไม่ทันและควบคุมคุณภาพเองไม่ได้เท่าที่ควร” อรอินทุ์รีบบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี เมื่อเจ้าของเงินทำท่าว่าอยากควักกระเป๋ามาร่วมหุ้นแบบไม่ยากเย็นนัก
“ผมอยากให้ผลิตสินค้าแบบมืออาชีพ ทั้งเรื่องฝีมือและวัสดุในมาตรฐานเพื่อการส่งออก อาจต้องปรับเปลี่ยนหลายเรื่องรวมถึงการบริหารงานทุกด้าน ไม่ทราบว่าคุณสองคนเห็นด้วยไหม” จัสตินมีข้อเสนอซึ่งเป็นเงื่อนไขกลายๆ
“ไม่มีปัญหาค่ะ” อรอินทุ์ตอบได้ทันที
“แล้วคุณหญิงล่ะครับ” เขาหันไปหาอีกคนที่นั่งฟังเงียบๆ
“ฉัน...แล้วแต่หนูอินค่ะ” พราวรัมภาตอบตามแบบฉบับตัวเองโดยไม่คิดเสแสร้งว่ามีเหตุผลเป็นการส่วนตัวอื่นอีก เพราะธุรกิจนี้ญาติสาวเป็นคนสร้างมากับมือ เธอย่อมต้องยอมรับการตัดสินใจของเจ้าของที่แท้จริงเป็นธรรมดา
“งั้นก็ดีครับ” จัสตินมองคนที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียงด้วยความแปลกใจมากยิ่งขึ้น
นี่เขามาเจอสาวยุคไหนกันที่เอาแต่นั่งสงบปากสงบคำ ใครว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้นจนดูแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง เท่าที่เห็นตอนนี้มีเพียงมาดผู้ดีแบบนางหงส์เท่านั้นที่ทำให้พราวรัมภาดูแตกต่างและโดดเด่นจากใครๆ
ในสังคมหนุ่มสาวชาวอเมริกันซึ่งเต็มไปด้วยการแข่งขัน ต่างคนต่างแย่งกันนำเสนอตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุดแบบไม่มีใครยอมใครเพื่อให้ได้รับโอกาสที่ดีกว่าเสมอ ฉะนั้นเรื่องที่จะนั่งสงบเออออตามคนอื่นจึงเป็นเรื่องประหลาดในสังคมที่เขาคุ้นเคย
หรือความสงบนิ่งในความโดดเด่นนี้เองที่ทำให้คนแก่อย่าง วิลเลียม บราวน์ ติดอกติดใจ พ่ออาจจะชอบผู้หญิงย้อนยุคก็เป็นได้
‘แล้วนายเล่าจัสติน ถ้าต้องมีเมียแบบไม่มีปากไม่มีเสียงอย่างนี้จะดีไหม!’
คำถามที่ผุดขึ้นมาทำให้หนุ่มอเมริกันเกือบสะดุ้งที่เผลอมองพราวรัมภาแล้วคิดไปไกลได้ถึงขนาดนั้น
“เราคุยกันไว้แล้วว่าถ้าขยายธุรกิจ หญิงพราวจะมาช่วยทำงานเต็มตัวค่ะ” อรอินทุ์บอกนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นความหวังในตอนนี้
“แล้วโรงเรียนสอนดนตรีล่ะครับ” รอนถาม
“ให้ครูคนอื่นสอนแทนได้ค่ะ ส่วนการดูแลด้านอื่นๆ ฉันจะให้คุณแม่ไปช่วยดู” พราวรัมภารีบอธิบายเพื่อไม่ให้คนอื่นกังวลเกี่ยวกับตนเอง
“ก่อนอื่นผมอยากให้มีทีมมาร์เกตติงมืออาชีพเข้ามาดูแลเรื่องการตลาดและการสร้างแบรนด์ พร้อมๆ กับการเปิดโรงงานเพื่อผลิตเอง ไม่ทราบว่าคุณสองคนเห็นด้วยไหม” จัสตินบอกแผนงานคร่าวๆ ราวกับเขาได้คิดมาแล้วล่วงหน้า
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะสำหรับเรื่องนั้น เพราะเรื่องผลิตเองเป็นแผนงานของฉันอยู่แล้วค่ะ”
“ส่วนเรื่องพรีเซนเตอร์ ผมยังอยากให้เป็นคุณหญิง” จัสตินบอกราวกับกำลังสั่งงาน
“ฉันยินดีค่ะ”
“นี่คือตกลงกันได้แล้วใช่ไหมครับ” รอนสรุปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วเหลือบไปมองใบหน้าเรียวสวยของอรอินทุ์ที่เต็มไปด้วยความหวัง
“งั้นสิ” จัสตินเป็นฝ่ายตอบเสียเอง ก่อนจะเอ่ยว่า “ผมจะให้ทนายไปพบคุณสองคนได้ที่ไหนครับ”
“ตอนนี้เราใช้ร้านสาขาแรกเป็นออฟฟิศสำหรับนั่งทำงานค่ะ ส่วนแวร์เฮาส์อยู่ถนนบางนา-ตราด” อรอินทุ์ตอบ
“งั้นผมจะแจ้งให้ทนายไปพบที่ร้าน ตามที่อยู่ในรายงานฉบับนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ”
“หลังจากเอกสารต่างๆ เรียบร้อย เราค่อยมาคุยกันเรื่องสร้างโรงงานผลิต คงต้องหาทำเลดีๆ เพราะต้องทำแวร์เฮาส์ด้วย”
จัสตินว่าเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่สองสาวกลับมองหน้ากันด้วยความทึ่งที่ทุกอย่างกำลังจะเกิดขึ้นตามที่เคยฝันไว้
แม้พราวรัมภาจะไม่เคยฝันถึงการผลิตสินค้าใดๆ มาก่อนเลยในชีวิตเพราะไม่ถนัดด้านนี้ แต่ในเมื่อล่มหัวจมท้ายกับอรอินทุ์มานานถึงสามปีกว่า ก็ย่อมรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจไปโดยอัตโนมัติ
ความคิดเห็น |
---|