8

มิสเตอร์บราวน์สอง

“เป็นเรื่องบังเอิญและน่าแปลกมากที่มีคุณบราวน์โผล่ขึ้นมาอีกคน” อรอินทุ์เอ่ยระหว่างขับรถออกจากโรงแรมแกรนด์อารินาเพื่อไปส่งพราวรัมภาที่วังธาดา

“นั่นสิ ได้ยินเขาบอกนามสกุลพราวยังรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ”

“ฝรั่งใช้นามสกุลซ้ำๆ กันจนต้องแทรกชื่อกลางกันให้วุ่นวาย ไม่เหมือนคนไทย” คนที่ขับรถสรุปง่ายๆ เรื่องนามสกุลของชาวต่างชาติ ที่ไม่ใช่เรื่องแปลกหากมีคนนามสกุลเดียวกันแต่ไม่รู้จักกัน

พราวรัมภาไม่ติดใจสงสัยอะไรเพราะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แม้จะเคยได้ยินมาว่า วิลเลียม บราวน์ เคยแต่งงานและมีลูกมาก่อน แต่ภรรยาเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนเขาจะมีลูกกี่คนและเป็นชายหรือหญิงนั้นเธอไม่แน่ใจนัก เพราะเท่าที่เคยพบปะกัน เขาไม่ค่อยเอ่ยถึงครอบครัวมากนัก เพราะทุกวันนี้เขาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง โดยที่พราวรัมภาก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องของเขามากไปกว่านั้น คงเป็นเพราะไม่มีใจให้กันนั่นเอง

พราวรัมภารู้สึกว่าตนจำเป็นต้องแต่งงานกับมิสเตอร์บราวน์เพื่อกอบกู้วังธาดาคืนมา ไม่ให้กลายเป็นที่ครหาหรือถูกดูแคลนว่าเป็นเจ้าตกอับถึงขนาดต้องขายสมบัติกินจนไม่มีเหลือติดตัว

ทั้งภาระและศักดิ์ศรีที่ต้องแบกไว้บนบ่าทำให้สาววัยยี่สิบหกอย่างเธอกลายเป็นคนพูดน้อยและยิ้มน้อยลงทุกวัน จนบางครั้งเกือบรู้สึกว่าตนเองดูคล้ายผู้หญิงวัยสามสิบกว่าเข้าไปทุกที ทั้งที่เพิ่งผ่านโลกมาเพียงเท่านี้

“แต่คุณบราวน์คนที่สองนี่น่าสนใจนะ เป็นฝรั่งแท้แต่พูดไทยปร๋อเชียว”

อรอินทุ์เอ่ยขึ้นมา ทำให้คนที่นั่งข้างๆ หลุดออกจากความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของตนเองที่ไม่มีสิ่งใดน่ารื่นรมย์นัก

“คุณรอนพูดชัดกว่าอีก แล้วก็...ดูใจดีกว่าด้วย” พราวรัมภาอดแย้งไม่ได้เมื่อเห็นญาติสาวทำท่าเห่อหุ้นส่วนใหม่

“นั่นเขาลูกครึ่ง แถมอยู่ไทยมาทั้งชีวิต” อรอินทุ์หันมายิ้มกริ่มก่อนจะถามว่า “หญิงพราวว่าคุณรอนกับคุณจัสตินใครหล่อกว่ากัน”

“ถามทำไมเนี่ย” พราวรัมภาทำหน้าแทบไม่ถูก เพราะไม่เคยถูกใครถามเรื่องแบบนี้มาก่อน ส่วนเรื่องความสวยความหล่อนั้นเป็นรสนิยมของแต่ละคนซึ่งนำมาเทียบกันลำบาก

“ก็อยากรู้น่ะว่าหญิงพราวรู้สึกยังไง”

“ไม่รู้สึกยังไงหรอก ตอนนี้แค่ลุ้นอยากให้เรื่องร่วมทุนเรียบร้อย หนูอินจะได้สบายใจ ต่อไปก็เริ่มลุยงานกันแบบเต็มที่เสียที” พราวรัมภาไพล่ไปตอบเรื่องงาน ทั้งที่ญาติสาวถามเรื่องหนุ่มๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายบ้าง

“นี่ไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ ได้เจอหนุ่มหล่อแถมรวยไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก”

“ตื่นเต้นสิ” พราวรัมภาไม่กล้าปด

แม้ว่าชีวิตจะไม่ราบรื่นสดใสเหมือนสาวๆ คนอื่น แต่เธอก็ยังเป็นหญิงสาวตามปกติทั่วไป ย่อมต้องมีอารมณ์หวั่นไหวบ้าง แต่คงไม่มีใครมองออกถ้าไม่รู้จักพราวรัมภามากพอ เพราะเธอถนัดการเก็บงำอารมณ์ซึ่งน่าจะเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง

“หญิงพราวชอบคนหน้ายิ้มๆ ใจดีแบบคุณรอนเหรอ” อรอินทุ์ยังไม่เลิกคุยเรื่องหนุ่มๆ

“ไม่รู้สิ แต่พราวเห็นเขาแอบมองหนูอินอยู่ตลอด” พราวรัมภาอดไม่ได้ต้องบอกให้ญาติสาวรู้ตัวเอาไว้

“คุณรอนน่ะเหรอ” อรอินทุ์ทำเสียงตื่นเต้นนิดหน่อย

“ฮื่อ...ดูจากสายตาแล้วเขาสนใจหนูอิน”

“นี่! ได้ค่าจ้างมาเท่าไรถึงได้มาเชียร์เขาแบบนี้” อรอินทุ์ว่าแล้วส่งค้อนให้แบบเขินๆ เล็กน้อย

“ไม่ได้เชียร์ แค่บอกตามที่สังเกตเห็นเท่านั้นเอง อ้อ...แต่ก็ต้องระวังให้ดีนะหนูอินว่าเขายังโสดอยู่รึเปล่า” พราวรัมภาอดเตือนไม่ได้

“จ้า...อินไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น แต่พอหญิงพราวพูดขึ้นมาก็เลยต้องคิด” อรอินทุ์บอกเป็นการแก้เขิน ทั้งที่จริงก็มองออกตั้งแต่ตอนอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วว่าเจ้าของโรงแรมหนุ่มหล่อมีท่าทีกับตนเองอย่างเห็นได้ชัด

“พราวก็บอกแล้วไงว่าหนูอินยังมีสิทธิ์ได้เจอคนดีๆ ที่ถูกใจ” พราวรัมภาให้กำลังใจ เพราะรู้ว่าญาติสาวก็มีความฝันแบบหญิงสาวทั่วไป แม้จะเป็นคนที่ให้ความสำคัญเรื่องงานเป็นอันดับหนึ่ง

“แล้วคุณจัสตินล่ะเป็นไงบ้าง”

“พราวจะไปรู้ได้ไง เห็นแต่ทำหน้านิ่งๆ ขรึมๆ วางมาดเป็นผู้บริหาร”

พราวรัมภาไม่อยากพูดตรงๆ ว่าเขาวางมาดและเก๊กหน้ายิ่งกว่าเป็นคนดังเสียอีก แถมตาสีฟ้าๆ นั่นยังมองมาแบบประเมินราวกับกำลังอ่านข้อมูลอะไรสักอย่าง

จัสตินเป็นฝรั่งหน้าตาดีมากคนหนึ่งก็จริง แต่ดูแล้วไม่สบายตาเท่ารอน เพราะรายหลังดูมีความเป็นไทยมากกว่า แถมบุคลิกยังดูสบายๆ เป็นกันเองกับทุกคน

“แต่เขาก็ตรงไปตรงมาดีนะ อินชอบที่เขาเป็นคนตัดสินใจเร็ว” อรอินทุ์บอกด้วยความรู้สึกที่ยังปลื้มอกปลื้มใจกับความสำเร็จในการเจรจาธุรกิจในเย็นวันนี้

“สรุปว่าชอบใครกันแน่” พราวรัมภาอดดักคอไม่ได้พร้อมกับทำหน้ายิ้มๆ ล้อเลียน

“ไม่ชอบใครทั้งนั้นแหละ เห็นผู้ชายแค่หนเดียวแล้วชอบก็ใจง่ายน่ะสิ” อรอินทุ์ว่าแล้วเชิดหน้าอย่างไว้ตัว ทำเอาคู่สนทนาถึงกับหัวเราะขำ

ตามปกติเวลาที่ ‘หนูอิน’ ไปเจอหนุ่มๆ ที่ถูกใจก็มักจะกลับมาเมาท์กับญาติสนิทอย่างพราวรัมภาเสมอ เพราะสะดวกใจกว่าจะคุยเรื่องนี้กับเพื่อนๆ บางคน อย่างน้อยสิ่งที่เล่ามาทั้งหมดก็จะเป็นความลับระหว่างสองคนไปตลอดกาล ทั้งสองคนเป็นญาติสนิทเหมือนพี่น้องแท้ๆ ก็ว่าได้ จึงไม่มีวันขายกันเด็ดขาด

“คิดๆ ไปแล้วก็อยากเป็นอย่างหนูอินบ้างจัง” พราวรัมภาว่าแล้วทอดถอนใจเบาๆ “มีอิสระดี อยากคิดถึงใครก็ได้”

“หญิงพราวจ๋า อยากคิดถึงใครก็คิดไปสิจ๊ะ ใจเป็นของเราจะต้องกลัวอะไร” อรอินทุ์ว่าแล้วส่ายหน้านิดๆ ขณะที่สายตายังคงมองกระจกหน้า กระทั่งรถแล่นมาจอดติดไฟแดงที่เต็มไปด้วยรถยนต์ยาวเหยียด สาวเปรี้ยวมั่นใจจึงมีจังหวะหันมาสนทนาต่อ “แล้วอยากเป็นแบบไหนก็ทำไปเลย ชีวิตเป็นของเราจะต้องกลัวอะไร”

“ถ้ามันทำง่ายอย่างที่พูดก็ดีน่ะสิ”

“การที่เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง สักวันจะรู้สึกเสียใจรู้ไหม” อรอินทุ์เตือนญาติสาวคนสนิทด้วยความหวังดี เพราะไม่อยากให้มานั่งเสียใจภายหลังเพียงเพราะไม่กล้าแหกกฎหรือชีวิตเดิมๆ

คนที่ไม่รู้จักมักคุ้น หากได้พบหรือมองเพียงผิวเผินอาจคิดว่าพราวรัมภาเป็นคุณหญิงสูงศักดิ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง เพราะบุคลิกหน้าตาภายนอกที่ดูราวกับนางหงส์เหินนั้นส่งให้ภาพของราชนิกุลสาวเด่นชัดจนกลบเรื่องอื่นไปจนหมดสิ้น ทั้งที่จริงแล้วพราวรัมภาแทบไม่เคยตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเองเลยสักครั้ง แม้แต่เรื่องคู่ชีวิต

“ไม่ต้องสักวันหรอก ตอนนี้ก็...ดูเหมือนจะเสียใจอยู่แล้วละ” พราวรัมภายอมรับโดยดุษณี

“แล้วอย่างนี้ยังจะดันทุรังอีกหรือ ถึงไม่มีใครแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรีบหลับหูหลับตาแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รักและแทบไม่รู้จักอย่างคุณบราวน์นะหญิงพราว” อรอินทุ์ว่าอย่างมีเหตุมีผล

“พราวรู้...แต่งไปก็คงไม่มีความสุข ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะดีต่อเราบ้างเท่านั้นเอง” พราวรัมภาบอกด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง

“เธอไม่จำเป็นต้องมีชีวิตเศร้าขนาดนี้เลยนะ เชื่ออินสิ เอาอย่างนี้ ช่วงเดือนกว่าๆ หรือสองเดือนที่คุณบราวน์ไม่มาเมืองไทย หญิงพราวก็ลองใช้ช่วงเวลานี้ทบทวนความรู้สึกตัวเองดูว่าอยากให้ชีวิตเป็นยังไง”

พราวรัมภาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำดีๆ ของญาติสาวที่มีแต่ความจริงใจให้กันมาตลอดจนปรึกษากันได้ทุกเรื่อง หากว่าเธอกล้าหาญมากกว่านี้แล้วปล่อยวางทุกอย่างลงจากสองบ่าเพื่อไปเป็นหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานใจอีกต่อไป

บางครั้งพราวรัมภาก็เคยคิดฝันตามประสาเด็กสาวซึ่งยังมีมุมเล็กๆ แอบซ่อนอยู่ในหัวใจ ฝันเห็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมาหาหน้าวัง แล้วตนก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มสดใส เขาเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามอย่างที่สาวๆ ฝันถึง

 

ทั้งสองหนุ่มยังไม่ได้ออกจากโรงแรมแกรนด์อารินา แต่ขึ้นไปนั่งคุยกันต่อที่ห้องสวีตซึ่งเป็นห้องพักส่วนตัวของรอนที่อยู่ชั้นบนสุดสำหรับรองรับแขกระดับวีไอพีเท่านั้น

“เป็นไง” รอนตั้งคำถามคนที่นั่งจิบบรั่นดีเงียบๆ อยู่สักพักภายในห้องโถงของห้องสวีต

“นายหมายถึงคุณหญิงหรือคุณอร...ไม่ใช่สิ ต้องเรียกคุณหนูอิน” จัสตินยิ้มกริ่มพร้อมกับจ้องหน้าคนที่เพิ่งตั้งคำถามมาเป็นภาษาไทย ซึ่งเขาก็ตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน

“เธอยังไม่ได้อนุญาตให้นายเรียกอย่างนั้น” รอนรีบเตือนเพื่อนซี้ที่กำลังยิ้มแปลกชอบกล

“ก็ใครว่าฉันจะเรียกเล่า บอกนายต่างหาก เห็นมองตาแทบหลุด” เขาอดกระเซ้าเพื่อนไม่ได้

อันที่จริงในสายตาผู้ชายทุกคน สองสาวก็น่ามองทั้งคู่นั่นแหละ เป็นความสวยในแบบสองคนสองสไตล์ อรอินทุ์ดูสวยปราดเปรียวและฉลาดหลักแหลม ส่วนพราวรัมภาแลดูงดงามราวกับนางหงส์ ทั้งที่วันนี้เธอแทบไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องใดๆ เป็นพิเศษเลย แต่ก็ยังดึงดูดสายตาทุกคู่ได้อย่างชะงัด

จัสตินบอกได้คำเดียวว่า ผู้หญิงสวยโดยไม่ต้องแต่งนั้นหาไม่ได้ง่ายนัก

“แล้วสรุปว่าคุณหญิงเป็นไงเล่า ได้เห็นหน้าว่าที่แม่ใหม่ชัดๆ แล้วนี่” รอนกระเซ้าแบบเอาคืนตอนท้าย ที่ถูกดักคอเรื่องแอบมองอรอินทุ์ไม่ยอมวางตา

“สวยหวาน อ่อนโยน เป็นไทยแท้ แลดูสูงส่ง” จัสตินสาธยายเสียละเอียด

“โอ้ว...นั่นก็มากพอแล้วนะที่เธอจะมาเป็นเมียพ่อนาย” รอนอุทานอย่างคาดไม่ถึงในคำตอบ

“ถ้าทุกอย่างที่ฉันเห็นทั้งหมดนั่นเป็นความจริง ไม่ใช่แค่หน้ากากหนาๆ ที่ครอบอยู่”

“หน้ากากอะไรกัน คุณหญิงออกจะบอบบางน่ารักขนาดนั้น ตัวก็เล็กนิดเดียว จะมาทำอะไรคนอย่างพ่อนายได้”

“ทำไมจะไม่ได้ พ่อฉันแก่แล้วนะ”

“ถึงแก่แต่ก็ยังเป็นสิงห์ ฉันขอพูดตรงๆ นะว่าพ่อนายยังไม่ถอดเขี้ยวเล็บง่ายๆ หรอก” รอนวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา เขาไม่คิดว่าหญิงสาวอายุเพียงยี่สิบหกอย่างพราวรัมภาจะต่อกรกับมิสเตอร์บราวน์ผู้เป็นบิดาของเพื่อนได้แน่ๆ

“แล้วถ้าฉันทำให้ยายคุณหญิงพราวเปลี่ยนใจจากพ่อได้ล่ะ” จัสตินเริ่มเผยแผนการออกมา

“นายคิดจะแย่งเมียพ่อตัวเองเหรอ โอ้ว...พระเจ้า!” รอนทำหน้าเหมือนไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน

“ยัง หล่อนยังไม่ได้เป็นเมียพ่อ”

“แต่กำลังจะเป็นเร็วๆ นี้”

“ไม่! ฉันมองเห็นอนาคตแล้วว่าคุณหญิงพราวจะไม่ได้ตำแหน่งแม่เลี้ยงของฉันแน่นอน นายคอยดูสิ” จัสตินว่าอย่างมั่นใจ

“นายจะทำไง”

“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน” จัสตินไม่ยอมบอกแต่กลับยิ้มอย่างหมายมาด เขามีวิธีเอาชนะคุณหญิงหน้าใสคนนั้นก็แล้วกัน ซึ่งไม่น่ายาก

ถ้าให้เลือกระหว่างคนแก่หนังเกือบย่นอย่างพ่อกับหนุ่มๆ อย่างเขา คุณหญิงนั่นจะเลือกใคร ในเมื่อเขาเองก็มีเงินมากพอสำหรับซื้อทุกอย่าง

“นายคิดจะทำอะไรก็สงสารคุณหญิงบ้างนะ” รอนรีบปรามเพราะเริ่มกลัวใจเพื่อนขึ้นมา แม้ว่าจัสตินไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ แต่ก็เป็นคนที่มีลูกบ้าเยอะพอตัว แล้วที่ผ่านมาเขาก็มักจะใช้เงินซื้อความรักมาโดยตลอด เพื่อจะพบว่าไม่เคยได้รับจากใครเลย

“เธอไม่ใช่คนน่าสงสาร นายกำลังเข้าใจผิด”

“นี่! นายไม่เห็นแววตาคุณหญิงเลยหรือ เห็นจ้องเอาๆ เหมือนกัน”

“หน้าเศร้าใครก็ทำได้”

“นายนี่ปักอกปักใจเหลือเกินนะว่าคุณหญิงกับหม่อมแม่คิดจะมาปอกลอกพ่อนาย”

“มันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ได้รักพ่อฉันก็หมายความว่าเธอมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน แต่ถ้าคุณหญิงพราวรัมภาพิสูจน์ตัวเองได้ว่ารักพ่อฉันจริงๆ ก็จบ”

“บางทีคนเราก็แต่งงานกันด้วยความเหมาะสมนะ ไม่ใช่เพราะความรักอย่างเดียว” รอนยังพยายามหาเหตุผลมาแย้งเผื่อว่าเพื่อนจะยอมเปลี่ยนใจเลิกยุ่งเรื่องนี้เสียที

“แล้วมันเหมาะสมกันตรงไหนล่ะ สุดท้าย...พ่อนั่นแหละที่หลงรักหล่อนไปแล้วจนหมดใจ จะต้องช้ำใจตายเมื่อถูกเมียเด็กเขี่ยทิ้ง”

คราวนี้รอนเถียงไม่ออก เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่าคุณหญิงวัยละอ่อนนั่นดูเหมือนลูกสาวคนสุดท้องของ วิลเลียม บราวน์ มากกว่าจะมาเดินเคียงคู่เฉิดฉายในฐานะศรีภรรยา

“พ่อนายน่ะเหรอจะช้ำใจตายเพราะผู้หญิงคนเดียว”

น้ำเสียงของรอนบอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะชื่อเสียงของมิสเตอร์บราวน์เรื่องผู้หญิงนั้นจัดว่าขึ้นชื่อในฐานะเพลย์บอยคนหนึ่งทีเดียว

“ครั้งนี้พ่อเอาจริง ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมา นายก็รู้ว่าพ่อฝังใจกับผู้หญิงไทยเพราะแม่ของฉัน ที่สำคัญพ่ออยากกลับมาอยู่ที่นี่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต”

รอนพยักหน้าเห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ว่าใครพอแก่ตัวก็คงอยากหาที่ทางปักหลักสักแห่งกับคนที่คิดว่าใช่ ไม่อย่างนั้นเงินทองที่หามาได้แทบตายก็แทบไร้ค่า ถ้าต้องนอนอยู่บนกองเงินเพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว

“นายเลยคิดว่าถ้าพ่อนายผิดหวังหนนี้อาจจะเสียศูนย์”

“ฉันเห็นแววว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่ชอบให้ใครมาฉกฉวยเอาความหลังฝังใจระหว่างพ่อกับแม่ของฉันมาเป็นเครื่องมือหากินโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ทำแบบนี้มันหยามกันเกินไป”

“เอาละ ฉันเข้าใจแล้ว แต่ยังไงก็ขอร้องว่าอย่าเยอะ”

“อะไรที่ว่าเยอะ”

“กับคุณหญิงไง สงสารเธอบ้าง” รอนว่าอย่างรู้ใจเพื่อนซี้เลือดผสมเชื้อสายยิวที่มักจะตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ค่อยปรานีปราศรัยและเลือดเย็นพอตัว

“ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าแกงใครเสียหน่อย นี่อุตส่าห์จะเอาเงินมาช่วยลงทุนทำธุรกิจด้วยซ้ำ”

“ตกลงนายจะลงทุนกับสองสาวนั่นจริงๆ ใช่ไหม”

“แน่นอน จะเป็นไรไปเล่า”

“แต่เบอร์รีแบ็กคือทั้งชีวิตของคุณอรอินทุ์เลยนะ เธอทุ่มเทปั้นมากับมือ” รอนเริ่มไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงหญิงสาวอีกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แต่ต้องมาพลอยฟ้าพลอยฝนเพราะมีพราวรัมภาเป็นหุ้นส่วน ทั้งที่ธุรกิจผลิตกระเป๋าชื่อดังเริ่มต้นมาจากอรอินทุ์เกือบทั้งหมด

“ฉันไม่ได้คิดจะทำให้เบอร์รีแบ็กเจ๊ง แต่จะช่วยให้ขยายธุรกิจ นายสบายใจได้ว่าฉันจะไม่แตะคุณหนูอินของนาย”

“คุณหนูอินไม่ใช่ของฉัน” รอนตอบแบบกึ่งเขินกึ่งละอาย

นี่ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินคงไม่พอใจแน่ที่ถูกตู่ว่าเป็นของคนนั้นคนนี้

“เห็นนายจ้องตั้งแต่ที่เห็นหน้าหนแรกในไนต์คลับคืนนั้นแล้ว แถมยังว่าชอบสาวเปรี้ยว ซาบซ่าดี” จัสตินดักคออย่างรู้ทัน ก่อนจะลุกไปเติมบรั่นดีที่เคาน์เตอร์มุมห้อง

“ฉันก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้เจอกันอีก”

“นายต้องขอบคุณคิวปิดอย่างฉันที่ยิงลูกศรครั้งเดียวได้นกหลายตัว” จัสตินบอกมาจากเคาน์เตอร์พร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอราวกับว่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องสนุกๆ สักอย่าง

“ขอบใจมากเลยนะ พ่อกามเทพรูปหล่อ”

น้ำเสียงประชดประชันของรอนทำให้คนที่เพิ่งรินเหล้าลงแก้วหัวเราะเสียงดังมากขึ้น จนคนที่ได้ยินอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ว่า เสียงหัวเราะของจัสตินเหมือนเจือไปด้วยความสุขจากความพึงใจอะไรบางอย่าง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น