9

วังธาดา


จัสติน โธมัส บราวน์ ส่งทนายมาพบเจ้าของบริษัททั้งสองคนที่สำนักงานเล็กๆ ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยมีผู้ช่วยทนายเป็นเจ้าหน้าที่บัญชีตามมาด้วยอีกหนึ่งคน เพื่อขอสำรวจทรัพย์สินของบริษัทว่ามีอยู่จริงตามที่แจ้งในรายงานงบการเงินของบริษัท ทั้งสองคนจึงต้องพาทนายหรือตัวแทนของผู้ถือหุ้นคนใหม่ไปยังร้านจำหน่ายสินค้าอีกสองแห่ง และไปที่โกดังสินค้าเป็นแห่งสุดท้ายซึ่งเป็นโกดังให้เช่าเล็กๆ เท่านั้น

หลังดำเนินการด้านเอกสารการร่วมหุ้นหรือเพิ่มทุนกับบริษัทเบอร์รีแบ็กเรียบร้อยแล้ว จัสตินจึงได้รับเชิญมาที่วังธาดาซึ่งมีสถานที่กว้างขวางเหมาะแก่การเจรจาและติดต่อธุรกิจมากกว่าออฟฟิศแคบๆ ภายในร้านที่อยู่ในห้าง เหตุที่เจ้าของวังเชื้อเชิญให้เขามาที่นี่ก็เพื่อเป็นการต้อนรับครั้งแรกสำหรับการร่วมงานกัน เพราะเขาเคยเอ่ยปากว่าอยากมาเยี่ยมชมวังธาดา

เบนท์ลีย์คอนติเนนตัลทรงสปอร์ตสีดำแล่นผ่านรั้ววังอันเก่าแก่มาตามถนน เข้ามาจอดหน้าอาคารหลังใหญ่ซึ่งทำให้เจ้าของรถยนต์คันหรูถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ รวมไปถึงคนนั่งข้างๆ ที่อ้าปากค้างเล็กน้อย

จัสตินไม่นึกว่าวังธาดาของคุณหญิงพราวรัมภาจะใหญ่โตโอ่อ่าและงดงามอย่างที่เห็น ที่คิดไว้ในใจคือเป็นตึกเก่าๆ ขนาดย่อมๆ สักหลังที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้เท่านั้นเอง แต่ที่อยู่ต่อหน้าตอนนี้คือตึกโบราณสีครีมที่ยังคงหรูหราสวยงามแม้จะผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี ซึ่งพอคาดเดาได้ว่าคงมีการบูรณะซ่อมแซมกันมาเป็นระยะๆ โดยเจ้าของวังแต่ละรุ่นที่เป็นผู้สืบทอด

ครั้งสุดท้ายที่มีการบูรณะไม่น่าเกินสิบปีมานี้เอง สีสันของวังธาดายังคงเป็นสีเหลืองครีมสดใสตัดกับสีเขียวเข้มของกรอบหน้าต่างบานเกล็ดไม้แบบอาคารโบราณ ภายใต้ซุ้มหน้าต่างประดับลายปูนปั้นสีขาวอันอ่อนช้อยตัดกับสีเขียวของบานเกล็ดไม้อย่างสวยงาม

เมื่อเงยหน้าชื่นชมอาคารโบราณหลังใหญ่ในสไตล์อิตาเลียนวิลลาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าจนพอใจแล้ว หรืออาจเรียกว่าดึงสติกลับจากความตะลึงได้แล้ว จัสตินจึงค่อยๆ เคลื่อนรถเบนท์ลีย์สปอร์ตคันหรูไปยังหน้ามุข ซึ่งเป็นส่วนที่โดดเด่นออกมาจากตัวอาคารประดับด้วยซุ้มโค้งลายปูนปั้นบริเวณชั้นล่างซึ่งเป็นหน้ามุขสำหรับเทียบจอดรถ ส่วนชั้นสองเป็นระเบียงสำหรับชมวิวสนามหญ้าและสระน้ำหน้าวัง ประดับแนวระเบียงโดยรอบด้วยลายฉลุดอกไม้อันงดงาม

“ฉันรู้แล้วละ พ่อไม่ได้แค่หลงรักคุณหญิง แต่หลงวังหลังนี้ต่างหาก” เขาหันไปบอกคนข้างๆ ก่อนจะดับเครื่องรถ

“คงงั้นมั้ง” รอนรับคำแล้วก้าวลงจากรถ “ก็น่าหลงอยู่หรอก โดยเฉพาะนักสะสมของเก่าอย่างพ่อนาย”

“ให้ตายเหอะรอน ฉันนึกภาพออกเลย วันแรกที่พ่อถูกใครสักคนหลอกพามาที่นี่ พ่อคงแทบวิ่งไปจูบกรอบหน้าต่างกับบานประตูแต่ละบานเลยละ ยังไม่รวมถึงของเก่าในบ้านซึ่งน่าจะมีอีกเยอะ” เขาบอกเพื่อนขณะปิดประตูรถที่จอดอยู่หน้าบันไดทางขึ้น

“สวยจริงๆ ฉันยังคิดไม่ถึงเลย ไม่แปลกใจแล้วละว่าทำไมคุณหญิงถึงได้ดูเหมือนนางหงส์”

“หึ...ขอให้เป็นหงส์จริงๆ เถอะ”

“เธอเกิดมาเป็นหงส์อยู่แล้วละเพื่อน ไม่ต้องคิดเยอะให้ปวดหัวหรอก” รอนรีบบอกเพราะบรรยากาศที่อยู่รอบตัวตอนนี้บ่งบอกชัดเจนโดยไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ อีก “แต่ที่นี่เงียบมาก เหมือนไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ”

“นั่นสิ วังใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่เห็นมีคน”

จัสตินมองไปรอบๆ อีกหนก็พบแต่ความเงียบเชียบ แล้วเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าคนมีบ้านใหญ่โตขนาดนี้ ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนคงไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้คุณหญิงพราวรัมภาเป็นคนเดียวที่หาเงินมาจุนเจือทุกคนในวังแห่งนี้ นั่นทำให้เขานึกถึงภาพหญิงสาวรูปร่างบอบบางอรชรหน้าตาสวยสะดุดตา แม้ดวงตาโตๆ คู่นั้นจะดูหม่นไปบ้างราวกับมีเรื่องกังวลอยู่ในใจก็ตาม เขาสังเกตเห็นแววตานั้นได้ในวันที่ได้พบกันอีกครั้งในร้านอาหารญี่ปุ่น เธอแบกรับภาระอันหนักหนาไว้บนบ่าเล็กๆ เพียงลำพัง แล้วอาจรู้สึกว่าเกินกำลังที่จะแบกรับไว้อีกต่อไป จึงต้องดิ้นรนหาตัวช่วย และคนคนนั้นก็คือพ่อของเขา

จัสตินรีบสลัดภาพหญิงสาวสูงศักดิ์แสนบอบบางออกไปจากหัวโดยเร็ว เขาไม่อยากใจอ่อนเพราะภาพที่อาจเป็นแค่สิ่งลวงตา

“สวัสดีค่ะ คุณจัสติน คุณรอน”

เสียงหวานใสที่ดังทักทายมาจากโถงทางเดินสำหรับขึ้นสู่ชั้นบนและมีทางแยกไปทางปีกตึกซ้าย-ขวาของตัวอาคาร ทำให้ชายหนุ่มชาวอเมริกันต้องหยุดความคิดลง แต่ภาพของคนที่เพิ่งสลัดออกไปจากหัวหยกๆ กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าแบบชัดเจนกว่าหลายเท่า

คุณหญิงพราวรัมภายกมือไหว้ชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยท่าทางแบบคนที่ได้รับการฝึกฝนมารยาทมาเป็นอย่างดี สมกับเป็นชาววังอย่างไม่ต้องสงสัย จนหนุ่มๆ ยืนตะลึงไปหลายอึดใจ ทั้งกิริยาท่าทางและการแต่งตัวที่ไม่เป็นทางการมากนักในชุดกระโปรงสีครีม กับเสื้อพิมพ์ลายดอกไม้เล็กๆ เข้ากันดีกับผมยาวสลวยดำเป็นเงา ติดกิ๊บเปิดผมขึ้นข้างหนึ่งแบบง่ายๆ แต่มีแรงดึงดูดทำให้ใครบางคนแทบไม่อยากละสายตา

“สวัสดีครับ” ทั้งสองคนเอ่ยทักทายเจ้าของบ้านแทบจะพร้อมกัน

“เชิญที่ห้องประชุมเลยดีไหมคะ”

“เอ่อ...ครับ” จัสตินเปลี่ยนมาเจรจาภาษาไทยอย่างฉับพลันจนทำให้แทบนึกคำพูดไม่ทัน เพราะก่อนหน้านี้เขาคุยกับรอนเป็นภาษาอังกฤษมาตลอดทางจนถึงหน้าบันไดวัง

“ที่นี่มีห้องประชุมด้วยหรือครับ” รอนถามอย่างสนอกสนใจ

“มีค่ะ แต่ปกติไม่ค่อยได้ใช้ ตอนท่านพ่อยังอยู่ก็ได้ใช้ประชุมบ้าง สมัยที่ท่านยังทำธุรกิจส่วนตัวค่ะ” พราวรัมภาเล่าพลางเดินนำไปทางปีกตึกด้านขวาบริเวณชั้นล่าง

เจ้าบ้านเดินนำไปยังห้องประชุมขนาดใหญ่ เมื่อเข้ามาภายในจึงเห็นว่าเป็นห้องกว้างที่มีโต๊ะประชุมเป็นไม้แกะสลักสวยงามสำหรับรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ราวยี่สิบคน การตกแต่งภายในห้องนี้เน้นงานไม้แกะสลักตามกรอบประตูและหน้าต่าง ส่วนเพดานตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นสวยงามประดับด้วยโคมไฟระย้าขนาดใหญ่กลางห้อง บรรยากาศโดยรวมแลดูขรึมและสงบเยือกเย็น เหมาะแก่การประชุมงานมากกว่าต้อนรับแขก

“หนูอินกำลังเดินทางมานะคะ เห็นว่าติดธุระเลยฝากขอโทษมาด้วยที่ไม่ได้มารอต้อนรับ” พราวรัมภาเอ่ยถึงหุ้นส่วน ก่อนจะเชื้อเชิญให้แขกผู้มาเยือนนั่งใกล้หัวโต๊ะ

“วังใหญ่โตขนาดนี้อยู่กันกี่คนครับ” รอนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่เข้ามายังไม่พบใครเลยสักคนนอกจากยามที่เปิดประตูรั้วให้

“ตอนนี้มีคนอยู่ไม่เยอะแล้วค่ะ รวมแล้วก็เหลือแค่หกคน” พราวรัมภาตอบก่อนที่เสียงโทรศัพท์ในมือจะดังขึ้น

แล้วก็เป็นไปตามคาด คนที่โทร. เข้ามาคืออรอินทุ์นั่นเอง

หญิงสาวรับโทรศัพท์เพียงไม่กี่อึดใจก็วางสาย แล้วจึงหันมาหาแขกทั้งสองคนที่เพิ่งมาถึง

“อีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงค่ะกว่าหนูอินจะมาถึง ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ให้รอ”

“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงเราสองคนมาถึงก่อนเวลานัด” จัสตินว่าอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจุดประสงค์หลักในวันนี้ต้องการมาดูวังธาดาต่างหาก ส่วนเรื่องงานที่ต้องคุยกันนั้นเป็นเรื่องรอง ธุรกิจเล็กๆ อย่างเบอร์รีแบ็ก แม้มีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี แต่ไม่ได้อยู่ในสายตานักลงทุนอย่างจัสติน

คุณหญิงพราวรัมภาเป็นคนที่ดูสงบและมีความมั่นใจในตนเองตามสมควร แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนน้อมนุ่มนวลแบบสตรีไทยอย่างครบถ้วน ดูแล้วให้ความรู้สึกละมุนละไม ไม่ขาดๆ เกินๆ อย่างสาวยุคใหม่ใจกล้าบางคนที่พยายามเลียนแบบฝรั่ง แต่กลับดึงเอาแต่เรื่องที่ไม่เหมาะกับตนเองมาใช้จนดูล้นๆ เพราะธรรมชาติของคนในแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ

“คุณหญิงพาพวกเราชมวังระหว่างรอคุณอรอินทุ์ดีไหมครับ” จัสตินเสนอความคิดขึ้นมา

“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นไปรับชากับของว่างที่ห้องรับแขกกันก่อนดีกว่า เชิญค่ะ”

พราวรัมภาเดินนำออกจากห้องประชุม ระหว่างนั้นผ่านห้องที่อยู่ด้านหน้าซึ่งมองเห็นวิวสวนและสนามหญ้าอันสวยงาม จึงแนะนำว่า “ห้องนี้เป็นห้องรับประทานอาหารค่ะ”

“ออกแบบได้สวยงามมากเลยครับ” รอนออกปากชม เพราะมองผ่านประตูกรอบไม้สีเขียวเข้มกรุกระจกใสเข้าไปด้านใน พบว่าห้องนี้ตกแต่งต่างไปจากห้องประชุมด้วยลวดลายปูนปั้นสีขาวอ่อนช้อย ผนังอาคารเป็นสีครีมอ่อนสบายตา

พราวรัมภาไม่ได้พาแขกแวะเข้าชมภายในห้องรับประทานอาหาร แต่พาเดินกลับมาตรงโถงหน้ามุขเทียบจอดรถ แล้วเดินผ่านไปยังปีกตึกอีกด้านซึ่งมีความกว้างมากกว่าฝั่งห้องประชุม

เมื่อเจ้าบ้านเดินนำเข้าสู่ห้องโถงขนาดใหญ่หรือห้องรับแขก ผู้มาเยือนก็ถึงกับยืนตะลึงกับความงดงามเก่าแก่และล้ำค่าในแบบสถาปัตยกรรมโบราณที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกกับตะวันตกได้อย่างลงตัว ห้องกว้างใหญ่แห่งนี้น่าจะเคยเป็นห้องจัดงานรื่นเริงสังสรรค์มาก่อน

ทั่วทั้งห้องประดับด้วยปูนปั้นลายพรรณพฤกษ์อันอ่อนช้อยตามแบบศิลปะบารอกและโรโคโคของยุโรป ส่วนเพดานสูงตกแต่งด้วยงานไม้แซมด้วยงานปูนปั้นเช่นกัน ชุดเก้าอี้และเครื่องประดับตกแต่งล้วนเป็นของเก่าแก่ที่นำเข้ามาจากยุโรปทั้งสิ้น

ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งลงโดยที่สายตายังคงมองสำรวจไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งแบบย้อนยุคราวร้อยกว่าปี จนทำให้คนที่เพิ่งมาถึงรู้สึกเหมือนได้ขึ้นเครื่องย้อนเวลากลับไปในอดีต ภายในห้องมีตู้สะสมข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ที่ทรงคุณค่า รวมถึงเครื่องกระเบื้องที่มีทั้งลายเบญจรงค์และลายครามวางเรียงอยู่ในตู้โชว์กระจกใสแบบโบราณตรงมุมห้อง โดยไม่ทำให้รู้สึกขัดแย้งกับการตกแต่งโดยรวมที่เป็นแบบยุโรป

พราวรัมภากดโทรศัพท์ภายในเพื่อสั่งคนให้เสิร์ฟชาและของว่างที่ห้องรับแขกแทนห้องประชุม ไม่นานนักหญิงวัยกลางคนและหญิงสาวคนหนึ่งก็ช่วยกันถือถาดเงินเข้ามา

“แม่ช้องกับนิ่มไปเถอะ เดี๋ยวจัดการเอง” พราวรัมภาบอกคนรับใช้ต่างวัย เมื่อทั้งคู่กำลังเตรียมรินชาให้แขกอย่างที่เคยทำ

ทั้งสองหนุ่มจึงได้เห็นว่าพราวรัมภาจัดการรินชาจากกากระเบื้องเคลือบลงในถ้วยชาแบบอังกฤษลายดอกไม้งดงาม เข้ากันดีกับบรรยากาศห้องโถงอันหรูหรา ท่าทางคล่องแคล่วและคุ้นเคยทำให้ทั้งคู่แปลกใจ ไม่คิดว่าคนที่มีคนรับใช้อยู่รอบตัวอย่างเธอจะทำอะไรเป็นเลยด้วยซ้ำ

“จะรับกาแฟด้วยไหมคะ” เธอถามในฐานะเจ้าบ้านที่ดี แล้วก็เห็นสองหนุ่มเหลือบสบตากันด้วยสายตาแปลกๆ

“ผมขอกาแฟด้วยครับ” จัสตินบอกตามประสาคนติดกาเฟอีนแบบเข้าเส้นเลือด

“ที่นี่สงบเงียบมากเลยนะครับ ต่างจากข้างนอกเหมือนคนละโลกเลย” รอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทึ่งและประหลาดใจระคนกัน “ดูคล้ายๆ กับว่าเวลาจะเดินช้าลงไปด้วย”

“ถึงขนาดนั้นเลยหรือคะ” พราวรัมภาถามพลางเลิกคิ้วเรียวขึ้นนิดๆ ขณะเลื่อนถ้วยกาแฟดำมาให้คนที่ต้องการซึ่งจ้องมองเธออยู่

“ขอบคุณครับ”

จัสตินต้องเบือนสายตาไปทางอื่น เมื่อดวงตากลมโตดำขลับไม่ต่างจากเส้นผมยาวสลวยมองตอบมาพร้อมเครื่องหมายคำถามว่าเขาจ้องเธอทำไม ซึ่งจัสตินก็มีมารยาทพอที่จะหยุดมองเสียที แม้จะขัดแย้งกับความรู้สึกในตอนนี้อย่างยิ่ง

“ฟังดูเหมือนที่นี่ล้าหลัง” พราวรัมภาว่ายิ้มๆ แบบไม่จริงจังนัก ไม่ว่าใครที่ได้มาเยือนก็คงรู้สึกเช่นนั้นตามบรรยากาศ

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลยนะครับ” รอนรีบออกตัว

“น่าจะคล้ายๆ กับเมืองหรือสถานที่อย่างเช่นหลวงพระบางหรือแม่ฮ่องสอน” จัสตินช่วยอธิบายอีกแรง

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ คนที่นี่เข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าตัวเองอาจจะช้ากว่าคนข้างนอกไปบ้าง” พราวรัมภาไม่พูดตรงๆ แต่คนฟังก็พอรู้ว่าเธอหมายถึงตนเอง

“แต่ทุกวันนี้คุณหญิงทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นอยู่นะครับ” รอนเอ่ยแบบกึ่งให้กำลังใจ

“ก็แค่มีส่วนร่วมบ้างเท่านั้นเองค่ะ ที่ผ่านมาหนูอินรับบทหนักมาตลอด ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่ที่โรงเรียน”

“ที่โรงเรียนมีเด็กมาเรียนดนตรีเยอะหรือครับ” รอนถาม

“ระยะหลังพอโรงเรียนเริ่มมีชื่อเสียงก็มีเด็กมาสมัครเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”

“งานยุ่งขนาดนี้ไม่เหนื่อยแย่หรือครับ”

“นั่นสิ แล้วหลังจากนี้ต้องมาช่วยงานคุณอรอินทุ์มากขึ้นกว่าเดิม” จัสตินถามคล้ายกับออกคำสั่งกลายๆ ว่าเธอต้องมาทำงานให้เบอร์รีแบ็กมากกว่าที่ผ่านมา

“ฉันกำลังเคลียร์และโอนงานให้ครูคนอื่น ไม่ต้องห่วงนะคะ ยังไงฉันก็ต้องมาช่วยหนูอิน” พราวรัมภาลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีของผู้ร่วมหุ้นคนใหม่ที่ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่งของบริษัท

บริษัทที่ญาติสาวและเธอร่วมกันก่อตั้งขึ้นมายังไม่มีระบบการทำงานที่ชัดเจน แถมยังเป็นธุรกิจแบบครอบครัว แต่ตอนนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดโดยการร่วมทุนกับคนต่างชาติเพื่อขยายกิจการ พราวรัมภาจึงต้องช่วยสนับสนุนทุกด้านแม้จะเป็นงานที่ไม่ถนัดนัก

“ผมอยากให้พนักงานแต่ละแผนกมาทำงานที่เดียวกันเหมือนบริษัททั่วไป เพื่อให้เกิดการแชร์กันในลักษณะทีมงาน” เขาเริ่มเข้าเรื่องทั้งที่หุ้นส่วนอีกคนยังมาไม่ถึง

“จะเป็นไปได้ยังไงคะ ในเมื่อโรงงานกับแวร์เฮาส์อยู่อีกที่”

“ถ้าจำเป็นต้องแยกก็ควรหาสถานที่ไม่ไกลกันมาก แล้วก็ควรให้แวร์เฮาส์กับโรงงานอยู่ที่เดียวกัน”

เขาบอกแผนการปรับปรุงการทำงานคร่าวๆ แล้วก็เห็นว่าหน้าสวยๆ ของคุณหญิงเริ่มขมวดมุ่นราวกับเรื่องที่ฟังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอ

พราวรัมภาเป็นนักดนตรี ไม่ใช่นักธุรกิจ จึงมองว่าเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนค่อนข้างวุ่นวายและยุ่งยาก ที่สำคัญคือต้องเหนื่อยและเสียเวลาอีกพอสมควรกว่าจะลงตัวแล้วได้เริ่มงานกันจริงๆ อีกครั้ง

“แล้วคุณหญิงคิดว่ายังไงครับ” จัสตินถามกลับเผื่อว่าเธอจะเห็นเป็นอื่น

“เอ่อ...ที่คุณว่ามาก็ดีค่ะ แต่เราจะต้องย้ายทุกอย่างรวมถึงพนักงานที่เป็นลูกจ้างในตอนนี้ด้วย”

“คุณหญิงมองว่าไม่สะดวกในแง่การเดินทางรึเปล่าครับ”

“มันหลายเรื่องค่ะ บางคนอาจไม่สะดวกที่จะย้ายที่ทำงานใหม่” พราวรัมภาอยากให้เขารู้ไว้ล่วงหน้าว่าอาจมีปัญหาบางอย่าง

“รวมถึงคุณหญิงด้วยรึเปล่าครับ” เขาดักคอ เพราะเห็นว่าเธออยู่กับความเก่าแก่ของวังธาดามาตั้งแต่เกิด จนอาจเป็นคนที่เคยชินกับความนิ่งสงบโดยไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ

“คุณจัสตินไม่ต้องเรียกฉัน...เอ่อ...พราวว่าคุณหญิงหรอกค่ะ ปกติก็ไม่ค่อยมีใครเรียก” พราวรัมภาเริ่มรู้สึกอึดอัดที่เขาเรียกเธอเสียเต็มยศทุกคำที่คุยกัน ซึ่งตามปกติแล้วแทบไม่มีใครเรียก เพราะเรื่องยศศักดิ์สำหรับคนในยุคปัจจุบันที่ถือความเท่าเทียมกันเป็นใหญ่นั้นแทบไม่มีความหมายอะไรแล้ว

“ผมไม่แน่ใจนี่ครับว่าคุณหญิงอยากให้เรียกว่ายังไง” หนุ่มอเมริกันตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ ดวงตาคมสีฟ้าแกมเทาจ้องมองใบหน้าสวยหวานปานน้ำผึ้งอย่างชั่งใจก่อนจะสูดลมหายใจลึก

เขาอยากรู้เหมือนกันว่า ที่เธอพยายามแสดงความเป็นกันเองและทำความสนิทสนมตามสมควรนั้นเพื่ออะไรกัน หรือว่า...เป็นปกติของคุณหญิงพราวรัมภาที่มักจะมีไมตรีต่อทุกคน โดยเฉพาะใครก็ตามที่เป็นเป้าหมาย เพราะเขาก็เห็นแล้วว่าเธอมีไมตรีต่อทั้งพ่อบังเกิดเกล้าของเขาและคุณชายหนุ่มรูปหล่อคนนั้น

“คือ...” พราวรัมภาเริ่มไม่มั่นใจ เพราะเห็นเขามองมาด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนมีความระแวงปะปนอยู่ จึงตอบไปว่า “ก็แล้วแต่คุณค่ะ จะเรียกยังไงก็ได้”

“ครับ ถ้างั้นผมเรียกคุณหญิงเหมือนเดิมดีกว่า” จัสตินว่าพร้อมกับยิ้มบางๆ อีกหน

พราวรัมภาเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าพูดอะไรอย่างนั้นออกไป ดูเหมือนฝรั่งอย่างเขาที่พูดไทยได้ปร๋อจะไม่เข้าใจว่าคนไทยไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก แล้วเธอเองก็ไม่อยากให้ใครมองว่าถือยศถือศักดิ์เสียจนวางลงไม่ได้

“เอาไว้หนูอินมาถึงค่อยคุยกันเรื่องปรับเปลี่ยนดีไหมคะ” พราวรัมภาเสนอ เพราะไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร

“ครับ งั้นตอนนี้เราออกไปเดินชมรอบๆ วังกันก่อนดีกว่า” จัสตินเอ่ยชวนพร้อมกับยิ้มกว้างกว่าเดิม ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่เขาจะยิ้มให้ใครแบบนี้

หลังจากดื่มชาและกาแฟหมดถ้วยแล้ว สองหนุ่มจึงเดินตามเจ้าของบ้านออกจากห้องโถงใหญ่ที่สวยงามไปออกประตูด้านในอีกฟากหนึ่ง

เมื่อพ้นประตูออกมาเป็นระเบียงกว้างมีหลังคากันแดดกันฝน เพราะประเทศไทยแดดแรงและฝนตกชุก ไม่เหมาะกับระเบียงเปิดโล่งเหมือนที่ชาวตะวันตกนิยมกัน ระเบียงขนาดใหญ่เป็นส่วนต่อเนื่องจากห้องโถงรับแขกที่น่าจะมีไว้เพื่อจัดงานรื่นเริงในอดีต เพราะรองรับแขกได้เป็นจำนวนมากเมื่อรวมกับพื้นที่ตรงระเบียงติดสวนด้านหลังอันร่มรื่น

เมื่อเดินออกมาที่ระเบียง จัสตินและรอนเพิ่งเห็นว่าวังธาดาสร้างเป็นรูปตัวยูโดยมีระเบียงเดินได้ตลอดด้านหลังแนวอาคาร เชื่อมไปยังอาคารอีกปีกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องประชุมที่มองออกมาเห็นสวนด้านหลังเช่นกัน ราวระเบียงติดไม้แกะสลักสีขาวฉลุลายสวยงาม เข้ากันดีกับหน้าต่างไม้บานเกล็ดสีเขียวของตัวอาคารที่อยู่ใต้ซุ้มประดับปูนปั้นสีขาวเรียงรายไปตลอดแนวระเบียง ความร่มรื่นภายในวังแห่งนี้ช่วยทำให้คนที่จิตใจกำลังสับสนค่อยสงบลงได้บ้าง

“ห้องนี้เคยเป็นห้องพักผ่อนค่ะ แต่ว่าตอนหลังท่านพ่อตกแต่งใหม่เลยดูคล้ายๆ เป็นห้องสมุด ท่านชอบมานั่งพักผ่อนอ่านหนังสือเงียบๆ”

พราวรัมภาเปิดประตูบานคู่แล้วเดินนำแขกเข้าไปด้านใน

ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนสีไม้ธรรมชาติแบบขรึมๆ คล้ายห้องประชุม แต่แลดูเคร่งขรึมน้อยกว่าตรงที่มีชุดเก้าอี้โซฟาลายดอกไม้สีครีมหวานกับเปียโนเก่าแก่หลังใหญ่แบบที่เรียกว่า ‘แกรนด์เปียโน’ ตั้งอยู่กลางๆ ห้องเยื้องมาทางด้านประตูทางเข้า โดยมีชั้นวางหนังสือสูงจดเพดานอยู่ริมผนังทั้งสองฝั่งด้านหลังชุดเก้าอี้พักผ่อนสีสันอ่อนหวานที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ลดทอนความขรึมของห้องลงได้มาก

“ท่านพ่อ เอ้อ...ท่านชายเล่นเปียโนด้วยหรือครับ” รอนถามแบบคนไม่ชำนาญศัพท์แสงชั้นสูงเท่าใดนัก เพราะเรียนโรงเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาอ่านเขียนหนังสือไทยได้บ้างแบบไม่คล่องนัก

“ค่ะ ท่านเล่นดนตรีได้หลายชิ้น ที่เห็นอยู่ในตู้โชว์ในห้องรับแขกนั่นก็ของท่านเกือบทั้งหมด” พราวรัมภามายืนอยู่ข้างเปียโนหลังใหญ่ที่ดูออกได้ไม่ยากว่าเป็นของเก่าแก่

“เลยทำให้คุณหญิงกลายเป็นนักดนตรี” จัสตินแทรกขึ้นมาขณะแตะปลายนิ้วลงสัมผัสเปียโนสีน้ำตาลเข้มราวกับต้องการสัมผัสและซึมซับบรรยากาศ

“ก็คงมีส่วนค่ะ เพราะจำความได้ก็เล่นเปียโนเป็นแล้ว”

“คุณหญิงโชคดีจังเลยนะครับที่ค้นพบตัวเองตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากเป็นอะไรและมีชีวิตแบบไหน” รอนอดชื่นชมไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าคนบางคนอาจหาตัวเองไม่เจอเลยก็ได้แม้จะใช้เวลาค้นหาชั่วชีวิต

“ค่ะ” พราวรัมภารับคำแบบไม่เต็มเสียงนัก เพราะทุกวันนี้ไม่ได้มีชีวิตแบบที่ฝันไว้เลยแม้แต่น้อย

แต่เธอก็ไม่เคยหยุดฝัน เพราะความฝันว่าจะมีชีวิตที่สุขสมหวังกับใครสักคนนั้นซุกอยู่ในซอกหลืบเล็กๆ ของหัวใจที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามาแตะต้องหรือห้ามความฝันนี้ พราวรัมภายังฝันอยู่เสมอว่าสักวันอาจมีเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาในวังธาดา...

เจ้าบ้านพาแขกเดินขึ้นชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนเสียส่วนใหญ่จึงไม่ได้เปิดประตูให้เข้าชม นอกจากห้องบรรทมของท่านชายชรินทรซึ่งอยู่ติดกับห้องทรงงาน

ห้องชั้นบนตกแต่งด้วยปูนปั้นลายพรรณพฤกษ์ประดับลายทองอย่างงดงามเช่นเดียวกับโถงด้านล่าง ผนังห้องยังคงเป็นสีครีมที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลสบายตา เครื่องเรือนในห้องบรรทมเป็นของเก่าโบราณ เช่นเดียวกับในห้องทรงงานซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามอ่อนช้อย

“ห้องนี้ดูเหมือนมีคนเข้ามาใช้พักผ่อนอยู่นะครับ” จัสตินเอ่ยขณะเดินเข้ามาในห้องพักผ่อนที่ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนยุโรปในยุคกลาง แม้จะดูเก่าแต่ก็ยังอยู่ในสภาพดีใช้งานได้ทุกชิ้น

“ค่ะ พราวชอบมานั่งเล่น ดูทีวีห้องนี้” พราวรัมภาคิดว่าเขาคงดูออกเพราะมีโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นของใหม่เพียงไม่กี่ชิ้นในห้องนี้

“วังใหญ่มากเลยทำให้ดูเงียบเหงาไปหน่อย” หนุ่มอเมริกันยังคงวิจารณ์อย่างไม่อ้อมค้อมพลางมองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา เพราะเริ่มชอบที่นี่ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ตามปกติเขาไม่ใช่คนชื่นชอบของเก่ามากนัก แต่ก็ไม่รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด จัสตินเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังต้องมนตร์...ไม่ต่างจากพ่อ!

‘ไม่! จัสติน...นายไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะตกหลุมใครอีกคน!’

เขาเหลือบมองหน้าสวยหวานของเจ้าของวังด้วยความสับสน ดูเหมือนวังธาดาจะเต็มไปด้วยเวทมนตร์ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนร่ายเอาไว้

“พวกเราอยู่กันจนชินค่ะ เลยไม่เหงา” พราวรัมภาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ อันที่จริงเป็นเพราะไม่มีเวลาให้เหงาต่างหาก นอกจากทำงานแทบทุกวันแล้ว ยังต้องครุ่นคิดหาทางออกให้ตนเองและอนาคตของวังแห่งนี้ด้วย

“ขอบคุณคุณหญิงมากนะครับที่พาเดินชมจนทั่วเลย แม้แต่ห้องนอนของท่านชายก็ยังอนุญาตให้เข้าไปดู” รอนเอ่ยอย่างมีมารยาท

“ปกติก็ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมชมหรอกค่ะ ที่เปิดให้ดูห้องนั้นก็เพราะเป็นห้องที่สวยที่สุด แล้วตอนนี้ก็ไม่มีคนอยู่แล้ว”

“ขอบคุณครับ” จัสตินเอ่ยอีกคนตามมารยาท

ทั้งสามคนเดินออกมาที่โถงเล็กๆ บนชั้นสองแล้วตรงไปที่หน้ามุขซึ่งชั้นล่างเป็นมุขสำหรับเทียบจอดรถ ตรงจุดนี้เป็นพื้นที่สำหรับยืนชมทิวทัศน์หน้าวังที่สงบร่มรื่นด้วยสีเขียวสด

“สวยมากเลยครับ” จัสตินหันมาบอกหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ระหว่างชายหนุ่มทั้งคู่

“ไม่คิดว่าคุณจัสตินจะชอบบรรยากาศแบบนี้” เธอว่าด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย เขาดูเป็นหนุ่มสมัยใหม่มาจากเมืองที่เจริญทางวัตถุอย่างถึงที่สุด จึงไม่น่าใส่ใจสวนเขียวๆ ที่มีเพียงต้นไม้กับสนามหญ้า

“ชอบสิครับ สวยสบายตาดี” เขาจ้องตาหญิงสาว ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าดวงตาดำขลับมีแววสับสนก่อนจะเบือนหน้าหลบไปทางอื่น

“ตอนขับรถเข้ามาผมเห็นเหมือนมีอาคารหลังเล็กอยู่ด้านหลัง” จัสตินเอ่ยขณะยืนพิงระเบียงฉลุลายชมวิวเบื้องล่าง

“เป็นตึกหลังเล็กสำหรับรับรองแขก แต่ไม่ใช้มานานแล้ว น่าจะสิบกว่าปีมาแล้วค่ะ”

“เราเดินไปดูกันดีไหมครับ” จัสตินเป็นฝ่ายเอ่ยชวนเจ้าของวัง

“เชิญค่ะ” พราวรัมภาตอบรับ แต่ก่อนจะเดินออกจากมุขก็เหลือบไปเห็นรถยนต์ของอรอินทุ์แล่นเข้ามาตามถนน

“คุณอรอินทุ์รึเปล่าครับ” รอนหันมาถาม

“ใช่ค่ะ เราลงไปหาหนูอินแล้วค่อยไปที่ตึกเล็กกันนะคะ”

อรอินทุ์จอดรถแล้วรีบลงมาขอโทษขอโพยที่มาช้าไปหลายนาที เพราะติดงานเรื่องทำโพรโมชันสินค้าที่วางขายหน้าร้าน ซึ่งตอนนี้พนักงานฝ่ายการตลาดที่มีอยู่เพียงสองคนต้องทำหน้าที่ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการขายและการตลาด

“ท่าทางคุณอรอินทุ์งานยุ่งมากนะครับ” รอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ยุ่งบ้างค่ะ แต่ไม่ทุกวัน” หญิงสาวร่างสูงเพรียวในชุดทำงานแบบกางเกงทะมัดทะแมงตอบพร้อมกับยิ้มสู้ตามนิสัย

“คุณอรอินทุ์เพิ่งมาถึง เข้าไปนั่งพักก่อนดีไหมครับ” จัสตินบอกอย่างเห็นใจคนที่เพิ่งขับรถฝ่าการจราจรมาถึง

“ไม่เป็นไรค่ะ เราไปดูตึกโน้นด้วยกันเลยดีกว่า” อรอินทุ์รีบบอกด้วยความเกรงใจแขกคนสำคัญที่มารออยู่นานแล้ว

“ไม่เหนื่อยหรือครับ” รอนถามพร้อมกับส่งยิ้มให้แบบเปิดเผยความรู้สึก ขณะที่หญิงสาวปราดเปรียวอย่างอรอินทุ์ก็ยิ้มรับอย่างไม่เคอะเขิน

“อินทำงานวิ่งไปวิ่งมาจนชินแล้วค่ะ เพราะเราเปิดหลายสาขา ไปกันเถอะค่ะ” อรอินทุ์บอกด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง

ทั้งสามคนจึงเดินตามเจ้าบ้านไปยังตึกหลังเล็กซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของตึกใหญ่ คล้ายกับแทรกตัวอยู่ในหมู่ไม้ของสวนด้านหลัง

“ระยะหลังไม่ค่อยมีใครมาทำความสะอาดค่ะ ไม่ได้ต้อนรับใคร แล้วคนทำงานที่นี่ก็น้อยลง ไม่เหมือนแต่ก่อน”

พราวรัมภาไขกุญแจเพื่อเปิดประตูตึกสองชั้นหลังเล็กที่น่าจะเคยได้รับการบูรณะมาแล้วเช่นกัน แต่ดูไม่สดใสเท่าตึกใหญ่เพราะไม่มีคนอาศัย จัสตินยืนอยู่ด้านหลังจึงขยับไปช่วยเธอเปิดบ้านประตูไม้สีเขียวเข้มขนาดใหญ่พอสมควรเพื่อเข้าไปชมด้านใน

ภายในตึกหลังเล็กมีเครื่องเรือนอยู่ไม่มากนัก แต่มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงมองไปรอบๆ ด้วยความทึ่ง ที่แม้แต่เรือนพักรับรองก็ยังตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงคล้ายกับตึกใหญ่

“ไม่ได้เข้ามาที่นี่ตั้งหลายปี แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดีนะหญิงพราว เหมือนมีคนมาทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆ”

อรอินทุ์เดินไปรอบๆ มีฝุ่นจับอยู่บ้างบางจุด แต่ไม่มากเหมือนบ้านร้างบางแห่งที่เดินเข้าไปแทบไม่ไหวเพราะรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ

“น่าจะมาทำกันปีละไม่กี่หน”

พราวรัมภาบอกตามจริง เพราะคนทำงานบ้านเหลือแค่ผู้หญิงสามคน ส่วนที่เป็นชายอีกหนึ่งคนก็รับหน้าที่ทั้งทำสวนและขับรถให้หม่อมสุภัสสร ซึ่งระยะหลังหม่อมก็แทบไม่ได้ไปไหนเพราะติดขัดเรื่องเงินทอง จึงไม่ออกงานสังคมหรือสมาคมกับใครมากนักเหมือนเช่นอดีต

“ผมสนใจที่นี่”

จัสตินโพล่งออกมาหลังจากเกิดความคิดขึ้นมาฉับพลัน แล้วหันไปมองหน้าพราวรัมภาเป็นคนแรก ก่อนจะมองไปที่อีกสองคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกัน เห็นทุกคนทำหน้างงๆ

“ผมหมายความว่า ถ้าย้ายออฟฟิศเบอร์รีแบ็กมาไว้ที่นี่ก็น่าจะสะดวกดี บ้านคุณอรอินทุ์เองก็อยู่ไม่ไกลจากวังธาดาใช่ไหมครับ”

“ค่ะ น่าจะสะดวกสำหรับเราสองคน แต่ว่า...คงต้องถามความเห็นจากเจ้าของวังก่อนนะคะ” แม้จะเป็นญาติสนิท แต่อรอินทุ์ก็ไม่คิดทำอะไรล้ำเส้นกันเด็ดขาด เพราะยิ่งสนิทยิ่งต้องเกรงใจกัน

“ถ้าคิดว่าที่นี่เหมาะกับการทำงาน พราวยินดีค่ะ” พราวรัมภาบอกอย่างเอื้อเฟื้อ

วังธาดาอยู่ในย่านใจกลางเมือง จึงไม่เป็นปัญหาต่อการเดินทางมาทำงานของพนักงานแต่ละแผนก และสามารถเดินทางไปที่สาขาต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั้งสามแห่งได้ไม่ยากอีกเช่นกัน

“แสดงว่าคุณหญิงเห็นด้วยกับผม” จัสตินสรุปง่ายๆ แบบเข้าทางตนเอง

“พราวจะปฏิเสธทำไมล่ะคะ ถ้าจะมีที่ทำงานอยู่ในบ้านตัวเอง”

“อินก็เห็นด้วยค่ะ ดีกว่าไปเช่าสำนักงานแคบๆ ตามตึกใหญ่ๆ ค่าเช่าแพงหูฉี่แถมยังต้องแย่งกันขึ้น-ลงลิฟต์ทุกเช้าเย็น”

“เอาเป็นว่าเราเห็นตรงกันทุกคนนะครับ” จัสตินสรุปอีกครั้งก่อนจะหันไปทางเจ้าของบ้าน “แล้ว...คุณแม่ของคุณหญิงจะเห็นด้วยไหมครับ”

“ก็คงต้องบอกให้แม่รับทราบค่ะ แต่แม่คงไม่ว่าอะไร”

“วันนี้คุณแม่ไม่อยู่หรือครับ” จัสตินอดถามถึงไม่ได้ เพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้พบหม่อมสุภัสสร

“แม่ไปงานแต่งงานของลูกสาวเพื่อนค่ะ”

“ผมไม่แน่ใจว่าข้อเสนอของผมจะทำให้คนในวังธาดาอึดอัดลำบากใจรึเปล่า แต่เราไม่ได้ใช้สถานที่ฟรีๆ นะครับ บริษัทต้องจ่ายค่าเช่าให้คุณหญิงด้วย” จัสตินว่าไปตามหลักเกณฑ์การทำธุรกิจ

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรค่ะ ปกติก็ปิดทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ มีแต่จะทรุดโทรมลงทุกวัน”

“ยังไงก็ต้องจ่ายค่าเช่าจ้ะ นี่มันเรื่องธุรกิจนะ กันเองไม่ได้” อรอินทุ์เห็นตรงกับหุ้นส่วนใหม่ แล้วจึงหันไปอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องที่จัสตินไม่แน่ใจเพราะเจ้าของวังไม่ได้ไขข้อสงสัย “เรื่องอึดอัดแรกๆ อาจต้องมีบ้างค่ะ แต่ถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก็คงไม่มีอะไร เพราะตามปกติแล้วส่วนสำนักงานไม่มีใครเข้ามาติดต่อธุระมากมายนัก นั่งทำงานกันเงียบๆ ค่ะ”

หลังจากขึ้นไปดูสถานที่ชั้นสองเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสาวทั้งสี่คนจึงเดินกลับมาที่ตึกใหญ่เพื่อไปคุยเรื่องงานกันต่อในห้องประชุม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น