3

ว่าที่แม่เลี้ยง


ณ ไนต์คลับในโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวใจกลางกรุงเทพมหานคร

จัสตินนัดกับรอนที่นี่เป็นประจำ เพราะทั้งคู่เป็นสมาชิกของคลับแห่งนี้ซึ่งต้อนรับเฉพาะแขกระดับวีไอพีเท่านั้น คืนนี้มีแขกของไนต์คลับทั้งรุ่นหนุ่มสาวและวัยกลางคนมาใช้บริการกันหนาตาพอสมควร

บรรยากาศโดยรอบเย็นสบายจากการปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศอย่างพอเหมาะ ทำให้คนที่จิตใจกำลังฟุ้งซ่านเริ่มสงบลง กระทั่งเพื่อนรักเดินเข้ามาสมทบโดยมีพนักงานสาวในชุดกระโปรงยาวรัดรึงรูปร่างเดินนำเข้ามาที่โต๊ะ พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้จัสตินเป็นรอบที่สองในคืนนี้ และไม่ลืมส่งยิ้มตบท้ายให้รอนด้วยอีกคน

“วอดคา มาร์ตินีครับ”

รอนสั่งเครื่องดื่มประเภทค็อกเทลกับพนักงานสาวสวย โดยไม่ลืมส่งยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดีตามนิสัยที่มักไม่ค่อยเครียดเรื่องใดๆ จนคนที่นั่งมองเพื่อนสั่งค็อกเทลสำหรับคนคอแข็งพร้อมกับโปรยยิ้มให้สาวสวยอดไม่ได้ ต้องเหน็บเข้าให้สักเล็กน้อย

“รอน...นายนี่โปรยเสน่ห์ได้ทุกที่ทุกเวลาเลยนะ”

“ไม่เอาน่าเพื่อน เราอยู่สยามเมืองยิ้มก็ต้องยิ้มกับเขาด้วยสิ นายไม่เคยได้ยินรึไงที่คนไทยเขาว่ากัน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม” รอนว่าไปได้เรื่อยๆ โดยในตอนท้ายพูดเป็นภาษาไทยชัดเจน เพราะอยู่เมืองไทยมาเกือบทั้งชีวิต

“ไม่เห็นเคยได้ยิน” จัสตินตอบเป็นภาษาไทยบ้าง

“อ้อ...แล้วถ้าอย่างฉันเรียกว่าโปรยเสน่ห์ แล้วอย่างนายจะเรียกอะไรดี”

“เรียกอะไร ฉันแทบไม่เคยโปรยยิ้มให้ใครสักคน”

“โปรยเสน่ห์ไม่ต้องยิ้มก็ได้นะเพื่อน แล้วถ้าไม่โปรย สาวๆ ที่ห้อยรอบเอวนั่นล่ะมาจากไหน” คราวนี้รอนกลับมาใช้ภาษาอังกฤษคุยกันเหมือนเดิม เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายถนัดมากกว่าภาษาไทย

“นายนี่มันพูดอะไรเกินจริงอยู่เรื่อย พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ”

“โอ้ว...ยังจะกลัวเสียหาย ตอนนี้ยังมีอะไรให้เสียอีกเหรอ” รอนทำเสียงเหมือนว่าเพิ่งได้ฟังเรื่องเหลือเชื่อที่สุดในโลก

“ฉันไม่ใช่แคซาโนวา จะได้มีสาวๆ ห้อยเป็นพวงรอบเอว” จัสตินยังปฏิเสธ เพราะไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย เขามีความสัมพันธ์กับหญิงสาวแต่ละคนก็ด้วยความสมัครใจและไม่เคยล่อหลอกใครทั้งนั้น

“เอาเถอะ จะเป็นแคซาโนวาหรือนักบุญ นายก็รู้ตัวดีที่สุด แล้วมีเรื่องอะไรถึงได้เซ็งนักหนา”

“ก็เรื่องพ่อไง อยู่ดีไม่ว่าดี แก่แล้วไม่รู้จักเจียม” จัสตินว่าพลางยันตัวขึ้นจากเก้าอี้บุนวมนุ่ม แล้วยื่นมือไปหยิบแก้ววิสกี้บนโต๊ะ

“เฮ้...นั่นพ่อนายนะ ไปว่าเขาอย่างนั้นได้ไง” รอนติงเพื่อนซี้เสียงเข้มกว่าปกติ เพราะเขาเป็นไทยอยู่ครึ่งหนึ่งแถมยังคุ้นกับวัฒนธรรมไทยมากกว่าอีกฝ่าย จึงไม่เคยก้าวก่ายหรือคิดต่อว่าบุพการีตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทยโดยทั่วไป

จัสตินมีเชื้อสายไทยอยู่เสี้ยวหนึ่งจากฝ่ายมารดาก็จริง แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ น่าจะเคยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึงสิบปีช่วงวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น

“ก็ตาแก่นั่นไม่เจียมจริงๆ นี่ อายุเกือบจะหกสิบแล้วยังอยากมีเมียเด็ก”

“อ้าว...แล้วใครอยากมีเมียแก่บ้างเล่า นายต้องนึกถึงใจพ่อนายบ้างสิ”

“แล้วมันเหมาะสมกันไหมล่ะ จะแต่งงานใหม่ทั้งที หาเมียให้ดีหรือลงตัวกว่านี้ก็ไม่ได้” จัสตินเล่าด้วยเสียงที่ต้องข่มไว้ไม่ให้ดังข้ามโต๊ะไปถึงคนอื่น โต๊ะที่ตนเองนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของคลับซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว

“ปกติไม่เคยเห็นนายสนใจเลยว่าพ่อนายจะไปไหนหรือสนใจใคร แล้วทำไมหนนี้นึกอยากไปวุ่นวายกับชีวิตเขาขึ้นมาถึงขั้นให้ฉันช่วยหานักสืบให้” รอนถามอย่างไม่เข้าใจ อันที่จริงเขาสงสัยตั้งแต่ถูกเพื่อนไหว้วานให้ไปหานักสืบนั่นแล้ว

“คนมันมีเซนส์ไง สังหรณ์แต่แรกแล้วว่าต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ นายอย่าลืมนะว่าหนนี้พ่อไม่ได้แค่แอบไปมีอีหนูแบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่พ่อฉันกำลังจะแต่งงานใหม่”

“แล้วไงล่ะ”

“นักสืบรายงานมาแล้วว่า ยายคุณหญิงพราวอะไรนั่นอายุแค่ยี่สิบหก”

“จริงดิ?” รอนอุทานมากกว่าจะต้องการคำตอบ

หนุ่มลูกครึ่งเชื่อว่าเพื่อนอ่านข้อมูลมาไม่ผิดแน่นอน จึงเริ่มแปลกใจกับการตัดสินใจของมิสเตอร์บราวน์ขึ้นมาเช่นกัน ตอนแรกที่รู้เรื่องรอนยังคิดว่าคุณหญิงคนนั้นน่าจะอายุสามสิบปลายๆ หรือไม่ก็สี่สิบกว่าด้วยซ้ำไป

“ยังไม่เต็มยี่สิบหกดีเลยด้วยซ้ำ หย่อนไปตั้งหลายเดือน แล้วนายคิดว่าฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน วันที่ต้องไปร่วมงานแต่งของพ่อโดยมีแม่เลี้ยงอายุอ่อนกว่าตัวเองตั้งไม่รู้กี่ปี”

แม้ว่ากำลังคุยกันเรื่องค่อนข้างเครียด แต่รอนก็แอบอมยิ้มตามประสาคนมองโลกในแง่ดี เพราะได้เห็นจัสตินบ่นเป็นหมีกินผึ้งก็งานนี้แหละ เริ่มรู้สึกว่าเพื่อนอาจจะรู้สึกอิจฉาพ่อตัวเองขึ้นมาก็ได้ที่กำลังจะได้แต่งงานกับราชนิกุลสาวชาวไทยผู้สูงศักดิ์ แถมยังอายุน้อยอย่างแทบไม่น่าเชื่ออีกด้วย

“นายก็เอาหน้าไว้ที่เดิมนั่นแหละ คิดเสียว่าทำเพื่อให้พ่อมีความสุข พ่อนายอายุมากแล้วนะ เขาคงอยากลงหลักปักฐานอยู่เป็นหลักแหล่งเสียที”

“ถ้าฉันเป็นพวกมองโลกในแง่ดีแบบนาย ชีวิตคงสบายกว่านี้” จัสตินสรุปได้เอง แต่ในเมื่อเขามักจะมองโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ตามความเป็นจริงและจากประสบการณ์ส่วนตัว ก็เลยต้องทุกข์ไปกับความคิดของตนเอง

“ในรายงานนั่นมีอะไรอีกรึเปล่า” รอนชักสงสัยว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องอายุอานามเท่านั้นที่เป็นปัญหา

“ว่าที่แม่เลี้ยงของฉันกำลังถังแตกน่ะสิ”

“หา!”

“ครบสูตรเลยไหมล่ะ แล้วนายคิดว่าพ่อฉันจะมีความสุขไหมกับการแต่งงานกับคุณหญิงที่กำลังหิวโซ ฉันแทบไม่อยากนึกภาพเลยว่าพ่อจะเป็นยังไงหลังจากนั้น”

จัสตินกระดกวิสกี้ลงคอรวดเดียวหมดแก้ว เพื่อให้รสขมบาดคอนั้นดับอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิดและว้าวุ่น

ตอนนี้เขามองเห็นแต่หน้าหวานๆ ตาใสๆ ของหม่อมราชวงศ์พราวรัมภา ให้ตายเถอะ! หล่อนเป็นแม่มดหรืออย่างไร เขาถึงได้จำภาพหล่อนที่นักสืบส่งมาให้ได้ทุกรูปแบบติดตาขนาดนี้

“นี่นายคิดว่าคุณหญิงพราวจะมาปอกลอกพ่อนายใช่ไหม ถึงได้หงุดหงิดเป็นเดือดเป็นร้อนนักหนา”

จัสตินมีเลือดชาวยิวอยู่ในตัว เพราะมิสเตอร์บราวน์ผู้พ่อนั้นเป็นลูกครึ่งผสมระหว่างอเมริกันกับยิว รอนก็พอจะรู้อยู่ว่าชาวยิวมักไม่ยอมเสียรู้ให้ใครง่ายๆ และเก่งเรื่องกอบโกยผลประโยชน์ แม้ว่าจัสตินจะไม่ได้เป็นยิวเต็มตัวที่วันๆ คิดแต่จะโกยทุกสิ่งเข้าหาตัว แต่โดยนิสัยแล้วเขาไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบแน่นอน

ถ้ามองในอีกแง่หนึ่งคงเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของตนที่ทุกคนต้องปกป้อง ไม่เช่นนั้นก็อาจถึงขั้นหมดความนับถือตัวเองไปตลอดชีวิต

“นายจะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง ตอนนี้แม่คุณหญิงนั่นมีหนี้สินล้นพ้นตัว วังของหล่อนกำลังจะถูกธนาคารยึด แล้วตาแก่อย่างพ่อฉันก็ดันเดินเข้าไปหาในจังหวะที่หล่อนกำลังจะจมน้ำ ถ้าไม่คว้าพ่อฉันไว้ก็ถือว่าโง่เต็มที”

“นายมองคุณหญิงพราวในแง่ร้ายเกินไปรึเปล่า”

“โลกมันไม่ได้สวยขนาดนั้นหรอกนะรอน โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนที่สวยแต่หน้า” จัสตินบอกเพื่อนไปแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า คนที่เคยพูดอย่างนี้ใส่หน้าเขาก็คือพ่อนั่นเอง

วิลเลียม บราวน์ พ่อของเขาเป็นคนฉลาดทันคนไปเสียทั้งโลก แต่สุดท้ายก็ต้องมาตกหลุมพรางตื้นๆ จนได้ คงเพราะไม่มีอะไรจะกระตุกหัวใจชายแก่ได้มากเท่ากับเด็กสาวอีกแล้วในโลกนี้

“นายกลัวว่าคุณหญิงนั่นจะมาแย่งสมบัติหรือไง”

“เปล่า ฉันไม่เคยหวังสมบัติของพ่อ เพราะฉันมีมากพอแล้วสำหรับชีวิตนี้”

“ก็นั่นไง แล้วนายจะต้องกังวลอะไรอีก ในเมื่อพ่อนายมีเงินกินไปสิบชาติก็คงไม่หมด ถึงจะโดนใครผลาญไปบ้างก็คงไม่สะเทือนหรอก” รอนสรุปในแบบของเขาเพื่อให้เพื่อนสบายใจขึ้น

“ฉันไม่ได้ห่วงว่าพ่อจะหมดตัว แต่ฉันห่วงว่าพ่อจะเสียท่าจนช้ำใจตายก่อนวัยน่ะสิ หรือไม่ก็หัวใจวายตายคาเตียงเพราะมีเมียเด็ก”

“พ่อนายยังไม่แก่ขนาดจะรับมือสาวๆ ไม่ไหว เชื่อมือคุณบราวน์เขาหน่อยสิ อีกอย่างสมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปไกลแล้ว พ่อนายคงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ถึงได้มั่นใจว่าจะเอาสาวยี่สิบหกอยู่มือ”

รอนวิเคราะห์พร้อมกับจิบมาร์ตินีรสเลิศด้วยท่าทางสบายๆ ต่างจากคนที่เพิ่งกระดกวิสกี้ลงคอไปหยกๆ

“ไม่ ฉันจะปล่อยพ่อไปตามยถากรรมไม่ได้ ยังไงเขาก็เป็นพ่อฉัน”

“แล้วนายจะทำไง คนเขาจะแต่งงานกันอยู่แล้ว”

“มันต้องมีวิธีสิน่า”

ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังถกกันเรื่องบุพการี ก็มีสาวสวยกับหนุ่มหล่อสองคู่เดินเคียงกันเข้ามา โดยมีพนักงานสาวฝ่ายต้อนรับเดินนำมานั่งที่โต๊ะที่ยังว่างอยู่ในโซนใกล้ฟลอร์เต้นรำ บริเวณนั้นแสงไฟสว่างกว่าทุกมุมเพราะอยู่ใกล้เวทีสำหรับนักร้องและวงดนตรี ทั้งสองคนจึงเห็นรูปร่างหน้าตาของหนุ่มสาวชาวไทยทั้งสี่คนอย่างชัดเจน

จัสตินแทบอ้าปากค้างเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหญิงสาวรูปร่างระหงกลมกลึงในชุดเดรสสีครีมเปิดไหล่นวลเนียนและเปลือยท่อนแขนเรียวผุดผ่อง ชุดของเธอยาวแค่เหนือเข่า จึงเผยช่วงขาเรียวเสลาบนรองเท้าส้นสูงไม่ต่ำกว่าสี่นิ้ว เป็นเหตุให้เพื่อนร่วมโต๊ะต้องมองตามไปด้วยอีกคน แล้วก็ตกตะลึงเช่นกัน

หญิงสาวแสนสวยในชุดสีครีมที่เดินควงมากับหนุ่มหล่อหน้าตาดี มีท่วงท่าสง่างามไม่ต่างจากพญาหงส์ โดยไม่ทิ้งความงดงามอ่อนช้อยในแบบฉบับสาวไทย เธอยิ้มน้อยๆ ให้บุรุษที่ควงแขนมาด้วยเมื่อเขาเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงที่เก้าอี้บุนวมน่าสบายก่อนตามธรรมเนียม

“นั่นใคร สวยจัง!” รอนอุทานหลังจากตาค้างไปแล้ว

หญิงสาวคนที่สองที่เดินตามเข้ามานั้นมีรูปร่างใกล้เคียงกับสาวคนแรก แถมใบหน้ายังมีส่วนละม้ายกันอีกด้วย แต่คนที่สองดูเป็นสาวเปรี้ยวปราดเปรียวกว่ามาก โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นเน้นรูปร่างอย่างชัดเจนและกระโปรงบานพลิ้วนั้นสั้นเพียงแค่ต้นขา

“คนไหน” จัสตินถามเสียงเครียดหลังจากเรียกสติคืนมาได้แล้ว

“นายรู้จักเหรอ” รอนละสายตาจากสาวสวยทั้งคู่มาหาเพื่อนแบบงงๆ

“เออ...นี่แหละว่าที่แม่ใหม่ของฉัน!”

“ฮ้า!” รอนตาค้างอีกรอบ ก่อนจะเหลียวไปทางโต๊ะที่อยู่ในมุมสว่างกว่า

“คนผมยาวชุดสีครีมนั่นไง”

“นายแน่ใจเหรอพวก จำผิดคนรึเปล่า” รอนหันกลับมาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“แน่ใจสิ ฉันนั่งดูรูปยาย...เอ่อ...คุณหญิงพราวอยู่ตั้งนานเป็นชั่วโมง แถมไม่ได้มีรูปใบเดียวด้วย จำหน้าได้จนติดตาเลยละ” จัสตินว่าแล้วยกมือขึ้นเรียกพนักงานมาสั่งวิสกี้เพิ่ม

เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองตื่นเต้นหรืออึดอัดกันแน่ที่ต้องมาเจอตัวจริงว่าที่เจ้าสาวของพ่อ แถมเจ้าหล่อนยังสวยหยาดฟ้ามาดินอีกด้วยในคืนนี้ ดูแล้วสวยกว่าในรูปที่นักสืบส่งมาให้หลายเท่า

“เฮ้...แล้วมันจะบังเอิญอะไรขนาดนี้ที่คุณหญิงพราวต้องมาที่นี่ แล้วมาเจอกับนายซึ่งเป็นลูกเลี้ยง”

“ยัง หล่อนยังไม่ได้แต่งงานกับพ่อฉัน” จัสตินรีบเบรกก่อนที่เพื่อนจะพล่ามอะไรต่อให้บาดหู แต่คนที่มักพลิกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสอย่างเขามองเห็นหนทางขึ้นมารำไรและรวดเร็ว “แต่ก็ถือว่าเป็นโชคของฉันที่ได้เจอกันคืนนี้”

“นายคิดจะทำอะไร” รอนมองหน้าเพื่อนอย่างไม่ค่อยไว้ใจ

ใบหน้าของจัสตินคมสันหล่อเหลาจากส่วนผสมหลายเชื้อชาติที่ออกมาได้อย่างลงตัว ดวงตาคมชัดบาดลึกนั้นเป็นสีฟ้าอมเทา ใบหน้าค่อนข้างเรียวรับกับสันกรามหนาแข็งแรงเข้ากันดีกับผิวสีแทนอ่อนที่สาวตะวันตกพากันหลงใหลได้ปลื้ม

“ยังไม่รู้ รู้แต่ว่าเจอกันก็ดี จะได้ไม่ต้องตามหาตัว”

“แสดงว่าคิดไว้แล้ว”

คนที่กำลังวางแผนในใจไม่ตอบ แต่เหลือบตามองหญิงสาวแสนสวยและสูงศักดิ์อีกครั้ง เธอกำลังคุยกับหนุ่มไทยหน้าตาดีคนที่ควงแขนเข้ามาอย่างสนิทสนม ส่วนเจ้าหนุ่มก็มองพราวรัมภาแทบไม่ยอมละสายตาไปทางอื่น ส่วนอีกคู่หนึ่งนั้นนั่งคุยกันด้วยท่าทางปกติคล้ายเป็นคนรู้จักกันเท่านั้น ท่าทางเหล่านี้สังเกตได้ไม่ยากสำหรับคนที่ผ่านสาวๆ มานับไม่ถ้วนอย่างจัสติน

“ผมขอเหมือนเดิมอีกแก้ว แล้วนายล่ะ” จัสตินละสายตามาบอกพนักงานสาวคนเดิมที่เดินเข้ามาหา

“เหมือนเดิมครับ” รอนสั่งแบบไม่ค่อยใส่ใจนัก เพราะสนใจเรื่องคุณหญิงว่าที่แม่เลี้ยงของเพื่อนมากกว่า แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เดี๋ยวครับ เอ่อ...”

“ต้องการรับอะไรเพิ่มรึเปล่าคะ”

“เปล่าๆ ผมแค่อยากจะถามว่าสองคู่ที่เพิ่งมาถึง นั่งใกล้ๆ ฟลอร์ ผู้หญิงชุดเดรสสีครีมนั่นเป็นใครครับ” รอนถามพนักงานเป็นภาษาไทย

“อืม...ไม่แน่ใจนะคะ รู้แต่ว่าคนที่นั่งข้างๆ เธอเป็นเมมเบอร์ที่นี่ค่ะ”

“ผู้ชายคนที่เธอคุยด้วยใช่ไหม” จัสตินถามเป็นภาษาไทยด้วยความสนใจ เพราะคิดว่าพนักงานสาวน่าจะถนัดและเข้าใจง่ายกว่า

“ใช่ค่ะ คุณชายราเมศ ธาดาเทพ เธอมีหุ้นอยู่ในโรงแรมนี้” พนักงานให้ข้อมูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะขอตัวเดินจากไป

“ธาดาเทพ...นามสกุลเดียวกัน” จัสตินพึมพำพลางจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวซึ่งเป็นพวกธาดาเทพเหมือนกัน แต่เหตุใดทั้งสองคนจึงดูท่าทางไม่เหมือนญาติพี่น้อง

“ดูไม่ค่อยเหมือนญาติกันเลย” รอนวิจารณ์

“ฉันก็ว่างั้นแหละ ญาติที่ไหนจะมองตากันหวานซึ้งขนาดนี้ อาจเป็นแค่ญาติห่างๆ ก็ได้” จัสตินเหลียวมองหน้าสวยหวานนั้นอีกหนด้วยความคลางแคลงใจ

“ถ้าคุณหญิงมีคนรักแล้ว นายก็สบายใจได้สิว่าเธอคงไม่แต่งกับพ่อนาย” รอนเริ่มหาข้อสรุปให้เพื่อนอีกครั้ง

“ฉันเกรงว่าคุณเธอจะไม่คิดอย่างนั้น นายเข้าใจใช่ไหมรอนว่าผู้หญิงสมัยนี้ไม่ธรรมดา” จัสตินบอกอย่างมั่นใจ “รวมถึงยายคุณหญิงพราวนี่ด้วย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ เธอก็ดูออกจะสวย ยังเด็กด้วย คงไม่คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้นหรอกมั้ง”

“ถึงบอกนายไงว่าถ้าฉันมองโลกในแง่ดีเหมือนนาย ชีวิตฉันคงสบายกว่านี้” จัสตินแดกดันเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพยายามเข้าข้างสาวสวย แถมยังหันไปมองแทบไม่หยุดอีกด้วย

“เอาน่า...พยายามคิดดีๆ ไว้ โลกนี้มันมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นประจำแหละ แต่ว่า...สวยทั้งสองคนเลยนายว่าไหม” รอนว่าแล้วยักคิ้วให้เพื่อนสนิทเป็นเชิงขอความเห็น

“ไม่มีอารมณ์”

“แค่พ่อจะแต่งงานใหม่ นายถึงกับเครียดจนตายด้านเลยเรอะ”

“นายจะร่วมวงแย่งคุณหญิงนั่นกับพ่อฉันรึไง”

“ไม่อะ ปวดหัว ฉันมองอีกคนว่ะ เปรี้ยวๆ หวานๆ ซาบซ่านใจ” รอนว่าแล้วยักคิ้วอีกหน

“แล้วมาหาว่าฉันเป็นพวกโปรยเสน่ห์ ไม่ดูตัวเองบ้าง”

“อย่าซีเรียสน่า แล้วตกลงว่านายจะเอาไงเรื่องพ่อกับคุณหญิง”

“ฉันคิดว่าหล่อนไม่ธรรมดาอย่างที่บอก และตอนนี้กำลังจับปลาสองมือ คนที่นั่งข้างๆ หล่อนน่ะไม่ใช่แค่ญาติแน่ๆ แถมยังเป็นหุ้นส่วนโรงแรมนี้ด้วย”

“โอเค ที่นายว่ามามันก็พอเข้าเค้า” รอนต้องยอมรับการวิเคราะห์ของจัสตินที่มีเหตุและผลอยู่พอสมควร ในเมื่อคุณหญิงพราวรัมภากำลังมีปัญหาด้านการเงินขั้นวิกฤติ เธออาจจะคิดทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น “ถ้าเธอไม่คิดจะแต่งกับพ่อนายก็น่าจะปฏิเสธไปตั้งแต่แรก”

“ก็ใช่น่ะสิ แถมตอนนี้ยังมาทำหวานใส่หนุ่มอีกคน ใครมองไม่ออกก็บ้าแล้ว” จัสตินว่าแล้วเหลือบตาไปที่โต๊ะนั้นเคืองๆ

‘ตกลงว่าคุณเธอจะเอาใครกันแน่ ตาแก่อย่างพ่อหรือคุณชายหน้ามนคนนี้ หรือไม่แน่อาจจะเหมาหมด!’

เขาชักสายตากลับมา เป็นจังหวะที่พนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี คนที่กำลังอารมณ์แปรปรวนจึงหยิบแก้ววิสกี้กระดกลงคอไปอีกแบบไม่คิดจะลิ้มรสให้รู้รสชาติเลยสักนิด

“แต่สวยขนาดนี้ ผู้ชายกี่คนก็คงยอมสยบแทบเท้า” รอนว่าไปตามที่เห็นก่อนจะหันมาถามว่า “แล้วนายจะทำไง”

“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน ไม่ยากหรอก” สุดท้ายจัสตินก็นึกออก

คุณหญิงพราวรัมภาลุกจากโต๊ะไปเต้นรำกับคุณชายรูปหล่อด้วยท่าทางสนิทสนมและเป็นกันเอง ใบหน้าสวยอ่อนหวานระบายยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา

“ดูไม่เหมือนคนกำลังจะหมดตัว” รอนอดวิจารณ์ไม่ได้เมื่อเห็นว่าเธอมีความสุขดีกับคุณชายคนนั้น

“ก็ใครว่าหมดเล่า มีทั้งคุณชายทั้งพ่อฉัน ถึงได้ยิ้มร่าขนาดนี้”

“ก็ดูมีความสุขดีกับคุณชายนั่น ทำไมยังจะ...” รอนเริ่มไม่เข้าใจขึ้นมาอีกคน

“ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ฉันสังหรณ์ใจ แล้วนายจะให้ฉันปล่อยพ่อไปตามยถากรรมงั้นหรือ” คนที่ไม่เคยยอมให้ใครมาลูบคมง่ายๆ ถามเพื่อนแบบไม่ต้องการคำตอบ

“แต่คนระดับพ่อนายคงไม่ยอมให้ใครมาหลอกง่ายๆ”

“ตอนหนุ่มๆ ก็อาจจะใช่ พิษสงรอบตัวเชียวละ มีแต่สาวๆ จะหมดท่าเพราะพ่อ แต่ตอนนี้พ่อฉันแก่แล้ว คนแก่มากๆ เข้าคิดอะไรไม่ทันใครหรอก โดยเฉพาะตอนนี้กำลังหลง”

“ที่จริงฉันไม่ค่อยเห็นด้วยที่นายจะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ แต่มันเป็นเรื่องในครอบครัว ฉันไม่อยากก้าวก่ายหรือออกความเห็นอะไรมาก เอาเป็นว่านายคิดจะทำอะไรก็ให้นึกถึงใจพ่อตัวเองบ้าง”

“ก็เพราะนึกถึงพ่อนี่แหละ ฉันถึงอยู่เฉยไม่ได้”

“นายไม่คิดมุมกลับบ้างหรือว่าผู้หญิงคนนั้นอาจทำให้พ่อนายมีความสุขในชีวิตบั้นปลาย โดยเฉพาะในเมืองไทยที่พ่อนายอยากมาอยู่ แม้แต่นายเองก็ยังอยากกลับมาอยู่ที่นี่”

“นายก็มองดูสิ ว่าที่เจ้าสาวของพ่อฉันกำลังเต้นรำคลอเคลียอยู่กับหนุ่มหล่อหน้าใส แล้วหล่อนจะอยากนอนกอดคนแก่ๆ อย่างพ่อฉันงั้นหรือ”

จัสตินเหลือบแลไปที่ฟลอร์เต้นรำพร้อมกับรอนแบบไม่ต้องนัดหมาย แล้วก็เห็นว่านางหงส์อย่างพราวรัมภากำลังสวีตกับคู่เต้นรำเพราะคุยกันกะหนุงกะหนิงตลอดเวลา เขาดีใจที่ตนเองเปลี่ยนใจไม่นอนกอดดาหวันไปจนถึงรุ่งเช้า แต่นัดรอนมาที่นี่และได้มาเห็นอะไรดีๆ ซึ่งช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

“วันๆ คงรีดเอาแต่เงิน ถึงพ่อจะมีให้หล่อนรีดไปทั้งชาติ แต่นายคิดว่าคนแก่ที่กำลังจะปลดเกษียณจากธุรกิจจะมีความสุขไหมที่ได้เมียแบบนี้”

“ฉันเข้าใจว่านายรู้สึกยังไง แต่ฉันก็คิดแค่ง่ายๆ ว่าคุณหญิงอาจทำให้พ่อนายได้เติมเต็ม เพราะเธอเป็นคนไทยคล้ายๆ กับแม่ของนาย”

“อย่าเอามาเปรียบกับแม่ฉันเลย แม่แต่งกับพ่อตั้งแต่พ่อเพิ่งเรียนจบ ตอนนั้นพ่อไม่มีเงินอย่างทุกวันนี้ แต่แม่ก็อยู่เคียงข้างพ่อเสมอ”

“นายเองก็คงอยากได้ผู้หญิงอย่างแม่ใช่ไหมจัสติน” รอนเดาได้จากแววตาและน้ำเสียง

“แน่นอน แต่ยังไม่เคยเจอเลยสักคน”

“เฮ้อ...ฉันว่านายไม่มองคนดีๆ เองต่างหากเล่า จะเอาแต่สวยๆ ก็เลยต้องเจอแบบนี้ อ้อ...คนไทยเขาเรียกว่า สวยแต่รูปจูบไม่หอม” รอนบอกเป็นภาษาไทยในตอนท้าย

“คนไทยนี่มีคำเปรียบเปรยที่เห็นภาพดีนะ แต่ฉันไม่ได้โทษผู้หญิงหรอกว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี เพียงแค่มันไม่ใช่แบบที่ฉันต้องการเท่านั้นเอง”

“ใช่ นายจะเจอคนที่นายต้องการ เชื่อฉันสิ” รอนให้กำลังใจพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ขอบใจเพื่อน ฉันก็หวังว่าจะเจอสักวัน”

“ไม่ จัสติน นายต้องวาดภาพไว้เลยว่าคนที่นายต้องการให้เข้ามาในชีวิตเป็นยังไง เอาแบบที่นายต้องการจริงๆ แล้วคิดว่าต้องเจอกันแน่ๆ”

“เอางั้นเลยเหรอ” จัสตินเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่

“เชื่อฉันสิ คนเราถ้าไม่คิดก็จะไม่มองหา และไม่มีวันได้พบ นายก็จะได้แต่คนที่นายไม่ชอบ เพราะมัวแต่คิดว่าตัวเองคงไม่มีวาสนาได้พบนางในฝันหรอกชาตินี้”

“วิธีการของนายน่าสนใจนะ นางในฝันเหรอ”

“อยากได้แบบไหนคิดไว้เลย ความคิดนายจะทำให้นายมองหาผู้หญิงคนนั้น เพราะแต่ก่อนนายจะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ใครก็ได้แค่ถูกใจหน่อยก็เอาแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องจบกันไปเพราะมันไม่ใช่”

จัสตินพยักหน้าเห็นด้วยกับแนวคิดของเพื่อนรักเพราะฟังดูเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ฝันแบบลมๆ แล้งๆ แต่เขาแทบไม่อยากเชื่อว่า หลังจากเริ่มคิดถึงนางในฝันที่เพื่อนว่าแล้ว สายตาของตนกลับเหลือบแลไปทางคุณหญิงพราวรัมภา!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น