ที่ดินในซอยบนถนนบางนา-ตราดถือว่าอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก จึงเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจเล็กๆ อย่างเบอร์รีแบ็กในตอนนี้ เพราะโรงงานที่วางแผนกันไว้เบื้องต้นเป็นโรงงานขนาดเล็กรองรับคนทำงานได้ไม่เกินหนึ่งร้อยคน
เจ้าของที่ดินเป็นคนเดียวกับเจ้าของบริษัทผู้ให้เช่าโกดังสินค้าซึ่งตั้งอยู่ในซอยเดียวกัน ฝ่ายนั้นเสนอราคาขายที่ดินขนาดหนึ่งไร่ครึ่งในราคายี่สิบล้านบาท ทำให้สองสาวเจ้าของธุรกิจทำกระเป๋าแทบถอยกรูด แม้จะมีการต่อรองกันแล้ว แต่เจ้าของก็ไม่ยอมตัดแบ่งขาย โดยอ้างว่าจะทำให้เสียราคา เพราะการขายที่เป็นผืนใหญ่จะได้ราคาดีกว่าสำหรับคนที่ต้องการซื้อที่ไปสร้างโรงงานหรือโกดังสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจโดยทั่วไปในย่านนี้ แต่คนที่ไม่ยอมถอยหรือแทบไม่สะทกสะท้านกับราคาคือผู้ถือหุ้นคนใหม่
หนุ่มสาวทั้งสี่คนเอ่ยลาเจ้าของโกดังสินค้าแล้วกลับมาขึ้นรถคันเดียวกันเพื่อกลับไปที่วังธาดา ซึ่งตอนนี้กำลังมีการปรับปรุงอาคารหลังเล็กสำหรับใช้เป็นที่ทำงานของเบอร์รีแบ็ก
ทั้งสี่คนกลับมาปรึกษาหารือกันต่อในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่มีบรรยากาศเคร่งขรึม
“ทำเลที่นั่นยอดเยี่ยม ผมคิดว่าเราไม่ควรพลาดก่อนที่เจ้าของจะขายให้คนอื่นไปเสียก่อน น่าจะมีคนมาดูที่อยู่เรื่อยๆ” จัสตินบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นในตัวเอง
แต่สองสาวได้ยินแล้วกลับมองหน้ากันแบบไม่มั่นใจที่ต้องเสียเงินถึงยี่สิบล้านในคราวเดียวเพื่อซื้อที่ดินหนึ่งไร่ครึ่งหรือหกร้อยตารางวา แต่ตอนนี้ทั้งคู่ก็เริ่มคุ้นเคยกับหุ้นส่วนใหม่ที่เป็นคนคิดเร็วและตัดสินใจเร็วไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะคิดหรือทำอะไรก็ดูเหมือนจะง่ายดายไปเสียหมด
แล้วราคาที่ดินเพียงแค่ยี่สิบล้านบาทนั้นคงไม่ทำให้คนอย่างจัสตินสะดุ้งสะเทือนแน่ๆ เพราะเบนท์ลีย์สปอร์ตเปิดประทุนของเขาราคามากกว่ายี่สิบล้านเสียด้วยซ้ำ
“คุณจัสตินคิดว่าเราควรซื้อที่ตรงนั้นหรือคะ” อรอินทุ์ถามด้วยความไม่แน่ใจ เพราะเจ้าของตัดโฉนดที่ดินไว้ทั้งหมดสามผืน ผืนเล็กที่สุดคือขนาดหนึ่งไร่ครึ่ง นอกนั้นมีขนาดราวสามไร่
“ครับ ผมไม่ได้ต้องการซื้อเพราะทำเลใกล้เมืองเพียงอย่างเดียว แต่คิดว่าพื้นที่ขนาดนี้เหมาะกับการสร้างโรงงาน ต้องคิดเผื่ออนาคตด้วยครับ ถ้าซื้อที่ดินเล็กเกินไป ถึงเวลาต้องการขยายโรงงานให้ใหญ่ขึ้นอาจจะต้องย้ายอีกครั้ง สิ้นเปลืองทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย”
“แล้วหญิงพราวเห็นว่ายังไง” อรอินทุ์หันไปถามหุ้นส่วนอีกคนเป็นการหยั่งเสียง
“ซื้อก็ดีเหมือนกัน” พราวรัมภาพยักหน้านิดๆ ให้ญาติสาวเป็นการยืนยันคำตอบหลังจากตัดสินใจได้แล้ว
“ตอนนี้ราคายี่สิบล้าน อีกสองสามปีข้างหน้าอาจจะกลายเป็นสามสิบกว่าล้านก็ได้ แถมอาจจะไม่ได้ทำเลตรงนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นอินจะติดต่อเจ้าของที่เลยนะคะ แล้วตอนนี้เราก็มีแบบร่างโรงงานคร่าวๆ แล้วค่ะ”
“จริงหรือครับ” รอนถามพลางเลิกคิ้วที่สาวๆ ทำงานกันได้ไวมาก เพียงไม่กี่วันก็ได้แบบร่างมาแล้ว “คุณอินติดต่อสถาปนิกที่ไหนครับ”
“ไม่ใช่สถาปนิกหรอกค่ะ คือพราวสเกตช์ภาพขึ้นมาเอง” พราวรัมภาตอบอ้อมแอ้มด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ แถมสองหนุ่มยังหันมามองเป็นตาเดียว
“คุณหญิงสเกตช์ภาพได้ด้วยหรือครับ” จัสตินถามแบบทึ่งๆ พลางจ้องมองหน้าหวานๆ ที่กำลังพยักหน้ารับ แต่ดวงตากลมโตดำขลับกลับเต็มไปด้วยแววไม่มั่นใจ
“รอสักครู่นะคะ จะไปหยิบมาให้ดูค่ะ”
พราวรัมภาเดินออกจากห้องประชุมไปสักครู่หนึ่ง แล้วกลับมาพร้อมแผ่นภาพร่างโรงงานหลายใบที่เป็นภาพลายเส้น มีภาพร่างอาคารแบบสองชั้นทั้งภายนอกและภายใน
“ลายเส้นของคุณหญิงสวยมากเลยครับ เหมือนมืออาชีพ” รอนเอ่ยปากชมอย่างคนที่เห็นงานประเภทนี้ผ่านตามาพอสมควร
“ขอบคุณค่ะ”
“ก็บอกแล้วไงคะ หญิงพราวเป็นสาวอเนกประสงค์ ทำได้ทุกอย่างขอให้บอก” อรอินทุ์รีบโฆษณาสำทับ พร้อมกับยิ้มให้กำลังใจคนที่ยังทำหน้าไม่แน่ใจในผลงานของตนเอง
“หนูอิน” พราวรัมภาหันไปปรามญาติสาว “เดี๋ยวคุณรอนกับคุณจัสตินก็เข้าใจผิดกันพอดี พราวทำได้ทุกอย่างเสียที่ไหนล่ะ”
จัสตินเงยหน้าขึ้นมาจากภาพสเกตช์ดินสอทั้งสี่ภาพที่วางอยู่บนโต๊ะประชุม
“เป็นโรงงานที่สวยมากเลยครับ”
ตาสีฟ้าแกมเทาจับจ้องมาด้วยความรู้สึกทั้งทึ่งและชื่นชมอย่างไม่คิดปิดบัง จนฝ่ายที่ถูกจ้องเริ่มประหม่า พราวรัมภาไม่ได้หลบตา จึงเห็นว่าใบหน้าเรียวค่อนข้างยาวแบบชาวตะวันตกค่อยๆ คลี่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้ในแบบที่เคยเห็นจนเริ่มคุ้น เธอแทบไม่เคยเห็นเขายิ้มกว้างๆ แบบเต็มที่เลยสักหน
“คุณจัสตินคิดว่า เอ่อ...เหมาะที่จะเป็นโรงงานจริงๆ ไหมคะ”
“ครับ” เขาพยักหน้านิดๆ ก่อนจะเหลือบตาลงมองภาพบนโต๊ะ แล้วยื่นมือไปหยิบภาพร่างภายในตัวอาคารมาจากรอน
ภาพลายเส้นทั้งสี่ใบที่วางอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้เป็นภาพร่างแบบงานศิลปะที่สวยงาม ไม่เพียงแค่ตัวอาคาร แต่ยังมีการร่างภูมิทัศน์โดยรอบ เช่น การจัดสวนหย่อมหน้าโรงงานและลงต้นไม้ใหญ่รอบๆ เพื่อความสวยงามและร่มรื่น ดูแล้วแทบไม่ต่างไปจากบรรยากาศรอบๆ วังธาดานี่เอง
จัสตินยิ้มมุมปากเมื่อนึกได้ว่า คนที่นั่งร่างภาพโรงงานอยู่กลางวังอันแสนสวย จะให้ภาพออกมาเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร
“คุณหญิงนั่งเขียนภาพตรงเทอร์เรซด้านหลังที่เคยพาผมกับรอนไปเดินชมเมื่อคราวก่อนรึเปล่าครับ” เขาอดถามไม่ได้
“ค่ะ ตรงนั้นบรรยากาศดี อากาศไม่ค่อยร้อนเพราะต้นไม้เยอะ พราวไม่ค่อยชอบวาดรูปในห้องแอร์” พราวรัมภาบอกแล้วยังนึกสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไร
“เป็นโรงงานที่ดูทันสมัยมากเลยครับ” รอนเอ่ยชมอีกครั้ง
จัสตินพยักหน้าเห็นด้วยขณะมองภาพร่างที่ออกแบบเป็นอาคารสองชั้นสไตล์โมเดิร์นลอฟต์ทรงสี่เหลี่ยมเรียบง่าย แต่มีความเก๋ตรงที่เป็นอาคารรูปตัวแอล ดูโปร่งสบาย
“ถ้าสไตล์นี้ต้องผนังปูน ไม่ทาสี” จัสตินออกความเห็น
“ใช่ค่ะ ตอนนี้กำลังนิยม” พราวรัมภาพยักหน้าเห็นด้วย
“คุณจัสตินชอบแบบนี้ไหมคะ” อรอินทุ์ถามความเห็น
“ครับ ดูเรียบๆ แต่อบอุ่น เหมือนเป็นบ้านมากกว่าโรงงาน” จัสตินว่ายิ้มๆ
เขาเคยเห็นโรงงานมาหลายแห่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและในประเทศไทย แต่ยังไม่เคยเห็นโรงงานไหนออกแบบเช่นนี้มาก่อน
“ถ้าเห็นว่าอะไรไม่เหมาะก็ปรับเปลี่ยนได้ค่ะ” พราวรัมภาบอกเสียงเบา
“ดีแล้วละครับ ติดต่อบริษัทให้สถาปนิกเขียนแปลนเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา พอเรื่องซื้อที่เรียบร้อยเราจะได้เริ่มสร้างโรงงานกันเลย”
“เรายังไม่รู้จะติดต่อบริษัทไหนเลยค่ะ คุณรอนมีที่ไหนแนะนำไหมคะ” อรอินทุ์ถามรอน เพราะเขาเคยติดต่อใช้บริการบริษัทรับเหมาก่อสร้างต่อเติมอาคารอยู่บ่อยครั้ง บริษัทที่เพิ่งเข้ามาปรับปรุงตึกหลังเล็กเพื่อใช้เป็นสำนักงานก็มาจากการติดต่อของเขาเช่นกัน
“มีหลายบริษัทเลยครับ แต่...ลองถามจัสตินดูก่อนดีกว่าไหม” รอนหันไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ทำไม” จัสตินเลิกคิ้วสูง
“ก็ตอนนี้นายเป็นหุ้นส่วนบริษัทก่อสร้างอยู่น่ะสิ” รอนช่วยเตือนความจำ
“ไม่เป็นไร ให้ใครทำก็ได้ ขอให้ผลงานออกมาดีก็พอ” จัสตินว่าอย่างไม่เห็นสำคัญ แล้วจึงหันไปหาสองสาวที่รอฟังอยู่ “ผมอยากให้งานเสร็จเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกบริษัทที่พร้อมจะเริ่มงานก่อสร้างให้เราได้ทันที”
“ค่ะ อินเห็นด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบริษัทนายนั่นแหละ เส้นใหญ่ลัดคิว” รอนว่าแล้วยักคิ้วข้างหนึ่งให้จัสตินอย่างที่เคยทำอยู่บ่อยๆ
“ฉันไม่ชอบใช้เส้นสาย” จัสตินส่ายหน้าทันที “เอาเป็นว่าติดต่อหลายๆ ที่ดีกว่าครับ ส่วนที่บริษัทผมจะติดต่อให้เอง”
“สรุปว่าอีกสี่ห้าเดือนข้างหน้า เราก็จะได้เห็นโรงงานสวยๆ กันแล้วใช่ไหมครับ” รอนเอ่ยปิดท้ายด้วยน้ำเสียงชื่นมื่น
“ค่ะ แต่ก็...เงินแทบหมดเหมือนกัน”
“ไม่หมดหรอกครับ เพราะเราจะได้เพิ่มอีกหลายเท่าในเร็วๆ นี้” จัสตินให้กำลังใจ
“จัสตินเป็นคนคิดบวกน่ะครับ” รอนเอ่ยสำทับแล้วหันไปส่งยิ้มกว้างให้เพื่อน แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยแววล้อเลียน
“วางแผนงานแล้วก็ต้องคิดบวกสิครับ ไม่อย่างนั้นจะสำเร็จได้ไง”
หลังเลิกประชุม รอนขอตัวกลับไปทำงานที่โรงแรม แต่จัสตินยังไม่กลับ เขาต้องการไปดูงานปรับปรุงตึกหลังเล็ก รอนนั่งรถมาพร้อมกับจัสตินจึงไม่มีรถกลับโรงแรม จึงต้องเป็นหน้าที่อรอินทุ์ขับรถไปส่งเขา ส่วนเจ้าของวังต้องอยู่ต้อนรับแขกคนที่เหลือ
เมื่อรถเบนซ์กลางเก่ากลางใหม่ของอรอินทุ์เคลื่อนออกจากหน้ามุขเทียบจอดรถไปแล้ว จัสตินก็เดินลงจากบันไดหน้าตึกใหญ่พร้อมกับเจ้าของวังธาดาเพื่อไปยังอาคารที่กำลังมีการปรับปรุง
“ช่วงนี้คุณหญิงอาจจะเหนื่อยหน่อยนะครับ ต้องมาดูแลงานซ่อมแซมเอง” เขาเอ่ยระหว่างเดินไปทางปีกตึกด้านขวา ก่อนจะเลี้ยวไปด้านหลังตรงมุมตึกอันแสนร่มรื่นด้วยพรรณไม้ ทั้งไม้พุ่มประดับและไม้ใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ดอกของไทย
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ แค่ตื่นเต้นบ้างนิดหน่อย” เธอตอบไปตามตรง จึงเห็นว่าเขาหันมามองอีกหนด้วยสายตาฉงน
“ตื่นเต้นหรือครับ ทำไม” จัสตินไม่คิดจะเก็บกักความสงสัยไว้
“ปกติชีวิตไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ค่ะ พอมีเรื่องใหม่ๆ เข้ามาก็เลยตื่นเต้น”
พราวรัมภาตอบไปแล้วจึงเริ่มรู้สึกว่าตนเองพูดอะไรผิดไปแน่ๆ เพราะเจ้าของร่างสูงใหญ่แบบคนตะวันตกที่สูงกว่าเธอไม่ต่ำกว่ายี่สิบเซนติเมตรทำท่าเหมือนจะหยุดเดิน เขามองมาพร้อมเลิกคิ้วสูง ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องใหม่ๆ นี่หมายถึงผมด้วยรึเปล่าครับ”
“คือ...พราวหมายถึงรวมๆ กันทุกเรื่องค่ะ”
“อย่างเช่นอะไรบ้างครับ” เขายังรุกไม่เลิก ก่อนจะก้าวเดินต่อไปบนทางเดินแคบๆ ไปยังตึกหลังเล็ก
“ปกติเราทำงานก็ปรึกษากันแค่สองคน แล้วเราก็ทำอะไรแบบเล็กๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ เลยรู้สึกไม่ค่อยคุ้นค่ะ”
“ตั้งแต่ผมเข้ามาใช่ไหม” เขาหันมาถามตรงๆ
พราวรัมภาไม่ตอบ แต่ดวงตาโตดำขลับบอกว่าเป็นเช่นที่เขาเอ่ยมา
“แต่เมื่อกี้คุณหญิงบอกว่าตื่นเต้นนี่ครับ”
“ค่ะ” พราวรัมภาจำต้องพยักหน้ารับ
“งั้นก็คงไม่ได้เลวร้ายอะไรใช่ไหมครับ อย่างน้อยความตื่นเต้นก็น่าจะทำให้เลือดสูบฉีดหมุนเวียน” เขาว่าแล้วหัวเราะแบบกึ่งขำกึ่งล้อเลียน
พราวรัมภากลับขำไม่ออก ไม่แน่ใจว่าที่เขาบอกว่าเลือดสูบฉีดนั้นกินความหมายเพียงใด แถมคนพูดยังหัวเราะเบาๆ อีกด้วย คงไม่ได้หมายความว่ามีเขาเข้ามาร่วมวงด้วยแล้วทำให้เธอใจเต้นเลือดสูบฉีดหรอกนะ!
“ก็คิดว่าผมเป็นคนไทยเหมือนคุณหญิงสิครับ” เขาแนะแบบง่ายๆ เพราะคิดเอาเองว่าเธออาจจะเป็นสาวไทยที่ไม่คุ้นการสมาคมกับฝรั่งมังค่า
“ค่ะ คุณพูดไทยเก่งมาก ชัดเกือบทุกคำ” เธอเอ่ยชม เพราะปกติฝรั่งแท้พูดไทยจะฟังแปร่งหูมากกว่านี้หลายเท่า
“ผมเคยอยู่กรุงเทพฯ ตอนเด็กๆ แล้วครั้งนี้ก็กลับมาอยู่ได้ปีกว่าแล้ว เลยฟื้นภาษาไทยคืนมาได้เกือบหมด”
เขายิ้มกว้างกว่าปกติจนคนที่หันมาเห็นพอดีต้องแปลกใจ เพราะแทบไม่เคยเห็นรอยยิ้มเช่นนี้จากเขามาก่อน
“แต่เห็นคุณคุยกับคุณรอนเป็นภาษาอังกฤษ เวลาอยู่ที่ทำงานพูดภาษาไทยหรือคะ”
“ส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษครับ เดี๋ยวนี้คนไทยที่ทำงานตามออฟฟิศพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีทีเดียว”
ชายหนุ่มบอกไปแล้วก็เริ่มรู้ตัวว่าพลาด เพราะพราวรัมภาทำท่าขมวดคิ้วสงสัย แล้วคนอย่างจัสตินก็ไวพอที่จะรู้ว่าเธอสงสัยเรื่องใดจากประสบการณ์ที่เคยคบหาใกล้ชิดกับหญิงสาวมามากหน้าหลายตา
“ค่ะ” หญิงสาวเลิกขมวดคิ้วแล้วพยักหน้ารับนิดๆ แต่แววตายังสงสัยอย่างปิดไม่มิด “เดี๋ยวนี้คนไทยไปเรียนต่างประเทศกันเยอะขึ้น แล้วสถาบันในเมืองไทยส่วนใหญ่ก็เน้นการเรียนภาษาอังกฤษ”
“ผมมีเพื่อนที่พูดภาษาไทยหลายคนครับ”
“งั้นหรือคะ”
พราวรัมภาเลิกคิ้วอีกครั้งก่อนจะยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจ โดยไม่รู้ว่าสีหน้าแววตาของตนเองนั้นทำให้อีกฝ่ายยิ้มอย่างเก้อเขินเป็นครั้งแรก
จัสตินจึงเพิ่งตระหนักว่าคนเงียบๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงนั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นคนที่รู้เท่าทันทุกสิ่งเพราะความสงบเงียบและเฝ้าสังเกตก็เป็นได้
พราวรัมภาอาจเคยได้ยินมาบ้างก็ได้ว่า วิธีฝึกพูดภาษาต่างประเทศให้ได้ผลอย่างรวดเร็วนั้น ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการฝึกกับสามีภรรยาหรือคู่รัก!
เมื่อสองหนุ่มสาวเดินมาถึงตึกหลังเล็ก ก็เห็นว่าช่างสีหลายคนกำลังทาสีภายนอกซึ่งยังคงสีเหลืองครีมไว้เช่นเดิม ส่วนสีภายในปรับเปลี่ยนใหม่ให้เป็นสีขาวลิลลี่ ขณะนี้ช่างบิลต์อินกำลังตระเตรียมวัสดุอยู่บริเวณหน้างานเพื่อเปลี่ยนโฉมบ้านพักหลังเล็กให้กลายเป็นสำนักงานภายในสองสัปดาห์
ทั้งคู่เดินขึ้นไปดูงานบิลต์อินชั้นสองซึ่งทาสีภายในเรียบร้อยแล้ว การทำงานของบริษัทรับเหมาเป็นไปอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย เหลือเพียงจัดหาเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้สำนักงานเข้ามาเพิ่มเติมเท่านั้น
“ผมติดต่อทีมมาร์เกตติงได้แล้วนะครับ แต่ยังไม่ได้ตกลงอะไรกันก็เลยยังไม่แจ้งคุณทั้งสองคน เห็นว่าช่วงนี้กำลังวุ่นเรื่องซ่อมอาคารกับซื้อที่ดิน” เขาบอกความคืบหน้าขณะที่ยังอยู่บนชั้นสองซึ่งเตรียมไว้เป็นห้องทำงานของทีมออกแบบและทีมมาร์เกตติง
“ไม่ได้วุ่นวายอะไรเลยค่ะ ที่จริงเราเริ่มคุยงานกันเลยก็ได้นะคะ ใช้ห้องประชุมที่ตึกใหญ่ไปก่อน เพราะอีกไม่กี่วันที่นี่ก็คงเสร็จเรียบร้อย”
“คุณหญิงไม่ไปสอนดนตรีแล้วใช่ไหมครับ” เขาถามเสียงเบาลง เพราะรู้ว่าโรงเรียนดนตรีคืองานที่เธอรักมากที่สุด แม้ไม่มีใครบอกเขาก็ฉลาดพอที่จะเดาได้
“ยังไปอยู่ค่ะ เพราะมีคลาสที่สอนค้างอยู่ แต่ไปแค่สัปดาห์ละสองวัน ตอนนี้แม่ไปช่วยดูแลที่โรงเรียน” พราวรัมภาเล่าเพียงสั้นๆ แต่ดูเหมือนเขายังอยากคุยเรื่องสอนดนตรีต่อ
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องฟอร์มทีมมาร์เกตติงเอาไว้ก่อนก็ได้ครับ เพราะคุณหญิงยังต้องไปสอน รอให้สำนักงานเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยเริ่ม” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
“ขอบคุณค่ะ”
“เป็นครูสอนดนตรีน่าจะสบายกว่าทำธุรกิจรึเปล่าครับ วันๆ เจอแต่เด็กๆ น่าจะสนุก” เขายังพยายามชวนคุยเป็นเชิงถามเรื่องราวความเป็นไปของคู่สนทนา
“คุณจัสตินก็ชอบเด็กๆ หรือคะ” พราวรัมภาไม่ตอบแต่ถามกลับด้วยความสงสัย เพราะดูจากบุคลิกภายนอกเท่าที่เห็นกันมาหลายหน เขาไม่ใช่คนอ่อนโยนนุ่มนวลหรือร่าเริงสดใสแต่อย่างใด เธอจึงไม่คิดว่าเขาจะชอบเด็ก หรือมองว่าเป็นเรื่องน่าสนุกหากได้อยู่ใกล้ชิด
แต่ที่จริงเธอก็แทบไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเขา บางทีเขาอาจจะมีลูกหรือมีครอบครัวแล้วก็ได้ ถ้าเป็นคนที่มีลูกก็คงจะชอบเด็กเป็นธรรมดา
“ผมดูเป็นคนไม่น่าจะรักเด็กเลยใช่ไหม” เขารีบดักคอหลังจากที่เห็นแววตาคนถาม
“เปล่าค่ะ” พราวรัมภารีบปฏิเสธทันที ก่อนจะอธิบายว่า “บางครั้งเคยเห็นคนที่ไม่ชอบหรือเฉยๆ กับเด็ก พอมีลูกแล้วรักเด็กขึ้นมาทันทีเลยก็มีนะคะ”
“งั้นหรือครับ แสดงว่าผมต้องมีลูกสักคนใช่ไหม” เขาถามแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลางสบตาหญิงสาวอย่างต้องการคำตอบ
“เอ่อ...ก็แล้วแต่คุณค่ะ” พราวรัมภาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดีเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ
“ผมคงต้องหาเจ้าสาวก่อน เรื่องลูกค่อยคุยกันทีหลัง” เขาบอกขณะยังสบดวงตาดำขลับที่มองเห็นแพขนตาหนางดงาม “แล้วคุณหญิงล่ะครับ”
“เอ่อ...พราว...” เธอไม่แน่ใจว่าเขาถามถึงเรื่องใดกันแน่
“คุณหญิงคงไม่ต้องมองหาใคร คงมีคนมาให้เลือก”
“พราวไม่ได้เป็นที่สนใจของใครขนาดนั้นหรอกค่ะ วันๆ ก็แทบไม่เจอใครเลย ทำแต่งาน”
“ไม่น่าเป็นไปได้” เขาทำหน้าเหลือเชื่อ ดวงตาสีฟ้าแกมเทามองหญิงสาวด้วยสายตาประเมินอีกครั้ง แต่เธอหลบตาไปทางอื่นเสียก่อน
เขาไม่อยากคิดว่าเธอตั้งใจปดหรือปิดบังบางอย่างเพื่อให้ตนเองดูดีแบบสาวไทยผู้สูงศักดิ์ แต่สิ่งที่เขารับรู้และเคยเห็นมาด้วยตาตนเองกำลังค้านกับสิ่งที่เธอเพิ่งเอ่ยแบบตรงกันข้าม เขาแน่ใจว่าเธอมีคู่รักอยู่แล้วซึ่งเป็นถึงราชนิกุลในตระกูลเดียวกัน แล้วยังมีบิดาของเขาอีกคนหนึ่งที่เข้ามาพัวพันอยู่ในเวลานี้
“คุณหญิงยังไม่ได้ตอบเลยว่าสอนดนตรีเป็นยังไงบ้างถ้าเทียบกับทำธุรกิจ”
“ต่างกันมากค่ะ แต่ก็ดีไปคนละแบบ งานสอนดนตรีอาจจะผ่อนคลายมากกว่า แต่ทำงานกับหนูอินก็สนุกค่ะ”
“ลูกศิษย์มีแต่เด็กเล็กๆ หรือครับ”
“เด็กโตก็มีค่ะ”
“แล้วอายุเท่าผมจะเรียนดนตรีได้ไหม” เขาถามขณะกำลังจะเดินลงบันไดไปชั้นล่าง
“ได้ค่ะ แต่...” พราวรัมภาหยุดพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ
“แต่อะไรครับ หรือว่า...กลัวผมเรียนไม่รอด”
“เรียนเล่นๆ คงไม่รอดค่ะ”
“ผมไม่ได้พูดเล่นนะ อยากเรียนจริงๆ”
คนเป็นครูไม่ตอบ แต่ก้าวลงบันไดไปก่อนโดยมีคนก้าวตามมาไม่ห่าง กระทั่งลงมาถึงโถงชั้นล่างที่ช่างหลายคนกำลังเก็บงานและเก็บสีให้เรียบร้อย
“งานคืบหน้าไปเยอะแล้วนะคะ เราคงได้เริ่มทำงานกันตามกำหนด” พราวรัมภาเปลี่ยนเรื่องคุยโดยวกกลับมาเรื่องงานซึ่งเป็นสิ่งที่เธอกับเขาควรจะคุยกันมากกว่าเรื่องการเรียนดนตรี
“ผมอยากเรียนดนตรีเพื่อความผ่อนคลาย” เขายังไม่ยอมเปลี่ยนเรื่อง
“ถ้าสนใจจริงๆ ก็ได้ค่ะ” ฝ่ายที่เป็นครูจำต้องรับคำ แต่ในใจไม่คิดว่าเขาอยากเรียนตามที่พูด
“แล้วผมควรจะเรียนเครื่องดนตรีชนิดไหนดีครับ”
“อืม...เคยเล่นดนตรีมาบ้างไหมคะ”
พราวรัมภาเดินนำไปที่ประตูชั้นล่างเพื่อออกจากตัวอาคาร
“เคยครับ แต่ไม่เก่ง”
“เล่นอะไรได้บ้างคะ”
“เปียโนครับ”
“เยี่ยมเลย แบบนี้ก็ไม่ยาก”
พราวรัมภาบอกเขาอย่างมีความหวัง เธอไม่รู้สึกแปลกใจนักที่เขาเล่นเปียโนได้ เพราะคนตะวันตกมักจะมีงานอดิเรกทำกันคนละอย่างสองอย่างเพื่อความผ่อนคลาย และถือเป็นเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องมีในชีวิต ต่างจากคนไทยที่ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้นัก
จัสตินได้ยินที่คุณครูบอกก็ยิ้มกริ่ม ก้าวตามเธอออกไปที่ประตู แต่พอตัวเกือบพ้นประตูออกมาแล้วก็เหลือบมองขึ้นไปด้านบนตามประสาคนที่มักระแวดระวังสิ่งรอบตัว เพราะตอนเดินเข้าไปเห็นช่างสีคนหนึ่งอยู่บนนั่งร้านทาสีใกล้ๆ หน้าประตู
“คุณหญิง!”
เขาร้องเรียกพร้อมกับถลาตามหญิงสาวออกไป จัสตินคว้าแขนพราวรัมภาด้วยความไวแล้วดึงให้พ้นจากแปรงทาสีที่ร่วงลงมาจากมือช่าง
“โอ๊ะ!” ช่างสีร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
จัสตินเบี่ยงตัวบังหญิงสาวไว้ได้ทัน แปรงทาสีจึงร่วงลงบนบ่าและหลังของเขา แล้วกระเด็นตกลงบนพื้นหน้าประตู
พราวรัมภาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้มีร่างสูงใหญ่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังโดยรวบต้นแขนเธอไว้ทั้งสองข้าง และแผ่นหลังของเธอก็พิงอยู่กับหน้าอกกว้างแบบไม่ได้ตั้งใจ
“คุณหญิง...”
เขาเรียกเธออีกหนก่อนจะปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้าง แล้วหญิงสาวก็รีบหันกลับมามองหน้าเขางงๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ขอโทษครับ ผม...” ช่างสีส่งเสียงลงมาจากนั่งร้านแล้วก็พูดไม่ออก
พราวรัมภาไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมองช่างสี แต่สังเกตเห็นเสียก่อนว่าที่บ่าของชายหนุ่มมีสีเหลืองๆ เปรอะอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีขาว
“เสื้อคุณเลอะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก” จัสตินหันกลับไปบอกช่างสี “แต่ต่อไปก็ระวังหน่อย”
ถึงกระนั้นช่างสีก็รีบลงจากนั่งร้านมาขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่พร้อมหน้าตาซีดเซียวด้วยความรู้สึกผิดเต็มที่
“เอาเถอะ ไปทำงานต่อได้แล้ว” พราวรัมภาบอกช่างสีก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มที่เสื้อเลอะ “ไปที่ตึกใหญ่ดีกว่าค่ะ สงสัยต้องเปลี่ยนเสื้อแล้วละ”
หญิงสาวขยับมาดูด้านหลังของจัสตินด้วยสีหน้าเป็นกังวล ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน เธอไม่ต้องการให้ผู้มาเยือนหงุดหงิดหรือพกความไม่พอใจกลับออกไป
“เลอะผมด้านหลังด้วยค่ะ เอ่อ...ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” พราวรัมภาบอกเขาตามมารยาท
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมว่าเราไปที่ตึกใหญ่กันเถอะ”
ความคิดเห็น |
---|