14

Stuck on you

“คุณแม่ของคุณหญิงสวยจังเลยนะครับ”

เขาเอ่ยปากชมเมื่อเดินมาถึงห้องพักผ่อนและห้องสมุดอันแสนเงียบสงบ ซึ่งแทรกตัวอยู่กลางหมู่ไม้ด้านหลังที่เชื่อมต่อมาจากระเบียงเป็นแนวยาว

“ค่ะ เคยมีคนคิดว่าเป็นพี่สาวของพราว” พราวรัมภาเล่าด้วยน้ำเสียงขำๆ

“ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เข้ามาในวังธาดา”

“ทำไมคะ”

“ที่นี่ดูเงียบสงบ เข้ามาแล้วเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกไปในทันที ผมทำธุรกิจบางทีเรื่องงานก็ไม่ราบรื่น มาที่นี่แล้วสงบดีครับ”

“พราวอยู่จนชินน่ะค่ะ แล้วก็ชอบความสงบด้วย”

พราวรัมภาเดินไปหาเก้าอี้อีกตัวที่มุมห้อง ชายหนุ่มจึงรีบเดินตามมาช่วย เขายกเก้าอี้ตัวไม่เล็กนักไปวางหน้าเปียโนอย่างง่ายดายเคียงข้างสตูลหุ้มหนังสีครีมที่มีอยู่แล้ว

“เชิญนั่งค่ะ” คุณครูเริ่มการสอนทันทีโดยบอกให้ลูกศิษย์นั่งลงที่สตูล ส่วนตนเองนั่งเก้าอี้ข้างๆ

จัสตินนั่งลงแล้วพยายามรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องตัวโน้ตที่เคยเรียน โดยลองกดไล่เสียงไปตามตัวโน้ตช้าๆ เขาเรียนดนตรีอยู่หลายปีตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบไปจนเกือบจบไฮสกูล ตามแบบชนชาติตะวันตกที่มักต้องมีงานอดิเรกสอดแทรกอยู่ในชีวิต จึงทำให้ยังไม่ลืมโน้ตเพลงต่างๆ ที่เคยเล่นอยู่บ่อยๆ แม้จะร้างมานานหลายปี

“พอไหวไหมครับ”

“ดูเหมือนเล่นเป็นอยู่แล้วนะคะ” พราวรัมภาดูจากท่าทางการไล่ตัวโน้ตแล้วก็พอรู้ว่าเขามีพื้นฐานมาระดับไหน “แล้วทำไมถึงเลือกเรียนดนตรี ไม่ไปเล่นกีฬาหรือทำอย่างอื่นล่ะคะ”

เธออดถามไม่ได้ เพราะลักษณะของเขาน่าจะเป็นนักกีฬามากกว่านั่งเรียนเปียโน แม้เขาจะไม่ใช่คนที่ดูห้าวห่าม แต่ก็ไม่น่าใช่คนใจเย็นนัก

“ผมไม่ได้เป็นคนเลือกเรียนดนตรีหรอกครับ คุณแม่จับไปนั่งเรียน แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมไม่เล่นกีฬา”

“เล่นอะไรคะ”

“บาสเกตบอล เล่นตามเพื่อนๆ ที่โรงเรียน แต่จริงๆ แล้วผมชอบว่ายน้ำ”

เขาเล่าเรื่องส่วนตัวให้เธอฟังโดยไม่ตั้งใจ เพราะสาวๆ หลายคนที่เคยคบหายังไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับอยากเล่าให้พราวรัมภาฟังแบบไม่มีเหตุผล

“ถ้ายังจำโน้ตเพลงที่เคยเล่นได้ ลองเล่นให้ฟังสักเพลงสิคะ” คุณครูบอกลูกศิษย์เพื่อดูพื้นฐานการเล่นดนตรีที่ติดตัวมา

“อืม...ผมเล่นได้แต่เพลงเก่าๆ” เขามีท่าทางลังเล

“ค่ะ เพลงอะไรก็ได้”

“คุณหญิงต้องไม่รู้จักแน่ๆ บางเพลงผมอาจจะเพิ่งเกิด แต่ช่วงนั้นคงยังฮิตกันอยู่” จัสตินรีบออกตัว เพราะวัยของพราวรัมภาน่าจะรู้จักแค่นักร้องรุ่นหลังๆ “เสียดายจัง ผมน่าจะหัดเล่นเพลงของ จัสติน บีเบอร์”

พราวรัมภาได้ยินชื่อนักร้องแล้วหัวเราะขำเสียงดังกว่าปกติ เพราะนักร้องที่เขาว่าเป็นหนุ่มน้อยวัยกระเตาะขวัญใจสาวๆ ชั้นมัธยมทั้งในอเมริกาและยุโรป รวมทั้งในประเทศไทย พอเขาหันมามองแล้วยิ้มขำตามไปด้วย เธอจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากที่เผลอหัวเราะเสียงดังออกมาต่อหน้าคนที่ไม่คุ้นเคยกันมากนัก

“คุณหญิงฟังเพลงของ จัสติน บีเบอร์ รึเปล่าครับ”

“เปล่าค่ะ ปกติพราวเล่นดนตรีเพลงคลาสสิก ก็เลยต้องฟังเพลงคลาสสิกด้วย แต่เพลงใหม่ๆ ก็ฟังเหมือนกันนะคะ มีนักร้องรุ่นใหม่ๆ ที่ฟังอยู่หลายคน อย่างเช่น ร็อบบี วิลเลียมส์ กับ โรแนน คีตติง”

“ผมเคยฟังครับ ผมชอบวิลเลียมส์ แต่เพลงที่จะเล่นให้ฟังเก่ามาก...สมัยผมยังเด็กๆ”

“เพลงของใครคะ”

“ไลโอเนล ริชชี” จัสตินบอกแล้วยิ้มเขินกับความเก่าของเพลงที่น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปี ซึ่งเป็นเพลงดังในยุค ๘๐ แม้จัสตินจะเติบโตในช่วงยุค ๙๐ แต่บทเพลงเหล่านี้ก็ยังมีคนฟังและบรรเลงกันอยู่ทั่วไป

“พราวรู้จักริชชีค่ะ ตอนเด็กๆ ยังทันได้ยินดีเจเปิดตามสถานีวิทยุ”

จัสตินเป่าปากแบบโล่งใจเล็กน้อยที่พราวรัมภาเคยได้ยินเพลงของ ไลโอเนล ริชชี ผ่านหูมาบ้าง เขาจึงเริ่มบรรเลงเพลงด้วยความมั่นใจ

พราวรัมภาตั้งใจฟังลูกศิษย์คนใหม่เริ่มบรรเลงตั้งแต่ช่วงอินโทรดักชัน เมื่อถึงช่วงที่เข้าสู่ท่อนแรก เขาไม่ได้เล่นแค่เปียโนเท่านั้นแต่ร้องตามไปด้วย

“Stuck on you.

I've got this feeling down deep in my soul that I just can't lose.

Guess, I'm on my way.

Needed a friend.

And the way I feel now I guess I'll be with you till the end.

Guess I'm on my way.

Mighty glad you stayed.

I'm stuck on you.

Been a fool too long I guess it's time for me to come on home.

Guess I'm on my way.

So hard to see.

That a woman like you could wait around for a man like me.

Guess I'm on my way.

Mighty glad you stayed.

Oh, I'm leaving on that midnight train tomorrow.

And I know just where I'm going…”

บทเพลงภาษาอังกฤษขับร้องออกมาได้อย่างไพเราะและชัดเจน แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินหรือรู้จักเพลงนี้มาก่อน แต่น้ำเสียงและอารมณ์ของคนร้องก็ทำให้คนที่รักเสียงเพลงอย่างพราวรัมภาต้องนิ่งฟังและรู้สึกร่วมไปกับบทเพลงนั้น ที่สื่อถึงความรักของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวคนหนึ่งในแง่ของความผูกพัน

‘I’m stuck on you…ใจของผมผูกติดอยู่กับคุณ’

แม้ไม่แน่ใจว่าเวลานี้ใจของเขาผูกพันอยู่กับใคร แต่เธอก็อดซาบซึ้งไปด้วยไม่ได้

เมื่อเขาจบบทเพลงลงด้วยโน้ตตัวสุดท้าย โดยที่ฝ่ายคุณครูยังนั่งนิ่ง เขาจึงยิ้มเจื่อนๆ คล้ายไม่แน่ใจในการแสดงของตนที่เพิ่งจบลง

“ไม่พูดอะไรหน่อยหรือครับ” เขาทักท้วงเมื่อคุณครูยังนั่งเฉย

“คุณร้องเพลงเพราะมาก” พราวรัมภาเอ่ยชมจากความรู้สึกจริงๆ แม้ว่าเสียงจะไม่ไพเราะระดับนักร้องอาชีพ แต่เขาถ่ายทอดอารมณ์ในการร้องเพลงได้ดีอย่างน่าประทับใจ

แต่ที่เธอไม่กล้าบอกก็คือ ‘ไม่คิดว่าจะร้องได้ดีขนาดนี้’

“ขอบคุณครับ ผมไม่นึกว่าคุณหญิงจะชอบ”

“ฝีมือการเล่นเปียโนก็ดีด้วยค่ะ ทั้งที่ไม่ได้เล่นมานาน”

“ผมอยากจะกลับมาเล่นอีก”

“ดีค่ะ ช่วยผ่อนคลายได้จากเรื่องงาน”

“คุณหญิงคงมีเพลงดีๆ แนะนำ”

“มีค่ะ คงต้องเป็นเพลงคลาสสิก ไม่น่าจะยากสำหรับคุณจัสติน”

เธอเปิดหนังสือโน้ตเพลงที่วางอยู่ตรงหน้าบนเปียโนเพื่อเลือกหาเพลงที่ต้องการ “ตอนเรียนดนตรีได้เรียนเพลงคลาสสิกมาบ้างรึเปล่าคะ”

“ครับ แต่ตอนนั้นผมไม่ค่อยชอบ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ลองเล่นตอนนี้อาจจะชอบก็ได้ เด็กๆ บางคนก็บอกว่าน่าเบื่อค่ะ”

คุณครูเริ่มบรรเลงเพลงหลังจากเลือกได้แล้ว เป็นบทเพลงคลาสสิก เปียโนโซนาตาของโมซาร์ต ที่มีจังหวะเนิบๆ แต่หนักแน่นเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น คุณครูบรรเลงเพลงโดยแทบไม่ได้มองโน้ต

“ลองดูสิคะ” เธอหันไปบอกลูกศิษย์หลังจากบรรเลงเป็นตัวอย่างไปได้สักพัก

จัสตินมองโน้ตเพลงแล้วจึงค่อยๆ เล่น แม้ไม่ลื่นไหลนักแต่ก็ฟังเป็นเพลงเดียวกันกับที่หญิงสาวเล่นให้ฟังเป็นตัวอย่างเมื่อครู่ แค่เพียงเริ่มต้นเขาก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายซึ่งแตกต่างจากการเล่นเพลงสากลทั่วไปที่เคยชื่นชอบในวัยเด็ก

 

“คุณหญิงกำลังมีแขกค่ะ”

นิ่มบอกชายหนุ่มที่เพิ่งลงจากรถเบนซ์คันงาม เขามาที่นี่บ่อยจนคุ้นเคยกับทุกคนในวังนี้ เพราะเขาเป็นญาติของพราวรัมภานั่นเอง

“ใครหรือนิ่ม” ราเมศถามขณะเดินไปยังห้องโถงใหญ่

“หุ้นส่วนใหม่ของคุณหญิงค่ะ”

“หุ้นส่วน อ้อ...น้องพราวโทร. เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าหนูอินกำลังขยายธุรกิจ เลยมีหุ้นส่วนใหม่มาเพิ่ม”

“น่าจะคนนั้นละค่ะ”

“แล้ว...เขาคุยธุระกันอยู่หรือ” ราเมศเดินเข้ามาในห้องโถงรับแขกแล้วมองหา แต่ไม่เห็นใครสักคน

“ตอนนี้อยู่ในห้องหนังสือค่ะ” นิ่มตอบไปเท่าที่รู้ ส่วนเจ้านายจะคุยกับแขกเรื่องอะไรอยู่นั้นไม่อาจทราบได้

“ห้องหนังสือ?” ราเมศเลิกคิ้วนิดๆ เพราะรู้ดีว่านั่นเป็นห้องพักผ่อนสำหรับคนในวังเท่านั้น

“ค่ะ นิ่มจะไปเรียนคุณหญิงนะคะว่าคุณชายมาหา” นิ่มบอกตามธรรมเนียมปกติและกำลังจะเชิญให้ราเมศนั่งรอในห้องรับแขก

“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไปหาน้องพราวเอง” ชายหนุ่มตัดสินใจบอกไปตามความรู้สึกที่เริ่มอยากรู้ว่า เหตุใด ‘แขก’ ที่เป็นหุ้นส่วนใหม่คนนี้จึงไปอยู่กับเจ้าของวังในห้องพักผ่อนซึ่งอยู่ด้านหลัง

“เอ่อ...ค่ะ” นิ่มจำต้องพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกว่าวันนี้คุณชายดูใจร้อนกว่าปกติ

ราเมศรีบเดินผ่านห้องโถงออกไปที่ระเบียงยาวด้านหลัง แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องพักผ่อนที่อยู่ด้านในสุดด้วยความรู้สึกตงิดๆ ในใจชอบกล แม้ว่าหุ้นส่วนใหม่ของเบอร์รีแบ็กจะนำเงินสดมาลงหุ้นด้วยนับร้อยล้าน แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นเพียงคนแปลกหน้า แถมยังเป็นฝรั่งมังค่าอีกด้วย

ระยะหลังมานี้ เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีคนต่างชาติเข้ามาวุ่นวายกับพราวรัมภาจนทำให้ชีวิตของเธอเริ่มแปรเปลี่ยนไป และห่างไกลจากเขาออกไปทุกที

ห้องหนังสือมีประตูหน้าต่างกรุด้วยกระจกใสและเปิดม่านไว้ ทำให้คนที่เพิ่งเดินมาหยุดหน้าประตูมองเห็นว่าหน้าเปียโนหลังใหญ่มีหนุ่มสาวสองคนนั่งอยู่คู่กัน ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการเล่นเปียโนหรือเรื่องดนตรี สีหน้าท่าทางของทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยความสนิทสนม

ราเมศเพิ่งได้เห็นหุ้นส่วนใหม่ของญาติสาวทั้งสองคน และแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เขาไม่ใช่ฝรั่งวัยกลางคน แต่ดูเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แถมยังดูหล่อเหลากว่าที่คิดไว้หลายเท่า แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าตอนนี้เขากำลังพยายามตีสนิทพราวรัมภา

ลำพังฝรั่งอายุใกล้เกษียณอย่างมิสเตอร์บราวน์ก็ทำให้เขาหัวใจแทบสลาย นี่ยังมีฝรั่งหนุ่มหล่อเข้ามาแทรกอีกคน แล้วภาพที่เห็นตอนนี้ไม่ว่าใครก็คงไม่กล้าเถียงว่า หนุ่มฝรั่งหน้าหล่อกับพราวรัมภาดูเหมาะกันทั้งวัยและรูปลักษณ์อย่างหาที่ติไม่ได้ หากเทียบกับคนสูงอายุอย่างมิสเตอร์บราวน์

ราเมศตัดสินใจเคาะประตูห้องตามมารยาทก่อนจะก้าวเข้าไปขัดจังหวะการเล่นดนตรีของเจ้าของวังและแขกคนพิเศษ

“พี่เมศ!” พราวรัมภาเงยหน้าขึ้นมาเห็นจึงร้องทักด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“สวัสดีน้องพราว”

“มาตั้งแต่เมื่อไรคะ” พราวรัมภาลุกขึ้นต้อนรับตามมารยาท แม้จะเป็นญาติใกล้ชิด แต่เธอก็มักจะปฏิบัติต่อเขาอย่างให้เกียรติเสมอ

“เพิ่งมาถึงครับ” ราเมศตอบแล้วเหลือบตามองชายหนุ่มที่เพิ่งลุกขึ้นยืนตามเจ้าของบ้าน

เขาเป็นหนุ่มร่างใหญ่ล่ำสันแบบคนตะวันตก หน้าตาหล่อเหลาสไตล์คนอเมริกันรุ่นใหม่ แต่ราเมศก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตาสีฟ้าๆ นั่นแฝงเล่ห์เพทุบายบางอย่างเอาไว้ ซึ่งสาวสวยอ่อนต่อโลกอย่างพราวรัมภาตามไม่ทันแน่นอน

แต่...ทำไมคนระดับนักลงทุนจึงสวมเสื้อยืดเนื้อบางเหมือนอยู่บ้าน ราชนิกุลหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วทันที

“พี่เมศคะ นี่คุณจัสติน โธมัส บราวน์ หุ้นส่วนใหม่ของเบอร์รีแบ็กค่ะ” คุณหญิงรีบแนะนำ ก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ “คุณชายราเมศเป็นญาติของพราวกับหนูอินค่ะ”

“สวัสดีครับ คุณชาย”

จัสตินรีบเดินออกห่างจากเปียโนแล้วสัมผัสมือกับหม่อมราชวงศ์ราเมศ โดยมีพราวรัมภาเดินตามมายืนอยู่ห่างๆ

“เอ่อ...สวัสดีครับคุณบราวน์”

นอกจากเสื้อยืดคอกลมสีขาวที่เขาสวมอยู่แล้ว ภาษาไทยที่ค่อนข้างชัดเจนก็ยิ่งทำให้ราเมศประหลาดใจมากขึ้นไปอีก

“ยินดีที่ได้พบครับคุณชาย” จัสตินเขย่ามือชายหนุ่มชาวไทยที่มีรูปร่างหน้าตาดีคนหนึ่งค่อนข้างแรงเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจแบบชาวตะวันตก

“ยินดีเช่นกันครับ” ราเมศตอบอย่างสุภาพก่อนจะคลายมือออกจากกัน “คุณพูดไทยชัดมาก”

“ขอบคุณครับ”

“ทำไมหมู่นี้มีแต่คนชื่อบราวน์มาที่วังธาดา”

ราเมศหันไปถามเจ้าของวัง แต่เธอนิ่งไม่มีคำตอบ ส่วนมิสเตอร์บราวน์คนที่สองเลิกคิ้วนิดๆ งงๆ ในสิ่งที่ได้ยิน

“มีใครมาที่นี่อีกหรือครับ” หนุ่มฝรั่งถามทั้งสองคนพร้อมกันโดยมองหน้าทั้งคู่อย่างต้องการคำตอบ

“แขกของแม่น่ะค่ะ คุณบราวน์เป็นคนอเมริกัน” คุณหญิงอธิบายสั้นๆ

“บังเอิญจังเลยครับ” จัสตินพยักหน้ารับรู้

“อีกหน่อยอาจต้องเรียกคุณบราวน์หนึ่งกับคุณบราวน์สอง”

ราเมศหัวเราะเบาๆ แล้วจึงเห็นว่าหนุ่มฝรั่งรูปหล่อหันมาสบตาด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจนัก

“คงไม่ต้องหรอกครับคุณชาย เพราะคุณหญิงเรียกผมว่าจัสติน”

หนุ่มอเมริกันยิ้มพรายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขึ้น

คนระดับหม่อมราชวงศ์ราเมศหรือจะไม่รู้ว่า ถ้าไม่สนิทสนมหรือมีอะไรพิเศษต่อกันแล้ว คนตะวันตกไม่อนุญาตให้ใครเรียกชื่อนอกจากคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเท่านั้น

“พี่เมศมีธุระอะไรกับพราวรึเปล่าคะ” พราวรัมภาถามเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าทักทายกันตามสมควรแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่แวะมาหา ถ้าน้องพราวมีแขกพี่ก็จะกลับเลย”

แม้ไม่พอใจเพียงใด แต่คุณชายราเมศก็ยังคงรักษามารยาทตามแบบอย่างผู้ดีไว้เสมอ

“ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะกลับอยู่แล้ว” จัสตินแทรกขึ้นมาเสียก่อน แล้วจึงหันไปบอกพราวรัมภาโดยตรงว่า “แต่คงต้องขอยืมเสื้อตัวนี้ใส่กลับ”

“ค่ะ พราวยกให้เลยละกัน ส่วนเสื้อเชิ้ตของคุณซักแล้วจะส่งคืนให้วันหลังนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

“พราวออกไปส่งค่ะ พี่เมศเดินออกไปด้วยกันเลยนะคะ”

ทั้งสามคนจึงเดินออกไปด้วยกันจนถึงโรงจอดรถซึ่งอยู่ด้านซ้ายของตึกใหญ่ ราเมศและพราวรัมภายืนส่งแขกจนกระทั่งรถเบนท์ลีย์สปอร์ตสีดำเคลื่อนไปจนเกือบถึงประตูรั้ว จึงเดินกลับมาที่ตึก

“เขามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่ด้วยหรือ” ราเมศอดรนทนไม่ไหวต้องถามเรื่องที่คาใจ ตั้งแต่เห็นหนุ่มฝรั่งแปลกหน้าสวมเสื้อยืดคอกลม จนกระทั่งได้ยินการสนทนาเรื่องฝากซักเสื้อผ้าในตอนท้ายก่อนกลับ

“เปล่าค่ะ เขาจะมาอาบน้ำทำไมที่นี่ล่ะคะ” พราวรัมภาตอบด้วยน้ำเสียงขำๆ

“แล้วทำไมต้องเปลี่ยนเสื้อแสง วังธาดาไม่ใช่ร้านซักอบรีดซะหน่อย”

“ช่างสีที่ตึกเล็กทำแปรงทาสีหล่นใส่เขาน่ะค่ะ แล้วจะให้พราวปล่อยเขาตัวเปรอะอยู่อย่างนั้นได้ยังไงกัน เราเป็นเจ้าของบ้านนะคะ” เธออธิบายเพราะไม่อยากให้ญาติหนุ่มเข้าใจผิดไปกันใหญ่

ฝ่ายราเมศฟังแล้วก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมากนัก นึกเคืองช่างกับแปรงทาสีเจ้ากรรมที่ดันมาหล่นผิดที่ผิดเวลา ดูเหมือนอะไรๆ ก็เป็นใจให้หนุ่มนักลงทุนชาวอเมริกันคนนั้น

“แล้วทำไมเขาไม่กลับ พี่เห็นน้องพราวกำลังเล่นเปียโนกับเขา”

“เขาขอเป็นลูกศิษย์พราวค่ะ”

“ให้น้องพราวสอนเปียโนน่ะเหรอ” ราเมศทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ

“ค่ะ เขาสนใจเรื่องดนตรีมากเลย”

“โธ่ น้องพราว” คุณชายทำเสียงคล้ายเวทนาคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเสียเลย

“มีอะไรหรือคะพี่เมศ”

“น้องพราวไม่รู้จริงๆ หรือว่านายบราวน์สองนั่นเกิดอยากจะเล่นเปียโนขึ้นมาเพราะอะไร”

“พี่เมศอย่าเพิ่งมองอะไรในแง่ร้ายไปเสียหมด ตอนนี้เขาเข้ามาช่วยหนูอินกับพราวนะคะ ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องเงิน แต่ยังแนะนำการทำธุรกิจให้อีกตั้งหลายเรื่อง”

“พี่เข้าใจ เขาก็เลยกลายเป็นคนพิเศษของน้องพราว”

“เปล่าค่ะ พราวก็แค่ต้อนรับขับสู้เขาตามที่ควรจะเป็น”

ราเมศไม่ต้องการต่อล้อต่อเถียงกับหญิงสาวอีก จึงได้แค่ส่ายหน้าช้าๆ แค่เห็นสายตาเขาก็รู้แล้วว่าหนุ่มตาน้ำข้าวคิดอะไรอยู่ แล้วยังพยายามหาโอกาสใกล้ชิดเธอโดยเอาเรื่องเรียนดนตรีมาบังหน้า

 

จัสตินขับรถกลับไปที่คอนโดริมฝั่งเจ้าพระยา ระหว่างทางเขายังนึกถึงคุณชายราเมศ ชายหนุ่มที่เคยคิดว่าเป็นคนรักของพราวรัมภา จากการที่เคยเจอทั้งคู่ในครั้งแรกที่ไนต์คลับแห่งนั้น รวมไปถึงตอนที่ขับรถตามมาจนถึงหน้าประตูวังธาดาแล้วเห็นทั้งสองคนจุมพิตอำลากันก่อนที่ฝ่ายหญิงจะลงจากรถ ซึ่งอาจเป็นความเข้าใจผิดของเขาเองก็เป็นได้ เพราะแท้จริงแล้วเขาก็ไม่เห็นชัดถนัดตาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในรถคืนนั้น

แต่เท่าที่เห็นวันนี้ ท่าทีของพราวรัมภาไม่ได้แสดงออกเลยสักนิดว่าเป็นคนรักของญาติหนุ่มผู้สูงศักดิ์ เธอทักทายเขาไม่ต่างไปจากญาติคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งต่างจากท่าทีสนิทสนมระหว่างทั้งสองคนที่เขาเคยเห็นในครั้งแรก หรือว่า...นี่เป็นวิธีการของเธอ

เขาผ่านโลกมาพอสมควรจนอายุสามสิบสามปีและเคยผ่านผู้หญิงมาก็ไม่น้อย มีหรือจะไม่รู้ว่าสาวๆ แต่ละคนมักมีเทคนิคเรื่องหนุ่มๆ ไม่เหมือนกัน พราวรัมภาอาจเลือกใช้วิธีนี้โดยไม่ปล่อยให้ใครหลุดมือไปแม้แต่คนเดียว ตราบใดที่เธอยังไม่แน่ใจว่าใครจะเป็นคนที่ถูกเลือก แล้วหนึ่งในนั้นก็คงเป็น วิลเลียม บราวน์ พ่อของเขาเอง

ใครจะรู้เล่าว่าแท้จริงแล้วพราวรัมภาเป็นอย่างไรกันแน่ ภายใต้ท่าทางสงบนิ่งและกิริยานุ่มนวลอ่อนโยน เธออาจไม่ใช่อย่างที่เห็น!

“ถ้าผมจะสมัครเป็นตัวเลือกให้คุณอีกคนล่ะ คุณจะว่ายังไง” จัสตินพึมพำ

เขารู้ว่างานนี้ถอยไม่ได้แล้ว แม้กระนั้นก็ยังไม่วายพยายามบอกตัวเองว่า ที่คิดและทำไปทั้งหมดมีสาเหตุมาจากบิดาบังเกิดเกล้า หาใช่ความรู้สึกส่วนตัวแต่อย่างใดไม่ เขาไม่มีวันตกหลุมผู้หญิงคนไหนแน่นอน โดยเฉพาะคนที่รู้แน่ๆ อยู่แล้วว่ามีบางสิ่งแอบแฝงและไม่ได้สวยหรูเหมือนภาพที่พยายามสร้าง

หลังจากกลับมาถึงห้องพักก็มีสายเรียกเข้าทางโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าเป็นใครเขาจึงรีบรับสาย

“หวัดดีบอสใหญ่ เป็นไงมั่ง” รอนทักทายเสียงครื้นเครงตามปกติ

“ก็ดี แล้วนายล่ะ”

“คืบหน้า ฉันกับคุณหนูอินไปนั่งจิบน้ำชายามบ่ายด้วยกัน” รอนเล่าอย่างชื่นมื่น

“ขนาดนั้นเชียว แต่นายมันถนัดหว่านเสน่ห์อยู่แล้วนี่” จัสตินหมั่นไส้เลยเหน็บกลับไป

“แล้วที่วังเป็นไง”

“คุณหญิงรับฉันเป็นลูกศิษย์แล้ว”

“ลูกศิษย์!”

“ใช่ เธอจะสอนเปียโนเพลงคลาสสิกให้ฉันเพื่อความผ่อนคลาย”

“บ้าไปแล้ว”

“บ้าตรงไหน”

“นายจะฝืนเรียนไปได้สักกี่น้ำ ยิ่งเพลงคลาสสิกด้วย น่าเบื่อจะตาย”

“ฉันมันคนมีดนตรีในหัวใจ ไม่ฝืนอะไรมากหรอก แล้ววันนี้ฉันก็ร้องเพลงรักซึ้งๆ พร้อมกับเล่นเปียโนให้คุณหญิงฟังไปแล้วด้วย”

“นี่มันยุคไหนแล้ว ไอ้ที่นายทำมันเอาต์สุดๆ”

รอนหัวเราะขำในตอนท้าย ราวกับว่าที่จัสตินทำเป็นเรื่องไม่เข้าท่าเอาเสียเลยในการจีบหญิง ทั้งที่ผ่านผู้หญิงมามากจนนับแทบไม่ถ้วน

ใช่! ที่ผ่านมาเขาแทบไม่เคยต้องลงทุนลงแรงตามจีบใคร เพราะมีผู้หญิงรอให้เลือกอยู่แล้วเป็นทิวแถว

“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเอาต์รึเปล่า นายอย่าลืมสิว่าคุณหญิงเป็นคนรักดนตรีกับเสียงเพลง แล้วอะไรที่จะทำให้เธอสนใจได้ล่ะ”

“อืม...ก็แล้วแต่นาย เผื่อบางทีอาจจะได้ผล” รอนยอมรับคงเพราะว่าพอฟังขึ้น แต่สุดท้ายก็ยังอยากรู้ต่อไปอีก “แล้วนายร้องเพลงอะไร”

“Stuck on you.”

“นั่นมันเพลงสมัยพ่อแม่เราจีบกันนะ อัปเดตหน่อยเพื่อน” รอนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างตลกขบขัน

“แต่คุณหญิงซาบซึ้งกับเสียงของฉันอย่างที่นายคงคิดไม่ถึงเลยละ” จัสตินยังคงมั่นใจในเสียงและฝีมือการบรรเลงเปียโนของตนเอง ตามประสาคนที่มั่นใจในตนเองมาตลอดทั้งชีวิต

“โอเค นายกำลังจะบอกว่าตัวเองเสียงดีขนาดทำให้สาวสวยอย่างคุณหญิงถึงกับเคลิ้มงั้นสิ เอาละ ฉันจะไม่คัดค้านวิธีการรุกคืบของนาย บางทีมันอาจจะเป็นไปได้ ถ้านายนั่งร้องเพลงเก่าสมัยพ่อยังหนุ่มๆ อยู่หน้าเปียโนหลังงามในบรรยากาศหรูหราโรแมนติกแบบย้อนยุคของวังธาดา เอาเป็นว่าฉันเอาใจช่วยละกัน”

จัสตินได้ยินแล้วรู้สึกว่ารอนกำลังพยายามนึกภาพตามก่อนจะให้กำลังใจ

“ขอบใจมากเพื่อน ฉันมองไม่เห็นทางอื่น เพราะดูเหมือนคุณหญิงเป็นคนติดบ้าน แถมยังชอบอะไรเก่าๆ”

“อืม...ก็เธอเป็นชาววัง”

“นั่นแหละ แล้วเธอก็ฟังแต่เพลงคลาสสิกอายุหลายร้อยปี”

“งั้นนายก็มาถูกทางแล้วละเพื่อน”

“แล้วนายกับคุณหนูอินเป็นไง”

“เธอยังสงวนท่าที แต่นายไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอาจมีเดตแรกกับเธอเร็วๆ นี้” รอนว่าอย่างมั่นใจและมีความหวัง แต่จัสตินกลับรู้สึกว่าเพื่อนกำลังพยายามเกทับ

“นายเพิ่งจะวางแผนมีนัดกับคุณหนูอิน แต่ฉันเดินเข้านอกออกในวังธาดาได้แล้วนะตอนนี้ วันนี้เจอหม่อมแม่ของคุณหญิงด้วย แถมยังเชิญให้ไปกินข้าวที่วังอีก”

“ก็นายเล่นย้ายออฟฟิศไปไว้ในวังหน้าตาเฉย” รอนต้องยอมรับว่าเรื่องนี้จัสตินมาเหนือเมฆ

“อย่าลืมสิ ฉันมีเวลาแค่สองเดือนก่อนที่พ่อจะบินมากรุงเทพฯ คราวหน้า” จัสตินบอกเหมือนเป็นการเตือนความจำตนเองไปในตัวว่าเวลามีน้อย

“งั้นนายจะมัวแต่ร้องเพลงอย่างเดียวไม่ได้แล้วละเพื่อน แล้วถ้าพ่อนายมา เรื่องเบอร์รีแบ็กจะเอาไงต่อ โรงงานคงเพิ่งเริ่มสร้างไปได้ไม่เท่าไร” รอนชักเป็นกังวล

“ธุรกิจก็เดินหน้าต่อไป ไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ฉันเป็นมืออาชีพ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น