2

บทที่ 2

 

แยก–ย้าย

 

การขายบ้านได้กำไรเกินคาด เย็นวันนี้เกศราจึงหิ้วเพื่อนสนิทอย่างช้องนางมาที่ร้านอาหารหรู ซึ่งหากเป็นลูกค้าปกติต้องใช้เวลาจองอย่างน้อยหกเดือน แต่เพราะบารมีของ ช้องนาง เทวารักษ์ เจ้าของร้านเพชรยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยที่ยกตัวเองว่าเป็นลูกค้าวีวีไอพี เกศราจึงเพียงรอให้เพื่อนยกหูโทรศัพท์มาบอกเจ้าของร้านก่อนเท่านั้น

“พี่ช้อง พี่เกด เชิญทางนี้ครับ” ร่างสูงที่อยู่ในชุดสีขาวพร้อมหมวกทรงสูงเดินออกมาต้อนรับเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักและสนิทกันพอสมควร ทันทีที่เด็กในร้านเข้าไปแจ้งว่าลูกค้าวีวีไอพีของเขามาถึงร้านเรียบร้อย “ผมจัดโต๊ะพิเศษไว้ให้พวกพี่ วันนี้โต๊ะจองเต็ม”

“น่ารักมากจ้ะตั้ม” ช้องนางชมเปาะ ขยิบตาให้คนที่เธอเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วพยักหน้าพอใจ เห็นไหมว่าไม่มีอะไรที่ช้องนางอยากได้แล้วไม่เคยได้ เว้นสามีไว้อย่างหนึ่ง “ไม่เสียแรงจริงๆ ที่พี่โทร. หา วันนี้ยายเกดเขาโชคดีเลยอยากเลี้ยงฉลองกันเงียบๆ”

“ผมรู้แล้วครับ เรื่องบ้านหลังนั้นใช่ไหมล่ะครับ” เจ้าของร้านอาหารที่มีแต่ผู้มีอันจะกินมาใช้บริการเอ่ยด้วยน้ำเสียงพ้อนิดๆ ขณะเลื่อนสายตาไปมองหน้างามของเพื่อนรุ่นพี่อีกคน “พี่เกดใจร้าย ผมบอกแล้วไงว่าถ้าคิดจะขายให้โทร. บอกผม นี่ไปขายให้คุณฌอห์นเขาเสียได้ น้อยใจนะครับเนี่ย”

“ตั้มซื้อบ้านหลังนั้นไม่ไหวหรอกจ้ะ” เกศราเดินมาคล้องแขนคนร่างสูง ไม่ใช่ว่าไม่มีอยากคนซื้อบ้านหลังนั้น มีคนสนใจหลายคนเพราะชอบสถานที่ตั้งและขนาดของบ้าน ทว่าติดตรงที่ตลอดเวลาหลายปีมานี้เจ้าของบ้านอย่างเกศราไม่เคยคิดที่จะขาย จนกระทั่งวันนี้ ที่ตัดสินใจขายปุบปับ ไม่เหมือนคนที่หวงบ้านหนักหนาเมื่อหลายปีก่อน “พี่ขายแพง”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าเท่าไหร่ผมก็สู้” ตั้มว่าพลางควงเกศราเพื่อจะเดินไปที่ห้องรับประทานอาหารขนาดเล็กที่มีไว้สำหรับแขกพิเศษอย่างเกศราและช้องนางเท่านั้น “คุณพ่อคุณแม่ผมชอบบ้านหลังนั้นมาก”

“พี่จะดูหลังอื่นไว้ให้ดีไหม” เกศราบอกอย่างเอื้อเฟื้อ แม้บ้านที่เธอกำลังพูดถึงนั้นจะตกแต่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ตาม “พี่มีบ้านอีกสามสี่หลัง ทำเลดีๆ ทั้งนั้น เหมาะกับครอบครัวใหญ่อย่างบ้านของตั้ม”

“พี่เกดก็พูดอย่างนี้ทุกที” ชายหนุ่มถอนหายใจ พอดีกับเขาพาเกศราและช้องนางมาถึงทางแยกระหว่างห้องรองรับลูกค้าที่จองไว้ล่วงหน้ากับแขกพิเศษมากๆ เช่นเกศรา

ร่างสง่าของผู้ที่เพิ่งได้รับเงินก้อนใหญ่ชะงัก เมื่อมองเห็นผู้ที่กำลังเดินออกมาจากห้องอาหารอีกห้อง บุคคลนั้นคือสตรีวัยใกล้เคียงเกศรา ซึ่งอีกฝ่ายก็ชะงักไปเช่นเดียวกันเมื่อเห็นว่าแขกของร้านอาหารในวันนี้เป็นใคร

นับเป็นแขกที่ทำให้ประหลาดใจ แต่กระนั้นศศิก็ยังฝืนยิ้ม คิดในทางที่ดีว่าเกศราไม่มีทางได้เป็นแขกร่วมคอร์สอาหารกับเธอแน่ เพราะเธอและครอบครัวของสามีจองล่วงหน้ามาหลายเดือน

“ตายแล้ว คุณเกดเองหรือคะเนี่ย” ศศิร้องถาม แสร้งบีบเสียงเล็กลงเพื่อแสดงความตกใจข่มความชิงชัง “บังเอิญจังเลยนะคะ ศิกับวีก็มาทานอาหารวันนี้”

เกศรายิ้มเล็กน้อย ขณะที่ช้องนางขบฟันเข้าหากันจนได้ยินเสียงกรอดๆ จ้องศศิตาขวางอย่างหมายหัว ด้วยเรื่องราวในอดีตที่ผู้หญิงคนนี้ทำไว้กับเกศรายังไม่ได้ชำระความ

“ไม่บังเอิญหรอกค่ะคุณศศิ” เกศราบอกด้วยเสียงนุ่มผิดกับอีกฝ่าย เหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงที่พยายามฝืนยิ้มให้ได้ของอดีตเพื่อนแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้าง “เกดกับช้องมากะทันหัน ไม่ได้จอง ตั้มคงเป็นคนทำอาหารเอง”

“ก็ต้องอย่างนั้นสิครับพี่เกด” เจ้าของร้านอาหารที่รู้เรื่องราวระหว่างหญิงสาวทั้งสองมาบ้างเอ่ยแทรก เพื่อหวังจะทำลายบรรยากาศอึมครึม “ผมแย่งเชฟเลิศมาทำอาหารให้พวกพี่ไม่ได้ ก็ต้องทำเองสิครับ แต่ไม่ได้ทำนาน ไม่รู้จะทานได้หรือเปล่านะครับ”

“พาพี่ไปนั่งสักทีซิตั้ม” ช้องนางสั่งเสียงเฉียบ ทว่าตาคมยังจ้องหน้าศศิอย่างหมายหัวเมื่อเอ่ยว่า “ไม่อยากแย่งอากาศคนแถวนี้หายใจ กลัวตายก่อนวัยอันควร!”

“ทางนี้ครับพี่ช้อง” เจ้าของร้านรีบผายมือไปที่ห้องซึ่งมีป้ายบอกว่า ‘ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต’ แล้วจึงหันมาหาเกศราที่ควงแขนเขาอยู่ “ไปครับพี่เกด”

“ไปสิจ๊ะ” เกศราพยักหน้า ไม่โต้เถียงเจ้าของร้านเพราะเข้าใจหัวอกคนกลางดี ทั้งเธอและศศิเป็นลูกค้า ส่วนช้องนางนั้นมีอภิสิทธิ์เกินคำว่าลูกค้าไปไกล ต่อให้จิกหัวศศิตบล้างน้ำตอนนี้ เกศราก็มั่นใจว่าไม่มีใครกล้าห้าม ทว่าไม่ทันที่เกศราจะได้เดินพ้นไป เพื่อนเก่าของเธอก็พูดเหน็บแนมขึ้นมาเสียก่อน

“ผ่านไปไม่เท่าไหร่ ยกระดับตัวเองมาได้ขนาดนี้ ไม่เลวเลยนะคุณเกด”

คำว่า ‘คุณเกด’ นั้นเต็มไปด้วยการจิกกัด จนเกศราต้องหันขวับมามองศศิครู่หนึ่ง ก่อนพูดนิ่มๆ แต่เชือดเฉือนอีกฝ่ายเป็นการเอาคืน

“ก็เกดทำงานทำการ ไม่สบายเหมือนคุณศินี่นา ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกไปวันๆ คงไม่มีเวลายกระดับตัวเองใช่ไหมล่ะ ถึงได้พูดแต่อะไรต่ำๆ แบบนี้ออกมา”

“กะ...แก!” “น่าสงสารครอบครัวสามีของคุณศินะคะ ที่อุตส่าห์ดิ้นรนไม่เอาเกด แต่กลับได้ผู้หญิงที่กิริยาต่ำกว่าเกดมาเป็นสะใภ้ แถมตอนนี้หน้าที่การงานก็ต่ำกว่าอีก แต่ก็ยินดีด้วยนะจ๊ะ เรื่องที่สามีเลิกกับเมียน้อยคนล่าสุดแล้ว เกดเป็นกำลังใจให้ศิตลอดเลย ศิรู้ไหม”

“อ้าว อย่างนี้ต้องระวังผัวมีเมียน้อยอีกไหมล่ะเนี่ยศิ” ช้องนางที่ฟังตลอดเวลาร้องถามด้วยน้ำเสียงที่แสร้งเห็นใจ “โถๆ เวรกรรมแท้ๆ เชียว น่าสงสาร...น่าสงสาร”

“ไม่น่าเลยนะศิ” เกศราทำหน้านิ่วอย่างเห็นใจอดีตเพื่อน ก่อนจะเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้มเมื่อช้องนางเอ่ยต่ออย่างคนปากไว

“นี่นะ ถ้าไม่แย่งของคนอื่นไปคงไม่โดนอย่างนี้หรอก ไม่น่าเล้ย”

“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะศิ” เกศราแสร้งตีหน้าเศร้า คล้ายว่าตนพยายามปลอบใจอดีตเพื่อนสุดความสามารถแล้วจริงๆ “อุตส่าห์แย่งไปได้แล้วก็ต้องดิ้นรนรักษาผู้ชายเอาไว้ แต่เป็นธรรมดาละนะ ของอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร เกดเข้าใจ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็สู้ๆ นะจ๊ะ เกดเป็นกำลังใจให้”

ว่าแล้วทั้งเกศราและช้องนางก็เดินหายเข้าห้องรับรองเล็ก ทิ้งให้ศศิยืนกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้น

 

“อย่าถล่มร้านผมนะพี่ช้อง” ตั้มที่ตกอยู่ในสถานะคนกลางมาตลอดเหตุการณ์มาคุเมื่อครู่เอ่ยขอร้องช้องนางที่นั่งตัวสั่นเทิ้ม กระดกน้ำเย็นระหว่างพยายามสะกดโทสะของตัวเองให้ลดลง ยังดีที่เธอเจอเพียงศศิ หากเจอกวีพร้อมกันรับรองได้เลยว่าไม่พ้นมีการวางมวยกลางร้านอาหารดังแน่

“วันนี้วันดีนะครับ ใช่ไหมพี่เกด” พยายามกล่อมช้องนางแล้วเจ้าของร้านอาหารก็ไม่วายหันมาหาพวกที่นั่งนิ่งจิบไวน์อยู่อีกฟากโต๊ะ

“พี่รับปากว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องจ้ะตั้ม” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอและช้องนางต้องปะทะคารมกับศศิ ดังนั้นเกศราจึงให้ความมั่นใจแก่รุ่นน้องหนุ่ม “ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวพี่รับผิดชอบเอง”

“งั้นฉันขอเดินไปสั่งสอนมันสักสองสามทีได้ไหม เอาให้หายแค้น” ช้องนางโพล่งถามออกไป หากได้ระบายอารมณ์โกรธในอกออกไปบ้างคงจะรู้สึกดีไม่น้อย

“ใช้กำลังแก้ปัญหามันไม่ช่วยอะไรหรอกนะไอ้ช้อง” เกศราปรามเพื่อน แม้เธอจะเผลอปล่อยให้อารมณ์โกรธเป็นฝ่ายชนะความสงบนิ่งไปครู่หนึ่งก็ตาม

“แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดี” เพื่อนของเธอโต้กลับมาง่ายๆ

เกศรากลอกตาโดยไม่คิดที่จะซ่อนกิริยานั้นให้พ้นสายตาคนที่มาจากตระกูลผู้ดีเก่า ซึ่งช้องนางไม่สนใจนักหรอก เธอกับเกศราล่มหัวจมท้ายด้วยกันมานาน เรื่องกลอกตาแค่นี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บมาใส่ใจ

“แล้วแต่! แกมันนางฟ้านางสวรรค์นี่ แสนดีมากๆ ระวังคนเขาจะด่าลับหลังว่าโง่!”

“แกนี่ปากร้ายจริง” เกศราขมวดคิ้ว เพื่อนเธอยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดร้อน...หมายถึงฝีปากนะ “แบบนี้เทพเจ้าที่ไหนจะอยากส่งสามีมาให้ สงสารผู้ชายแย่เลย ได้เมียปากร้ายอย่างแก”

“ฉันปากร้ายแต่จริงใจนะ” คนที่รอสามีจากเทพเจ้ารีบปรับสีหน้า อ้อมแอ้มแก้ตัวราวกลัวเทพเจ้าแถวๆ นั้นจะบังเอิญได้ยินคำขู่เมื่อครู่ของเกศราเข้า จนท่านอาจจะเข้าใจผิดแล้วไม่ส่งสามีมาให้เธอ “ไม่เหมือนแกหรอก หน้าเนื้อใจเสือ แถมเขี้ยวลากดิน ฉันคิดอยู่ตั้งนานว่าลูกน้องแกแต่ละคนเอานิสัยเห็นแก่เงินมาจากใคร ที่แท้ก็มาจากเจ้านายอย่างแกนี่เอง!”

“ท่านเทพของแกได้ยินแล้วมั้งเนี่ย” เกศราโน้มตัวไปข้างหน้า กระซิบขู่เพื่อนเป็นการเอาคืนช้องนาง ทำเอาเจ้าตัวอยากจะร้องกรี๊ดออกมาอย่างขัดใจ

“ฉันพูดเรื่องจริง ไม่ได้ผิดศีล”

“หยาบคาย ว่าร้าย พูดจาส่อเสียด ผิดศีลข้อมุสาทั้งนั้น” เกศราชี้ อยู่กับช้องนางมานาน ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าศีลทั้งห้าข้อนั้น ช้องนางปฏิบัติตามไม่ได้ก็เพียงแค่ศีลข้อสี่นี่แหละ

“ด่าพวกคนชั่วถือว่าทำดี” คนที่พยายามจะถือศีลทั้งห้าข้อมาตลอดชีวิตเถียงคอเป็นเอ็น นี่มันยุคไหนแล้ว สถิติการนับแต้มบุญ-กรรมก็ต้องมีการอัปเดตกันบ้างสิ ด่าคนไม่ดีเท่านี้ไม่ถือว่าเป็นบาปหรอกมั้ง “ไม่ถือว่าเป็นบาปย่ะ ฉันคนเข้าวัดถือศีลนะ พวกวัตถุนิยมอย่างแกอย่ามาเถียง”

“ถ้าเข้าวัดถือศีลแล้วเป็นแบบแก ไม่ต้องเข้าวัดก็ได้มั้ง” เกศราย้อนพลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าในห้องมีเพียงเธอและเกศราเท่านั้น ส่วนเจ้าของร้านอาหารฉวยโอกาสปลีกตัวออกไปตั้งแต่สองสาวพูดเรื่องถือศีลแล้ว “ไม่เห็นจะมีอะไรดีตรงไหน งมงายก็เท่านั้น”

“ฉันไม่ได้งมงาย!”

“แกงมงายไอ้ช้อง” เกศราโคลงหัว หากอย่างช้องนางไม่เรียกว่างมงายก็คงไม่มีใครในโลกใบนี้เป็นพวกงมงายแล้ว “ไปตามไหว้ขอผู้ชายมาทั่วโลกอย่างแก ไม่เรียกงมงายจะให้ฉันเรียกว่าอะไร”

“เรียกฉันว่าคนมีศรัทธา” ช้องนางยกมือขึ้นสูงเป็นเชิงบอกเกศราให้เงียบไปเสีย เพราะเพื่อนของเธอนั้นไม่เข้าใจศรัทธาที่เธอมีต่อเรื่องนี้อย่างแรงกล้า เรื่องผู้ชายนี่หากไม่ขอจากเทพเจ้าแล้วจะให้ไปขอจากใครกัน “แกมันคนไร้ศรัทธา รับรองเลยว่าชาตินี้ทั้งชาติแกก็จะไม่ได้ผัว”

“ไม่มีก็ได้ผัวน่ะ ขอแค่มีเงินก็พอ” คนที่ไม่กลัวเรื่องที่จะไร้สามีอย่างเกศราเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ ผิดกับช้องนางที่ตาวาว รีบคว้าทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาปาใส่หน้าเพื่อน

“แกอย่าพูดดัง!” ช้องนางตะโกน “เดี๋ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์แถวนี้มาได้ยิน ท่านจะเข้าใจผิดว่าฉันไม่อยากมีผัวเหมือนแก เงียบ! เงียบไปเลย!”

 

เกศรากลับมาถึงบ้านก็มีอาการเมาแล้ว ดีที่ช้องนางให้คนรถของเจ้าหล่อนมาส่งที่บ้าน ราวกับรู้ว่าเธอจะดื่มจนเมา เกศราจึงไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะทำให้ใครบาดเจ็บ หากเกิดอุบัติเหตุระหว่างขับรถกลับมาที่คอนโดของตนที่ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง

คอนโดนี้ภรรยาของนักธุรกิจชาวต่างชาติคนหนึ่งมาบอกขายต่อ เนื่องจากครอบครัวจะย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ ซึ่งเกศราก็มองว่าเป็นทำเลที่น่าพอใจ อยู่ใกล้กับร้านอาหารและที่ออกกำลังกาย หญิงสาวจึงตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน

“วันนี้กลับดึกนะครับคุณเกด” พนักงานรีเซปชันเอ่ยทักเกศราอย่างคุ้นเคย “มีพัสดุที่ต้องเซ็นรับสองกล่องนะครับ”

“เพิ่งมาถึงหรือจ๊ะ”

คราแรกเกศราตั้งใจจะเดินขึ้นห้องพักของตน แต่เมื่อได้ยินเสียงทักจึงเดินไปหยุดที่รีเซปชัน รอให้พนักงานที่อยู่อีกฟากของเคาน์เตอร์จัดการเรื่องรับพัสดุ กระทั่งเห็นสัญญาณที่หน้าจอเล็กๆ บนเคาน์เตอร์ เธอจึงวางหัวแม่มือลงไปเพื่อสแกนลายนิ้วมือในการลงชื่อรับพัสดุ

“เพิ่งมาถึงตอนบ่ายนี้ครับ” พนักงานที่อยู่เวรในคืนนี้รายงานหญิงสาว ก่อนจะผละออกไปเข็นรถเข็นที่มีพัสดุของเกศราออกมาจากห้องเก็บของด้านหลัง “ผมจะไปส่งที่ลิฟต์ครับ”

เกศราเหลือบมองโลโก้บนกล่องพัสดุกล่องใหญ่ทั้งสองแล้วพยักหน้ารับ จำได้แล้วว่าเธอสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศซื้อของพวกนี้ให้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เป็นเสื้อผ้ากับรองเท้าจากรันเวย์ที่มิลาน มาถึงเร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย สงสัยต้องส่งการ์ดกับของขวัญไปขอบคุณเสียแล้ว

 

แก้วทรงสูงที่บรรจุเครื่องดื่มสีแดงก่ำถูกเจ้าของห้องวางลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนร่างบอบบางของผู้ที่เป็นผู้บริหารของ Even for you จะนั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะ เปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดเครื่องค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนขึ้นมาอ่านเอกสารเรื่องงานที่ติดต่อเข้ามา พรุ่งนี้จะได้แบ่งงานให้ลูกน้องได้ถูกคน

มือเล็กพิมพ์คีย์บอร์ด แต่แล้วชื่อหนึ่งก็เด้งขึ้นมาในความคิด น่าแปลกใจ แต่เกศราไม่ได้คิดนาน หญิงสาวปิดไฟล์รายละเอียดเรื่องการว่าจ้าง แล้วเปิดหน้าเว็บเพจยอดนิยมสำหรับการค้นหาทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกขึ้นมาแทน พิมพ์ชื่อประหลาดที่ติดอยู่ในหัวลงไป อยากเห็นหน้าค่าตาเจ้าของชื่อประหลาดที่กำลังจะเข้ามาครอบครองอดีตเรือนหอของเธอขึ้นมาติดหมัด

“เอซ นายทุน เป็นคนเดนมาร์ก” หญิงสาวพยายามพิมพ์ข้อมูลของบุคคลปริศนาที่เธอรู้จักเพียงชื่อต้นลงไปในช่องสำหรับพิมพ์สิ่งที่ต้องค้นหาให้ได้มากที่สุด พยายามนึกย้อนไปถึงคำบอกเล่าจากคนที่เคยพบนายทุนหน้าเลือดคนนี้มาแล้ว อย่างน้อยฌอห์นก็บอกว่าเขาเป็นคนอย่างนั้น เธอไม่ได้ด่วนสรุปเอาเองนะ

รูปที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้คิ้วของเกศรายกสูงขึ้น ร่างงามเอนห่างจากหน้าจอสี่เหลี่ยมไปพิงพนักเก้าอี้เบื้องหลังทันที มือเล็กก็ยกแก้วไวน์แดงที่เธอถือติดมือมาจากห้องครัวขึ้นจิบไปด้วย ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความพึงใจ เมื่อยื่นแก้วออกห่างริมฝีปากอิ่ม ศีรษะงามก็ขยับเอียงไปทางขวาเล็กน้อยอย่างคนที่กำลังพินิจบุคคลแปลกหน้าให้ถ้วนถี่

เอซ แลนด์สตรอม คนนี้เป็นผู้ชายที่ไม่ต้องเจอตัวจริงเกศราก็พอบอกได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนจริงจัง อายุสี่สิบสองถือว่าน้อยหากเทียบกับความสำเร็จเรื่องงานในประวัติของเขาที่เธออ่านเพียงให้รู้เท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจ และเพียงแค่คิดว่าชายคนนี้เป็นผู้ที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของเธอเป็นคนแรกตั้งแต่สร้างเสร็จ หัวใจของเกศราก็ผ่อนคลายลง

ให้ผู้ชายคนนี้อยู่บ้านหลังนั้นก็ดีกว่าให้คนที่ทำร้ายเธอได้ครอบครองมันก็แล้วกัน มุมปากงามยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้แก่ชัยชนะที่เธอรอคอยมานาน เห็นไหมล่ะว่า...ต่อให้เธอต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆ มาตลอดหลายปี แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายเท่าไหร่หากนึกถึงเงินหกสิบล้านที่เพิ่งโอนเข้าบัญชีธนาคาร และหน้าที่การงานที่กำลังรุ่งโรจน์ของเธอ

เธอก็แค่เสียผู้ชายคนเดียวไปเท่านั้น...

มือถือของเกศราสั่นแรงๆ บนโต๊ะกระจก โดยผู้ที่โทร. เข้ามาหาเธอนั้นเป็นเจ้าของชื่อซึ่งเกศราเลือกที่จะเมิน ไม่ตอบข้อความของเขามาตลอดทั้งวัน คนเล่นตัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย อดีตคนรักและเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างบ้านที่เธอตัดสินใจขายไปสดๆ ร้อนๆ

“เกด” เสียงที่ดังผ่านลำโพงมานั้นลังเลเล็กน้อย เพราะไม่แน่ใจว่าเกศราเป็นผู้รับสายของเขา ปกติแล้วเธอจะไม่ติดต่อกับเขาหากไม่มีความจำเป็น ซึ่งกวีรู้ดีว่าหญิงสาวไม่เคยมีความจำเป็นเลยตั้งแต่เขาเข้าพิธีวิวาห์กับศศิเมื่อหลายปีก่อน “เกดฟังเราอยู่หรือเปล่า”

“สวัสดีจ้ะวี” น้ำเสียงของเกศรานั้นเย็นชา ไร้ความรู้สึก ผิดกับคำพูดอ่อนหวานของเจ้าตัว “โทร. หาเรา มีอะไรหรือเปล่า”

“ก็เกดไม่ตอบข้อความของเรา” กวีพ้อ เกศราไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะตอบข้อความของเขาก็จริง แต่หญิงสาวก็ไม่เคยเมินข้อความของเขาได้เป็นวันๆ เช่นนี้ “เมื่อเย็นที่ร้านอาหาร เราไม่ได้เข้าไปทักเกด”

“ไม่ต้องเข้ามาทักเราหรอก” เกศราบอกอดีตคนรักที่เธอไม่นับเป็นเพื่อนด้วยน้ำเสียงซังกะตาย พลางยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกอึก ตาก็มองหน้าคมคายของเจ้าของดวงตาสีฟ้าตรงหน้าต่อ “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของวีที่ต้องเข้ามาทักเรา ตกลงมีอะไรถึงได้โทร. มาหาเราแบบนี้”

“เกดขายบ้านทำไม” กวีสูดลมหายใจเข้าปอด ไม่โกรธเกศราที่เหน็บแนมตนด้วยคำพูดเช่นนี้ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะถือโทษโกรธเธออยู่แล้ว

“ก็แล้วทำไมเราจะขายไม่ได้” เกศราตอบอดีตคนรักด้วยการย้อนถามเขาเสียอย่างนั้น

“โธ่ เกดก็รู้นี่ว่าทำไม” กวีครวญ บ้านหลังนั้นมีความหมายสำหรับเขาและเกศราเพียงใดใครๆ ก็รู้ บ้านหลังนั้นทั้งเขาและเธอตั้งใจว่าจะใช้เป็นเรือนหอ แล้วจู่ๆ หญิงสาวก็บอกขายกะทันหัน ไม่คิดที่จะบอกเขาสักคำ “ถ้าคิดจะขายเกดก็น่าจะบอกเรา”

“ทำไม วีจะซื้อเหรอ” เกศราถามออกไปตรงๆ แม้รู้ทั้งรู้ว่ากวีไม่มีทางที่จะซื้อบ้านของตนก็ตาม

“ไม่ใช่อย่างนั้น” กวีว่าเสียงท้อใจ เรื่องซื้อบ้านที่ตั้งอยู่ข้างๆ บ้านหลังปัจจุบันของเขานั้นเป็นเรื่องใหญ่ หากต้องการจะซื้อจริงๆ ก็คงต้องผ่านด่านอรหันต์หลายด่าน แต่เขาไม่ได้มาซื้อบ้านหลังปัจจุบันนี้เพื่อให้เกศราขายเรือนหอ แล้วทิ้งเขาไปง่ายๆ เช่นเดียวกัน “เกดก็รู้ว่าทำไมเราไม่อยากให้เกดขายบ้าน”

“เราขายไปแล้ว” เกศราบอกง่ายๆ ถอนหายใจแรง บอกชัดว่าตอนนี้หญิงสาวอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด ที่อดีตคนรักโทร. มาตัดพ้อเธอด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“แล้วคนที่ซื้อมันเป็นใครกัน ไว้ใจให้ดูแลบ้านได้หรือเกด เกดรักบ้านหลังนี้มากไม่ใช่เหรอ”

“เขาให้เงินเราหกสิบล้านได้ แค่นี้ก็ทำให้เราเลิกรักได้แล้วละวี” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ พลางยกขาขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ เอียงคอมองคนที่มอบเงินหกสิบล้านให้เธอแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเกศราก็ขยายกว้างขึ้นไปอีก “เราเลิกให้ค่ากับความรักไปนานแล้ว วีก็น่าจะรู้”

“เกด...”

“เราว่าวีควรจะดีใจกับเรานะ” เกศราเอ่ยแทรกคนเสียงทุ้มที่เอาแต่เรียกชื่อของเธอ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อเธอ หรือกระทั่งโทร. หาอย่างนี้เลยด้วยซ้ำ “กว่าเราจะมาถึงตรงนี้ได้ เราผ่านอะไรมาบ้างวีก็น่าจะรู้ แค่เรื่องขายบ้านเท่านี้มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่วีทำไว้กับเราด้วยซ้ำ”

“เกด ให้เราอธิบายเถอะ” กวียกมือขึ้นเสยผมสั้นของตนไปด้านหลัง บอกชัดถึงความเครียดและกังวลเมื่อเขาพูดสายกับเกศรา เพียงเท่านี้กวีก็แพ้หญิงสาวราบคาบ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงยามที่เขาและเกศราเผชิญหน้ากัน กวีรู้ว่าเขาต้องเป็นบ้าแน่ๆ หากต้องพบกับหญิงสาว และได้เห็นกับตาของตัวเองว่าตอนนี้เกศรามีความสุขอย่างไรบ้างเมื่อเธอไม่มีเขาอยู่ในชีวิต “เราอยากจะคุยกับเกดเรื่องนี้จริงๆ เกดเข้าใจเราผิดนะ”

“วีคิดว่าเราไม่พกสมองติดตัวหรือยังไง” เกศรานิ่วหน้า ถามอดีตคนรักของตนด้วยน้ำเสียงอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่กวีนั้นเอ่ยเหมือนว่าเธอจะกลับไปเชื่อคำพูดของเขาอีกครั้ง “อย่าดูถูกสติปัญญาของเราเลยวี ไม่อย่างนั้นเราคงจะห้ามตัวเองไม่ให้เกลียดวีไปมากกว่านี้ไม่ได้”

สำหรับเกศรา กวีและครอบครัวของเขาจะดูถูกเธออย่างไรก็ได้ แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่เธอจะไม่ยอมให้เขาหรือใครปรามาสว่าเป็นผู้หญิงที่โง่

เมื่อเกศราเอ่ยชัดอย่างนี้แล้ว กวีก็ถึงกับเงียบหายไปครู่หนึ่งอย่างจนมุม ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันแน่นอย่างคิดไม่ตกว่าจะต้องทำอย่างไรเขาถึงจะได้รับโอกาสจากเกศราอีกสักครั้ง

“เราอยากเจอเกด เราจะเจอกันอีกสักครั้งได้ไหมเกด เราขอร้อง”

“ไม่” เกศราตอบง่ายๆ ไม่เสียเวลาคิดให้วุ่นวาย “เราไม่มีเวลาว่างขนาดที่จะไปเจอสามีคนอื่นได้หรอกนะวี ขอโทษที”

“เกด...เราไม่อยากให้เกดขายบ้านหลังนั้นเลยนะ” กวีอ้อนวอนด้วยความหวังเฮือกสุดท้าย เขายังเชื่อเสมอว่าเกศราไม่มีทางลืมเลือนความสำคัญของบ้านหลังนั้นได้ เขาเองก็ไม่ลืม “เราขอร้อง คิดเรื่องขายบ้านอีกทีเถอะนะ”

“ไม่อยากให้เราขายให้คนอื่นก็เอาเงินมาให้เราหกสิบล้านก่อนเที่ยงพรุ่งนี้สิวี” เกศราเสนอทางออกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“พูดอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้เกด นี่เราจริงจังนะ”

“ใครบอกวีว่าเราพูดเล่น” เกศราย้อน “เราพูดจริงๆ ถ้าไม่อยากให้เราขายบ้านให้คนอื่นก็มาซื้อเก็บไว้เองสิ เรื่องนี้เข้าใจยากตรงไหน”

“นั่นมันเรือนหอของเรานะเกด เกดจะขายมันลงจริงๆ เหรอ”

“เรือนหอของเกดคนเดียว ไม่ใช่เรือนหอของวีเสียหน่อย” เกศราเอ่ยเสียงเฉียบ ทำเอากวีถึงกับอึ้งไป “วีหนีไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นก่อนนะ วีอาจจะจำไม่ได้ แต่เราจำได้ จำได้ไม่มีวันลืมเชียว!”

“...”

“อ้อ แล้วอีกอย่างนะวี” คนเสียงหวานอุทานคล้ายกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ในนาทีสุดท้าย “เราขายบ้านไปแล้ว ไม่ใช่กำลังจะขาย ถ้าเข้าใจผิดก็ช่วยเข้าใจใหม่ด้วยนะ”

“เราไม่เชื่อหรอกว่าเกดจะไม่รักบ้านหลังนี้แล้ว” กวียังคงดื้อดึง บอกตัวเองให้เชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดหลายปี “เราไม่เชื่อว่าเกดจะเลิกรักเราได้เหมือนกัน”

“วี! อย่าหาว่าเราหยาบคายเลยนะ” เกศราอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ เอาให้สมกับความขบขัน “เป็นบ้าเหรอ วีทำกับเราไว้ตั้งขนาดนั้น ควายที่ไหนมันจะทนรักสัตว์สองเท้าอย่างวีได้อีก”

“เกดพูดกับเราขนาดนี้เลยเหรอ”

“เราพูดได้ยิ่งกว่านี้อีก” เกศราว่าเสียงเฉียบ “วีไม่ได้วิเศษวิโสหรือมาจากฟ้าจากสวรรค์ที่ไหนนี่ ออกจะเลวด้วยซ้ำ ขอเถอะ ถ้าจะโทร. มาเพ้อเจ้อเรื่องที่คิดว่าเรายังรักวีอยู่ละก็ ไม่ต้องโทร. มาอีกแล้ว เพราะเราขอพูดให้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่าเราไม่ได้รักวี เลิกรักไปตั้งแต่วันที่วีแต่งงานนั่นแหละ เลิกพูดจาไร้สาระแบบนี้ได้แล้ว อย่างน้อยก็คิดถึงหน้าลูกเมียของวีบ้าง”

“ทำไมเกดไม่เข้าใจเรา เกดก็รู้ว่าเราทำไปเพราะความจำเป็น”

“เราไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่คิดจะเข้าใจอะไรวีทั้งนั้น” หญิงสาวบอกชัดถึงเจตนาของตน “อยู่กันอย่างเพื่อนร่วมโลกเหมือนเดิมดีกว่าวี อย่าทำให้เรารำคาญ วีก็รู้ว่าถ้าเรารำคาญแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น”

“เราไม่อยากเป็นแค่นั้น”

“วีไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากเราทั้งนั้น” เกศราว่าเสียงเย็น จริงจังและเด็ดขาด ทำให้กวีต้องหุบปากฉับ “เราเป็นคนเลือก ถ้าไม่อยากให้เราเกลียดวีมากไปกว่านี้ก็ทำตามที่เราขอ ต่างคนต่างอยู่นะวี จบเรื่องบ้านแล้วเราคงไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก หมดเวรหมดกรรมจากกันเท่านี้เถอะวี นี่ถือว่าพูดดีแล้วนะ”

“เรารับปากเกดไม่ได้ เราใจไม่แข็งพอ”

“ถ้ามันยากขนาดนั้น ก็แค่ลบเบอร์มือถือของเราทิ้ง” เกศราเสนอ หากเขาคิดว่าการอยู่กันอย่างเพื่อนร่วมโลกนั้นเป็นการขอร้องมากไป ก็ต้องเลิกติดต่อกันอย่างเด็ดขาด เรื่องไม่ต้องเจอชายหนุ่มนั้นเกศราไม่เดือดร้อนเพราะเธอก็ทำมาตลอดหลายปี เธอไม่ได้หนีเพราะขี้ขลาด เพียงแต่ไม่อยากเจอเพราะไม่อยากติดคุกคดีฆ่าคนตายก็เท่านั้น “แค่นี้นะวี เรามีธุระ”

“เรายังรักเกดนะ” คนเสียงห้าวตะโกนบอกก่อนที่เกศราจะได้กดวางสาย “ยังรักเหมือนเดิม”

“เอาเวลาไปรักเมียของวีเถอะ เรามีคนที่รักเรามากพอแล้ว ไม่ต้องการความรักเหลือๆ จากสามีของคนอื่น”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น