6

บทที่ 6


ตกลงเราคงต้องเป็นสามีภรรยากัน

คิรากรนั่งเคาะนิ้วบนพวงมาลัยและฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีได้ทั้งที่รถติดแทบไม่ขยับ ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่เคียงข้างอดแปลกใจไม่ได้
“รถติดขนาดนี้ยังอารมณ์ดีได้อยู่อีกนะคุณ”
“เพราะคุณที่ทำให้ผมอารมณ์ดี” เขาหันมาส่งยิ้มให้ “เดี๋ยวผมพาไปเลือกแหวนแต่งงานที่ร้านเพื่อนคุณแม่นะ คุณเลือกได้ตามใจชอบเลย ไม่จำกัดขนาดเพชร ไม่จำกัดวงเงิน”
“ฉันพูดเล่นค่ะ ไม่ได้อยากได้จริงซะหน่อย แล้วตอนนี้ฉันก็ต้องรีบไปทำงานแล้วด้วย คุณจับฉันยัดใส่รถมา คุณต้องรับผิดชอบไปส่งฉันให้ทันสิบโมงด้วยนะ” หญิงสาวบอกจุดหมายปลายทางที่จะให้เขาไปส่งแล้วสะกิดบอกคนที่เอาแต่นั่งเอียงตัวมองหน้าเธอให้ออกรถ เมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัวทิ้งห่างไปไกล “หันไปมองถนนแล้วขับรถดีๆ ค่ะ เดี๋ยวคันหลังก็ด่าเอาหรอก”
“วันนี้ใครด่าอะไรผมก็ไม่โกรธ” ชายหนุ่มตอบอย่างกระดี๊กระด๊า อารมณ์ดีเกินเหตุ ก่อนจะละสายตาจากใบหน้าเรียวเล็กที่สวยจัดเพื่อหันไปมองถนนแล้วเคลื่อนรถออกไป
โดยพื้นฐานแล้วอลีนาเป็นคนหน้าหวาน แต่การแต่งหน้าด้วยโทนสีส้มผสมน้ำตาลก็ทำให้เธอดูสดใสและดูเป็นสาวเปรี้ยวอมหวานที่มองไม่รู้เบื่อ แค่คิดว่าจะได้ตื่นมาเจอหน้าเธอเป็นคนแรกทุกเช้า หัวใจของเขาก็เต้นรัวจนผิดจังหวะแล้ว
“เรื่องแต่งงานคุณไม่ต้องจริงจังมากก็ได้นะ เพราะเราจะแต่งกันแค่ในนามเท่านั้น”
“หือ?” เขาส่งเสียงครางในลำคออย่างข้องใจ
“คุณคงไม่ได้คิดว่าเราจะแต่งงานเป็นสามีภรรยากันจริงๆ หรอกใช่มั้ย”
“คิด” เขาหันหน้ามาพยักหน้ารับแบบจริงจังมาก ก่อนจะหันกลับไปมองถนนข้างหน้าตามเดิม
“หยุดคิดเดี๋ยวนี้เลยนะ” อลีนาย้ำเสียงหนัก “ส่วนข้อตกลงที่เราคุยกันไว้เมื่อคืนก็ยังเหมือนเดิมนะคะ เมื่อไหร่ที่คุณมีคนอื่น ฉันจะพาไออุ่นออกไปจากชีวิตคุณทันที”
“ถ้าผมแต่งงานกับคุณแล้ว ผมก็จะซื่อสัตย์กับคุณ ผมไม่ไปยุ่งกับคนอื่นหรอก” เขายังคงทำหน้าจริงจัง ทั้งที่เธอบอกไม่ให้จริงจัง
“ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูดก็อย่าพูดเลยดีกว่า”
“คุณรู้มั้ยว่าผมโสดสนิทมานานเท่ากับอายุของไออุ่นเลยนะ เพื่อนผมยังแซวกันอยู่เลยว่าผมทนอดอยากปากแห้งมาได้ยังไงตั้งหลายปี บางคนถึงกับคิดว่าผมเบี่ยงเบนไปแล้วด้วยซ้ำ”
“จะมาบอกทำไม ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณสักหน่อย” หญิงสาวเสมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เพื่อซ่อนความกระดากอาย ถึงเธอจะไม่ใช่กุลสตรีที่เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ แต่เธอก็ไม่เคยคุยเรื่องเซ็กซ์กับใครอย่างเปิดเผยแบบนี้มาก่อน
“เขินเหรอ” เขาถามยิ้มๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะเจอผู้หญิงที่เขินจนหน้าแดงลามไปถึงใบหูเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายกับคุณ มันเพลินปากไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่คุณอย่าหลุดปากพูดแบบนี้ต่อหน้าลูกก็แล้วกัน” คราวนี้เธอหันมาตำหนิเขาด้วยสายตา
“คร้าบบบ คุณแม่ ต่อไปถ้าผมเผลอพูดอะไรไม่ดีแบบนี้อีกผมจะยอมให้คุณตบปากผมเลย” ว่าแล้วเขาก็คว้ามือเล็กนุ่มนิ่มของคนข้างกายขึ้นมาตบปากตัวเองแบบรัวๆ อย่างที่เคยเล่นกับไออุ่นเป็นประจำแบบลืมตัว “นี่แน่ะๆๆๆ ปากไม่ดีใช่มั้ย”
“นี่คุณ! อย่าเล่นแบบนี้นะ” อลีนารีบชักมือกลับแล้วเอามาวางซุกไว้บนหน้าตักตัวเองอย่างเขินอาย
“ผมว่าคุณน่าจะทำตัวให้ชินกับผมเอาไว้นะ พอเราแต่งงานกัน มันก็ต้องมีอะไรๆ มากกว่าจับมือกันอยู่แล้ว” คิรากรยังคงคิดอยู่ฝ่ายเดียวว่าการแต่งงานครั้งนี้มันคือเรื่องจริงจัง และทุกอย่างก็ควรจะดำเนินไปเหมือนคู่สามีภรรยาทั่วไป
“ถึงจะแต่งงานกันแล้ว แต่เราก็จะแยกห้องนอนกันค่ะ” อลีนาบอกโดยไม่กล้าหันมามองหน้าเขาตรงๆ “ฉันบอกคุณแล้วไงคะว่าการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการแต่งงานแค่ในนาม ถ้าคุณไม่ตกลง ฉันก็ไม่แต่งนะ”
“โอเคครับ...ตกลงตามนั้น” ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับเงื่อนไขของเธอแต่โดยดี เพราะไม่อยากให้เธออึดอัดใจจนเกินไป เขาเข้าใจว่าเรื่องระหว่างเขาและเธอมันเกิดขึ้นเร็วมากเพียงชั่วข้ามคืน ถึงเขาจะถูกใจเธอ และมั่นใจว่าเธอก็น่าจะพอใจเขาอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่มันคงเร็วเกินไปที่จะมีความสัมพันธ์ข้ามขั้นตอนแบบก้าวกระโดดขนาดนั้น “ผมยอมทำตามเงื่อนไขของคุณทุกอย่าง คุณก็อย่าลืมทำตามเงื่อนไขของผมก็แล้วกัน”
“เรื่องห้ามคบกับใครน่ะเหรอ”
“เยส!” เขาตอบรับเสียงใส ขณะเลี้ยวรถเข้าไปจอดส่งเธอที่หน้าอาคารสำนักงาน
“แค่ทำงานกับดูแลไออุ่นตามแผนที่คุณวางไว้ฉันก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้วค่า” หญิงสาวลากเสียงยาวกึ่งประชดอย่างน่ารักแล้วเปิดประตูรถ แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวลงไป คิรากรก็จับมือของหญิงสาวเพื่อรั้งเธอเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนเอิง”
“มีอะไรคะ” หญิงสาวหันหน้ากลับมาหาเขาและพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่คราวนี้เขาไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“เรื่องแต่งงาน คุณอาจจะไม่คิดจริงจัง แต่ผมจริงจังนะ” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมใสของเธอเพื่อส่งผ่านความรู้สึกที่ซาบซ่านอยู่ภายในใจ “เรื่องระหว่างเรามันอาจจะเริ่มต้นแบบฉุกละหุกข้ามขั้นตอนไปหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าผมรู้สึกดีกับคุณจริง”
“คุณ...” อลีนาอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง นอกจากเขาจะรุกหนักแล้ว เขายังชัดเจนมากอีกด้วย ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจว่าเธอเป็นอันนา เขาก็แสดงออกอย่างเปิดเผยว่า ‘เกลียด’ และไม่อยากเสวนาด้วย แต่พอรู้ความจริงว่าเธอเป็นใคร เขาก็สลับโหมดมาเป็นมิตรกับเธอได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เรียกว่าเขาเป็นคนชัดเจนและตรงไปตรงมามากที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้จักเลยทีเดียว
“ผมไม่ได้รู้สึกดีกับคุณเพราะคุณจะมาเป็นแม่ให้ไออุ่นนะ” เขาออกตัวก่อนที่เธอจะเข้าใจความรู้สึกของเขาผิด “แต่มันเป็นความรู้สึกของผู้ชายคนนึงที่มีต่อผู้หญิงที่ชอบ”
“คุณชอบฉัน” อลีนาครางเสียงแผ่วในลำคออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ครับ...ผมชอบคุณ” เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าหนักแน่น “ผมอยากให้การแต่งงานเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ผมไม่อยากให้คุณแต่งเพื่อรอวันที่จะไปจากกัน” เขากระชับมือเธอแน่นขึ้นและวางมืออีกข้างลงบนหลังมือเธอ ราวกับต้องการบอกว่า ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไปเด็ดขาด
“คุณคิดดีแล้วเหรอคะที่พูด”
“ผมไม่ได้ใช้สมองคิด แต่ผมเชื่อเสียงหัวใจตัวเอง ความรู้สึกของผมมันบอกว่าผมชอบคุณ ต่อให้คุณไม่ตอบตกลง ผมก็จะทำให้คุณหลงรักผมจนถอนตัวไม่ขึ้น ระวังหัวใจของคุณเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
เขายกมือเธอขึ้นมากดจูบหนักๆ ที่กลางฝ่ามือเสมือนเป็นการประกาศเปิดศึก!
อลีนามาถึงออฟฟิศก็รีบเคลียร์งานและประชุมสรุปคอนเซปต์ปกนิตยสารเล่มใหม่ ซึ่งเป็นฉบับของอีกสองเดือนข้างหน้าที่ถูกเลื่อนมาจากเมื่อวาน ปุยฝ้ายทำการบ้านมาดีมากสมกับประสบการณ์ที่มีกว่าสิบปีในวงการแฟชั่น ทำให้สามารถปิดการประชุมได้อย่างรวดเร็ว เมื่อจัดการงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวจึงเข้าไปยื่นใบลาพักร้อนกับมาทินา
“ลาไปไหนตั้งสี่วัน” มาทินาหรี่ตามองอย่างแปลกใจ ตั้งแต่เรียนจบและเข้ามาทำงานที่นี่เป็นที่แรกเมื่อสี่ปีก่อน อลีนาไม่เคยลาหยุดแม้แต่วันเดียว เธอขยันและทำงานดีมากจนได้เลื่อนตำแหน่งจากกองบรรณาธิการมาเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการฝ่ายแฟชั่น และได้เลื่อนมาเป็นบรรณาธิการเต็มตัวแทนคนเก่าที่ลาออกไปแต่งงาน เธอเติบโตในสายงานแบบก้าวกระโดดมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันมาก
“ไปแต่งงานค่ะ” หญิงสาวบอกหน้าตาเฉย ไม่ต่างกับบอกว่าจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย
“แต่งงาน!” มาทินาแปลกใจมาก ทำงานด้วยกันมาหลายปี เธอไม่เคยรู้เลยว่าลูกน้องมีแฟน
“ค่ะ...น่าจะภายในสองสามวันนี้ เอิงยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นวันไหน เพราะเพิ่งตัดสินใจเมื่อเช้า ถ้าสรุปวันได้ เอิงจะมาเชิญคุณทีน่าอย่างเป็นทางการอีกทีนะคะ”
“ฉันต้องเตรียมตัวหา บ.ก. ใหม่อีกแล้วสิ”
“แต่งงานแล้วเอิงก็ยังทำงานอยู่ค่ะ ยังไม่ลาออก คุณทีน่าไม่ต้องหาคนใหม่นะคะ” ว่าที่เจ้าสาวรีบบอก
มาทินาโล่งอกเพราะก็เสียดายความสามารถของอลีนาเหมือนกัน “แล้วเรื่องคุณแพรว เธอจะไปขอโทษเขาวันไหน นี่เขาก็เพิ่งโทร. มาเตือนฉันว่าให้รีบจัดการ เพราะเขาถูกชาวโซเชียลแคปรูปแซวเรื่องขาใหญ่หนักมาก”
“เรื่องคุณแพรวยังพอมีเวลา เอิงขอจัดการเรื่องงานแต่งงานให้เรียบร้อยก่อนนะคะ” อลีนาครุ่นคิดแล้วเอะใจอะไรบางอย่าง “จริงๆ รูปนั้นคุณแพรวไม่ได้ดูขาใหญ่เลย คนที่จุดประเด็นในโซเชียลมีความแค้นส่วนตัวอะไรกับคุณแพรวหรือเปล่าคะก็เลยอยากแกล้ง เอิงว่างานนี้คุณแพรวเล่นงานผิดคนแล้ว น่าจะไปไล่บี้กับคนที่สร้างกระแสเรื่องนี้เป็นคนแรกมากกว่า”
“ที่เธอพูดก็น่าคิด ฉันจะลองให้คนเช็กดูว่าต้นตอข่าวนี้มาจากไหน” มาทินาเห็นด้วย
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ ถึงแม้มาทินาจะเป็นหัวหน้างานที่ถูกบรรดาลูกน้องพูดถึงลับหลังว่าโหดขั้นสุด แต่เธอก็เป็นคนที่มีความยุติธรรมมาก ถูกผิดว่ากันไปตามเนื้องาน “เอิงขอตัวก่อนนะคะ มีเรื่องต้องจัดการอีกเยอะเลยค่ะ”
“ดีใจด้วยนะเอิง เธอเป็นคนเคร่งเครียดกับงานเกินไป มีสามีก็ดีเหมือนกัน ชีวิตจะได้สดใสซู่ซ่าขึ้น”
“มีสามีแล้วจะสดใสซู่ซ่ายังไงคะ”
“ลองไปถามว่าที่สามีเธอดูสิ” สาวใหญ่ที่แต่งงานมีลูกแล้วบอกด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบที่อลีนาไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะปกติเธอจะชอบยิ้มเยือกเย็นแบบเชือดเฉือนมากกว่า
“คุณทีน่าอ้ะ” ใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้ ‘เรื่องบนเตียง’ มาก่อนร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อแปลความหมายในแววตาของเจ้านายออก
อลีนาออกจากออฟฟิศตอนบ่ายสามโมงแล้วกระโดดขึ้นแท็กซี่ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจะโทร. คิรากร แต่เมื่อกดเบอร์ของเขาขึ้นมาก็ปรากฏชื่อ ‘คุณลุงร็อตไวเลอร์’ หญิงสาวยิ้มขำแล้วกดเปลี่ยนชื่อที่บันทึกไว้เป็น ‘คุณลุงซู่ซ่า’ ก็ตอนนี้เขาไม่ดุเธอแล้วนี่ แถมยังขยันทำให้หัวใจเธอเต้นแรงอีกต่างหาก
“ฉันกำลังนั่งแท็กซี่กลับบ้าน เย็นนี้คุณไม่ต้องมารับฉันที่ออฟฟิศนะ ไปเจอกันที่โรงพยาบาลเลย”
“ให้ผมไปรับที่บ้านมั้ย” ท่านประธานหนุ่มเซ็นเอกสารแล้วปิดแฟ้มส่งคืนให้เลขาฯ ที่ยืนรออยู่หน้าโต๊ะแล้วโบกมือให้เธอออกไป
“ไม่ต้องค่ะ ฉันนั่งแท็กซี่ไปเองได้ แต่อาจจะไปถึงช้าหน่อย เพราะน่าจะต้องคุยกับพ่อแม่เรื่องแต่งงานยาวเลย ฝากบอกไออุ่นว่ายังไงฉันก็จะไปหาแก ไม่ต้องร้องไห้นะ”
“ไม่ใช่แค่ไออุ่นนะที่จะร้องถ้าคุณไม่มา” คิรากรทิ้งหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมก็จะร้องด้วย”
“อย่ามาทำเป็นพูดเล่น” น้ำเสียงที่พูดออกมาทั้งเข้มและดุ แต่ริมฝีปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างเปิดเผยเพราะรู้ว่าคนปลายสายไม่มีทางได้เห็นแน่
“ผมพูดจริงนะ” ชายหนุ่มพูดพลางหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินจากในลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมาเปิดดู ภายในบรรจุแหวนแต่งงานที่ตัวเรือนทำด้วยทองคำขาว หัวแหวนประดับด้วยเพชรขนาดสามกะรัตน้ำดีที่ล้อแสงไฟทุกเหลี่ยมมุม ซึ่งเขาแอบไปซื้อมาเตรียมไว้ให้ว่าที่เจ้าสาว เขาคะเนขนาดนิ้วเล็กๆ ของเธอด้วยสายตาตอนที่จูบมือเธอเมื่อเช้า และหวังว่าจะกะขนาดไม่พลาด
คิรากรเลือกแหวนขนาดกะทัดรัดที่เหมาะสำหรับสวมติดนิ้วในชีวิตประจำวัน เนื่องจากแหวนแต่งงานวงจริง มารดาของเขาออกปากแล้วว่าจะมอบแหวนเพชรเก่าแก่ประจำตระกูลให้ ซึ่งเป็นแหวนเพชรเม็ดใหญ่ดีไซน์หรูหราอลังการ เหมาะสำหรับสวมออกงานสำคัญมากกว่า เขาเดาได้เลยว่าอลีนาจะไม่ยอมเอามาสวมติดนิ้วทุกวันแน่ ดังนั้นเขาจึงต้องหาแหวนอีกวงมาให้เธอสวม เพื่อเป็นการประกาศบอกผู้ชายทั้งโลกว่าเธอมีเจ้าของแล้ว
“คุณรีบมานะ ผมมีอะไรอยากให้คุณดู”
“อะไรคะ ถ่ายรูปส่งมาให้ดูตอนนี้เลยได้มั้ย”
“ไม่ได้” ชายหนุ่มยิ้มกับแหวนที่เขาตั้งใจเลือกมาอย่างดี “ผมอยากเห็นหน้าคุณตอนที่คุณเห็นของที่ผมเตรียมไว้ให้”
“คุณเตรียมอะไรไว้แกล้งฉันหรือเปล่า” อลีนาเริ่มไม่ไว้ใจ
“เห็นผมเป็นคนยังไง” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี
“คุณๆ แค่นี้ก่อนนะ พี่พอลโทร. มา” อลีนาละล่ำละลักบอกแล้วรีบกดตัดสายของคิรากรทิ้ง เพื่อจะกดรับสายของศิวภัทรที่โทร. ซ้อนเข้ามา
“เดี๋ยวก่อนเอิง! เอิง!” คิรากรวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะทำงานอย่างสุดเซ็ง คนที่โทร. ซ้อนเข้ามาสำคัญมากถึงขนาดที่เธอต้องรีบตัดสายเขาทิ้งขนาดนี้เลยเหรอ
ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงชื่อ ‘พี่พอล’ อยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่า มันคือชื่อของผู้ชายที่อยู่กับอลีนาในคืนที่เขาเจอเธอที่ลานจอดรถในโรงแรม อลีนาเคยบอกว่าผู้ชายคนนั้นเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของอันนา แต่ภาพที่เขาจำได้ติดตาคือ คืนนั้นศิวภัทรโอบเอวเธออย่างสนิทสนมราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ตกลงผู้ชายคนนั้นเป็นอะไรกับเธอกันแน่!
อลีนาแวะมาหาศิวภัทรที่เวดดิงสตูดิโอก่อนกลับบ้านเพราะเขาโทร. มาบอกว่าอันนาเบี้ยวนัดลองชุดแต่งงาน แถมยังติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เช้าอีกด้วย
“พี่พอลไม่ได้คุยกับเอยมากี่วันแล้วคะ” หญิงสาวเลียบเคียงถาม เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าการที่ศิวภัทรติดต่ออันนาไม่ได้เป็นเพราะน้องสาวของเธอตั้งใจหลบหน้าเขา
“ตั้งแต่วันที่เราไปดูห้องจัดเลี้ยงที่โรงแรมกัน พี่ก็ไม่ได้คุยกับเอยอีกเลย” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้ทั้งชีวิตส่วนตัวและงานของเขาปั่นป่วนไปหมด สถานีโทรทัศน์ช่อง 66 HD ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ดำเนินกิจการมานานกว่าสี่สิบปีกำลังประสบภาวะขาดทุน หุ้นร่วง เรตติงละครโทรทัศน์แพ้ช่องคู่แข่งแบบหลุดลุ่ยแทบทุกลอต นักแสดงในสังกัดก็ขยันสร้างข่าวฉาวโฉ่ ว่าที่เจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานกันก็มาทำท่าจะตีจากอีก
“เอิงได้คุยกับเอยบ้างมั้ย”
“คุยบ้างค่ะ” อลีนาตอบไม่เต็มเสียง เพราะเรื่องที่คุยกันไม่สมควรให้ศิวภัทรรับรู้สักเรื่อง ทั้งเรื่องที่อันนาเคยมีลูกมาก่อน เรื่องที่มีผู้ชายคนใหม่ และเรื่องที่อันนากำลังวางแผนจะยกเลิกการแต่งงานกับเขา
“พี่รู้สึกว่าเอยไม่อยากแต่งงานกับพี่แล้ว” ศิวภัทรยอมรับออกมาในที่สุด
“ทำไมพี่พอลถึงคิดอย่างนั้นคะ” ถามทั้งที่รู้ว่าคนรักกันย่อมมีเซนส์ในเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
“พี่เริ่มรู้สึกตั้งแต่สถานการณ์ในช่องของพี่ไม่ค่อยดีแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง “เอิงก็รู้นิสัยเอยดีคงเดาได้ใช่มั้ยว่าเพราะอะไร”
“พอจะเดาได้ค่ะ”
อลีนารู้นิสัยอันนาดีว่าเป็นคนชอบความฟุ้งเฟ้อ ติดหรู ชอบคนรวย และฝันอยากมีชีวิตหรูหราอย่างพวกไฮโซเซเลบตอนแรกที่อันนาอยากได้ศิวภัทรมากก็เพราะเขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มเนื้อหอม สถานีโทรทัศน์ของเขาก็กำลังรุ่งเรือง เรียกว่าเป็นยุคทองของช่อง 66 HD ซึ่งต่างจากตอนนี้ที่เป็นขาลงโดยสิ้นเชิง
“อ้าว...คุณเอยมาแล้วเหรอคะ” พนักงานของร้านเดินเข้ามาไหว้อลีนาอย่างเป็นกันเอง “ฟ้าเตรียมชุดไว้ให้แล้ว เชิญคุณเอยเข้าไปลองได้เลยค่ะ ถ้าไม่พอดีตรงไหนฟ้าจะให้ช่างแก้ให้ค่ะ”
“ฉันไม่ใช่เอยค่ะ ฉันชื่อเอิง เป็นพี่สาวฝาแฝดของเอย” อลีนารีบแก้ความเข้าใจผิด
“จริงเหรอคะเนี่ย” พนักงานสาวทำหน้าตื่นเต้น “หน้าเหมือนกันมาก นี่ถ้ามายืนเทียบกันก็คงแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร”
“เอิงช่วยลองชุดแทนเอยหน่อยได้มั้ย พี่ไม่อยากเสียเวลารอเอยแล้ว” ศิวภัทรบอกหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเขาเคยจีบ หากไม่มีอันนาเข้ามาแทรก วันนี้เจ้าสาวของเขาก็คงเป็นเธอ
“ของแบบนี้ทำแทนกันได้ที่ไหนคะ” อลีนาอึดอัดใจ บางครั้งศิวภัทรกับอันนาก็เหมือนกันเกินไป คือมีเรื่องอะไรก็เอามาโยนลงที่เธอกันหมด “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันค่ะ เอิงจะเอาชุดไปให้เอยลองที่บ้าน ถ้าไม่พอดีตรงไหนเอิงจะเป็นคนมาคุยกับช่างให้เอง”
“ก็ได้” ศิวภัทรตอบตกลงแล้วหันไปสั่งพนักงาน “เอาชุดใส่ถุงมาให้คุณเอิงด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” พนักงานสาวรับคำแล้วเดินออกไป
“ถ้าพี่ไม่โลเลเปลี่ยนใจจากเอิงไปคบกับเอย พี่ก็คงไม่ต้องเครียดแบบนี้” ชายหนุ่มพูดเปรยขึ้นอย่างเหนื่อยหน่ายที่วิ่งตามผู้หญิงที่ทำท่าจะวิ่งหนีเขาแล้ว
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ” อลีนารู้สึกได้ว่าเขากำลังจะโลเลเปลี่ยนใจอีกแล้ว
“พี่พูดจริง” ศิวภัทรมองสบตาหญิงสาวที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามกันด้วยแววตาที่จริงจังขึ้น “ถ้าเอยขอเลิกกับพี่อย่างที่พี่คิดไว้จริง เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ได้มั้ยเอิง”
“สายไปแล้วค่ะพี่พอล เอิงกำลังจะแต่งงานไม่กี่วันนี้แล้ว”
“แต่งงาน!”
“ค่ะ” อลีนารู้สึกชนะที่เห็นเขาแสดงความเสียดายออกมาทางสายตาอย่างเปิดเผย
อลีนาหอบถุงชุดแต่งงานฟูฟ่องที่มีน้ำหนักเกือบสิบกิโลกรัมของอันนาขึ้นแท็กซี่กลับมาถึงบ้านตอนหกโมงเย็น ทีแรกศิวภัทรขอมาส่ง แต่เธอปฏิเสธ เพราะรู้สึกอึดอัดกับคำพูดที่เขาเพิ่งพูดกับเธอ
เมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาในห้องรับแขก เสียงหัวเราะไม่คุ้นหูของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน เธอคิดว่าพ่อกับแม่มีแขกจึงเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อจะขึ้นบันไดไปชั้นสอง แต่แม่หันมาเห็นเสียก่อน
“ทำไมมาช้านักล่ะเอิง แฟนมารออยู่นานแล้วนะ”
“แฟนเหรอคะ!” อลีนางงเป็นไก่ตาแตก เธอมีแฟนตั้งแต่เมื่อไร
“ผมเอง” ชายหนุ่มที่นั่งหันหลังให้เธอลุกขึ้นแล้วหันหน้ามายิ้มให้อย่างมีนัยอะไรบางอย่างที่บ่งบอกว่าสถานการณ์นี้ไม่ปกติ
“คุณคิม!” อลีนาไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะบุกมาถึงบ้านเธอ แถมยังนั่งคุยกับพ่อแม่เธออย่างสนิทสนมจนหัวเราะกันเสียงดังลั่นขนาดนั้นได้อีก “คุณมาได้ยังไง แล้วมาทำไม”
“คุณคิมมาแนะนำตัว” พ่อชิงตอบแทน และตามมาด้วยเสียงแซวร่าเริงของแม่
“มีแฟนหล่อนิสัยดีแบบนี้ทำไมถึงเก็บเงียบไม่บอกแม่สักคำ” เพราะเป็ดปักกิ่งจากห้องอาหารในโรงแรมห้าดาวชื่อดังและของกำนัลราคาแพงอีกหลายอย่างทำให้คิรากรได้รับความเอ็นดูจากพ่อและแม่ของอลีนาอย่างง่ายดาย
อลีนาเกือบหลุดปากปฏิเสธ แต่คิรากรส่งสายตาปรามไว้พร้อมกับเดินมาจูงแขนเธอไปนั่งที่โซฟา
“ผมคุยกับคุณพ่อคุณแม่คุณเรื่องงานแต่งงานของเราแล้วนะ พวกท่านตกลง พรุ่งนี้ผมจะพาคุณแม่มาสู่ขอคุณกับท่านอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”
“รีบขนาดนี้เอิงท้องใช่มั้ยลูก” พรกมลถามลูกสาวตรงๆ
“เปล่าค่ะแม่ เอิงไม่ได้ท้อง เอิงกับคุณคิมยังไม่เคยมีอะไรกันเลยด้วยซ้ำ” อลีนารีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เอิงโตแล้ว เรียนจบมีงานทำ รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว จะท้องแม่ก็ไม่ว่าอะไร”
“ตอนนี้ยังไม่ท้อง แต่แต่งแล้วก็รีบท้องก็แล้วกัน พ่ออยากเลี้ยงหลานเร็วๆ” คนเป็นพ่อแซวลูกสาวชนิดที่ไม่กลัวว่าลูกสาวจะเขินเลยสักนิด
“พ่ออ้ะ พูดอะไรแบบนั้นคะ” อลีนาอายจนหน้าแดงลามไปถึงใบหู แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อน “แล้วนี่เอยไม่อยู่บ้านเหรอคะ”
“บินไปทัวร์ยุโรปกับเพื่อนตั้งแต่บ่ายแล้ว เห็นว่าจะไปเดือนนึงนะ” แม่ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ลูกสาวคนนี้จะบินไปเที่ยวประเทศโน้นประเทศนี้ครั้งละหลายๆ วัน
พ่อกับแม่นั่งคุยด้วยอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วปล่อยให้สองหนุ่มสาวได้คุยกันตามลำพัง และทันทีที่พ่อกับแม่เดินลับตาไป อลีนาก็หันมาดุคิรากรตาเขียว เพราะรู้สึกว่าเขาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเธอมากเกินไป
“คุณจะทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาฉันก่อน แล้วเรื่องแต่งงานฉันควรเป็นคนคุยกับพ่อแม่เอง ไม่ใช่คุณ”
“ผมรีบ อยากเคลียร์เรื่องนี้ให้จบเร็วๆ เพราะเรายังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” คิรากรบอกหน้านิ่ง น้ำเสียงราบเรียบแบบคุณลุงคนเดิมไม่มีผิด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น