8

คนส่งของ

บทที่ ๘
 คนส่งของ

 

นรินรักษ์สาวเท้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่นั่งกำมือแน่นอยู่หน้าห้องผ่าตัด แล้วนั่งลงเคียงข้างอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร เธอไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่คนรู้จัก ไม่กล้าแม้แต่จะพูดปลอบใจหล่อน สิ่งที่เธอทำได้ในยามนี้คือคอยอยู่เคียงข้างอีกฝ่าย แล้วส่งกำลังใจไปให้ใครบางคนที่กำลังช่วยชีวิตเด็กชายอยู่ในห้องผ่าตัด

หญิงสาวผุดลุกขึ้นยืนเมื่อไฟหน้าห้องผ่าตัดดับลงก่อนที่ร่างสูงของใครบางคนจะก้าวออกมา ใบหน้าคมคายมีร่องรอยความอ่อนเพลีย ทั้งที่แอร์ในโรงพยาบาลหนาวยะเยือก แต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดตามใบหน้าของเขา ท่าทางเหนื่อยล้าของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ

“น้องเก้าปลอดภัยแล้วครับ อีกสักพักถึงจะฟื้น หลังจากนี้เราจะย้ายน้องไปพักห้องไอซียูเพื่อดูอาการต่อไปครับ”

หญิงวัยกลางคนไหว้ขอบคุณชายหนุ่มก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินไปอีกทาง ขณะที่แม่น้องเก้าดึงมือนรินรักษ์มากุมไว้พร้อมกับมองเธอด้วยสายตาขอบคุณ

“ขอบคุณแม่หนูมากนะจ๊ะ ถ้าไม่ได้หนูกับคุณหมอคนนั้น ก็ไม่รู้ว่าลูกชายพี่จะเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูยินดีที่ได้ช่วยน้องเก้าค่ะ” 

“งั้นพี่ขอตัวไปดูลูกก่อนนะ”

นรินรักษ์พยักหน้ารับแล้วมองตามร่างเล็กจนลับตา เสียงโครกครากที่ได้ยินทำให้มือบางเลื่อนไปกุมท้องที่จู่ๆ ก็ร้องประท้วงขึ้นมาเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้า 

หญิงสาวยืนนิ่งราวกับตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่ท้องที่ร้องดังขึ้นมาอีกรอบทำให้เธอหมุนตัวเดินไปทางศูนย์อาหารของโรงพยาบาลทันที

ร่างบางตรงไปแลกบัตรเงินสดของศูนย์อาหารแล้วพุ่งตรงไปยังร้านขายข้าวมันไก่ เนื่องจากเป็นเวลาสาย ผู้คนในศูนย์อาหารจึงบางตา ทว่ายังไม่ทันเดินไปถึงหน้าร้าน สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของใครบางคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว

“อ้าวคุณ!” นรินรักษ์เอ่ยทักอีกฝ่ายที่มองเธอด้วยสีหน้าราบเรียบเช่นเคย “เจอกันอีกแล้ว ดูเหมือนเราจะดวงสมพงศ์กันนะ”

“ผมไม่อยากเจอคุณสักนิด เจอทีไรมีแต่เรื่อง”

ร่างสูงตอบอย่างเย็นชา ขณะที่หญิงสาวส่งค้อนให้อีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ ดวินรับจานข้าวมันไก่จากแม่ค้าแล้วยื่นให้เธอ

“คุณมาก่อนนี่ เอาไปก่อนเลย”

“ท้องคุณร้องเสียงดังหนวกหูมาตั้งแต่หน้าห้องผ่าตัดแล้ว เอาไปกินก่อนเถอะ”

นรินรักษ์ทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่ชอบใจ แม้จะอับอายไม่น้อยที่ถูกดวินล้อเลียน แต่เธอก็รับจานข้าวมันไก่มาจากมือเขาแล้วพูดเสียงห้วน

“ขอบคุณ”

ดวินมองสีหน้าบูดบึ้งนั้นอย่างนึกขำ รู้สึกสนุกไม่น้อยที่ได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของแม่ตัวยุ่ง แม้ในใจจะรู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายเพิ่งช่วยเหลือเขา และเธอเองก็คงจะเหนื่อยล้าไม่น้อยเหมือนกัน สังเกตได้จากใบหน้าที่ซีดเซียวและเสียงท้องที่ร้องประท้วงไม่หยุดของเธอ 

“เดี๋ยวก่อนคุณ” 

“อะไรอีกล่ะ” นรินรักษ์หันกลับมาจ้องคนเรียกตาขวาง 

ดวินพยักพเยิดไปทางจานข้าวมันไก่ในมือเธอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“จ่ายเงินด้วย เป็นโจรหรือไง ซื้อของแล้วชิ่งน่ะ”

นรินรักษ์อ้าปากค้าง ขณะที่แม่ค้าร้านข้าวมันไก่ส่งยิ้มบางๆ ให้เธอที่ยิ้มเจื่อนกลับไป เธอรีบยื่นบัตรเงินสดให้อีกฝ่ายก่อนจะตั้งท่าเดินหนีออกมา นึกอยากเอาปี๊บมาคลุมหัวแล้วหายออกไปจากที่นี่เหลือเกิน

“เดี๋ยวคุณ”

“คราวนี้อะไรอีก” 

หญิงสาวชักจะฉุนขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ทั้งหงุดหงิดทั้งอับอายที่ดวินพูดให้เธอขายขี้หน้าต่อหน้าคนอื่น มาคิดๆ ดูแล้ว เธอกับเขามักมีเรื่องให้ต้องมาพบเจอกันอยู่ตลอด ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับชีวิตของเธอนักหนา

“เอาบัตรคืนไปด้วยสิ จะให้มันลอยมาอยู่ในมือเองเหมือนไม้กวาดแฮร์รี่๑๑เหรอ”

อีตาบ้า!

คนอะไรไม่รู้ กวนประสาทเก่งชะมัด

ถ้าเธอเป็น แฮร์รี่ พอตเตอร์ รับรองว่าดวินได้ถูกสาปให้เป็นคางคกแน่ๆ!

หญิงสาวคว้าบัตรเงินสดทันทีที่ได้สติ สาวเท้าออกจากหน้าร้านอย่างไม่คิดชีวิต แล้วมองไปรอบๆ เพื่อหามุมที่ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาใคร 

“อ้าว หนูริน” 

“ลุงกร”

นรินรักษ์ส่งยิ้มสดใสให้ชายชรา แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่างตรงข้ามเขาอย่างรวดเร็ว ดีใจที่สุดที่ได้เจอหน้าอีกฝ่าย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ทินกร ฤทธิยะดำรง เป็นศัลยแพทย์ทรวงอกที่เคยผ่าตัดหัวใจให้แม่ของเธอเมื่อครั้งประสบอุบัติเหตุ

“สวัสดีค่ะลุงกร ไม่ได้เจอนานเลย สบายดีไหมคะ” 

“สบายดีจ้ะ มีป่วยบ้างตามประสาคนแก่ แล้วนี่คุณณีเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“สบายดีค่ะ ขอบคุณลุงกรมากนะคะที่ผ่าตัดให้แม่”

“เป็นหน้าที่ของลุงอยู่แล้ว แล้ววันนี้แวะมาส่งหนังสือเหรอ”

“เปล่าหรอกค่ะ จริงๆ แล้วหนู...” หญิงสาวชะงักคำพูดเมื่อเห็นใครบางคนเดินมานั่งเคียงข้างชายชรา 

“ที่อื่นก็มีเยอะแยะ มานั่งตรงนี้ทำไมคุณ”

นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองนรินรักษ์อย่างไม่สนใจ ขณะที่เธอจ้องตาเขากลับอย่างหงุดหงิด

“หนูรินรู้จักกับหมอวินด้วยหรือ บังเอิญจริงๆ”

คำพูดของทินกรทำให้นรินรักษ์ชะงัก มองหน้าชายหนุ่มสลับกับอาจารย์หมออย่างงุนงง

“แล้วนี่หมอวินไปรู้จักกับหนูรินได้ยังไง”

“ไม่รู้จักครับ” ดวินตอบทันทีก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่ได้โกหกผู้อำนวยการ เพราะตัวเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอชื่ออะไร เพียงแต่ดันมีเหตุการณ์มากมายที่ทำให้เขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเธออย่างช่วยไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากอยู่ใกล้แม่ตัวยุ่งนี่เลยแม้แต่น้อย

ท่าทางเย็นชาของศัลยแพทย์หนุ่มทำให้อารมณ์หงุดหงิดของนรินรักษ์เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบ เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แพ้กันว่า

“หนูก็ไม่รู้จักเขาค่ะ”

“อ้าว สรุปสองคนนี้ไม่รู้จักกันเหรอ”

“ไม่อยากรู้จักครับ”

“ฉันก็ไม่อยากรู้จักคุณเหมือนกัน”

การเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครของคนตรงหน้าทำให้ทินกรหัวเราะชอบใจ ถึงปากจะบอกว่าไม่รู้จักกัน แต่การต่อล้อต่อเถียงเป็นเด็กๆ ของทั้งคู่ก็ทำให้โรงอาหารนี้ดูมีสีสันขึ้นมาทันตา

“เอาเถอะ ไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก” ทินกรพูดกลั้วหัวเราะ “งั้นตอนนี้ก็รู้จักกันเลยละกัน แนะนำตัวสิหมอวิน”

“สวัสดีครับ ผมดวิน”

น้ำเสียงของชายหนุ่มราบเรียบ ขณะที่แววตาบ่งชัดว่าเบื่อหน่าย การแนะนำตัวอย่างเป็นทางการด้วยท่าทางไร้เยื่อใยของอีกฝ่ายทำให้นรินรักษ์ค้อนเขาอย่างหมั่นไส้ ทว่าก็ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างกันว่า

“สวัสดีค่ะคุณหมอดวิน ฉันนรินรักษ์”

การจ้องตากันอย่างท้าทายของทั้งคู่ทำให้ทินกรหัวเราะร่วน ยิ่งแต่ละคนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการราวกับกำลังเจรจาธุรกิจ ก็ยิ่งทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนเบิกบานด้วยความชอบใจ แม้จะรู้ดีว่าสองหนุ่มสาวไม่ตลกกับเขาเลยก็ตาม

“ดวินเป็นศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่เพิ่งย้ายมาจากแม่ฮ่องสอน เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของลุง ส่วนหนูรินเป็นลูกสาวของคุณราณี คนไข้ที่ผมเคยผ่าตัดให้”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

พูดจบก็ตักข้าวเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเบือนหน้าไปดูรายงานข่าวทางโทรทัศน์ 

ท่าทางยียวนของอีกฝ่ายทำให้นรินรักษ์นึกอยากเอาน้ำซุปข้าวมันไก่กรอกปากเขาเหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่ส่งยิ้มหวานที่เจือความหมั่นไส้กลับไปให้

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ คุณหมอดวิน” หญิงสาวตอบเสียงนิ่งตามมารยาทอันดีงามที่แม่พร่ำสอนแต่เล็ก “เป็นเกียรติสูงสุดเลยค่ะที่ได้รู้จักคนแบบคุณ”

ศัลยแพทย์หนุ่มเหลือบตามองรอยยิ้มเย้ยหยันของคนพูด รู้สึกทะแม่งๆ กับประโยคของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ

“เรียกหมอวินก็ได้หนูริน คนกันเองแท้ๆ เขาแก่กว่าหนูรินแค่ปีเดียวเอง น่าจะสนิทสนมเป็นเพื่อนกันได้”

“ผมไม่อยากสนิทด้วยครับ ผมเลือกคบคน”

“แล้วคิดว่าฉันอยากสนิทกับคุณหรือไง” นรินรักษ์สวนทันควัน “รู้จักกันห่างๆ พอแล้วค่ะลุงกร หนูคบแต่คนดีๆ”

ทินกรยิ้มกว้างอย่างชอบใจในความไม่ลงรอยของสองหนุ่มสาว แม้จะบอกว่าไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ทั้งคู่ก็เถียงกันราวกับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จะบอกว่าเป็นมวยถูกคู่คงไม่ผิดนัก เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาดีใจเหลือเกินที่เห็นดวินแสดงอารมณ์ทางสีหน้าบ้าง ไม่รู้เขาคิดไปเองไหม แต่ดูเหมือนว่าลูกศิษย์ของเขาจะแอบอมยิ้มกับจานข้าวเสียด้วย

บันเทิงจริงๆ!

 

“เป็นอะไรเจ้ หน้าบูดเป็นตูดเชียว เห็นแล้วผมไม่อยากข้าวเที่ยงเลย”

นรินรักษ์เหลือบตามองปกป้อง เด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มาทำงานพิเศษที่ร้านหนังสือของเธอด้วยสีหน้าหงุดหงิด ขณะที่แก้วตา หญิงวัยกลางคนลูกจ้างอีกคนก็อมยิ้มอย่างนึกขำสีหน้าบอกบุญไม่รับของเจ้าของร้าน

“ไม่อยากก็ไม่ต้องกิน พูดมากน่ารำคาญจริงๆ เลยแก”

“ถ้าไม่มีผมแล้วเจ้จะเหงาเอานะ” เด็กหนุ่มย้อนเสียงทะเล้น “แล้วสรุปเจ้เป็นไรเนี่ย หน้าบูดเหมือนตูดหมาเลย”

“เบื่อคน” หญิงสาวตอบเสียงห้วน “ไม่รู้ทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอหน้ากันอยู่เรื่อย”

“เจ้หมายถึงผมเหรอ” ปกป้องถามต่อด้วยสีหน้าตื่นๆ “อีกสองเดือนผมก็เปิดเทอมแล้ว เจ้ทนอยู่กับผมหน่อยเถอะ ทีผมยังทนอยู่กับเจ้ได้เลย ต้องใช้ความอดทนสูงยิ่งกว่าปวดฉี่บนทางด่วนอีกนะ”

“ทนอยู่กับฉันคืออะไร วอนหาเรื่องแล้วไอ้ป้อง”

“ดุจริงๆ เลยเจ้ แบบนี้ไงถึงไม่มีใครมาจีบ สงสัยได้แห้งเหี่ยวอยู่บนคานทองไปจนแก่แหงๆ”

“ไอ้บ้าป้อง! ไอ้เด็กปากปีจอ” นรินรักษ์ยกกำปั้นขึ้นด้วยท่าทางเอาเรื่อง ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ “วันนี้ฉันต้องเอาเลือดหัวแกออกให้ได้!”

“พี่แก้วช่วยด้วย พี่รินจะกระทืบผม” ปกป้องตะโกนเสียงหลงพร้อมกับวิ่งไปหลบหลังแก้วตาซึ่งกลอกตาไปมาอย่างระอาใจกับเด็กทั้งสอง

“สองคนนี้ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ เลย” หญิงวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “ป้องออกไปส่งหนังสือได้แล้ว เดี๋ยวลูกค้าจะรอนาน”

“แต่ป้องต้องยกหนังสือที่เพิ่งมาส่งไปเก็บชั้นสองนะพี่แก้ว ออกไปตอนบ่ายแทนได้ไหม”

“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าห้ามให้ลูกค้ารอนาน” นรินรักษ์บ่นเสียงห้วน ขณะที่ปกป้องพยักหน้าซ้ำๆ อย่างทำเป็นเข้าใจ “เดี๋ยวรินออกไปส่งเองดีกว่าพี่แก้ว ส่วนไอ้ป้อง แกยกหนังสือขึ้นไปเก็บ แล้วช่วยพี่แก้วเช็กสต๊อกด้วยนะ”

“คร้าบ คร้าบ” เด็กหนุ่มยกมือตะเบ๊ะแบบทหารอย่างล้อเลียน 

หญิงสาวถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ หยิบหนังสือที่แก้วตาแพ็กเรียบร้อยมาแล้วถาม

“ไม่มีชื่อลูกค้าเหรอจ๊ะพี่แก้ว”

“ไม่มีจ้ะริน มีแต่ห้องพักกับที่อยู่ ท่าทางลูกค้าจะอยากรักษาความเป็นส่วนตัวนะ”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ถึงจะไม่มีชื่อ แต่รายละเอียดที่อยู่บนกล่องก็ระบุชัดว่าลูกค้าของเธออยู่ที่โรงพยาบาลศิริรักษ์ บางทีเขาหรือเธออาจเป็นหมอหรือพยาบาลที่นั่น เพราะมีเลขที่ห้องพักชัดเจน

“รินไปก่อนนะจ๊ะ แล้วจะรีบกลับ”

“เดินทางปลอดภัยนะ”

นรินรักษ์ยักคิ้วให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้าน ตรงไปสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์วินเทจคู่ใจของตน โดยมีปลายทางคือโรงพยาบาลศิริรักษ์


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น