บทที่ ๗
ดวงสมพงศ์
“ชายอายุสิบแปดปีถูกเสาไฟฟ้าล้มทับ หายใจช้า ชีพจรเต้นอ่อนค่ะ”
“หัวใจอาจหยุดเต้นได้” ดวินพึมพำหลังจากฟังข้อมูลจากพยาบาลประจำรถฉุกเฉินจบ “รีบจองห้องผ่าตัด เตรียมเครื่องกระตุกหัวใจไว้ด้วย”
“ค่ะ” พยาบาลตอบรับแข็งขัน
ชายหนุ่มผละไปเปลี่ยนชุดและล้างมือเพื่อเข้าห้องผ่าตัด ร่างโชกเลือดที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
“BP ลดลงเรื่อยๆ เลยค่ะหมอ”
“เส้นเลือดแดงใหญ่อาจฉีก ขอเครื่องเอโค๑๐ด้วยครับ” ศัลยแพทย์หนุ่มพูดเสียงเครียด เบือนหน้าไปมองจอแสดงความดันและระดับออกซิเจนของคนไข้อย่างใช้ความคิด “เตรียมบล็อกเส้นเลือด”
“ค่ะ”
“มีด”
“ผ้าก๊อซ”
การช่วยชีวิตคนไข้ที่ถูกเสาไฟฟ้าล้มทับดำเนินต่อไปท่ามกลางความเครียดและความกดดัน ความดันที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้แต่ละคนมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ ดวินคลำไปตามเส้นเลือดพร้อมกับหลับตาลงอย่างใช้สมาธิ
ท่าทางมุ่งมั่นจริงจังของแพทย์หนุ่มทำให้คนที่ยืนมองการผ่าตัดผ่านกระจกกั้นเบื้องนอกแย้มยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“สวัสดีครับ ผอ.”
ดวงตาสีเข้มของคนที่ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วนเหลียวกลับมามองรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีรพล ก่อนจะพยักหน้ารับไหว้อีกฝ่าย เจ้าตัวก้าวมายืนเคียงข้างเขาพร้อมกับจับจ้องการผ่าตัดเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มาดูหมอดวินหรือครับ”
“อืม” ทินกรตอบสั้นๆ แววตาเจือไปด้วยความชื่นชม ขณะที่อีกคนมองการผ่าตัดเบื้องหน้าอย่างเฉยเมย
ไฟในห้องผ่าตัดดับลงเมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบโดยชายหนุ่มผู้เป็นอนาคตใหม่ของแผนกศัลยกรรมอุบัติเหตุประจำโรงพยาบาลศิริรักษ์ ทินกรส่งยิ้มให้ลูกศิษย์ที่ค้อมหัวแสดงความเคารพเขาผ่านกระจกกั้นห้องผ่าตัด ก่อนจะผละออกไปเมื่อเห็นว่าคณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ต่างแยกย้ายออกมาจากห้อง รอยยิ้มบางๆ ประดับบนใบหน้าของผู้อำนวยการเมื่อเห็นศัลยแพทย์หนุ่มที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“สวัสดีครับ” ดวินพนมมือไหว้ชายชราอย่างนอบน้อมหลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ
“เยี่ยมมาก ผมไม่เห็นการผ่าตัดที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มานานแล้ว คุณทำได้ดีมาก”
“ขอบคุณครับ” ดวินตอบเสียงขรึม ขณะที่ธีรพลที่ส่งสายตาเย็นชามาให้ชายหนุ่มที่พนมมือไหว้เขา
ศัลยแพทย์หนุ่มสบตาธีรพลโดยไม่คิดจะหลบ เขารู้ว่ารองศาสตราจารย์ธีรพลเป็นน้องเขยของผู้อำนวยการ แต่ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันเท่าไรนัก หลังจากที่น้องสาวแต่งงาน ทินกรก็ย้ายออกมาจากบ้านที่ครอบครัวของเขาเคยอยู่ด้วยกัน มุ่งมั่นทำงานหนักเพื่อโรงพยาบาล ตัดขาดความสัมพันธ์กับน้องสาวและน้องเขย จนเมื่อห้าปีก่อน น้องสาวของทินกรมาอ้อนวอนขอให้เขายอมจ้างธีรพลเป็นศัลยแพทย์ของโรงพยาบาล ทั้งคู่จึงได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ธีรพลบอกพี่ภรรยาก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ขณะที่ทินกรมองตามแผ่นหลังของน้องเขยด้วยแววตานิ่งสงบ
แม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามปรับปรุงตัวจนกลายเป็นศัลยแพทย์อุบัติเหตุที่มีชื่อเสียง แต่แก้วที่มีรอยร้าวไปแล้วย่อมไม่สามารถประสานกันได้เหมือนเดิม
“ถ้าคุณมีเวลา พรุ่งนี้ตอนกลางวันไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ” ชายชราหันกลับมาพูดกับชายหนุ่มที่อยู่เคียงข้างอีกครั้ง “ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณหน่อย”
“ครับ” ดวินตอบรับเสียงขรึมก่อนจะเดินไปส่งอีกฝ่ายที่ประตู
นรินรักษ์ยืนมองสัญญาณไฟจราจรที่ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงให้เธอได้ข้ามถนนเสียทีอย่างเบื่อหน่าย สี่แยกนี้อยู่ห่างจากที่ทำงานของเธอราวห้าร้อยเมตร และเธอก็จะเดินมาแถวนี้ทุกเช้าเพื่อซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าประจำ
หญิงสาวมองไปรอบๆ พลันก็สะดุดสายตาเข้ากับร่างสูงของคนที่เพิ่งก้าวมายืนข้างกัน คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นยามคิดว่าเธอกับเขาช่างดวงสมพงศ์กันจริงๆ เพราะขนาดเธอมาซื้อของแถวนี้ซึ่งห่างจากโรงพยาบาลของเขาราวหนึ่งกิโลเมตร ก็ยังมาเจอกันได้ ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะเอ่ยทักหรือทำเป็นไม่สนใจ สัญญาณข้ามทางม้าลายก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพร้อมกับที่คนข้างๆ ก้าวนำไป
ร่างบางเดินตามร่างสูงไปติดๆ นึกขึ้นได้ว่าอยากถามไถ่เขาเรื่องอาการของโจรหนุ่มที่ถูกรถกระบะชน ทว่าดวินกลับเดินลิ่วข้ามไปถึงอีกฝั่งถนนอย่างรวดเร็ว
“ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ!”
เสียงร้องโวยวายที่ดังมาจากป้ายรถเมล์ทำให้นรินรักษ์ชะงัก สายตาคนที่อยู่โดยรอบพุ่งไปที่คนตะโกนทันที
“เก้า! เก้าลูกแม่ ฟื้นสิลูก”
นรินรักษ์มองเด็กชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยแววตาตื่นตะลึง ขณะที่หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่เขย่าร่างลูกในอ้อมแขนด้วยท่าทางตื่นกลัว สถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นทำให้คนที่อยู่โดยรอบพากันมามุงดูด้วยความสนใจ
“ผมเป็นหมอครับ ขอดูอาการน้องหน่อยนะครับ” ดวินพูดกับหญิงวัยกลางคนเสียงขรึม อีกฝ่ายจึงขยับให้ศัลยแพทย์หนุ่มประจำตำแหน่งโดยที่ยังบีบมือลูกชายแน่น
“น้องเก้าครับ ได้ยินหมอไหมครับ”
เด็กชายครวญครางอย่างเจ็บปวดก่อนที่ร่างกายจะชักกระตุกอย่างน่ากลัว นรินรักษ์รีบโทร. เรียกรถพยาบาลทันที
“ใครก็ได้ รบกวน...”
“ฉันเรียกรถพยาบาลแล้วค่ะ”
หญิงสาวบอกทันทีราวกับรู้ว่าศัลยแพทย์หนุ่มจะพูดอะไร ชายหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเธอ ก่อนที่เขาจะก้มลงแนบหูกับอกของน้องเก้า
“หัวใจหยุดเต้น” ดวินพึมพำ เขานั่งคุกเข่าพร้อมกับประสานมือที่หน้าอกของเด็กชายแล้วออกแรงกด สลับกับจับชีพจรที่ข้อมือเป็นระยะ เสียงพูดคุยรอบตัวทำให้นรินรักษ์ทำหน้านิ่วอย่างหนักใจ เพราะเกรงว่าไทยมุงอาจทำให้ศัลยแพทย์หนุ่มเสียสมาธิ ทว่าเขาก็ยังคงปฐมพยาบาลช่วยชีวิตคนไข้อย่างตั้งใจ
“คุณแม่ครับ น้องมีโรคประจำตัวอะไรไหมครับ”
“ไม่...ไม่มีนะคะหมอ”
“แล้วอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ล่ะครับ”
“เมื่อชั่วโมงก่อน น้อง...เตะบอลกับเพื่อน แล้ว...หัวกระแทกกับเสาประตูค่ะ แต่น้องบอกว่าไม่เป็นอะไร” หญิงวัยกลางคนตอบเสียงสะอื้น
ดวินพยักหน้ารับขณะที่มือทำซีพีอาร์ช่วยชีวิตเด็กชายต่อ ก่อนจะหันไปหาคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่ไกลแล้วออกคำสั่ง
“คุณมาช่วยผมหน่อย”
นรินรักษ์ถลาไปทรุดลงนั่งข้างคนพูด เขาส่งปากกาไฟฉายมาให้เธอที่รับไปอย่างงุนงง
“ดูรูม่านตาเขาให้ผมที”
ร่างบางพยักหน้ารับ แล้วใช้ไฟฉายส่องดูรูม่านตาของเด็กชายด้วยมืออันสั่นเทา ขณะที่ศัลยแพทย์หนุ่มสังเกตอาการคนป่วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รูม่านตาขวา...ขยายค่ะ”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ร่างสูงเม้มปากเป็นเส้นตรง สีหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้หัวใจของนรินรักษ์ไหววูบอย่างไม่สบายใจ ก่อนที่เธอจะถามเสียงแปร่ง
“น้องเป็นอะไรเหรอคะหมอ”
“เป็นไปได้ว่ามีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ “อีกประมาณกี่นาทีกว่ารถพยาบาลจะมาถึง”
“มากกว่าสิบนาทีค่ะ มีอุบัติเหตุก่อนถึงสี่แยกทำให้การจราจรติดขัดค่ะ”
ดวินหลับตาลงอย่างใช้ความคิด แต่ละวินาทีที่ผ่านไปช่างยาวนานเหลือเกิน เสียงสะอื้นของแม่น้องเก้าที่ดังอยู่ใกล้ๆ ยิ่งทำให้หัวใจของศัลยแพทย์หนุ่มเต้นระรัวอย่างหนักใจ
“รบกวนคุณกดโทรศัพท์ของผมโทร. หานายแพทย์บดินทร์ให้ผมที”
นรินรักษ์พยักหน้ารับ จากนั้นจึงถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเขามากดค้นหาชื่อตามที่ชายหนุ่มสั่ง เธอต่อสายแล้วรอเพียงชั่วครู่ เสียงปลายสายก็ดังตอบกลับมา เธอกดเปิดลำโพงแล้วยื่นโทรศัพท์ไปใกล้คนเป็นเจ้าของ
“ว่าไงวิน”
“อาดินครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เด็กผู้ชายอายุประมาณเจ็ดขวบ หัวกระแทกกับเสาประตูบอล ชีพจรเขาต่ำมาก รูม่านตาขวาขยาย ผมคิดว่าอาจมีเลือดคั่งในสมองจนเกิดแรงดันครับ”
“รีบส่งเขามาที่นี่ ผมจะเตรียมห้องผ่าตัดไว้ให้ อีกนานแค่ไหนกว่ารถพยาบาลจะถึง”
“รถยังไม่มาครับ แต่กว่าจะมาถึง รวมเวลาที่เคลื่อนย้ายกลับไปอีกก็ราวสิบห้านาทีครับ”
“นานเกินไป คงต้องประคองอาการคนไข้ไปก่อน คุณทำตามที่ผมบอกนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยขอบคุณคนในสาย แล้วเบือนหน้ามาทางนรินรักษ์ซึ่งมองเขาราวกับรอรับคำสั่ง หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาได้เลยค่ะ”
“ผมมีของที่ต้องใช้สองสามอย่าง คุณไปซื้อที่ร้านขายยาตรงหัวมุมให้ได้ไหมครับ”
นรินรักษ์พยักหน้ารับ รีบจดอุปกรณ์ที่อีกฝ่ายต้องการ แล้วสับขาวิ่งไปยังร้านขายยาอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีหญิงสาวก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ที่ดวินต้องการ เธอทรุดลงนั่งเคียงข้างศัลยแพทย์หนุ่ม ขณะที่อีกฝ่ายรับถุงมือมาสวมแล้วเริ่มต้นปฐมพยาบาล
“ฉัน...เป็นความผิดของฉันเอง” มารดาของน้องเก้าพูดเสียงแหบพร่า “ฉันควรจะพาเขาไปหาหมอ ไม่ควร...ละเลยเขาแบบนี้เลย”
น้ำตาของหญิงวัยกลางคนไหลรินอาบแก้ม ขณะเลื่อนมือที่ขาวจนซีดไปทาบทับผิวแก้มของลูกชาย สีหน้าปวดร้าวปานจะขาดใจทำให้นรินรักษ์สงสารอีกฝ่ายจับใจ เธอเอื้อมไปดึงมือบางมาวางบนมือเล็กของเด็กชายแล้วพูดเสียงนุ่ม
“จับมือน้องไว้นะคะ น้องรับรู้ได้ค่ะว่าคุณแม่ยังอยู่ข้างๆ”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้ารับแล้วบีบมือเล็ก นรินรักษ์สูดลมหายใจลึกด้วยความหนักใจก่อนจะช่วยศัลยแพทย์หนุ่มปฐมพยาบาลน้องเก้าตามที่ศาสตราจารย์บดินทร์บอก สถานการณ์ตรงหน้าทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวอย่างหวาดกลัว นึกอยากหนีไปจากบรรยากาศอึดอัดเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าการที่มีดวินอยู่ที่นี่แล้วพยายามช่วยชีวิตเด็กชายอย่างมุ่งมั่นก็ทำให้เธอคลายความกังวลไปไม่น้อย ในที่สุดใบหน้าของเด็กชายก็ค่อยๆ ปรากฏสีเลือด
“น้องรู้สึกตัวแล้วค่ะ” นรินรักษ์ตะโกนด้วยความดีใจเมื่อเห็นน้องเก้าค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เก้า...เก้า” แม่น้องเก้าพูดเสียงสะอื้น ยกมือเด็กชายมาแนบแก้มที่เปื้อนน้ำตาอย่างหวงแหน “เก้าลูกแม่”
น้ำตาของนรินรักษ์ไหลรินอาบแก้ม ขณะที่ดวินถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันไปพูดกับคนในโทรศัพท์
อีกครั้ง
“คนไข้รู้สึกตัวแล้วครับอาดิน”
“ทำดีมากวิน จากนั้นรีบเคลื่อนย้ายเขามาที่โรงพยาบาลนะ”
“ครับ”
วี้หว่อ! วี้หว่อ! วี้หว่อ!
เสียงไซเรนทำให้หญิงสาวหลับตาลงอย่างขอบคุณอะไรก็ตามที่ช่วยให้รถพยาบาลมาถึงเสียที เธอขยับให้เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือศัลยแพทย์หนุ่ม ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ร่างของเด็กชายก็ถูกนำตัวขึ้นรถพยาบาลโดยมีดวินและแม่น้องเก้าตามไปด้วย
หญิงสาวสบตาศัลยแพทย์หนุ่มที่มองมาชั่วครู่แล้วพยักหน้าให้เขา ขณะที่มุมปากของชายหนุ่มยกสูงขึ้นราวกับจะยิ้มก่อนที่ประตูรถจะปิดสนิทอีกครั้ง
ถึงจะหมั่นไส้ความขี้เก๊กของดวิน แต่ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่าเขาเท่มากจริงๆ
นรินรักษ์มองรถพยาบาลที่แล่นหายไปด้วยหัวใจไหววูบ กำมือแน่นเพื่อระงับความหวาดหวั่นที่ยังกัดกินหัวใจ ป้ายรถเมล์จุดที่น้องเก้าเคยนอนเจ็บอยู่บัดนี้หลงเหลือเพียงคราบเลือดและเศษผ้าก๊อซจากการปฐมพยาบาลของดวิน หญิงสาวถอยออกมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจเคลียร์พื้นที่ ก่อนจะก้มลงเก็บถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ แล้วโบกมอเตอร์ไซค์รับจ้างตามรถพยาบาลไปทันที
ความคิดเห็น |
---|