บทที่ ๖
ศัลยแพทย์ผู้เย็นชา
เธอคือผู้หญิงที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมเมื่อหลายวันก่อน
วันนั้นมีคนนัดเขาให้ออกไปเจอกันที่บาร์ของโรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อคุยธุระสำคัญ แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่มาตามนัด แถมยังสั่งให้บริกรที่บาร์แอบเอายาปลุกเซ็กซ์ใส่ในเครื่องดื่มของเขา หวังจะให้เขาปลุกปล้ำผู้หญิงที่หล่อนจ้างมา แล้วเอาเรื่องนี้ไปแบล็กเมล์ทำให้เขาเสียชื่อเสียง
ทว่าแผนการของหล่อนพังไม่เป็นท่า เพราะเขาดันไม่ได้เจอกับผู้หญิงที่ถูกว่าจ้างคนนั้น แต่กลับไปเจอใครอีกคนที่ยืนมองท้องฟ้าด้วยแววตาเศร้าสร้อยแทน
แววตาทุกข์ระทมของหญิงสาวทำให้เขาตัดสินใจลืมเสียงหักห้ามในใจตัวเอง แล้วก้าวเข้าไปหยุดตรงหน้าเธอ
“คุณ!”
เธอมองเขาอย่างตกใจ สีหน้าไม่ต่างจากตอนที่ตื่นมาเห็นเขานอนอยู่ข้างๆ เลยสักนิด ถึงจะไม่ได้ทำอะไรที่อาจทำให้เธอเสียใจภายหลัง แต่ฤทธิ์ยานรกนั่นก็เกือบทำให้เขาพรากความบริสุทธิ์ของเธอไป
“คุณ...มาที่นี่ได้ยังไง”
หญิงสาวจ้องเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่เอาตัวบังเธอจากร่างยักษ์เบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง ขณะที่เขากำข้อมือของเด็กหนุ่มแน่นพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาวโรจน์ ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ของเธอ
“มึงเป็นใครวะ แล้วมายุ่งอะไรด้วย”
“ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ กรุณารักษาความสงบด้วย”
“เรื่องของกู มึงอย่ามายุ่ง”
เด็กหนุ่มบิดมือเพื่อให้หลุดจากการจับกุม ทว่าชายหนุ่มบีบข้อมือหนาแน่นจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง
“ไอ้เวร! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!”
“ที่นี่โรงพยาบาลครับ” ดวินย้ำเช่นเดิม
เด็กหนุ่มซัดหมัดอีกข้างใส่หน้าเขา ทว่าชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบได้ทันโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ขณะที่เจ้าของหมัดเซถลาไปชนกำแพงแล้วทรุดลงกับพื้น
“ถ้ายังไม่หยุดก่อความวุ่นวาย เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติงานไม่ได้นะครับ”
“เรื่องของพวกกู หน้าที่ของมึงมีแค่ช่วยชีวิตลูกพี่กูเท่านั้น!”
“งั้นก็หยุดสร้างความเดือดร้อนให้พวกเราสิครับ” ศัลยแพทย์หนุ่มตอบกลับเสียงเย็น ขยับไปใกล้อีกฝ่ายแล้วพูดให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า “ทำไมผมจะต้องช่วยด้วยล่ะ คนแบบพวกคุณน่ะ อยู่ไปก็รกโลก”
“มึง!”
ดวินเอี้ยวตัวหลบเท้าที่พุ่งเข้าใส่ แล้วชกหน้าร่างยักษ์เต็มแรงจนเจ้าตัวเซไปชนผนัง ขณะที่นรินรักษ์รีบพุ่งไปประจันหน้านักเลงอีกคนที่พุ่งเข้ามา แล้วปล่อยหมัดใส่ร่างยักษ์จนอีกฝ่ายล้มแน่นิ่งไป ก่อนที่เสียงนกหวีดจะดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของกลุ่มตำรวจนับสิบนาย
กลุ่มนักเลงร้องโวยวายแล้ววิ่งหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ทว่าถูกตำรวจรวบตัวไว้ได้ทันก่อนจะลากตัวคนทั้งหมดออกไปท่ามกลางเสียงร้องโวยวายที่ดังสนั่นไปตามทางเดิน จนเมื่อเด็กหนุ่มคนสุดท้ายถูกคุมตัวไป ความสงบจึงคืนกลับมาอีกครั้ง
“หมอวินคะ” เดือนเต็มปราดเข้ามาหาศัลยแพทย์หนุ่มที่กำลังจัดปกเสื้อให้เรียบร้อยด้วยท่าทางร้อนรน “คนไข้อาการทรุด อาจารย์บดินทร์ต้องการผู้ช่วยค่ะ”
ดวินหมุนตัววิ่งตามหญิงวัยกลางคนไปยังห้องผ่าตัดทันที นรินรักษ์มองตามอีกฝ่ายจนลับตา แล้วเดินอย่างอ่อนล้าไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินตามเดิม
“เหนื่อยชะมัด” หญิงสาวพึมพำแล้วหลับตาลง การต่อสู้อย่างยาวนานทำให้ร่างกายของเธอเหนื่อยล้าเกินทน ความง่วงงุนเข้าครอบงำจนเธอเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
แสงไฟที่แยงตาทำให้เจ้าของดวงตาเรียวรีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะกะพริบถี่ๆ เพื่อให้ชินกับแสงสว่าง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อรับรู้ว่าตัวเองกำลังนอนมองเพดานสีขาวสะอาดในห้องห้องหนึ่ง ก่อนที่ภาพใบหน้าของใครบางคนจะปรากฏชัดในสายตา
“คุณ...”
ศัลยแพทย์หนุ่มมองคนที่รีบยันตัวขึ้นนั่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายของอีกฝ่ายมีบาดแผลและรอยช้ำตามจุดต่างๆ หลังเสร็จสิ้นการผ่าตัด ดวินเห็นเธอนั่งหลับอย่างอ่อนแรงอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม่คิดว่าเธอจะห่วงคนเจ็บจนฝืนตัวเองมากขนาดนี้ เขาสงสารเลยอุ้มมานอนในห้องพักสำหรับญาติที่โรงพยาบาลจัดเตรียมไว้
“คุณพาฉันมาที่นี่เหรอ แล้วผู้ชายที่ถูกรถชนเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวยิงคำถามรัวก่อนจะรีบสางผมให้เรียบร้อย แล้วเช็ดคราบน้ำลายที่ผิวแก้ม กระอักกระอ่วนไม่น้อยกับสถานการณ์ตรงหน้า ไม่รู้เธอเปิดเผยความน่าเกลียดอะไรให้เขาเห็นบ้าง
“คุณจะให้ผมตอบคำถามไหนก่อน”
“คนที่ถูกรถชนเป็นไงบ้าง”
“ปลอดภัยแล้ว ตอนนี้พักที่ห้องไอซียูเพื่อรอดูอาการ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ลอบมองใบหน้าคมคายของดวินอย่างอึดอัดใจ ภาพเหตุการณ์วันก่อนระหว่างเธอกับเขากลับมาฉายซ้ำในหัวอีกครั้งจนอยากลุกหนีออกจากห้อง ทว่าเสียงนิ่งๆ ของคนตรงหน้าดังขึ้นมาก่อน
“คุณก็ต้องทำแผลเหมือนกันนะครับ”
“ฉันไม่เป็นไรเสียหน่อย ไม่ต้องทำแผลก็ได้”
“จะไม่เป็นไรได้ยังไง เลือดออกขนาดนี้”
นรินรักษ์ถอนหายใจยาวกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ก่อนที่ชายหนุ่มจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเธอแล้วเริ่มต้นสำรวจบาดแผล
“หมอนี่ดื้อจริงๆ”
“คุณต่างหากที่ดื้อ”
หญิงสาวเงียบเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง ใครจะไปคิดว่าจะได้มาเจอเขาอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ แถมเธอยังเพิ่งติดหนี้บุญคุณเขาอีก ขณะที่ชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบกล่องพยาบาลที่วางอยู่ข้างเตียงแล้วก้มลงเลือกอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้
โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิตเธอจริงๆ
อยากหนีไปจากห้องนี้ชะมัด หนีไปให้พ้นๆ หน้าเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
ดวงตาทรงเสน่ห์ของคนที่ถูกแอบมองเหลือบกลับมาสบ นรินรักษ์สะดุ้งโหยงแล้วหลบตาวูบอย่างคนมีชนักติดหลัง สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทว่ากลับยิ่งสร้างความอึดอัดให้เธอมากกว่าเก่า จนเธอต้องเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาว่า
“ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลนี้”
“พูดเหมือนคุณรู้จักหมอทั้งโรงพยาบาล”
“รู้จักเยอะกว่าที่คุณคิดก็แล้วกัน” หญิงสาวโต้กลับเสียงนิ่ง ขณะที่ดวินเหลือบตาขึ้นมองคนพูดอย่างประหลาดใจ
“ผมเพิ่งย้ายมาเป็นศัลยแพทย์อุบัติเหตุของโรงพยาบาลนี้ได้ไม่กี่เดือน คุณจะไม่เคยเห็นผมก็ไม่แปลก”
หญิงสาวมองคนพูดอย่างแปลกใจ แผนกศัลยกรรมอุบัติเหตุเป็นแผนกย่อยของศูนย์ศัลยกรรมแห่งโรงพยาบาลศิริรักษ์ ศัลยแพทย์ประจำแผนกนี้จะต้องทำงานร่วมกับแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่ประจำ ณ ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ศัลยแพทย์อุบัติเหตุมีหน้าที่รับเคสต่อจากแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินในกรณีที่ต้องทำการผ่าตัด เธอเคยได้ยินมาว่าศัลยแพทย์อุบัติเหตุในไทยมีน้อย เพราะงานหนักมากและความกดดันสูง แต่ดวินก็เลือกที่จะเรียนด้านนี้และทำงานที่โรงพยาบาลศิริรักษ์ โรงพยาบาลเอกชนที่มีคนไข้มากที่สุดในประเทศ
“แล้วถ้าพวกนักเลงไม่หยุดก่อความวุ่นวาย คุณจะไม่ช่วยชีวิตลูกพี่ของเด็กพวกนั้นจริงเหรอคะ”
ดวินเหลือบตาขึ้นมองคนถาม ท่าทางหวาดหวั่นระคนสงสัยของเธอทำลายความตั้งใจของเขาที่จะเมินเฉยต่อคำถาม เขาหยิบผ้ามาพันรอบแขนของหญิงสาวแล้วตอบเสียงเรียบ
“ตามกฎหมายแล้วผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะรับการรักษาโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ แม้จะมีความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิทางการเมือง เพศ อายุ หรือลักษณะความเจ็บป่วย” ชายหนุ่มอธิบายเสียงขรึม “ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ”
นรินรักษ์พยักหน้ารับคำตอบยืดยาวของอีกฝ่าย พอมาอยู่ในคราบศัลยแพทย์ ชายหนุ่มก็ดูมีสง่าราศีขึ้นกว่าเดิมจนเธออดทึ่งไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าเขากับเธอเคยเจอกันในสถานการณ์ไม่ปกติมาก่อน เธอคงมองเขาอย่างชื่นชมได้เต็มตา ไม่รู้สึกเหมือนคนมีชนักติดหลังแบบนี้
“ตอนที่ผมช่วยคุณจากเด็กพวกนั้น พวกเราผ่าตัดช่วยชีวิตคนไข้เรียบร้อยแล้ว ผมแค่ขู่พวกเขา” ชายหนุ่มอธิบาย “แต่หลังจากนั้นอาการคนไข้ก็ทรุดลงอีก พวกเราจึงต้องช่วยกันซ่อมแซมอวัยวะภายในที่เสียหายต่ออีกหลายชั่วโมง”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ชายหนุ่มเลื่อนสายตามาสำรวจรอยแผลบนใบหน้านวล นิ้วเรียวอุ่นไล้ผิวแก้มที่ยังคงมีรอยแดงให้เห็นด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ ภาพที่เธอถูกเด็กหนุ่มร่างยักษ์ตบยังฉายชัดอยู่ในหัว นึกหงุดหงิดเด็กพวกนั้นที่กล้ารุมทำร้ายแม้กระทั่งผู้หญิงตัวคนเดียว ถึงแม้เธอจะไม่ได้บอบบางอย่างที่เขาคิดก็เถอะ
“เจ็บมากไหม” ชายหนุ่มถามเสียงนุ่ม ค่อยๆ ใช้สำลีแตะมุมปากของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล
เรียวปากฉ่ำสวยที่กำลังเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้องทำให้มือที่กำลังเช็ดคราบเลือดชะงัก ความรู้สึกร้อนรุ่มเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ความหวานล้ำของเรียวปากนุ่มยังฉายชัดอยู่บนริมฝีปากของเขา เช่นเดียวกับสมองที่จดจำความรู้สึกสุขสมยามสัมผัสผิวกายของเธอได้ดี แม้ไม่มีความคิดจะสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหนในเชิงชู้สาว แต่แม่ตัวยุ่งเป็นคนแรกที่ทำให้เขาหวั่นไหวจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้
เธอเป็นใครกันแน่...
ทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้
“หมอ...หมอคะ” นรินรักษ์โบกไม้โบกมือหน้าคนที่เอาแต่จ้องเธออย่างงุนงง “หมอเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆ ก็หน้าแดงล่ะ”
ชายหนุ่มหลุบตาลง ทิ้งสำลีเช็ดแผลลงถังขยะโดยไม่ตอบคำถาม ขณะที่หญิงสาวมองท่าทางเย็นชาของศัลยแพทย์หนุ่มอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่สายตาจะสะดุดกับบาดแผลบริเวณต้นคอของเขาที่ยังมีเลือดไหลซึม
“คุณก็มีแผลเหมือนกันนี่” นรินรักษ์ชี้รอยถลอกที่ว่า “ขอฉันทำแผลให้คุณได้ไหม”
ไม่รอคำตอบ มือเล็กก็ฉวยเอากล่องพยาบาลมาวางบนตักก่อนจะหยิบขวดแอลกอฮอล์และไม้พันสำลีออกมาทำแผลอีกฝ่ายอย่างรู้งาน ท่าทางเอาจริงเอาจังของแม่ตัวยุ่งทำให้เขากลืนคำพูดที่ตั้งใจจะปฏิเสธ ได้แต่นั่งนิ่งยอมเป็นคนไข้ของเธอโดยไม่พูดอะไร
“ขอบคุณมากนะหมอ” นรินรักษ์เอ่ยเสียงแผ่วทำลายความเงียบ “ขอบคุณที่ช่วยฉันจากนักเลงพวกนั้น แล้วก็ขอโทษอีกครั้งที่เคยเข้าใจคุณผิด”
นัยน์ตาสีเข้มสั่นไหวอย่างประหลาดใจ ความหวั่นไหวในสายตาสลายไปเมื่อสบเข้ากับดวงตาของคนพูด เธอแย้มยิ้มบางให้เขาด้วยใบหน้าสว่างสดใส จนคนที่พยายามตีหน้าขรึมอดลมหายใจสะดุดไม่ได้
“ขอบคุณจริงๆ นะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบรับอะไร ดวงหน้าหวานละมุนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้อีกครั้งทำให้หัวใจของศัลยแพทย์หนุ่มเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ มือขาวนวลค่อยๆ บรรจงเช็ดแผลให้เขาอย่างตั้งใจ ก่อนเจ้าของมือจะเป่าเบาๆ ราวกับจะช่วยปัดเป่าความเจ็บปวดให้ ท่าทางตั้งอกตั้งใจของอีกฝ่ายทำให้มุมปากของชายหนุ่มยกสูงขึ้นน้อยๆ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว
“เจ็บมากไหมคุณ” หญิงสาวถามแล้วเบือนหน้าไปมองคนไข้ของตนเอง ใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างแค่คืบทำให้ภาพความทรงจำเมื่อครั้งตกอยู่ในวงแขนของอีกฝ่ายฉายชัดเข้ามาในหัว ขณะที่รสหวานที่เรียวปากยังตราตรึงราวกับเขาเพิ่งละจากริมฝีปากเธอไปไม่ถึงนาที
รสชาติของจูบแรก...
จูบที่ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนพรากไปจากเธอ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามเสียงนิ่งเมื่อเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรมานานแล้ว
“เอ่อ...เปล่าค่ะ” นรินรักษ์ส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่มือฉันเบาสู้คุณได้ไหม”
สายตาเคร่งขรึมที่มองสบกันแฝงความหมายบางอย่างที่ทำเอาคนถูกมองหน้าร้อนวูบ ตาหมอหยิ่งจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเขาสามารถสาปคนให้แข็งเป็นหินได้เพียงเสี้ยววินาทีที่สบตากัน
“ห้ามทำแบบนี้กับคนอื่นนะ” ดวินตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนที่ทำเอาคนฟังลมหายใจสะดุด ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคต่อมาว่า “ไม่รู้มือหรือสากกะเบือ ได้มีคนตายแน่ มือหนักขนาดนี้”
“นี่คุณ!”
สีหน้าของศัลยแพทย์หนุ่มราบเรียบ ทว่านัยน์ตาพราวระยับราวกับสนุกที่แกล้งเธอได้ เจ้าของมือหนาดึงกล่องปฐมพยาบาลจากมือบางมาจัดของให้เป็นระเบียบก่อนจะหันมาสบดวงตาคู่สวยอีกครั้ง
“หายหรือยัง”
นรินรักษ์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย เธอหันไปมองต้นแขนของตนเองที่พันผ้าไว้อย่างเรียบร้อยสวยงามแล้วตอบด้วยน้ำเสียงงุนงงว่า
“เพิ่งทำแผลเองนะคุณ จะหายเลยได้ยังไง”
“ผมหมายถึงเรื่องทุกข์ใจของคุณน่ะ หายไปแล้วหรือยัง”
หญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกใจ ใบหน้าคมคายนิ่งสนิทราวกับรูปปั้น ทว่าแววตายามทอดมองมาแฝงความห่วงใยจนหัวใจของคนฟังไหววูบ
“ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นอะไรก็ดี อย่าเที่ยวไปกินเหล้าจนเมาแบบวันนั้นอีกล่ะ เดี๋ยวได้มีคนต้องมาซวยเพราะคุณอีก”
“คุณ!”
ร่างบางหน้าร้อนจัด ได้แต่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายที่ตีหน้านิ่ง ทั้งที่แววตาเจือประกายขบขันราวกับมีเรื่องให้ตลกนักหนา
“ส่วนแผลของคุณ อีกสักสามสี่วันจะดีขึ้น ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำนะครับ”
“ขอบคุณมากนะหมอ ฉันไปก่อนนะ”
ดวินพยักหน้ารับ มองตามร่างบางที่หายลับออกไปจากห้องด้วยแววตานิ่งสงบ ได้แต่หวังว่าหากต้องพบกับเธออีกก็ขอให้เป็นในสถานการณ์ปกติ อย่าได้มีเรื่องมาให้เขาต้องปวดหัวอีกเลย
ความคิดเห็น |
---|