วันเกิดของสมาชิกทุกคนภายในตระกูลสูรยกานต์และจันทรกานต์จะได้รับการบันทึกไว้เสมอ ในกรณีที่มีชายหญิงจากต่างตระกูลลืมตาดูโลกในวันเดียวกัน ทั้งสองคนนั้นจะรู้ตั้งแต่จำความได้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นพวกเขาต้องเข้าพิธีแต่งงานและเป็นสามีภรรยา
ทว่าพริบพรีอยู่นอกเหนือทุกแผนการที่ทั้งสองตระกูลวางไว้อย่างดิบดี เหมือนเธอเป็นฝุ่นผงโผล่มาจากอากาศ แต่ส่งผลมหาศาลต่อเส้นชะตาของตระกูลใหญ่ที่เทิดทูนนางฟ้ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมดทั้งมวล และไม่สามารถขัดประสงค์ของพระองค์ได้
ธรณ์เติบโตมาโดยรับรู้ว่าไม่มีทายาทของจันทรกานต์คนไหนเกิดวันเดือนปีเดียวกับเขา เขารอดตัวจากการคลุมถุงชนอันยิ่งใหญ่ที่ใครต่อใครต่างนิยามว่า ‘ฟ้าลิขิต’ กระทั่งวันนี้ ความเข้าใจเหล่านั้นดับสลายเพราะผู้หญิงที่โผล่มาจากอากาศคนนั้น และตอนนี้เธอวิ่งหนีไปแล้ว
แต่ใบหน้าเธอ...เขาคิดว่าเขาจำไม่ผิด ถึงจะผ่านไปสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
“ธรณ์!”
“ครับ”
ชายหนุ่มได้สติเมื่อถูกเขย่าแขน ธารทิพย์ผู้เป็นแม่มีสีหน้าวิตกกังวลไม่ต่างจากพริบพรี
“อะ...อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้นะ อย่าเพิ่งเครียดไป”
“หน้าแม่เครียดกว่าผมอีก” เขาแกะมือที่บีบแขนมากุมเอาไว้ ผ่อนลมหายใจเบาๆ “มือทั้งสั่นทั้งเย็นเลย แม่ใจเย็นๆ ก่อนนะ”
ไม่ว่าจะตกใจหรือสังสัยเรื่องอะไรก็ตามแต่ เมื่ออยู่กับแม่ผู้มีนิสัยวิตกกังวลง่ายธรณ์ต้องใจเย็น ต้องทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรให้พะวงเท่านั้น ถ้าเขาสบายใจแม่ก็จะสบายใจตาม แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยกว่ามือธารทิพย์จะหายสั่น
“ธาร ไหวไหม” ชวโรจน์โอบไหล่ภรรยา ไม่รู้จะห่วงใครดีระหว่างลูกชายที่ต้องถูกจับคลุมถุงชนในไม่ช้ากับธารทิพย์ที่หน้าซีดเซียวลงเรื่อยๆ หรืออาจจะต้องห่วงทั้งคู่
เขากับภรรยาเห็นตรงกันว่าไม่อยากบังคับกะเกณฑ์ชีวิตลูก อะไรก็ตามที่ธรณ์สบายใจจะทำคือความสุขของพ่อแม่ และในทางกลับกัน อะไรก็ตามที่ทำร้ายจิตใจหรือทำให้ธรณ์ไม่มีความสุข ย่อมทำลายหัวใจของพวกเขาเช่นกัน
“ไม่มีอะไรน่าตกใจหรอกครับ” ธรณ์ปลอบเสียงอ่อน พลางคิดว่าควรพาธารทิพย์ปลีกตัวออกจากการพูดคุยที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของทั้งสองตระกูล
เท่าที่ได้ยินคร่าวๆ ไม่มีใครคิดจะหลีกเลี่ยงคำบัญชาของเทพี ประเด็นหลักที่ใส่อารมณ์กันอยู่ตอนนี้คือการที่เนตรลดาไม่ยอมปริปากบอกใครตั้งแต่เนิ่นๆ
และเรื่องที่มาของสามพี่น้องสามที่ลอยเข้าหูเขา
ธรณ์ละความสนใจจากความโกลาหล ลุกขึ้นยืนและกล่าวกับทุกคนที่มองมาทางเขา “ขอตัวกลับก่อนนะครับ ผมต้องปรึกษาพ่อกับแม่ที่บ้าน”
“ป้าจะรอคุยกับธรณ์ด้วยนะ หวังว่าธรณ์จะรู้หน้าที่” เนตรลดายิ้ม
“ครับ เย็นวันพรุ่งนี้ผมจะไปที่บ้านจันทรกานต์ ระหว่างนี้คุณป้าน่าจะลองคุยกับหลานสาวคุณป้าก่อน แล้วเจอกันนะครับ”
หลังบอกเป็นนัยว่าสถานการณ์ฝั่งไหนยุ่งยากกว่ากัน ธรณ์ก็ไหว้ลาเนตรลดาและเดินจากไปอย่างนิ่งสงบ เขารู้หน้าที่ รู้เรื่องตำนานและคำสัตย์ต่างๆ ที่เล่าขานมาช้านาน แต่พริบพรีคงไม่รู้มาก่อน พอถูกจับคู่โดยไม่มีใครบอกล่วงหน้าถึงเตลิดหนีไป
หากเรื่องเหล่านั้นถูกปลูกฝังในสมองมาตั้งแต่ยังเด็ก เธอจะต้องยอมรับสภาพในทันทีที่ฟังคำประกาศจากเนตรลดา ไม่มีทางหนีรอดจากสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าการคลุมถุงชน
สถานที่หรูหราใหญ่โตอย่างคฤหาสน์จันทรกานต์ไม่สวยงามอีกแล้วในความคิดของพริบพรี เธออยากกลับบ้าน แต่ป้ากลับสั่งให้ฉกาจพาเธอและน้องๆ มาที่นี่ ซึ่งเธอก็ไม่คัดค้านเพราะมีเรื่องที่ต้องการคุยและมีปัญหาต้องสะสาง
ครอบครัวของดลวัฒน์มาเยือนคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นกัน เตชินี ภรรยาของเขานั่งอยู่กับลูกชายและลูกสาวในห้องรับแขก ตอนที่พริบพรีเดินเข้ามาในบ้านพร้อมน้องทั้งสองทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว โซฟาทรงตัวยูมีที่ว่างเหลือให้เธอนั่งคุยกับผู้ใหญ่ แต่เธอเลือกที่จะยืน หันหน้าไปหาเนตรลดาที่ไม่ได้ยิ้มหัวเราะเหมือนตอนดำเนินพิธีการช่วงเช้า
ตอนอยู่ในรถ ฉกาจเล่าว่าตามปกติสองตระกูลจะไปรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันต่อหลังเสร็จพิธีบวงสรวง ปีนี้เป็นปีแรกที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับ พริบพรีถามเรื่องที่เธอสงสัยทั้งหมด โดยเฉพาะคำบัญชาของเทพีสกายลิน ฉกาจยืนยันว่าเขาได้ยินมาหลายปี คงจะเป็นเรื่องจริง
สูรยกานต์กับจันทรกานต์เฝ้ารอให้มี ‘คู่แท้’ ถือกำเนิดมาหลายชั่วอายุคน ฉกาจเองยังแปลกใจที่เนตรลดารู้วันเกิดของธรณ์กับพริบพรีแล้ว แต่ยังใจเย็น ไม่บอกใครก่อนเพื่อรอจะประกาศในวันนี้
“คุณป้าคะ หนูถามตรงๆ นะคะ ที่คุณป้าช่วยหนูเรื่องเงินง่ายๆ เพราะต้องการให้หนูแต่งงานเป็นข้อแลกเปลี่ยนใช่ไหมคะ” พริบพรีตรงเข้าประเด็นสำคัญที่เธอสรุปได้
เนตรลดาหยุดเรียบเรียงคำพูดอึดใจหนึ่งก่อนตอบ
“พวกเราไม่ใช่คนแบบนั้น ต่อให้หนูไม่ใช่ ‘คนที่ถูกลิขิต’ ป้าก็จะช่วยหนูอยู่ดี และต่อให้แม่หนูไม่เป็นอะไรเลย สักวันหนูก็ต้องทำหน้าที่ของหนูในฐานะสมาชิกของจันทรกานต์”
“หนูไม่ได้เกิดมาในตระกูลนี้ น้องหนูก็ด้วย”
พริบพรีรู้ว่าการเถียงค้ำหัวผู้ใหญ่ไม่ใช่มารยาทที่ดี แต่เวลานี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะคำนึงถึงความเหมาะสมหรือกลัวใครตำหนิ ว่าก็ว่าเถอะ ทุกคนควรจะเห็นใจเธอด้วยซ้ำ เพราะว่ามันเป็นเรื่องเดือดร้อนและใหญ่โตสำหรับเธอมาก!
“นั่นเพราะพ่อกับแม่หนูไม่ต้องการให้หนูมีวันนี้ไง ป้ารู้ตั้งแต่วันที่หนูลืมตาดูโลกแล้วว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของธรณ์ด้วย ป้าคุยกับพ่อแม่หนูเรื่องนี้ แต่พ่อแม่หนูปฏิเสธเด็ดขาดว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับจันทรกานต์อีก และบอกป้าว่าอย่านับหนูทั้งสามคนเป็นหลาน คุณปู่คุณย่าท่านเคารพการตัดสินใจของพ่อหนู ก็เลยไม่บอกสูรยกานต์”
พริบพรีสบตาผู้สูงวัยทั้งสอง เธอไม่ทันมองว่าทั้งคู่ตกใจหรือเปล่าตอนที่รู้เรื่องคู่แท้ในพิธี แต่ถ้ารู้อยู่ก่อนแล้วก็คงไม่ตกใจ
“แต่ก่อนที่ป้าจะถอดใจว่าหนูไม่ใช่คนที่เรารอคอย ป้าอธิษฐานกับเทวรูปเทพีว่าถ้าพริบพรีเป็นคนคนนั้น ขอให้วันใดวันหนึ่งพริบพรีเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครออกไปตามหา”
คำอธิษฐานของเนตรลดาเป็นจริงแล้ว พริบพรีเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ เข้ามาด้วยความจำเป็น ไม่ได้มีใครออกตามหาหรือบังคับให้มา
เท่ากับว่าเรื่องทั้งหมดนี้คือฟ้าลิขิต
พริบพรีแทบจะหัวเราะทั้งน้ำตา
“คุณป้าน่าจะบอกหนูก่อน ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”
“แล้วถ้าป้าบอก หนูจะทำยังไงล่ะพริบพรี จะหนีไปหรือหาทางบ่ายเบี่ยงไม่มางานวันนี้หรือเปล่า ป้าไม่ได้ขู่ขอข้อแลกเปลี่ยนอะไรหรอกนะ แค่อยากให้หนูช่วยเราบ้าง แล้วหลังจากนั้น ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดรวมถึงค่าเล่าเรียนของน้องๆ หนูไม่ต้องกังวลอีกเลย”
ค่าเล่าเรียนของน้อง...เนตรลดาจี้ได้ตรงจุด พริบพรียอมรับว่านั่นคือหนึ่งในปัญหาด้านการเงินของครอบครัว ทุกวันนี้พฤกษ์ช่วยแก้ปัญหาด้วยการลงแข่งขันด้านวิชาการเพื่อคว้าเงินรางวัล ส่วนพริ้งพรายเข้าร่วมทีมวอลเลย์บอลของโรงเรียนเพื่อจะยื่นโควตาเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมได้รับทุนการศึกษาจำนวนหนึ่ง
พริบพรีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับข้อแลกเปลี่ยน จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อรับเงินมาแล้ว มันไม่เป็นธรรมก็จริงที่เธอไม่รู้เงื่อนไขของเงินก้อนนั้นก่อน แต่ถึงรู้ก็คงไม่ปฏิเสธ เธอไม่กล้ากู้เงินเพราะไม่รู้ขอบเขตการรักษาของแม่ และไม่คิดว่าค่าตอบแทนงานล่ามกับงานแปลเอกสารที่ทำอยู่จะพอใช้หนี้
ความเงียบกลายเป็นความกดดัน พริ้งพรายกับพฤกษ์เข้าใจทุกอย่างดีและจนปัญญาที่จะหาทางออกจึงไม่พูดอะไร ปล่อยให้สมาชิกของจันทรกานต์ที่เหลือจับจ้องพี่สาวเพื่อเค้นเอาคำตอบ
“หนูอยากให้ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด” หญิงสาวพึมพำ เมื่อลองเปรียบเทียบระหว่างความรู้สึกท้อแท้เพราะหาเงินได้ไม่พอใช้กับท้อแท้เพราะมีเงินมากมาย ทว่าแลกด้วยการถูกจำกัดอิสรภาพ เธอพบว่าความรู้สึกเจ็บปวดนั้นแตกต่างกันลิบลับ
พริบพรีถูกสอนให้มองหาด้านดีๆ ของเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต วิธีการมองโลกช่วยบรรเทาจิตใจและขจัดความรู้สึกด้านลบได้ ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการไม่มีเงินรักษาแม่อีกแล้ว ไม่มี...
เธอควรคิดว่าการแต่งงานก็แค่งานหนึ่งที่ทำแลกเงิน แต่ต้องทำไปตลอดชีวิต ห้ามลาออก และถึงโลกนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘หย่า’ แต่ตรองดูแล้ว สำหรับตระกูลที่เชื่อเรื่องคู่แท้ยิ่งกว่าความเป็นจริงทั้งหมดของโลกใบนี้ คงมีแต่ความตายเท่านั้นที่เซ็นใบหย่าให้ได้
พริบพรีไม่มีวันคิดสั้นขนาดนั้น ต่อให้ชีวิตบัดซบแค่ไหน ต่อให้มีความจำเป็นมากมายหลายประการที่สั่งให้ทำร้ายจิตใจตัวเอง เธอก็จะไม่จากโลกนี้ไปง่ายๆ
สำคัญที่สุดก็คือเธอจะไม่ลืมความตั้งใจที่ว่าจะไม่รักใครอีก หัวใจทั้งดวงได้ยกให้ใครคนหนึ่งไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน
เพราะฉะนั้น...
“ตกลงค่ะ บงการชีวิตหนูได้เลย”
เนตรลดาไม่ได้บังคับให้สามพี่น้องทำโน่นทำนี่ แต่เมื่อระลึกถึงเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับมา พริบพรีก็รู้สึกว่าตนไม่ต่างจากลูกน้องที่ต้องทำตามความต้องการของเจ้านาย เธอต้องเก็บข้าวของย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์จันทรกานต์ เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
มีสาวใช้ตามมาช่วยทั้งสามคนเก็บข้าวของจำเป็น แม้ว่าพฤกษ์จะขอเก็บของด้วยตัวเอง แต่ฉกาจก็ยังเสนอตัวเข้าไปช่วย ความเมื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันทำให้พริบพรีทำอะไรได้ช้ากว่าปกติ ตอนที่เก็บโต๊ะทำงาน เธอหยิบกรอบรูปตั้งโต๊ะขึ้นมาดู ในรูปมีพ่อ แม่ เธอ และน้องสาว ส่วนพฤกษ์ยังอยู่ในท้องแม่ อายุครรภ์ประมาณห้าเดือน
ในยามยากลำบากพิรยาไม่เคยนึกถึงจันทรกานต์ ขณะที่พริบพรีนึกอยู่เสมอว่าพวกเขาอาจจะช่วยครอบครัวเธอได้ เธอกับน้องเข้าใจมาตลอดว่าแม่รักศักดิ์ศรีมากเกินกว่าจะไปง้อใคร แต่วันนี้ความคิดของเธอเปลี่ยนไปแล้ว แม่กำลังปกป้องเธอจากเรื่องพิสดารของสองตระกูลผู้ร่ำรวยและมากไปด้วยอำนาจ ไม่ใช่แค่แม่ แต่พ่อก็เช่นกัน
เธอเก็บรูปใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็เปิดประตูให้สาวใช้หิ้วกระเป๋าไปเก็บที่รถ ไม่อยากจินตนาการว่าถ้าแม่ฟื้นแล้วจะตกใจแค่ไหนที่เรื่องราวเลยเถิดไปไกลได้ขนาดนี้ แต่ฟื้นขึ้นมาเถอะ จะต่อว่าเธออย่างไรก็ได้ ขอแค่ฟื้นจากการหลับใหลอย่างยาวนานเกือบสองสัปดาห์ก็พอ
“ต่อไปนี้ผมจะไปส่งคุณพริ้งกับคุณพฤกษ์ที่โรงเรียนเองนะครับ” ฉกาจกล่าวหลังจากที่ขึ้นมานั่งประจำตำแหน่งสารถีของรถเอ็มพีวีคันใหญ่ สัมภาระของทั้งสามอัดแน่นหลังรถ แต่ก็มีที่ว่างพอให้ผู้โดยสารทั้งหมดนั่งสบายๆ
“ขอบคุณค่ะ” พริ้งพรายตอบนิ่งๆ
ระหว่างเดินทาง สาวใช้ที่นั่งมาด้วยแนะนำวิธีการใช้ชีวิตในบ้านหลังใหญ่ กิจวัตรบางอย่างที่ไม่ต้องทำเองอีกแล้วเนื่องจากมีคนคอยทำให้ รวมถึงแลกเบอร์โทร. ไว้เผื่อมีธุระต้องติดต่อกัน
พอถึงที่หมายก็มีคนมาช่วยขนของขึ้นไปเก็บตามห้องที่จัดเตรียมไว้อย่างดี ห้องของพริบพรีใหญ่โตโอ่อ่าก็จริง แต่ไม่เหนือความคาดหมายมากนักเพราะเธอคุ้นเคยกับความอลังการของคฤหาสน์หลังนี้แล้ว ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นอีก หญิงสาวเพียงแค่กล่าวขอบคุณสาวใช้และขอจัดห้องด้วยตัวเอง
ขณะเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พริบพรีเดินไปเปิดประตู ก่อนจะพบว่าเป็นเนตรลดาที่มาพร้อมกับสาวใช้หนึ่งคน
“เป็นยังไงบ้างพริบพรี อยู่ได้ไหม”
“อยู่ได้ค่ะ” พริบพรีระบายยิ้มบางๆ ทุกอย่างที่นี่ดีกว่าที่บ้าน เฟอร์นิเจอร์ครบครันพร้อมเข้าอยู่ เท่าที่สำรวจก็ไม่มีอะไรที่ต้องขอเพิ่ม
เสียอย่างเดียวคือสิ่งดีๆ เหล่านี้มาพร้อมกับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ พริบพรีให้เกียรติเรียกตัวเองว่า วีรสตรีของจันทรกานต์ เพราะสิ่งที่เธอต้องทำมันไม่ต่างจากการออกรบ
“นี่คือคะน้า ป้าจะให้เป็นผู้ดูแลส่วนตัวของหนูในทุกๆ เรื่อง พริ้งพรายกับพฤกษ์ก็ได้คนดูแลเหมือนกัน หนูสั่งงานคะน้าได้ตามต้องการเลย”
พริบพรีส่งยิ้มให้คะน้า พลางคิดว่าน้องๆ ของเธอคงหงุดหงิดอยู่ในใจ พวกเขาไม่ชอบให้ใครยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัว ขณะที่เธอปลงแล้ว สิ่งที่ควรทำคือปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
“อีกสองสามวันพริบพรีจะมีช่างแต่งหน้าทำผมส่วนตัวด้วยนะ ป้าให้คนของป้าหาไว้ให้แล้ว”
“อะ...อะไรนะคะ ต้องมีช่างแต่งหน้าทำผมส่วนตัวด้วยเหรอคะ”
มีสาวใช้ส่วนตัวพริบพรีก็ว่าเว่อร์เกินไปแล้ว นี่ต้องมีช่างแต่งหน้าทำผมส่วนตัวอีก!
“หนูต้องดูดีในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่บ้านก็ตาม เราไม่รู้เลยว่าสูรยกานต์จะมาเยี่ยมเราเมื่อไร แต่พรุ่งนี้หนูจะได้เจอธรณ์แน่นอน ป้าจะให้ช่างของป้าแต่งตัวให้หนูไปก่อน”
ธรณ์...ชื่อนี้ทำให้เธอเครียดที่สุดในบรรดาทุกชื่อที่เคยได้ยินมา
อีกเรื่องที่พริบพรีไม่แปลกใจคือเนตรลดามีช่างหน้าช่างผมประจำตัว หล่อนแต่งหน้าทำผมอย่างพิถีพิถันทุกครั้งที่ได้พบกัน โดยเฉพาะทรงผมที่ไม่น่าทำได้สวยขนาดนี้ด้วยตนเอง
“ค่ะ ได้เลยค่ะ แต่น้องของหนูคงไม่ต้องการขนาดนั้น”
“ป้าก็ว่าอย่างนั้น พริ้งพรายกับพฤกษ์คงไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่งกับเขาเท่าไร ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านยังไม่เห็นเขายิ้มเลย แต่ป้าดีใจนะที่หนูไม่ปิดกั้นพวกเรา เจอกันมื้อเย็นตอนหกโมงจ้ะ” เนตรลดาทิ้งรอยยิ้มและสายตาปลื้มปีติไว้ให้ก่อนเดินจากไป
พริบพรีจำต้องให้คะน้าเข้ามาช่วยจัดห้อง สาวใช้คนนี้อายุมากกว่าเธอสองปี แต่ไม่อยากให้เธอเรียกว่าพี่คะน้า
หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกันเบื้องต้นแล้ว คะน้าก็ร่ายรายการชุบตัวที่พริบพรีต้องทำ อย่างเช่น เข้ารับการดูแลผิว ขัดสีฉวีวรรณ บนโต๊ะเครื่องแป้งมีสกินแคร์หลายตัว คะน้าแนะนำได้อย่างละเอียดราวกับอ่านสรรพคุณและวิธีใช้มาหมดแล้ว พริบพรีคิดว่าเธอคงไม่ต้องจำอะไรอีก ไม่ต้องถามด้วยว่าต้องทาครีมตัวไหนตอนไหน เพราะคะน้าจะช่วยจัดการชีวิตเธอตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน
“ดูแลขนาดนี้คะน้าน่าจะเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉันนะ” พริบพรีว่าขำๆ
“ได้อยู่แล้วค่ะคุณพริบพรี จะให้คะน้าช่วยจัดตารางงานด้วยก็ได้นะคะ ปกติคุณพริบพรีทำงานที่บ้านหรือเปล่า”
“แล้วแต่ช่วงน่ะ ฉันทำฟรีแลนซ์ ถ้ามีงานแปลก็อยู่บ้าน แต่ถ้ามีงานล่ามเข้ามาฉันก็ต้องเดินทาง”
พริบพรีเคยทำงานประจำเพียงแค่ปีเดียว ก่อนจะออกมาเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวเพราะอยากทุ่มเทเวลาให้งานที่ได้เงินดีกว่า เธอมีคอนเน็กชันกับหลายองค์กรด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์มหาวิทยาลัย มักมีงานล่ามในที่ประชุมและงานสัมมนาโยนมาให้เรื่อยๆ ช่วงไหนไม่มีงานล่ามเธอก็ยังมีงานแปลบทความหรืองานวิจัยรองรับ
“ที่นี่มีห้องหนังสือนะคะ คุณพริบพรีไปทำงานในนั้นได้ เผื่ออยากเปลี่ยนบรรยากาศ”
“อืม ไว้ฉันจะลองดู เอาเป็นว่าฉันจะให้คะน้าจัดตารางชีวิตให้ฉันด้วยนะ รบกวนไปหาปฏิทินหรือไม่ก็แพลนเนอร์มาหนึ่งเล่ม จดทุกนัดหมายลงในนั้น ส่วนงานแปลฉันจะบริหารเวลาเอาเอง”
คะน้าดูกระตือรือร้นมากเมื่อถูกสั่งงาน พริบพรีเดาว่าเป็นเพราะผู้จัดการส่วนตัวของเธอได้งานที่ต่างจากกิจวัตรซ้ำซากจำเจ
เมื่อได้เวลามื้อเย็นหญิงสาวก็ลงไปที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งติดกับครัวใหญ่ ระหว่างที่สาวใช้ลำเลียงอาหารไปที่โต๊ะ เธอกับน้องทั้งสองคนก็เดินเข้าไปดูในครัว แม่ครัวรีบหันมาไหว้ทักทายจนทั้งสามรับไหว้แทบไม่ทัน
“มาแอบอยู่นี่นี่เอง อยากได้อะไรเป็นพิเศษบอกพ่อครัวแม่ครัวได้เลยนะ” ติชิลาเข้ามาสมทบ ด้านหลังมีเตชน์ตามมาติดๆ
“ไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ แค่มาดูเฉยๆ” พริบพรีตอบญาติผู้พี่
“จริงๆ ถ้าอยากใช้ครัวก็ได้นะ พี่เดาว่าพริบพรีทำอาหารเป็น”
“เป็นค่ะพี่ตี้ หนูเป็นศิษย์เอกของแม่เพราะแม่มีลูกศิษย์คนเดียว” พริบพรียิ้มอย่างภูมิใจ เวลาโอ้อวดตนเองเธอมักจะทำท่าประจำ นั่นคือเอามือไพล่หลัง เชิดอกและใบหน้า ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้แม่ส่ายหน้าเอือมระอาตลอด
“อย่างนี้ธรณ์ก็สบายแล้วสิ” เตชน์หัวเราะ
พริบพรียิ้มเจื่อน ชื่อนี้มาอีกแล้ว!
“เขาสบายอยู่แล้วพี่เตชน์ ต่อให้พริบพรีทำอาหารไม่เป็นก็เถอะ เขาต้องมีแม่ครัวของเขา ห้ามใช้งานน้องเราเด็ดขาด!” ติชิลาทำเสียงเข้ม สีหน้าเด็ดขาด
เตชน์พยักหน้าเห็นด้วยทันที ก่อนจะถามอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังพริบพรี “แล้วเป็นยังไงบ้างพริ้ง พฤกษ์ บ้านใหม่หลังนี้”
“ก็ดีค่ะ” พริ้งพรายตอบก่อน
“มัน...ยิ่งใหญ่มากครับ” น้ำเสียงของพฤกษ์เรียบนิ่งไม่ต่างกัน
พริบพรีสังเกตว่าน้องๆ มีอาการตะลึงงันตอนที่เห็นคฤหาสน์จันทรกานต์ครั้งแรก แต่พอลงมาจากรถ อาการเหล่านั้นก็อันตรธานไป
“พี่เข้าใจ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยนะ” ติชิลาให้กำลังใจ “เรามาแลกเบอร์กันดีกว่า มีอะไรสำคัญทั้งสามคนติดต่อพี่มาได้เลย”
หลังจากนั้นทั้งห้าคนก็ออกจากครัวไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร เตชน์คุยกับพริบพรีเรื่องงานของเธอ สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าถ้าต้องใช้ล่ามภาษาอังกฤษจะติดต่อเธอแน่นอน อีกหนึ่งภาษาที่พริบพรีศึกษาเพิ่มเติมช่วงมหาวิทยาลัยคือภาษาจีน แต่ยังไม่เก่งถึงขนาดเป็นล่ามได้ แค่จะสื่อสารก็ต้องอาศัยความพยายามอย่างหนัก
บนโต๊ะรับประทานอาหารเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ก่อนหน้านี้พริบพรีกำชับน้องสองคนไว้แล้วว่าอย่าเงียบ โชคดีที่ดลวัฒน์เป็นคนช่างซักถาม อยากรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของสามพี่น้องสมาชิกใหม่ พริ้งพรายกับพฤกษ์จึงได้พูดโต้ตอบอยู่เรื่อยๆ
คนเดียวที่เงียบเห็นทีจะเป็นมาลัย พริบพรีสงสัยเหลือเกินว่าย่าคิดอะไรอยู่กันแน่
หลังจากที่ครอบครัวของดลวัฒน์กลับไป พริบพรีก็ขึ้นไปส่งน้องๆ ที่ห้องนอนเพื่อจะดูว่าห้องของแต่ละคนจัดแต่งอย่างไร เธอส่งพฤกษ์ก่อน แล้วถึงค่อยไปส่งพริ้งพราย ไม่ได้คิดไปเองแน่นอนว่าห้องของทั้งสองคนดูเรียบง่ายกว่าห้องของเธอมาก แต่เท่านี้ก็มากเกินพอแล้วสำหรับทั้งคู่
“ฝันดีนะพริ้ง แล้วพรุ่งนี้เช้าเราตื่นไปเยี่ยมแม่กัน”
“ถึงพริ้งจะไม่ชอบสิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ แต่ก็...” พริ้งพรายถอนหายใจอย่างไร้เสียง “ขอบคุณนะพี่พริบ พี่เก่งมากที่ยังยิ้มออก”
“นี่คือชีวิตที่ดีนะพริ้ง เอ็นจอยไปเลย โอเค เธออาจจะเครียดเรื่องอาการของแม่ แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วพี่อยากให้เธอทำใจให้สบายที่สุด”
“ถ้าพริ้งเป็นพี่พริบ พริ้งจะหอบเงินหนีข้ามประเทศ”
“เธอทำไม่ได้หรอก พี่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเธอเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวไม่ได้”
พริบพรีบีบแก้มน้องสาวที่มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะปิดประตูห้องให้ จากนั้นก็เดินไปถามหามาลัยจากพ่อบ้านอรุษที่เดินผ่านมาพอดี
มาลัยนอนให้สาวใช้บีบนวดอยู่ในห้องพักชั้นสอง ไม่ใช่ห้องนอนแต่เป็นห้องพักผ่อนหย่อนใจของท่านโดยเฉพาะ พริบพรีเคาะประตูก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าพบ หญิงสูงวัยสั่งให้คนอื่นออกไปก่อนเพื่อจะคุยกับหลานสาวตามลำพัง
“เรายังไม่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ เลยนะคะ” พริบพรีว่าพลางนั่งลงที่พื้นข้างๆ ตั่งไม้ที่มาลัยนั่งอยู่
“อื้ม ย่าแค่ไม่อยากเชื่อว่าเราจะได้พบกันอีก”
“ทำไมคุณย่าถึงร้องไห้ตอนที่ได้พบหนูคะ”
มาลัยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงสั่นเครือ “ย่าเจอหนูกับพริ้งครั้งแรกตอนที่ไปงานศพตาพล ย่ารู้ว่าหนูคือคนที่เราเฝ้ารอ แม่หนูก็รู้เรื่องนี้ ในงานศพย่าเข้าไปคุยกับแม่หนูว่าอยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่แม่หนูปฏิเสธเด็ดขาด เพราะเข้าใจว่าย่าต้องการผลประโยชน์จากหนู”
พริบพรีสบตาผู้พูด ตั้งใจฟังทุกคำ
“ย่าเคยมีอคติกับแม่หนูก็จริง แต่อคติพวกนั้นไม่เหลืออยู่อีกแล้ว ย่าแค่อยากให้เราได้อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่เนตรที่อธิษฐานให้หนูกลับมา แต่ย่าก็ด้วย ย่า...ย่าแทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้พบหนูอีกครั้ง ย่ากลัวว่าถ้าร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจจะทำให้หนูรู้สึกไม่ดี เลยเดินหนีไป”
หญิงชราเอื้อมมือเหี่ยวย่นมาลูบศีรษะพริบพรีอย่างแผ่วเบา ราวกับเธอเป็นความฝันที่สามารถแตกสลายไปกับอากาศได้ง่ายๆ
“ย่าไม่รู้ว่าในความคิดหนู ย่าคือศัตรูของแม่หนูหรือเปล่า ย่ากลัวว่าถ้าพูดหรือทำอะไรพลาดไปหนูอาจจะต่อต้านย่า ย่าเลยอยากอยู่อย่างสงบที่สุด”
“แม้ว่าหนูจะไม่ใช่คนสำคัญของจันทรกานต์อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ คุณย่าก็ยังอยากให้หนูอยู่ด้วยเหรอคะ”
มาลัยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล พลอยให้พริบพรีรู้สึกอุ่นใจเหลือประมาณ
“แม่ไม่เคยพูดอะไรไม่ดีถึงคนในจันทรกานต์เลยค่ะ แม่บอกแค่ว่าที่แยกตัวออกมาเพราะแม่ไม่เหมาะสมกับพ่อ หลังจากนั้นพวกหนูสามคนก็คิดโน่นคิดนี่กันใหญ่โต หนูเพิ่งรู้ไม่นานนี้เองว่าทุกคนน่ารักมาก”
ไม่มีใครแสดงท่าทีไม่ชอบเธอและน้อง ยิ่งได้พูดคุยทำความรู้จักกัน เธอยิ่งเชื่อว่าแม้ตนเองจะสร้างผลประโยชน์ให้พวกเขาไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นที่ยอมรับ
“ทุกคนในจันทรกานต์ยึดมั่นในคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ โดยเฉพาะเรื่องความดีและมีเมตตา ย่าไม่ได้อยู่ในตระกูลนี้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อแต่งเข้ามาแล้วก็ต้องน้อมรับคำสอนและกฎเกณฑ์ต่างๆ ยึดเอาไว้เป็นหลักของการใช้ชีวิต”
พริบพรีพยักหน้าเรื่อยๆ ฟังผู้อาวุโสพูดราวกับฟังนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่ง อดนึกถึงสัมผัสของพ่อที่ชอบลูบผมเธอแบบนี้ไม่ได้
“พริบพรี ย่าไม่รู้ว่าจะบันดาลความสุขให้หนูได้มากแค่ไหน แต่อะไรที่พอตอบแทนการเสียสละของหนูได้ ขอให้หนูรีบบอกย่านะ ย่าจะทำให้ทุกอย่าง”
หญิงสาวเงียบเพื่อไตร่ตรองถึงสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบง่าย
“ตอนนี้หนูต้องการแค่ได้กอดคุณย่าสักครั้งค่ะ”
ที่ตามมาหลังจากนั้นคือเสียงสะอื้นของมาลัย หล่อนกอดคนเป็นหลานอย่างเต็มใจ ทุกข้อสงสัยของพริบพรีถูกลบล้าง เธอเชื่อการกระทำและการแสดงออกมากกว่าคำพูดโอ้โลมปฏิโลม ความจริงแล้วคุณย่าไม่ได้เกลียดเธอ แต่รักเธอเทียบเท่าลูกๆ ของดลวัฒน์
และนั่นก็กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำหรับการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเธอ
ความคิดเห็น |
---|