“พริ้ง พฤกษ์ กลับบ้านไปพี่อยากให้พวกเธอเข้าไปคุยกับคุณปู่คุณย่าบ้าง”
พริบพรีบอกน้องสาวและน้องชายขณะที่ทั้งสามอยู่ในลิฟต์ของโรงพยาบาล อาการของพิรยายังคงที่ ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง เยี่ยมเยียนเพียงสิบนาทีสามพี่น้องก็ตกลงกันว่าจะกลับ วันนี้พริบพรีตั้งใจจะสะสางงานแปลบทความเพราะกำหนดส่งใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งเธอทำได้แค่ถึงบ่ายสามโมง หลังจากนั้นก็ต้องอุทิศเวลาให้แก่การแปลงโฉมครั้งใหญ่เพื่อรอต้อนรับ ธรณ์ สูรยกานต์
ทั้งเขาและชื่อของเขาจะหลอกหลอนเธอไปจนวันตาย เชื่อสิ
พริ้งพรายกับพฤกษ์พยักหน้ารับคำสั่งเงียบๆ เมื่อประตูลิฟต์เปิดพริบพรีก็เดินออกมาคนแรก
“พี่เชื่อว่าทั้งสองคนใจดี และจะต้อนรับพวกเธอเหมือนที่ต้อนรับพี่”
“หวังว่าอย่างนั้น” พฤกษ์ว่าขณะเดินตามหลังมา
“แล้วนี่เราต้องผูกมิตรกับว่าที่พี่เขยด้วยไหม” พริ้งพรายยิงคำถามที่ทำให้คนเป็นพี่ชะงักกึก
พริบพรีกระแอมไอเล็กน้อย ตราบใดที่เธอยังไม่พร้อมมีสามี คำว่า ‘พี่เขย’ จากพริ้งพรายก็ยังจัดอยู่ในหมวดคำประหลาด ฟังแล้วขัดหูชอบกล
“สำหรับวันนี้ยัง พี่จะคุยกับเขาเอง พี่ได้ใช้เวลาทั้งคืนคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าวันนี้จะตกลงกับเขาให้รู้เรื่อง หลังแต่งงานไปเราจะต่างคนอยู่ คือ...ก็อาจจะอยู่บ้านหลังเดียวกัน แต่อยู่กันเหมือนเพื่อน ไม่ใช่คนรัก ตื่นเช้าแยกย้ายไปทำงาน ตอนเย็นมาเจอกัน ตอนนอนก็แยกกันนอน”
“ในทางปฏิบัติมันทำได้ใช่ไหม พี่จะถูกจับตามองหรือเปล่า” พริ้งพรายตั้งข้อสังเกต
“จากใคร” พริบพรีถามกลับ ความมั่นใจว่าความคิดตัวเองเวิร์กลดลงนิดหน่อย
“ทุกคน”
“พี่ไม่ได้อยู่ในรายการส่องบ้านดารานะ ยอมแต่งให้แล้วก็ช่วยปล่อยพี่กับเขาไปเถอะ”
“แล้วถ้าสมมุติเขาชอบพี่?”
“พริ้ง พี่ขนลุกไปหมดแล้ว”
“เราควรจินตนาการถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดเอาไว้ก่อนนะพี่พริบ แล้วถ้าเขาเป็นผู้ชายไม่ดีที่หวังเอาเปรียบพี่ในทุกๆ เรื่องล่ะ พี่จะอยู่อย่างไม่มีความสุขนะ”
พริบพรีถอนหายใจสั้นๆ พลางนึกถึงรูปร่างหน้าตาของ ธรณ์ สูรยกานต์ ที่เห็นเมื่อวาน เขาเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง ดูไม่มีพิษมีภัย อาจเพราะตกใจอยู่เลยเก็บพิษสงไว้ ไม่เผยออกมาผ่านสีหน้าท่าทาง เธอจึงยังไม่สามารถเดาได้ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายคนนั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่
“พี่ว่าเขาน่าจะแคร์เทพเจ้าพระอาทิตย์อะไรของเขาบ้างนะ”
“ใครจะรู้ล่ะ”
“เอาเป็นว่าพี่ขอคุยกับเขาก่อน แล้วค่อยวางแผนชีวิตใหม่”
“พริ้งว่าพี่อาจจะถูกบังคับให้มีลูก”
“อันนี้น่าคิด” พฤกษ์ที่เงียบไปพักใหญ่เห็นด้วยกับพี่สาวคนรอง ส่วนพี่สาวคนโตนิ่งเป็นหุ่นไปแล้ว ตาลอยมองพื้นโรงพยาบาล
ภาพชีวิตในอนาคตที่พริบพรีจินตนาการเอาไว้ถูกน้องๆ ดัดแปลงทีละนิดจนเริ่มแตกต่างจากต้นฉบับ
จู่ๆ ช่วงเวลาขณะหนึ่งของงานบวงสรวงก็กลับเข้ามาในความทรงจำ ธรณ์คือผู้ชายที่วิ่งเล่นกับเด็กผู้หญิงสองคน มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เป็นเขาแน่ๆ เธอไม่น่าจำผิด
ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า... “เขารักเด็ก”
“แล้วยังไงล่ะพี่พริบ! พี่จะยอมมีลูกกับเขาเพราะเขารักเด็กน่ะเหรอ” พริ้งพรายมองหน้าพี่สาวอย่างเหลือเชื่อ
สติของพริบพรีเพิ่งกลับมาเดี๋ยวนั้นเอง เธอปฏิเสธจนลิ้นแทบพันกัน
“ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ขอเวลาคิดและลองคุยกับเขาก่อน พวกเธออย่าไซโคพี่ตอนนี้เลย ขอร้องล่ะ”
ช่วงเวลาที่พริบพรีแปลงานต้องใช้สมาธิอย่างหนัก เธอขอให้คะน้าออกไปจากห้องและห้ามรบกวนจนกว่าจะถึงบ่ายสามโมง คะน้าทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ได้เวลาสิบห้านาฬิกาตรงไม่มีขาดไม่มีเกินเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พริบพรีเดินไปเปิดประตู พบกับคะน้าและช่างแต่งหน้าทำผมของเนตรลดาที่ยืนรอพร้อมรอยยิ้ม
ระหว่างแปลงโฉม พริ้งพรายกับพฤกษ์เข้ามาในห้องของเธอเพื่อเล่าเรื่องปู่กับย่าให้ฟัง สองพี่น้องเข้าไปพบทั้งคู่มาแล้ว และรู้สึกเหมือนกันว่าได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ พริบพรีโล่งอก อย่างน้อยน้องๆ ก็อยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างสบายใจขึ้น
“คุณปู่เล่าให้ฟัง สมัยที่เริ่มก่อตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า แกเชื่อเหลือเกินว่าที่ธุรกิจโตไวเป็นเพราะโชคลาง” พฤกษ์เล่าเรื่องที่ได้ฟังมา ก่อนจะออกความเห็นส่วนตัว “แต่พฤกษ์เชื่อในความสามารถของคนมากกว่า แกเป็นคนมุ่งมั่น แล้วแกก็บอกเองว่าพี่ชายของแกเก่ง”
จากการพูดคุยระหว่างรับประทานมื้อเย็นเมื่อวาน พริบพรีรู้มาว่าลือชาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียนซึ่งตอนนี้ติดอันดับผู้นำในอุตสาหกรรมเดียวกัน ปัจจุบันยกตำแหน่งประธานบริษัทให้ดลวัฒน์ดูแล โดยมีเนตรลดาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนใหญ่ เตชน์และติชิลาก็ทำงานกับบิดาของพวกเขา แต่พริบพรีเพิ่งรู้ว่าลือชามีพี่ชายที่ร่วมก่อตั้งบริษัทขึ้นมาด้วย
“พี่ชายคุณปู่ชื่ออะไรเหรอ”
“ไม่รู้ แต่เสียแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน”
“ชื่อคุณทรงเกียรติค่ะ” คะน้าที่ต้องรับบทเป็นผู้ช่วยช่างทำผมตอบ
พริบพรีขอแค่ม้วนผมเป็นลอนใหญ่เท่านั้น เธอบอกช่างตามตรงว่าไม่อยากแต่งตัวให้ดูเหมือนตั้งใจแต่งมารอหนุ่ม ทำเอาทั้งช่างและสาวใช้ฮาครืน
“คุณปู่ทาบทามพฤกษ์ให้ลองไปทำงานที่นั่นด้วยนะพี่พริบ” พริ้งพรายเล่าต่อ
“จริงเหรอ ตัวแค่นี้คุณปู่ทาบทามแล้วเหรอเนี่ย น้องพี่ฉายแววแรงจริงๆ” พริบพรียกนิ้วโป้งให้น้องชาย
“แต่พฤกษ์สนใจอีคอมเมิร์ซของฝั่งพี่ธรณ์มากกว่า”
“หือ ไหนเล่าซิ พี่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพี่ธรณ์ของพฤกษ์เลย”
“เล่าเลยพฤกษ์ พี่พริบควรมีความรู้เกี่ยวกับสามีในอนาคตติดหัวไว้ จะได้มีเรื่องไปคุยกับเขา”
พริ้งพรายกระตุกยิ้มกวนๆ ถ้าไม่ติดว่าต้องนั่งอยู่กับที่ พริบพรีคงลุกไปปล่อยมะเหงกใส่หัวน้องสาวสักที
“ทางฝั่งพ่อพี่ธรณ์ทำธุรกิจโลจิสติกส์ ฝั่งแม่เขามีญาติที่เปิดบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชัน เพิ่งบุกตลาดอีคอมเมิร์ซไม่นานนี้เอง พอมีคอนเน็กชันกับบริษัทขนส่งอะไรก็ง่ายทั้งนั้น” พฤกษ์เล่า
“เดี๋ยวถ้าพี่ได้คุยกับเขา พี่จะฝากพฤกษ์ให้เขาพิจารณาแล้วกัน”
“ไม่ต้องรีบฝากหรอก กว่าพฤกษ์จะเรียนจบเข้าวัยทำงาน พี่พริบน่าจะลูกสองแล้วมั้ง” เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาหน่อยๆ
“พฤกษ์!!!”
“ว้าย อยู่นิ่งๆ ค่ะคุณพริบพรี แกนม้วนผมเกือบโดนหน้าแล้ว!”
ช่างทำผมร้องเตือนเมื่อพริบพรีสะบัดหน้าไปตะโกนชื่อน้องเสียงดัง ส่วนพริ้งพรายกับพฤกษ์พากันขำสายตาขุ่นเคืองของพี่สาว
พริบพรีกัดฟันกรอด เจ้าพวกนี้ เห็นเธอไม่ค่อยเครียดก็แซวใหญ่เลยนะ!
ใช้เวลาเกือบๆ สองชั่วโมงการแต่งหน้าทำผมก็เสร็จสิ้น พริบพรีมองกระจกด้วยความประทับใจที่ใบหน้าของตัวเองถูกโฉลกกับเครื่องสำอางทุกชนิด อีกทั้งยังไม่มีสิวเสี้ยนหรือรอยด่างดำที่ต้องปกปิด ผลลัพธ์จึงออกมาสวยงามแบบไม่ต้องพยายามมาก สำหรับเธอเรียกได้ว่าไร้ที่ติ ส่วนธรณ์จะติอะไรก็เรื่องของเขา แต่ช่วยติในใจก็พอ
พริบพรีมีชุดสำหรับสวมไปทำงานที่ดูไม่เป็นทางการมากเกินไป ขณะจะหยิบออกมาจากตู้ เนตรลดาก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมเดรสแขนตุ๊กตาสีชมพูหวานแหวว
“ป้าหาชุดมาให้แล้ว น่ารักมากเลย ว่าไหม”
หญิงสาวอ้าปากค้าง สมองคิดหาวิธีปฏิเสธอย่างรวดเร็ว เธอจะไม่ใส่ชุดแข่งกับบาร์บี้แน่นอน!
“คือ...หนูขอใส่ชุดของตัวเองนะคะคุณป้า พบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก หนูอยากเป็นตัวหนูเอง”
หลังจากให้เหตุผลที่ฟังดูดีออกไป ก็มีเสียงของพริ้งพรายกระซิบกับพฤกษ์แว่วตามมา
“แต่งหน้าทำผมขนาดนี้ก็ไม่ใช่ตัวเองแล้ว”
“หนูจะใส่ตัวนี้เหรอพริบพรี” เนตรลดาเข้ามาดูชุดของเธอใกล้ๆ ท่อนบนเป็นเชิ้ตผ้าแก้วสีน้ำตาลอ่อน สวมทับเสื้อซับในสีขาว ส่วนท่อนล่างเป็นกระโปรงผ้าร่มเอวสูง ความยาวเลยเข่าลงมาเล็กน้อย สีเข้มกว่าเชิ้ตเพียงนิดเดียว
“หนูคิดว่าใส่ชุดนี้แล้วหนูจะมั่นใจมากกว่าค่ะ”
คนเป็นป้าเม้มปากชั่งใจ มองชุดของหลานสาวสลับกับชุดในมือตนสองสามครั้ง ยังไม่ทันได้ตัดสินใจพ่อบ้านอรุษก็ขึ้นมาแจ้ง
“คุณธรณ์มาถึงแล้วนะครับ”
“บอกเขาว่าขอสิบห้านาที” เนตรลดาหันไปตอบทันที “อ้อ อรุษ ถามหน่อย เห็นหรือเปล่าว่าธรณ์ใส่ชุดสีอะไร ทั้งเสื้อทั้งกางเกง”
พ่อบ้านรูปร่างผอมสูงยืนนึกไม่กี่วินาทีก่อนตอบ “เชิ้ตสีครีมครับ กางเกงสีน้ำตาลเข้ม”
เนตรลดาไหล่ตก มองชุดสีชมพูของตัวเองแล้วถอนหายใจ ถ้าธรณ์ใส่สีอื่นมาคงจะแย้งได้ว่าไม่เข้ากับชุดของพริบพรี แต่เล่นใส่สีเดียวกันมาแบบนี้หล่อนจะไปทำอะไรได้ นอกจากหันไปพยักหน้าให้คนที่กำลังกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ
“เปลี่ยนชุดให้เสร็จภายในสิบนาทีนะจ๊ะ แล้วเจอกันข้างล่าง”
พริ้งพรายกับพฤกษ์ออกไปจากห้องระหว่างที่พริบพรีเปลี่ยนชุด เหลือเพียงคะน้าที่ต้องตรวจสอบความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมก่อนที่พริบพรีจะออกจากห้องได้ หญิงสาวทำเวลาได้ตามที่ผู้เป็นป้าต้องการ ไม่ถึงสิบนาทีก็เดินลงบันไดมาอย่างสง่างามในชุดที่ตนเลือกเอง เชิดหน้าเดินเหมือนว่าทุกคนในคฤหาสน์ยืนรออยู่หน้าบันได ทั้งที่จริงๆ แล้วพื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า ทุกคนอยู่ในห้องรับแขก
“ยิ้มสวยๆ เลยนะคะ เปิดตัวอย่างอลังการ” คะน้ากระซิบบอกข้างหู ก่อนจะดันหลังเธอเข้าไปในห้องรับแขกที่มีสมาชิกถึงหกคน
ไม่ทันได้ยิ้มพริบพรีก็ตกเป็นเป้าสายตาเสียแล้ว เธอผงกศีรษะแสดงความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสามคน ไล่สบตาน้องๆ ที่เกาะติดเหตุการณ์สำคัญ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวคำทักทายชายหนุ่มที่มองเธออยู่ ออราความเป็นผู้ดีของเขาผลักเธอกระเด็น
“สวัสดีค่ะ คุณธรณ์”
“สวัสดีครับ คุณพริบพรี” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม
หญิงสาวตระหนักได้ว่าเมื่อวานที่นั่งของเธอกับเขาห่างกันมากแค่ไหน ก็เมื่อได้สำรวจใบหน้าของเขาใกล้ๆ ในเวลานี้ ดวงตาคมลึกมีสีน้ำตาล คิ้วหนาพาดยาวเลยหางตา จมูกโด่งและริมฝีปากจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม ช่างน่าอิจฉาที่เขาดูดีโดยธรรมชาติ ส่วนเธอต้องเสียเวลาไปสองชั่วโมงกว่าจะดูดีอย่างที่ทุกคนพอใจ
ความประทับใจแรกที่เธอมีต่อเขามาจากความสุภาพ เขาดูเป็นคนจิตใจดี คุยง่าย แต่ถ้าจะให้แน่ใจว่าเป็นคนแบบนี้เสมอต้นเสมอปลายหรือเปล่าก็ต้องลองพูดคุยกันก่อน
“พริบพรี ตรงนั้นว่างจ้ะ” เนตรลดาพยักพเยิดไปยังที่ว่างข้างๆ ธรณ์ เนื่องจากผู้ใหญทั้งสามนั่งโซฟาตัวกลาง พฤกษ์กับพริ้งพรายนั่งโซฟาทางฝั่งซ้าย ส่วนโซฟาทางฝั่งขวามีแค่ธรณ์ เพื่อความสมดุล พริบพรีต้องไปนั่งตรงนั้น
“ไม่เป็นไรครับ” ธรณ์เอ่ยขึ้นมา ทุกสายตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
อ้าว หมอนี่...พริบพรีเตรียมหักคะแนนเขาแล้ว กล้าดีอย่างไรถึงพูดออกมาโต้งๆ ว่าไม่ให้เธอนั่งด้วย!
ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ลุกขึ้น “ผมขอคุยกับคุณพริบพรีเป็นการส่วนตัวก่อน ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วให้คนไปตามเราที่สวนนะครับ”
“เอ่อ หน้าบ้านหรือหลังบ้านจ๊ะ” เนตรลดารีบถามอย่างรอบคอบ
“หลังบ้านก็ได้ครับ หน้าบ้านแดดแรง”
พริบพรีสบตาน้องๆ เพื่อขอกำลังใจ ทว่าทั้งสองคนต่างทำหน้าเหมือนกำลังกลั้นขำ เพราะเมื่อกี้เธอเผลอทำตาเขียวใส่ธรณ์อย่างไรล่ะ
“อย่างนั้นก็ได้จ้ะ อีกหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะตั้งโต๊ะเสร็จแล้ว ป้าจะให้คนไปตามนะ”
ธรณ์กล่าวขอบคุณก่อนจะส่งสายตาให้พริบพรีเดินนำ หญิงสาวหมุนตัวออกห่างจากกลุ่มคน ไม่ได้หันไปมองข้างหลังตลอดการเดินออกทางหลังบ้าน แต่รู้ว่าคนตัวสูงเดินตามอยู่ตลอด
สวนด้านหลังคฤหาส์มีต้นไม้สูง พุ่มไม้เตี้ยและไม้ดอกซึ่งจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ที่นี่มีคนสวนอยู่หนึ่งคน มักจะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่รอบตัวบ้าน พริบพรีไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงคนนั้นชื่ออะไร แกดูไม่ไยดีอะไรเลยนอกจากต้นไม้ อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคฤหาสน์จันทรกานต์มีสมาชิกเพิ่มแล้ว
เธอเดินมาหยุดใต้ต้นไม้ หันไปถามคนที่เดินตามมา “อยากนั่งคุยหรือยืนคุยคะ”
เหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเหม่อลอย เพิ่งได้สติตอนได้รับคำถาม
“อะไรนะครับ”
“คุณอยากนั่งคุยหรือยืนคุยคะ ตรงนั้นมีที่นั่ง แต่ไม่น่าจะสะอาดเท่าไร” พริบพรีชี้ไปทางโต๊ะและเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ตากแดดตากลมทั้งวันแบบนั้นต้องฝุ่นเขรอะแน่ๆ เว้นแต่ว่าลุงคนสวนจะคอยทำความสะอาด
“ยืนคุยก็ได้” ธรณ์ตัดสินใจง่ายๆ แล้วเริ่มบทสนทนาเพื่อไม่ให้เสียเวลา “พริบพรี ไหนๆ เราก็อายุเท่ากัน เราต้องสนิทกันและพูดคุยปรึกษากันหลายๆ เรื่อง ‘ฉัน’ ขอเสนอให้เราปฏิบัติและพูดคุยกันเหมือนเพื่อน ไม่ต้องเป็นทางการอะไรมาก ‘เธอ’ ว่ายังไง”
พริบพรีให้คะแนนเขาเรื่องการตีสนิท เธอชอบคนที่เข้ากับคนง่าย ไม่ถือตัว ไม่ห่างเหิน ไม่มีพิธีรีตองที่ชวนให้รู้สึกประหม่าเวลาสนทนา
“ฉันโอเค เธอพูดเองนะว่าปฏิบัติต่อกันเหมือนเพื่อน ฉันว่าจะบอกเธออยู่เหมือนกันว่าเรามาเป็นเพื่อนกันดีกว่า” เธอยื่นมือไปตรงหน้า “ยินดีที่ได้รู้จัก ธรณ์”
เขาจับมือเรียวตอบเพื่อสานสัมพันธ์ฉันมิตรโดยทันที “ยินดีที่ได้พบกัน พริบพรี”
“เยี่ยม! เธอช่วยลดความประหม่าฉันได้เยอะเลย ถ้าให้เดานะ การที่เธอเรียกฉันออกมาคุยนอกบ้านเพราะมีแผนการอะไรใช่ไหม ไหนว่ามา” พริบพรีชักมือกลับ แล้วนำไปไพล่หลัง เชิดอกรอฟัง
ทว่าธรณ์กลับยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้น “นี่ท่าประจำตัวเธอเหรอ”
พริบพรีปรับท่ายืนให้เป็นปกติ กะพริบตางุนงง “เพิ่งเห็นครั้งแรก เธอรู้ได้ยังไงว่าเป็นท่าประจำตัว”
“ฉัน...” ชายหนุ่มเกาแก้มเล็กน้อย “ฉันเดาเอา”
“อ้อ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ฉันติดท่านี้น่ะ น้องฉันบอกว่าเหมือนครูอนุบาลยืนคุมแถว”
“ก็อาจจะใช่ ส่วนที่ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวไม่ใช่เพราะมีแผนการซับซ้อนอะไรหรอก ฉันแค่อยากให้เราได้ทำความรู้จักกันโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เมื่อกี้เธอยังบอกเลยว่าประหม่าน้อยลง”
พริบพรีย่นคิ้ว เอียงคอเล็กน้อย “แค่นั้นเหรอ...ฉันนึกว่าเธอมีทางออกที่ทำให้เราไม่ต้องแต่งงานกัน”
“เสียใจด้วย แต่ฉันไม่มี”
น่าพิลึกตรงที่ธรณ์พูดทั้งรอยยิ้ม
“เธอคิดดีแล้วใช่ไหมที่จะ...เอ่อ แต่งงานกับฉัน”
“เราไม่มีโอกาสได้คิด เราต้องทำ”
พริบพรีถอนหายใจเซ็ง ปฏิกิริยานั้นดึงดูดความสนใจของคู่สนทนา
“ฉันนึกว่าเธอโอเคกับเรื่องนี้แล้ว”
“ก็พอทำใจได้ เธอคงไม่รู้สินะว่ามันปุบปับแค่ไหนสำหรับฉัน ฉันเพิ่งรู้เรื่องแต่งงานเมื่อวานนี้เอง เธอก็เพิ่งรู้ว่าบนโลกนี้มีฉันที่เกิดวันเดียวกับเธอเมื่อวานใช่ไหมล่ะ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันรู้ว่าโลกนี้มีเธอตั้งนานแล้ว เธอจะเชื่อไหม” ธรณ์สบสายตางงงวยของพริบพรี ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ฉันล้อเล่น”
พริบพรีก็คิดว่าเขาล้อเล่น เขาจะรู้จักเธอมานานได้อย่างไร ในเมื่อทุกคนในสูรยกานต์ไม่รู้จัก จันทรกานต์บางคนก็เพิ่งรู้ว่าเธอมีตัวตนเมื่อไม่นานมานี้
“แล้วที่ผ่านมาเธออยู่ที่ไหน ทำไมถึงเพิ่งปรากฏตัว”
“พ่อฉันออกจากจันทรกานต์ตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญอยู่กับแม่ ไม่ร่ำรวย แต่มีความสุข โรแมนติกไหมล่ะ” พริบพรียิ้มมุมปาก สีหน้าและน้ำเสียงห่างไกลจากคำว่าประชดและเจือไปด้วยความสุข
ธรณ์พยักหน้า “สุดๆ”
“ฉันจะสกิปเรื่องราวชีวิตฉันนะ มันไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไร สาเหตุที่ฉันมาที่นี่คือแม่ฉันป่วยหนัก ต้องผ่าตัดและใช้เงินจำนวนมาก ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย คุณป้าช่วยฉันเรื่องเงิน พาฉันไปงานเมื่อวาน แล้วก็...เซอร์ไพรส์!”
พริบพรีกางมือสองข้าง แสร้งทำหน้าตกตะลึง ทำเอาคนฟังหลุดหัวเราะจนเห็นฟันขาวเรียงชิดติดกัน
“โทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจขำเรื่องเศร้าของเธอ” ธรณ์รีบกลั้นขำให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะตลกกับเรื่องเศร้าของตัวเองเหมือนกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เหมือนการแต่งงานกับเธอคือข้อแลกเปลี่ยนของเงินก้อนนั้น ขอพูดตามตรงนะ ฉันไม่อยากแต่งงานเลย ฉันไม่อยากมีสามี ฉันรับภาระไม่ไหว”
ธรณ์หน้าเหลอกับประโยคหลัง “อะไรนะ เธอมองว่าสามีคือภาระเหรอ!”
“ใช่ สามีคือภาระของภรรยา” พริบพรีพูดอย่างจริงจัง
“แล้วพ่อเธอเป็นภาระของแม่เธอด้วยไหม”
“ไม่สิ! ฉันหมายถึงในกรณีฉันคนเดียว” หญิงสาวถลึงตาใส่คนที่บังอาจมาย้อนเธอ ก่อนจะเริ่มบรรยายอย่างอัดอั้นตันใจ
ความรู้สึกย่ำแย่ที่คิดว่าจัดการได้แล้วค่อยๆ ไหลกลับเข้ามาในห้วงอารมณ์ ณ ขณะนี้
“ฉันมีน้องๆ สองคนที่ต้องดูแล พริ้งพรายอยู่ ม. หก พฤกษ์อยู่ ม. สาม และถึงแม้ว่าครอบครัวจันทรกานต์จะหยิบยื่นชีวิตดีๆ ให้พวกเขาได้ แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่าฉันคือคนที่ดูแลพวกเขาได้ดีที่สุด! ที่ลืมไม่ได้เลยคือแม่ฉันป่วยอยู่ด้วย ฉันควรทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้น้องๆ และแม่ไม่ใช่เหรอ”
“พริบพรี...”
“อย่าเพิ่ง ฉันยังพูดไม่จบ” เธอยกมือห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไร ความคร่ำเครียดฉาบทับบนใบหน้าที่ลงเครื่องสำอางอย่างประณีต “ในสภาวะแบบนี้ ทุกคนคาดหวังให้ฉันแต่งงานน่ะเหรอ กับใครไม่รู้ด้วย เธอคือคนแปลกหน้าสำหรับฉัน และฉันก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ ถามจริงเถอะ เธอไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอกับการคลุมถุงชน”
“คือฉันก็...”
“ยังไม่หมด! ผ่านงานแต่งงานไปแล้วพวกเขาอาจจะอยากให้เรามีลูกกันต่อก็ได้ ฉัน...ฉันต้องสติแตกก่อนได้คลอดลูกคนแรกแน่ๆ เลย!”
จบประโยคที่แสนสะเทือนอารมณ์ พริบพรีก็ซบใบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร้องฮือ ขณะที่ธรณ์อ้าปากค้าง สิ่งที่ตั้งใจจะพูดหายไปหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ไม่ช้าไม่นานหญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมาถามเขา “แล้วเมื่อกี้เธอจะพูดอะไรนะ”
“ฉัน...” ชายหนุ่มกลอกตาไปมา “ฉันลืม”
“...”
“คือเธอพูดเร็วมากจนต้องโฟกัสแต่เธอ เอาเป็นว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ เราค่อยเป็นค่อยไปได้ เริ่มจากเป็นเพื่อนกันก็ได้ แล้วต่อจากนี้ค่อยมาคิดว่าจะเอายังไงต่อ เธออย่าเพิ่งวิตกกังวลและคิดไปไกลขนาดนั้นเลย”
‘ก่อนที่เราทั้งคู่จะสติแตกตั้งแต่ตอนนี้’ ธรณ์อยากต่อประโยคนั้น แต่ก็เป็นห่วงว่าหน้าเครียดๆ ของพริบพรีจะไม่มีพื้นที่ว่างให้ความรู้สึกอื่นเข้าแทรกอีก
“ธรณ์ เธอเชื่อตำนานบ้าบออะไรนั่นมากเลยเหรอ เธอไม่กลัวตัวเองไม่มีความสุขหรือไง ถ้าฉันเป็นภรรยาของเธอ” พริบพรีพยายามมองหาความรู้สึกที่แท้จริงของธรณ์ เขาดูใจเย็นเกินไป ดูไม่มีแผนการอะไรนอกจากอยากเป็นเพื่อนกับเธอ
ซึ่งประเมินจากท่าทีแล้ว เขาสามารถแต่งงานกับเธอได้โดยไม่คิดต่อต้านใครด้วยซ้ำ
จริงๆ พริบพรีก็ไม่ได้คิดต่อต้าน เธอทำไม่ได้อยู่แล้ว แค่คาดหวังว่าว่าที่คู่สมรสจะหัวรั้นบ้าง แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเขาถูกนิทานปรัมปราล้างสมองเหมือนคนอื่นๆ
“พริบพรี คำว่า ‘ตำนานบ้าบอ’ ฉันขอซื้อนะ อย่าเอาไปพูดให้ใครได้ยินเข้า เขาจะมองเธอไม่ดี” ธรณ์ทำหน้าขรึมขณะเตือนเพื่อนใหม่เรื่องคำพูด
“โอเคๆ ฉันปากเสียเอง” พริบพรีตีปากตัวเองเบาๆ สามที สีหน้าของอีกฝ่ายจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“เธอเองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร คงไม่พรากความสุขทั้งชีวิตของฉันไปหรอก ใช่ไหม”
“เธออาจจะเจอคนที่เธอรักจริงๆ หลังจากแต่งงานกับฉันแล้ว”
ธรณ์ยักไหล่ “คนคนนั้นอาจจะเป็นเธอก็ได้นี่”
“หะ...หา?” พริบพรีอ้าปากหวอ เขาพูดอะไรของเขา!
“อ้อ ฉันจำได้แล้วว่าตอนนั้นจะพูดอะไร ฉันอยากบอกว่าสามีไม่ใช่ภาระ สามีดูแลเธอได้ ช่วยดูแลน้องๆ เธอก็ได้ บังเอิญว่าฉันไม่ชอบเป็นภาระของใคร”
“ฉันดูแลน้องของฉันเองได้!” เธอสวนกลับทันทีพร้อมจ้องอีกฝ่ายตาแข็ง แต่ธรณ์กลับมีท่าทีสบายๆ แววตาปรากฏความขี้เล่นเหมือนตั้งใจแกล้งกวนอารมณ์
“ฉันรู้ เธอเก่ง”
มืออุ่นของเขาวางลงมาบนไหล่บาง ลูบเบาๆ ให้คลายกังวล ถ้าผู้หญิงคนนี้คือแม่ ธรณ์คงไม่ลังเลที่จะโอบกอดปลอบประโลม นั่นเป็นสิ่งที่เขาทำเสมอเวลาที่ธารทิพย์กังวลใจอย่างหนัก แต่เขาทำแบบนั้นกับพริบพรีที่กำลังขุ่นเคืองไม่ได้ ลูบเพียงครั้งสองครั้งเธอก็ถอยหลังหลบ ชายหนุ่มจึงเก็บมือ ทำเป็นไม่เห็นสายตาไม่ไว้วางใจคู่นั้น
“ฟังนะ เธอจะไม่มีภาระถ้าแต่งงานกับฉัน เธอจะกังวลเรื่องความรู้สึกของเราก็ได้ แต่อย่ากังวลเรื่องแบบนี้ ชีวิตของเธอมีความเปลี่ยนแปลงแน่นอนถ้าแต่งงาน แต่ไม่ใช่การมีภาระเพิ่มขึ้น...ในกรณีที่แต่งกับฉันนะ กับคนอื่นฉันไม่รู้”
“พอคุยกับเธอแล้วฉันเครียด”
“เธอก็ทำให้ฉันเครียด พริบพรี แต่ถ้าจะให้ดี พอกลับเข้าไปในบ้านเราสองคนควรแสดงให้ผู้ใหญ่เห็นว่าการพูดคุยของเราจบลงอย่างราบรื่น” ธรณ์ตบท้ายด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้ม ต่างจากคู่สนทนาที่ทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้
แล้วพริบพรีเลือกให้มันไม่ราบรื่นได้ไหมล่ะ!
ความคิดเห็น |
---|