บทที่ ๘

บทที่ ๘ การโต้แย้ง

ฉกาจกลับไปแล้ว ถ้าพริบพรีเปลี่ยนใจไม่กลับพร้อมธรณ์เธอก็ต้องกลับด้วยตัวเอง ช่วงครึ่งวันที่เหลือเธอพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ความสนใจกับเอกสารในมือ แต่สุดท้ายความหงุดหงิดงุ่นง่านก็ทำให้ความพยายามล้มเหลว เธอทิ้งกระดาษลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักโซฟา หันไปมองวิวนอกหน้าต่างแทน

“สวัสดีค่ะ”

พริบพรีสะดุ้งเมื่อมีคนทัก หันไปตามเสียงก็พบหญิงสาวอายุมากกว่ายืนอยู่ข้างโต๊ะ ร่างระหงมีออรานางพญาจับ กลิ่นน้ำหอมที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเตะจมูกพริบพรี 

“สวัสดีค่ะ พี่...เอ่อ คุณกล้วยไข่”

กทลีทำหน้าแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักชื่อเธอ

“หนูเป็น...” พริบพรีหยุดคิดว่าควรแนะนำตัวว่าเป็นใคร เธอไม่อยากมีปัญหากับธรณ์เพราะคำว่าเพื่อนอีก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคำนั้นถึงเป็นชนวนของการทะเลาะไปได้

หลังจากที่เธอเดินหนีมานั่งตรงนี้ ผ่านไปสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของธรณ์ ไม่รู้ว่าเขาจะทิ้งเธอไว้ที่นี่หรือเปล่า

“เป็นอะไรคะ” กทลีสบตาเธอ “พนักงานใหม่เหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ หนูมากับธรณ์” พริบพรีบอกเพียงแค่นั้น

“แล้วธรณ์ไปไหน”

“ไปทำงานค่ะ ตอนเย็นจะออกไปพร้อมกัน”

“เธอชื่อพริบพรีหรือเปล่า”

“ใช่ค่ะๆ คุณกล้วยไข่รู้จักหนูด้วยเหรอคะ” พริบพรีลืมแนะนำชื่อไปเสียสนิท น่าแปลกที่อีกฝ่ายรู้จักเธอด้วย

“เคยได้ยินคนที่บ้านพูดกันว่าธรณ์จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อพริบพรี”

“อ้อ” โชคดีมากที่เธอไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของธรณ์

“แล้วเขาก็พูดกันว่าเป็นการคลุมถุงชนที่ศักดิ์สิทธิ์”

พริบพรีอึ้งกับคำนั้น ‘การคลุมถุงชนที่ศักดิ์สิทธิ์’ อธิบายสถานการณ์ของเธอกับธรณ์ได้อย่างดีเยี่ยม 

“ไม่น่าเชื่อว่าไอ้เด็กอ้วนต้องมาเจออะไรแบบนี้” กทลีพึมพำ ถอนหายใจออกมา “แต่ก็ยังดีที่ชอบกัน”

“ชอบกัน?” พริบพรีที่เมื่อสักครู่เผลออมยิ้มเพราะคำว่า ‘ไอ้เด็กอ้วน’ ถึงกับหน้าเหลอ ซึ่งอาการของเธอทำให้กทลีย่นคิ้วสงสัย

“อ้าว ไม่ได้ชอบกันเหรอ ไหนอาธารบอกว่าชอบกัน”

ถ้าธารทิพย์เข้าใจแบบนั้น พริบพรีก็ไม่ควรปฏิเสธ เธอพยักหนายอมรับอย่างไม่อาย

“ชอบกันค่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงที่นี่หรอก

กทลีกอดอก มองค้นความรู้สึกที่ซ่อนเร้นในดวงตาของคู่สนทนา

“เธอเป็นพวกคลั่งรักสินะ”

แต่สิ่งที่กทลีเห็นคือแววตาว่างเปล่าของคนที่ตอบว่า “ค่ะ”

“ฉันจะอนุมัติให้ธรณ์เลิกงานเร็วหนึ่งวันแล้วกัน แค่วันนี้วันเดียวนะ” หญิงสาวอายุมากกว่าส่งยิ้มให้เล็กน้อย ตบบ่าพริบพรีสองที “ฝากไอ้เด็กอ้วนด้วย”

วันนี้กลับได้เลย คนคลั่งรักเขารออยู่

ธรณ์ขมวดคิ้วใส่ประโยคแปลกๆ ของกทลีที่นานทีปีหนจะส่งข้อความมา แต่ก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างสูง เหมือนว่าญาติผู้พี่ล่วงรู้ว่าเขาไม่มีสมาธิทำงานมาสองชั่วโมงแล้วจึงไล่กลับบ้าน 

ชายหนุ่มเก็บแล็ปท็อปใส่กระเป๋าเป้อย่างไม่เร่งรีบ ไม่มีคนคลั่งรักที่ไหนรอเขาทั้งนั้น กทลีอาจจะเข้าใจผิดเพราะธารทิพย์ก็เข้าใจผิดเหมือนกัน

ร่างสูงเดินไปตามทางเดิน ก่อนจะหยุดที่เวิร์กกิงสเปซริมหน้าต่าง เดาไม่ผิดว่าพริบพรีต้องนั่งอยู่ตรงนี้ เธออ่านงานอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นหางตาแลเห็นเขายืนอยู่ไม่ไกลเธอก็วางสิ่งที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ

เขาเดินเข้าไปหา ประโยคแรกจากหญิงสาวไม่ใช่คำทักทาย 

“นี่คือสิ่งที่เราต้องเจอในอนาคตแน่นอน”

“...”

“ความไม่เข้าใจ การทะเลาะกัน” พริบพรีสบตาเขาตรงๆ “เธอควรบอกตั้งแต่แรกว่าต้องการอะไรจากฉัน อย่าโยนสถานการณ์มาให้ฉันตัดสินใจเอง แล้วหงุดหงิดใส่วิธีการที่ฉันเลือก”

ธรณ์พยักหน้าด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายลง รู้แล้วว่าทางออกของปัญหานี้คืออะไร เขาต้องหัดระงับความน้อยใจอันเกิดจากการไม่ได้รับความสำคัญให้เป็น พริบพรีไม่ได้สนใจเขาขนาดนั้น ไม่ว่าเขาจะคิดอะไรกับใครหรือใครจะคิดอะไรกับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเธอ

ปัญหาเกิดจากเขาและเขาไม่มีสิทธิ์สั่งให้เธอทำอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องของชวัลนุชเขาต้องจัดการเอง 

จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบพริบพรีทางด้านความรู้สึก

“กลับกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปซื้อชุดต่อ”

พริบพรีเดาเอาเองว่าธรณ์ยอมสงบศึกและเก็บเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้เป็นบทเรียนแล้วจึงปัดความหงุดหงิดที่รบกวนจิตใจมาหลายชั่วโมงทิ้ง ลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเก็บเอกสารใส่กระเป๋าถือ 

และแล้วก็สังเกตเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย เขาเหมือนไม่อยากทำอะไรแล้วนอกจากกลับบ้านไปนอน หญิงสาวจึงถามเพื่อความแน่ใจ

“จะพาฉันไปซื้อชุดจริงๆ เหรอ”

“อืม”

“จะไม่หลับในใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้ง่วง” แค่ล้าสมอง ส่งผลให้ภายนอกดูอ่อนเพลีย ธรณ์มักเป็นแบบนี้เสมอเวลามีเรื่องให้คิดมาก

หญิงสาวหรี่ตาลง “แน่ใจหรือเปล่า เด็กอ้วน”

อาการเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง หัวคิ้วของธรณ์แทบจะชนกันเมื่อได้ยินคำว่า ‘เด็กอ้วน’ ซึ่งมาพร้อมรอยยิ้มแซวของพริบพรี

“เธอเรียกฉันว่าไงนะ”

“ฉันไม่ใช่ต้นคิดนะ พี่กล้วยไข่ของเธอต่างหาก เขาเรียกเธอว่าไอ้เด็กอ้วน ฉันว่าน่ารักดีนะ”

“เธอได้คุยกับพี่กล้วยไข่เหรอ”

พริบพรีพยักหน้าตอบ ธรณ์มีสีหน้าสับสน

“ผิดคนหรือเปล่า พี่กล้วยไข่ไม่เคยเรียกฉันแบบนั้น”

“ไม่ผิดคน เขาเรียกเธอแบบนั้นจริงๆ ฉันได้ยินกับหู สาบานเลย” เธอชูสามนิ้ว แววตาจริงจังและมั่นใจ

ธรณ์เงียบไประหว่างครุ่นคิด ก่อนที่มุมปากจะกระตุก 

“แล้วเขาเรียกเธอว่าคนคลั่งรักด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่ ฉันถึงจะเชื่อว่านั่นคือพี่กล้วยไข่”

คราวนี้พริบพรีเป็นฝ่ายเงียบ เธอโดนเขาแกล้งแน่ๆ เขาอาจจะได้ยินคำนั้นมาเหมือนกันตอนที่กทลีบอกให้กลับก่อนเวลา

“ว่าไง”

“เปล่า” พริบพรีส่ายหน้า “พี่เขาไม่ได้เรียกฉันแบบนั้น แต่เขาถามว่าคลั่งรักหรือเปล่า และฉันตอบว่าใช่” 

ใบหูของธรณ์แดงระเรื่อ ขณะที่บอกตัวเองในใจว่าเธอก็แค่หลอกคนอื่น ฉะนั้นห้ามหวั่นไหว ห้ามใจเต้นแรงเด็ดขาด

วิธีการสะกดกลั้นรอยยิ้มคือการกัดริมฝีปาก อึดใจต่อมาชายหนุ่มก็ขยับเท้าก้าวเดิน 

“เราไปกันดีกว่า”

พริบพรีไม่สามารถตอบธรณ์ได้ว่าอยากไปซื้อชุดร้านไหนเพราะเธอไม่มีร้านประจำ ทีแรกตั้งใจจะไปร้านเช่าชุด แต่พอเขาบอกว่าจะพาไปซื้อเธอก็ไม่ขัดข้อง ว่าก็ว่าเถอะ บางทีเธอก็ลืมไปว่าตอนนี้กลายเป็นทายาทคนรวยไปแล้ว

พอเข้ามานั่งในรถ ธรณ์จึงเข้าอินสตาแกรม พิมพ์ชื่อแอกเคานต์ของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยคนหนึ่งซึ่งทำอาชีพนางแบบและมักจะลงรูปงานที่ถ่ายแบบให้แบรนด์เสื้อผ้า จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้พริบพรี 

“ลองเลื่อนๆ ดูแบบที่ชอบ เช็กแบรนด์ที่เขาแท็ก เลือกแบรนด์ที่มีหน้าร้านให้ไปดู เดี๋ยวฉันขับไปเรื่อยๆ ก่อน”

หญิงสาวรับโทรศัพท์มาด้วยความประหลาดใจ ธรณ์ให้ความช่วยเหลือก่อนที่เธอจะหยิบโทรศัพท์ออกมาค้นหาร้านเองเสียอีก และถ้าต้องหาเอง เธอก็จะใช้วิธีการที่ง่ายที่สุด อย่างเช่นพิมพ์ในกูเกิลว่า ‘ร้านขายชุดออกงาน’ 

พริบพรีมองเห็นลักษณะนิสัยของเพื่อนที่ดีและน่าคบจากธรณ์ การได้รู้จักเขาถือเป็นโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิต อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มีแหล่งหาชุดสวยๆ สำหรับใส่ไปร่วมงานแต่ง

เธอเลื่อนดูรูปนางแบบผ่านๆ เพื่อหาชุดที่ถูกใจ จังหวะหนึ่งปลายนิ้วเผลอกดไปโดนโพรไฟล์ของเจ้าของอินสตาแกรม จากนั้นรูปวิวทิวทัศน์มากมายก็ปรากฏแก่สายตา 

ธรณ์น่าจะเป็นคนชอบเล่นกล้อง พริบพรีจำได้ว่าตอนเห็นเขาครั้งแรก เขามีกล้องอยู่ในมือ แถมยังสามารถถ่ายรูปได้ทั้งที่ใส่แว่นตากันแดดสีชาอยู่ ซึ่งถ้าเป็นเธอคงทำไม่ได้แน่ๆ 

หญิงสาวเลื่อนดูรูปพวกนั้นแทนรูปเสื้อผ้า หยุดอยู่ที่รูปเซลฟีของเจ้าของแอกเคานต์นานเป็นพิเศษ เธอยิ้มตอบรอยยิ้มของเขาในรูปโดยไม่รู้ตัวนัยน์ตาสีน้ำผึ้งทอประกายความสุขสดใสเวลาได้ไปเที่ยว เวลาได้อยู่ในงานปาร์ตีวันเกิดของเพื่อน เวลาอยู่ในคาเฟสุนัข แวบหนึ่งก็นึกสงสัยว่าในอนาคตเธอจะมีรูปอยู่ในอินสตาแกรมของเขาบ้างไหม

เป็นไปได้สูง เขาต้องอัปรูปงานแต่งอยู่แล้ว

“นี่ เลือกได้หรือยัง” 

คำถามของสารถีทำให้หญิงสาวสะดุ้ง รีบกดหน้าโฮมเพื่อดูนางแบบต่อ

“แป๊บๆ กำลังเช็กราคาอยู่”

“ไม่ต้องเช็ก เลือกมาสักร้านก่อน ฉันจะได้รู้ว่าต้องไปทางไหน ข้างหน้ามีทางด่วน”

“อ้าว จะซื้อเสื้อผ้าไม่เช็กราคาได้ยังไงเล่า” พริบพรีเถียงทั้งที่ไม่ได้ดูราคา แต่กำลังเลือกแบรนด์ที่มีหน้าร้าน ขืนชักช้าธรณ์อาจจะไล่เธอลงจากรถเอาได้

“ฉันจ่ายได้”

“เธอจะจ่ายทำไม ฉันมีเงินเหมือนกัน”

“งั้นก็เลือกมาสักร้าน ราคาไม่ต้องดู”

“ได้แล้วๆ” เธอเปิดแผนที่แล้ววางมือถือลงบนคอนโซลกลาง ธรณ์ปรายตามอง ก่อนจะถลึงตาใส่เส้นทางสีแดงที่ปรากฏบนนั้น

“ลาดพร้าวรถติดมากเลยนะ เย็นวันศุกร์ด้วย” เขาอยากให้เธอคิดดีๆ ว่าจะไปหรือไม่ไป ทว่าอีกฝ่ายยักไหล่

“เธอบอกให้เลือกมาสักร้าน ฉันก็เลือกแล้วนี่ไง”

ชายหนุ่มเป่าลมออกทางปาก “โอเค พริบพรี ได้เลย”

หนึ่งชั่วโมงครึ่งคือเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ด้วยระยะเวลาเท่านี้สามารถเดินทางไปต่างจังหวัดได้สบาย ในตอนที่รถติดไฟแดงธรณ์กินคุกกี้ที่พริบพรีซื้อให้จนหมดกระปุก ขณะที่หญิงสาวนั่งหาแบบชุดของร้านนั้นล่วงหน้า พอเห็นราคาแล้วถึงกับขนลุกซู่ แต่ละชุดราคาห้าหลักทั้งนั้น พอลองถามคนขับว่าเปลี่ยนร้านดีไหม สายตาของเขาก็ตอบกลับมาว่า ‘รอฟังคำว่าล้อเล่นอยู่’ เธอจึงต้องพูดคำว่าล้อเล่นออกไปอย่างไม่มีทางเลือก 

จากนั้นพริบพรีก็หาเรื่องคุยด้วยการฟอลโลว์อินสตาแกรมเขา ซักถามเรื่องสถานที่เที่ยวต่างๆ ที่เขาเคยไป เรื่องพวกนั้นพอจะลดความหงุดหงิดของคนขับอันเกิดจากการจราจรที่ไม่เป็นใจได้บ้าง

แบรนด์ที่พริบพรีเลือกมีสาขาเดียวในประเทศ หน้าร้านโดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหรา แสดงถึงภาพลักษณ์ไฮโซ กลางร้านมีพื้นที่ว่างให้แสงจากโคมไฟระย้าตกกระทบบนพื้นเงา หุ่นลองเสื้อนับสิบตัวยืนล้อมเป็นครึ่งวงกลม ด้านหลังมีราวแขวนชุดหลากหลายแบบ

พนักงานในร้านเข้ามาทักทายอย่างสุภาพอ่อนหวาน แล้วพาหญิงสาวไปเลือกเสื้อผ้าในแคตาล็อก ธรณ์ตามไปนั่งอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเครียดกับการเลือกชุด เธอขอลองทั้งหมดเจ็ดแบบ แต่สุดท้ายก็เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อตัวไหนกลับบ้านดี ทุกชุดดูสวยไปหมด

“ลองขอความเห็นจากคุณผู้ชายดีไหมคะ” พนักงานสาวช่วยหาทางออกให้ หลังจากที่แนะนำไปแล้วลูกค้าก็ยังลังเลเลือกไม่ถูก

“เอ่อ เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” พริบพรีเดาว่าธรณ์คงเบื่อกับการนั่งอยู่ที่โซฟาข้างนอกคนเดียว ให้เขามีอะไรทำสักหน่อยก็น่าจะดี ไม่แน่เขาอาจจะออกความคิดเห็นที่ทำให้เธอตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

หนึ่งนาทีหลังจากที่พนักงานเดินจากไป ร่างสูงก็เข้ามาในพื้นที่หน้าห้องลองเสื้อซึ่งไม่มีลูกค้าคนอื่นอยู่เลย พริบพรีอยู่ในชุดเดิม กำลังยืนพิจารณาเดรสทั้งเจ็ดตัวบนราวแขวน

“ฉันลองหมดนี่แล้ว เลือกไม่ถูกเลย” เธอบอกปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างกลัดกลุ้ม 

ธรณ์เดินเข้าไปดูทุกชุดใกล้ๆ ก่อนจะถามอย่างไม่เข้าใจ

“แล้วทำไมไม่เอาไปหมดเลย”

“บ้าเหรอ! ไปงานเดียว ตัวเดียวก็พอแล้ว”

“งานเดียวอะไร อีกหน่อยเธอจะได้ไปอีกหลายงานเลยพริบพรี มาทั้งทีก็เอาไปให้หมด”

หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่คนที่ไม่ช่วยเลือกแล้วยังจะพาเธอเสียทรัพย์เป็นการใหญ่อีก

“ชุดละเกือบๆ สองหมื่น” พริบพรีข่มจิตข่มใจพูด “เจ็ดชุดแสนสี่โดยประมาณ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “ฉันคิดว่าป้าเธอไม่มีปัญหา เธอควรมีชุดออกงานเผื่อเอาไว้”

“ใส่ซ้ำไม่ได้หรือไง” พริบพรีย่นคิ้ว

“งานส่วนใหญ่จะมีช่างภาพคอยเก็บภาพ ฉันว่าคุณป้าเธอคงไม่อยากให้หลานสาวใส่ชุดเดิมอยู่หน้ากล้องไปทุกงานหรอก อีกอย่างนะ ฝ่ารถติดมาทั้งทีก็ซื้อไปให้คุ้มกับที่อุตส่าห์มาเถอะ ฉันจ่ายให้ก็ได้”

พริบพรีตระหนักได้ในตอนนี้เองว่า ขณะที่เธอให้คุณค่าแก่เงิน ธรณ์ให้คุณค่าแก่เวลาที่เสียไป อุตส่าห์มาทั้งทีต้องได้สิ่งที่คุ้มค่าแก่การมา ซึ่งเป็นวิธีการคิดที่แตกต่างจากเธอลิบลับ

“สองชุด” เธอต่อรอง 

“เจ็ด ไม่ต้องเสียเวลาเลือก” แต่ธรณ์ยังยืนยันคำเดิม

“ฉันจะไม่เสียเงินแสนสี่ในวันเดียว”

“งั้นเธอจ่ายสองชุด ฉันจ่ายห้าชุด”

“ไม่ได้! ชุดฉัน ฉันจ่ายเอง”

“พนันไหมว่าถ้าฉันโทร. ไปขอความเห็นจากคุณป้าเธอ ท่านจะบอกแบบเดียวกับฉันว่าถ้าเลือกไม่ถูกก็เอามาให้หมด”

พริบพรีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่สบตากับธรณ์ที่มั่นใจความคิดของตนเองมาก บทสรุปต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องสืบ เป็นตัวเธอเองที่ต้องรีบปรับตัวให้เข้ากับสังคมชั้นสูงและชีวิตฟุ่มเฟือยให้ได้

พอเห็นสีหน้าหนักใจของพริบพรี ธรณ์ก็ลองจินตนาการในมุมของเจ้าตัวบ้าง พริบพรีไม่เคยซื้อชุดแพงขนาดนี้ แค่มาที่นี่ก็รู้สึกเสียดายเงินจะแย่ การเสียเงินจำนวนมากในครั้งเดียวไม่ใช่เรื่องปกติในชีวิต และเธอไม่ต้องการให้เขาจ่ายให้

แต่เขาอยากลองปรับมุมมองเธอก่อน ถ้าปรับไม่ได้จริงๆ เขาคงต้องยอมถอย 

ร่างสูงขยับฝีเท้าเข้าไปใกล้ ลดเสียงลงเพื่อไม่ให้พนักงานที่ยืนอยู่ห่างๆ ได้ยิน

“สมมุติว่าเธอมีชีวิตอยู่อีกสิบปี ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยมาก ฉันเชื่อว่าเธออายุยืนกว่านั้น”

พริบพรีมองธรณ์อย่างไม่เข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไร แต่ก็ตั้งใจฟัง

“เธอจะต้องไปงานแต่งและงานสังคมประมาณเดือนละสองครั้งเป็นอย่างต่ำ หนึ่งปีไปยี่สิบสี่ครั้ง สิบปีไปสองร้อยสี่สิบครั้ง” ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมากดเครื่องคิดเลข “แสนสี่หารสองร้อยสี่สิบ เท่ากับว่าเธอใส่ชุดราคาห้าร้อยแปดสิบสามบาทต่อหนึ่งงาน”

พริบพรีปิดปากตกตะลึง จากเดรสหรูหราราคาเป็นหมื่น ตอนนี้เหลือแค่ห้าร้อยแปดสิบสามบาท! 

“แล้วฉันจะใส่ไซซ์เดิมเป็นสิบปีเลยเหรอ”

“ถ้าใส่ไม่ได้ก็ขายต่อ อาจจะไม่ได้ราคาดีนัก แต่ฉันเชื่อว่าก่อนขายเธอคงใช้คุ้มแล้ว ถ้าเธอคิดว่าห้าร้อยกว่าบาทแพงไป ฉันแนะนำให้เธอขยันออกงานกับคุณป้า ยิ่งใส่บ่อยราคาชุดยิ่งลดลง” ธรณ์บีบไหล่หญิงสาว มองตาเพื่อโน้มน้าวใจ “มันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สิ่งตอบแทนคือความสุขของคนใส่ ความมั่นใจเวลาใส่ และได้ให้เกียรติเจ้าภาพด้วย ท่องไว้ว่าตอนนี้เธอเป็นหน้าเป็นตาของจันทรกานต์แล้ว เธอไม่ได้ใส่ชุดแพงเพื่อตัวเองอย่างเดียว”

“...”

“พริบพรี เทสต์เธอดีนะ ถึงฉันจะไม่ได้เห็นตอนเธอลอง แต่ฉันมั่นใจว่าเจ็ดชุดนั้นสวยที่สุดบนตัวเธอ”

พริบพรียกมือสองข้างยอมแพ้ ธรณ์จะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเขาไม่จำเป็นต้องสรรหาเหตุผลมากมาย เพราะประโยคสุดท้ายชนะทุกเหตุผลที่กล่าวมาแบบขาดลอย ศิลปะการพูดของเขาน่ากลัวมาก เธอไม่รู้ว่าควรระวังตัวอย่างไรดี

ถึงตัดสินใจว่าจะซื้อเจ็ดชุดไปแล้ว แต่ก่อนจ่ายเงินพริบพรีก็ต้องโทร. ไปขออนุญาตเนตรลดาด้วยความเกรงใจ บอกไปด้วยว่าโดนธรณ์บีบบังคับมาอีกที ถ้าเธอไม่ซื้อทั้งเจ็ดชุดเขาจะจ่ายให้ ห้ามซื้อน้อยกว่านี้เด็ดขาด ผลคือป้าของเธอหัวเราะและบอกว่าถ้าสวยก็เอามาเลย อย่าเสียเวลาเลือก เอาเวลาไปหามื้อเย็นกินดีกว่า

คนพวกนี้เขาเห็นเวลามีค่ากว่าเงินทองสินะ

หลังรับประทานมื้อเย็นที่เรียบง่ายที่สุดโดยธรณ์เป็นคนจ่าย เขาก็จอดแวะซื้อเบเกอรีไปฝากน้องๆ ของเธอก่อนกลับบ้าน เลือกของที่สามารถแช่เย็นไว้กินวันถัดไปได้โดยไม่เสียรสชาติ และเมื่อรถแล่นมาจอดหน้าคฤหาสน์จันทรกานต์ ชายหนุ่มก็ลงไปสวัสดีผู้ใหญ่ ส่วนพริบพรีให้คะน้าและสาวใช้อีกสองคนช่วยนำชุดขึ้นไปเก็บบนห้อง

“เป็นยังไงบ้างพี่พริบ” พริ้งพรายเดินเข้ามาหาพี่สาว

“โดนหลอกละลายทรัพย์น่ะสิ” พริบพรีบุ้ยปากไปทางคนที่กำลังพูดคุยกับเนตรลดาอย่างออกรส ยืนอยู่ตรงนี้เธอไม่ได้ยินว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน อาจจะเป็นเรื่องเธอก็ได้

“ป้าเนตรเล่าให้ฟังแล้วว่าพี่เสียค่าชุดไปแสนกว่าๆ ได้มาเจ็ดชุด แกบอกพริ้งว่าชุดออกงานของแกชุดเดียวแพงกว่านี้อีก แถมยังบอกว่าจะพาพริ้งกับพฤกษ์ไปหาชุดด้วยนะ”

“ถ้าป้าเป็นคนซื้อให้ พี่คงไม่หนักใจขนาดนี้ แต่นี่เขา...” พริบพรีหันไปมองธรณ์อีกครั้งอย่างอัดอั้นตันใจ “เขาให้พี่ตัดสินใจเอง ฮือ”

“โอ๊ยพี่ ทำหน้าให้มันมีความสุขหน่อย”

“พริ้ง”

เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะพบกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของว่าที่พี่เขย พริ้งพรายยกมือไหว้คนอายุมากกว่าทันที แล้วจับมือพี่สาวให้เดินไปหาเขาด้วยกัน

“พฤกษ์ล่ะ”

“อยู่บนห้องค่ะ คงอ่านหนังสือสอบ”

“พี่ซื้อขนมมาฝากเราสองคน มีบัตเตอร์เค้ก พายมะพร้าว และก็พานาคอตตา มีคนเอาไปเก็บในครัวแล้ว ฝากบอกพฤกษ์ด้วยนะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” พริ้งพรายตอบอย่างสุภาพ

“ถ้ายังไงผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ฝากสวัสดีคุณปู่คุณย่าด้วย” ธรณ์บอกกับเนตรลดา เวลานี้สองทุ่มกว่าๆ แล้ว ทั้งสองท่านพักผ่อนอยู่บนห้อง

“จ้ะ ขอบใจมากนะที่ดูหลานสาวป้าทั้งวันเลย... พริบพรี ป้าฝากไปส่งธรณ์ที่รถหน่อยนะ แล้วป้าขอดูชุดที่หนูซื้อมาหน่อย”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ ก่อนจะออกเดินไปพร้อมกับร่างสูง ส่งเขาจนถึงรถ

ธรณ์เปิดประตูรถ ระบายยิ้มบางๆ แล้วบอกกับเธอว่า “ไว้เจอกัน”

“ยังอยากเจอฉันอยู่อีกเหรอ วันนี้เราตีกันบ่อยอยู่นะ” ตีในความหมายของเธอคือการเถียงกัน แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ตึงเครียดที่ผ่านมาทั้งวัน ตอนนี้เรื่องพวกนั้นกลับกลายเป็นเรื่องตลก

“ฉันคิดว่าการเถียงกับเธอช่วยเปลี่ยนมุมมองฉันในบางเรื่อง ทำให้คิดอะไรได้เยอะขึ้น เธอก็ด้วยใช่ไหมล่ะ”

“ใช่ เปลี่ยนมุมมองฉันเหมือนกัน เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าเธอใจดี คุยง่าย เป็นมิตร แต่พอได้อยู่กับเธอมากขึ้น ฉันก็พบว่าเธอมีระบบความคิดที่น่าหงุดหงิดในบางเรื่อง แล้วก็น่าเหลือเชื่อในบางเรื่อง”

ธรณ์ยิ้มค้าง เขาควรรู้สึกอย่างไรกับการติก่อนชมดี

“เธอก็เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง บางทีก็รอบคอบจนน่าประทับใจ แต่บางทีก็คิดน้อยจนน่าตกใจ”

พริบพรีเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้การชมก่อนติว่าอย่างไร เธอกลั้วหัวเราะในแบบที่ฟังดูก็รู้ว่าประชด บทสทนาควรจบแค่นี้ ก่อนจะได้ตีกันอีกรอบ

“โอเค กลับบ้านดีๆ นะธรณ์ เจอกันครั้งหน้าไว้เรามาเถียงกันใหม่”

เธอเชื่อสุดหัวใจเลยว่ามีอีกหลายพันเรื่องให้เถียงกับเขา!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น