2

บทที่ 1



บทที่ 1

 

“We are TNU get up get up, Tourist get up, We are Tourist get up get up, htm... htm... htm htm htm htm tourist hey!”

แก้วหูแทบเต้นระบำ เมื่อเหล่ารุ่นน้องในคณะวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมรอบตัวเธอและกอดคอกันเป็นวง ก่อนค้อมร่างลงมาดุจคำนับ ปากเปล่งเสียงร้องเพลงบูมดังกระหึ่มชนิดที่ไม่ต้องพึ่งไมโครโฟนหรือเครื่องขยายเสียงก็คงดังไปถึงประตูรั้วมหาวิทยาลัย

หญิงสาวในชุดครุยสีดำ ปกคอและแถบยาวที่แขนเป็นสีฟ้า แม้คราแรกจะตกใจที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังอย่างกะทันหัน แต่เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์ จึงอดไม่ได้ที่จะโยกตัวตามจังหวะคึกคักจากเสียงเพลงที่รุ่นน้องพร้อมใจกันร้อง ท่าเต้นประหลาดพิสดารเรียกรอยยิ้ม ส่งให้หน้าหวานที่ประดับด้วยดวงตากลมโต จมูกโด่งได้รูป และริมฝีปากบางสีชมพูนั้น ยิ่งหวานขึ้นไปอีก ชนิดที่ชายใดเห็นเป็นต้องหยุดมองไม่วางตา

หัวใจเธออิ่มเอิบ แผ่นกระดาษในมือเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันความสำเร็จในช่วงชีวิตหนึ่ง เธอที่ทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจเรียน เพื่อหวังนำใบปริญญานี้มาให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ รู้สึกตื้นตันจนไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้

เพราะ มีข้อความต่อท้ายคณะที่ศึกษาว่า ‘เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง’ พ่วงมาด้วย

รุ่นน้องที่บูมให้เธอเสร็จ ก็มองหาเป้าหมายต่อไป และกรูกันไปทางซ้ายที ขวาที ตามสัญญาณของผู้นำ หญิงสาวเมื่อเป็นอิสระ จึงเบียดกายเดินแทรกฝูงชนที่ออกันแน่นขนัด มายังด้านหน้าลานน้ำพุที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า ‘มหาวิทยาลัยไทยนคร’ มหาวิทยาลัยเอกชนอันดับต้น ๆ ของประเทศ

ชะเง้อชะแง้ไปรอบ ๆ พลางหรี่ตามองหา ปกติมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งนักศึกษา อาจารย์ และผู้ปกครองอยู่แล้ว ยิ่งวันนี้มีพิธีมอบปริญญาบัตร  มองจากมุมสูงจึงเหมือนมีฝูงมดรุมตอมเศษอาหารแทบไม่มีที่ว่างสำหรับทางเดิน

การจะหาใครสักคนโดยไร้ซึ่งเครื่องมือสื่อสารแบบนี้ ยิ่งยากดุจงมเข็มในมหาสมุทร

“มาแล้ว ๆ รอนานไหมโช” เสียงตะโกนแข่งกับเสียงเซ็งแซ่โดยรอบเรียกใบหน้าหญิงสาวให้หันขวับไปมอง

ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มในชุดครุยแบบเดียวกันเดินแหวกฝูงชนตรงมาหา ผิวขาวจัดกับดวงตาเรียวรีบ่งบอกเชื้อชาติ แดดแรงเช่นนี้ทำให้หน้าที่ปกติขาวซีดราวกระดาษถ่ายเอกสาร เรื่อสีแดงขึ้น ยิ่งมีคนยืนขวางทางทำให้ยากแก่การฝ่าเข้าถึงหญิงสาวอันเป็นเป้าหมาย เขายิ่งกระฟัดกระเฟียดส่งใบหน้าให้แดงจัดจนดูน่าขัน

แม้ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าคนที่รอมิใช่เขา แต่กระนั้น หญิงสาวผู้ถูกเรียกก็อดใจชื้นไม่ได้ เนื่องด้วยเธอฝากโทรศัพท์มือถือไว้กับญาติของเพื่อนสนิทคนนี้

“คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มาหรือจ๊ะหนูโช”

หญิงกลางคนที่เดินตามหลังชายหนุ่มมาอย่างทุลักทุเล หน้าแดงเพราะความร้อนไม่แพ้กัน มือข้างหนึ่งถือพัดแบบมีด้ามโบกไม่หยุด ส่วนอีกข้างแบกหิ้วถุงพลาสติกบรรจุข้าวของมากมาย ทั้งตุ๊กตา ช่อดอกไม้ ของขวัญต่าง ๆ ที่ลูกชายได้รับ รวมถึงของใช้ส่วนตัวของหญิงสาวที่ฝากเอาไว้กับตน เช่นเดียวกับสามีที่เดินตามหลังมาอย่างสงบเสงี่ยม สองมือพะรุงพะรังด้วยสัมภาระจำนวนไม่แพ้กัน

“ยังเลยค่ะ พ่อกับแม่ไม่ได้โทรหาหนูเลยเหรอคะ”

‘โช’ หรือ ‘ชานัสตา’ บัณฑิตหมาด ๆ จากสาขาวิชาการจัดการการท่องเที่ยวและการโรงแรม รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะจนถึงตอนนี้ พ่อกับแม่ของเธอยังเดินทางมาไม่ถึงมหาวิทยาลัย ซ้ำยังไม่ติดต่อมาอีกด้วย

“ม้าก็ดูโทรศัพท์หนูตลอดเลยนะ ไม่เห็นมีสายเข้าเลย” พูดพลางยื่นโทรศัพท์มือถือให้หญิงสาว

“หรือโทรศัพท์พ่อกับแม่โชจะแบตหมด เดี๋ยวเราไปห้องประชาสัมพันธ์ให้เขาประกาศเรียกให้ไหม เผื่อท่านมาถึงแล้วและหาโชไม่เจอ”

        “รีบไปเลยอาตี๋ ร้อน ๆ แบบนี้เดินนาน ๆ เข้าเดี๋ยวพ่อแม่หนูโชอีจะเป็นลมเป็นแล้งไป”

        ชายหนุ่มหันมาแหวใส่มารดา “โธ่ม้า! บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าหนูชื่อ ‘อาเธอร์’ เรียกตี๋ ๆ อยู่นั่นแหละ อายคนอื่นเขาหมด”

        “อะไรกันวะลื้อนี่ อั๊วก็เรียกลื้ออาตี๋มาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยแครง พอตีนโตกว่าฝาหอยเชลล์ ทำเป็นกระแดะให้เรียกอาท่งอาเธอร์ หนี่เฟิงเลอ![1]

        ยิ่งโมโหยิ่งโวยวาย ยิ่งโวยวายก็ยิ่งพูดไทยคำจีนคำจนหนุ่มตี๋กุมขมับ   แต่เมื่อนึกได้ว่าเพื่อนสาวกำลังร้อนใจ จึงละความสนใจจากบุพการีก่อนทำตามที่ได้ขันอาสาเอาไว้

        ไม่ทันได้ก้าว เสียงโทรศัพท์มือถือของโชก็ดังขึ้นพอดี หญิงสาวเมื่อเห็นชื่อผู้โทรเข้ามาก็ยิ้มได้

        “ฮัลโหลค่ะแม่ อยู่ไหนแล้วคะ หนูรออยู่ตรงน้ำพุหน้ามหาลัยค่ะ”

        เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างอย่างตระหนก

        “โรงพยาบาล! ใครเป็นอะไรคะ”

        ได้ยินเท่านี้ ต่อให้ไม่อาจฟังบทสนทนาได้ครบทุกประโยค ก็พอคาดเดาเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นได้

        “ค่ะ หนูจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ”

        โชลนลานจนลืมไปเสียทุกอย่าง กระทั่งกุญแจรถยนต์ในกระเป๋าสะพายที่ฝากพ่ออาเธอร์ถือไว้ ยังลืมว่าต้องนำไปด้วย

        มือใหญ่ของเพื่อนชายคว้าหมับที่ข้อมือเรียว สีหน้าแววตาอาเธอร์แสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน

        “ไปรถเราดีกว่า กำลังตกใจแบบนี้ขับรถไปเองเดี๋ยวไปไม่ถึงโรงพยาบาลกันพอดี”

        โชเพิ่งได้สติ มองอาเธอร์อย่างขอบคุณ ก่อนปล่อยให้เพื่อนกึ่งจูงกึ่งลากแหวกฝูงคนตัดผ่านสนามหญ้าที่มีเหล่าบัณฑิตเลือกซุ้ม เลือกมุม เลือกทำเลสวย ๆ เพื่อถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำส่วนหนึ่งของชีวิต ลานจอดรถแม้อยู่ด้านหลังมหาวิทยาลัย แต่เคราะห์ดีที่สถานศึกษานี้มีประตูเข้าออกถึง 4 ด้าน สามารถเลี่ยงประตูหน้าที่การจราจรเกือบเป็นอัมพาตได้

        ปริญญาบัตร เกียรตินิยม วินาทีนี้สิ่งเหล่านี้ไม่อยู่ในห้วงคำนึงของโชเลยสักนิด ปรารถนาเดียวมีเพียงความปลอดภัยของผู้เป็นพ่อเท่านั้น

 

        กว่าจะฝ่ารถติดใจกลางกรุงเทพฯ มาถึงโรงพยาบาล ก็ทำเอาโชร้อนใจจนนั่งกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมารอบที่ร้อยเห็นจะได้ เมื่อถึงหน้าอาคารตามข้อมูลที่แม่บอก โชก็รีบกระโจนลงจากรถ โดยไม่สนอาเธอร์ที่ต้องขับไปหาที่จอด รองเท้าส้นสูงทำให้หญิงสาววิ่งอย่างทุลักทุเล เมื่อถึงหน้าห้องหมายเลข 412 ป้ายที่ติดอยู่หน้าห้องผู้ป่วยระบุชื่อ ‘นันทวัฒน์ ไพศาลเอี่ยมสกุล’ มือบางก็ผลักบานประตูพาร่างเข้าไปในห้องทันที

        หญิงสาวหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นผ้าพันรอบศีรษะพ่อ แสดงถึงความหนักหนาของบาดแผล ดวงตาสองข้างปูดโปนเป็นสีม่วงคล้ำ ทั่วใบหน้ามีทั้งรอยช้ำ และแผลเต็มไปหมด จนแทบจำสภาพหน้าเดิมไม่ได้ เช่นเดียวกับแขนขาที่มีผ้าพันแผลปิดเอาไว้หลายส่วน

        “แม่คะ! ใครทำพ่อคะ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”

        หญิงกลางคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงหันขวับกลับมามอง เมื่อเห็นเป็นลูกสาว ทำนบกั้นน้ำตาก็แตกส่งหยาดน้ำใสให้ไหลพรั่งพรูอย่างไม่อาจกลั้น

        “พ่อปลอดภัยแล้วลูก แต่... โช แม่...” แต่ราวกับมีบางสิ่งอัดอั้นตันอยู่ในใจไม่อาจบอก ผู้เป็นแม่ทำเพียงร้องไห้และกอดลูกสาวไว้แน่น

        “ใจเย็น ๆ นะคะแม่ ค่อย ๆ เล่าให้โชฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณพ่อถึงโดนทำร้ายแบบนี้”

        เวลาเพียงครู่ แต่เสมือนนานชั่วกัลป์ โชตั้งใจรออย่างอดทน รอให้แม่หายสะอื้นร่ำไห้และคลายความตระหนกตกใจลงเสียก่อน หญิงสาวจึงประคองร่างมารดานั่งลงที่โซฟาด้านข้าง ก่อนมองใบหน้าที่ดูราวกับจะชราลงไปหลายปี แววตาหวั่นไหวบอกชัดว่ามีเรื่องใหญ่บางอย่างที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้โดยที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน

        “พ่อถูกใครทำร้ายคะ เราไปแจ้งตำรวจกันเถอะค่ะ”

        “พ่อเขา...” ตาชั่งในสมองนาง ‘คนธวรรณ์’ ทำงานอย่างหนักหน่วง น้ำหนักโยกไปซ้ายที ขวาที ระหว่างการเก็บงำความลับเอาไว้ กับบอกความจริงให้ลูกสาวรู้

        แต่เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ซ้ำคู่ชีวิตยังถูกทำร้ายจนบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาล ก็คงเกินกว่าที่เธอจะแบกรับเรื่องทั้งหมดไว้ผู้เดียวอีกต่อไป

        “พ่อถูกเจ้าหนี้ทวงเงิน พอไม่มีให้ มันก็ส่งคนมาทำร้าย”

        “เจ้าหนี้? ทำไมต้องทำกันรุนแรงขนาดนี้ด้วยคะ เราเป็นหนี้มันเท่าไหร่กันเชียว”

        เพียงคำถามนี้ หยาดน้ำตาที่เริ่มรื้น ก็หลั่งออกมาอีกครา

        “ร่วม... สิบล้านจ้ะ”

        “สิบล้าน!”

โชทะลึ่งตัวพรวดลุกจากโซฟา หญิงสาวยืนนิ่งตัวแข็งทื่อราวถูกสาปให้เป็นก้อนหิน ธุรกิจนำเที่ยวของพ่อกับแม่ดำเนินกิจการมากว่าสิบปี เธอที่ทำหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียวเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจย่อมมีหนี้สินการกู้ยืมเงินเป็นเรื่องปกติ แต่เธอไม่คิดและไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าธุรกิจประสบปัญหาอย่างหนักจนต้องกู้หนี้ยืมสินจำนวนมหาศาลขนาดนี้

        “หมายความว่า บริษัทของเรา...”

        มารดาพยักหน้าช้า ๆ ราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สายตามองเหม่อไม่จับภาพใด ๆ เสมือนตกอยู่ในภวังค์ ความลับที่ปิดบังลูกสาวมาเป็นเวลานาน เมื่อถูกระบายออกมา ก็เหมือนได้วางสิ่งที่แบกไว้จนรู้สึกโล่งหวิว ไม่มีแรงจะคิดจะทำสิ่งใดต่อไป

        โชเองก็เช่นกัน นับแต่เข้าศึกษาระดับปริญญาตรี ก็ออกมาพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัยคนเดียวเพราะความสะดวกในการเดินทาง หญิงสาวมีชีวิตความเป็นอยู่สุขสบาย ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าหน่วยกิตแพงระยับ มีเงินทองจับจ่ายใช้สอยไม่ขาด มีรถยนต์ขับ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง ราคาแพง เพราะเงินที่ได้รับจากพ่อกับแม่ทุกเดือนมากกว่าที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนได้รับหลายเท่า โชจึงคิดเอาเองว่าธุรกิจนำเที่ยวของบริษัท ‘เที่ยวไทยทัวร์’ ที่บุพการีสร้างขึ้น มีผลประกอบการที่ดีไม่มีปัญหาอะไร

        อาจเป็นเพราะความรักลูก ไม่ต้องการให้ลูกไม่สบายใจ ประกอบกับคิดว่าจะสามารถพาธุรกิจของตัวเองข้ามพ้นวิกฤตจนกลับมาดีดังเดิมได้ นันทวัฒน์และภรรยาจึงไม่แม้แต่จะปริปากบอกความจริงเกี่ยวกับสภาพปัญหาที่กำลังประสบให้ลูกสาวรู้แม้แต่น้อย

        เพราะความรักแบบผิด ๆ นี้เอง กลับเป็นการทำร้ายโชอย่างไม่ตั้งใจ

        หญิงสาวที่วาดฝันอนาคตเอาไว้อย่างสวยงาม ว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาแถมพ่วงดีกรีเกียรตินิยม จะมาช่วยพ่อแม่บริหารกิจการ ให้ธุรกิจของครอบครัวเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นธุรกิจนำเที่ยวชื่อดังติดอันดับของประเทศ แต่ฝันนั้นกลับต้องมลายหายไปกลายเป็นเพียงอากาศธาตุ

        ประหนึ่งลูกโป่งที่ถูกเป่าจนพอง พลันถูกเข็มทิ่มระเบิดแตกกระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

        มวลอากาศที่อัดแน่นอยู่ภายในล่องลอยหายไปจนสิ้น

 

        อาเธอร์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องผู้ป่วย เมื่อเห็นบรรยากาศหนักอึ้งเช่นนี้ทำให้หนุ่มตี๋ไม่กล้าปริปากถามอะไร ทำเพียงยืนเงียบ ๆ อย่างพยายามเป็นส่วนร่วมในสถานการณ์นี้ด้วย

        “พวกมันส่งคนมาทำร้ายพ่อแบบนี้ แสดงว่าแม่กู้เงินนอกระบบมาใช่ไหมคะ” หญิงสาวคาดคั้นด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างคนไม่มีแรง

        “เงินกู้ธนาคารไม่พอจริง ๆ ลูก ตั้งแต่ประเทศเรามีปัญหาเรื่องการเมือง มีเหตุรุนแรงจากการประท้วงจนข่าวออกไปใหญ่โตทั่วโลก นักท่องเที่ยวก็ลดน้อยลง ที่ติดต่อมาก็ยกเลิกไปกว่าครึ่ง พ่อกับแม่พยายามทำโปรโมชันต่าง ๆ ทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ ลดราคาแข่งกับเจ้าอื่น แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย พ่อเขาเลยซื้อรถโคช[2]และรถตู้รุ่นใหม่ที่หรูหราขึ้น เพราะคิดว่าจะเจาะกลุ่มลูกค้าระดับสูง มันต้องใช้เงินมาก จึงไปกู้จากคนที่ปล่อยเงินกู้ที่รู้จักกัน แต่ไม่คิดว่านอกจากแผนที่วางไว้จะล้มเหลวไม่เป็นท่า ไอ้เสี่ยเงินกู้นั่นยังโหดเหี้ยมขนาดส่งคนมาทำร้ายกันแบบนี้”

        พูดจบก็ร้องไห้โฮเสียงดัง โชที่ยังตกตะลึงกับความจริงที่ได้รับไม่หาย ทำได้เพียงโอบกอดมารดาพลางลูบหลังปลอบโยน

        อาเธอร์รับรู้ข้อมูลคร่าว ๆ ก็เข้าใจว่าครอบครัวของโชกำลังประสบภาวะวิกฤตหนัก ชายหนุ่มเสนอตัวช่วยเหลือทันที

        “คุณป้าเป็นหนี้เท่าไหร่ครับ เดี๋ยวผมขอเงินป๊ามาให้ยืมก่อน ไว้มีเมื่อไหร่ค่อยทยอยใช้ก็ได้ครับ”

        คนธวรรณ์ส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธน้ำใจ หรือไม่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเด็กหนุ่มไม่อาจช่วยเหลือพวกตนได้

        “สิบล้านจ้ะ ขอบใจนะอาเธอร์ แต่หนี้ของลุงกับป้าเยอะขนาดนี้ คงไม่กล้ารบกวนหรอกจ้ะ”

        ถ้าไม่กลัวเสียฟอร์ม หนุ่มตี๋คงเซไปพิงกับผนังอย่างไร้เรี่ยวแรงอีกคน ที่คิดไว้ในใจว่าจะขอยืมเงินพ่อกับแม่สักห้าหกแสนเพื่อให้ครอบครัวโชยืม เมื่อรู้จำนวนจริง เงินที่คิดว่า ‘มาก’ สำหรับตน กลายเป็นเพียงเศษเงินไปเลยเมื่อเทียบกับหนี้ที่พ่อแม่ของโชต้องแบกอยู่

        ประตูห้องผู้ป่วยเปิดอีกครา ครั้งนี้เป็นหญิงสาวสองคนในชุดนักศึกษาเดินพรวดพราดเข้ามาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ

        “สวัสดีค่ะคุณแม่ คุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างคะ”

        สาวผมสั้นหน้าม้าเต่อท่าทางมั่นใจในตัวเองเอ่ยถาม แม้กิริยาจะกระโดกกระเดกไม่สมหญิง แต่ก็รู้จักสงวนท่าทีไม่พูดจาเสียงดังโหวกเหวกหรือทำท่าตระหนกเกินงาม

        “ปลอดภัยแล้วจ้ะ ‘ดาว’ ขอบใจนะจ๊ะ ที่มาเยี่ยมกัน”

        ส่วน ‘ชาม’ หญิงสาวผมหยักศกยาวระต้นคอ แม้ไม่พูดอะไร แต่สายตาที่ส่งมาให้แม่ของโช ก็แสดงความห่วงใยไม่แพ้กัน

        ทั้งสี่คือเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ระดับมัธยม โชที่เป็นสาวมั่น เรียนเก่งที่สุดในกลุ่ม เลือกเรียนสาขาการจัดการโรงแรมและการท่องเที่ยว เพื่อหวังจะนำความรู้มาสานต่อธุรกิจของครอบครัว ทำให้อาเธอร์ที่แอบชอบเธออยู่ ตัดสินใจเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวและคณะวิชาเดียวกันด้วย ส่วนดาวกับชาม ก็ไม่มีสิ่งใดที่ชอบแน่ชัดอยู่แล้ว ประกอบกับครอบครัวไม่ได้บังคับว่าต้องเลือกเรียนอะไร จึงเรียนตาม ๆ กันไปเช่นนั้น

        อาเธอร์หันมากอดคอเพื่อนสาวทั้งสองคนพาเดินออกไปนอกห้อง โดยมิวายหันมาส่งสายตาเป็นห่วงให้โช

        “ปล่อยให้โชคุยกับคุณแม่ก่อนแล้วกัน พวกเราไปหาอะไรกินกันเหอะ นั่งในหอประชุมตั้งแต่เช้า นี่ก็บ่ายสามเข้าไปแล้ว ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย”

        ดาวสู้แรงไม่ไหว แม้อยากแข็งขืนหรือปฏิเสธ แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงดังในห้องผู้ป่วยเช่นนี้ จึงฟึดฟัดขัดขืนเบา ๆ แต่ก็ยอมให้อาเธอร์ลากไปจนได้

        ส่วนชาม... ไม่เคยออกสิทธิ์ออกเสียงหรือคัดค้านอะไรเพื่อนอยู่แล้ว

 

        เพราะห้องพิเศษของโรงพยาบาล ต้องมีญาติผู้ป่วยเฝ้าอย่างน้อยหนึ่งคน คนธวรรณ์จึงทำหน้าที่นี้ ส่วนโชกลับบ้านมาเอาสิ่งของจำเป็น ดังเช่น เสื้อผ้า แปรงสีฟันยาสีฟัน และยารักษาโรคเบาหวานที่มารดาต้องกินตามเวลามาให้

        ช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก ๆ หญิงสาวจะกลับบ้านทุกวันอาทิตย์ แต่ด้วยวิชาเรียนที่หนักขึ้นในสองปีสุดท้าย ประกอบกับกิจกรรมมากมาย รวมถึงยังต้องออกต่างจังหวัดในการเรียนการสอนหลายวิชา เช่น วิชาการจัดการนำเที่ยว การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อให้รู้ถึงกระบวนการนำเที่ยวอย่างครบวงจร ทำให้โชเว้นระยะการกลับบ้านเป็นเดือนละครั้ง และในเทอมสุดท้ายเธอก็ไม่ได้กลับบ้านนานถึงสามเดือน

        และเพียงสามเดือนนี้เอง ที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น จนนำมาสู่เหตุการณ์เลวร้ายในวันนี้

        โชติดรถอาเธอร์กลับมาบ้านโดยมีดาวและชามตามมาด้วย บ้านของเธอเป็นตึกแถวสามชั้นสามคูหาติดถนนย่านชานเมือง สองคูหาแรกเจาะผนังเพื่อขยายขนาดอาคารภายใน ใช้เป็นสำนักงานของบริษัท ส่วนคูหาสุดท้ายเป็นที่พักอาศัย เป็นบ้านที่โชเกิดและเติบโต

        หญิงสาวคิดถึงอดีต

        ภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านแจ่มชัดในสมอง ตอนนั้นพ่อและแม่ซื้อห้องแถวห้องสุดท้ายนี้ไว้เพียงห้องเดียว เพื่อเป็นทั้งบ้านและสำนักงานในการเริ่มต้นทำธุรกิจนำเที่ยว รถตู้สภาพกลางเก่ากลางใหม่คันเดียวถูกใช้อย่างสมบุกสมบัน ผ่านมากว่าสิบปี ห้องแถวอีกสองคูหาก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของครอบครัว  รถตู้คันเก่าถูกขายเปลี่ยนเป็นรถตู้ใหม่เอี่ยม แถมเพิ่มจำนวนเป็น 10 คัน และมีรถโคชอีก 5 คันจอดเรียงรายอยู่ที่จอดรถด้านหลังอาคาร พนักงานก็เพิ่มเป็นหลายสิบคน ทั้งงานในสำนักงาน คนขับรถ และมัคคุเทศก์ โชไม่คาดคิดเลยว่าธุรกิจใหญ่โตจะพังครืนลงมาในเวลาอันสั้นเช่นนี้

        และทันทีที่เห็นสภาพบ้าน แขนสองข้างก็ยกขึ้นมากอดตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ บริเวณด้านหน้าสำนักงาน ป้ายแสตนด์โฆษณาล้มกองระเกะระกะ ประตูกระจกถูกทุบทำลายแตกเป็นรูโหว่ เศษกระจกเกลื่อนกลาดทั้งภายนอกและภายใน ใบปลิวแผ่นพับที่ควรวางเรียงซ้อนอย่างเป็นระเบียบ กระจัดกระจายเต็มพื้น หลายแผ่นถูกลมพัดปลิวเป็นเศษขยะรกถนน เคราะห์ดีที่วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีพนักงานมาทำงาน จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือถูกลูกหลงไปด้วย

        หนุ่มตี๋บีบมือให้กำลังใจเพื่อนสาว

        “เราไปแจ้งตำรวจกันดีกว่า ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว ไอ้หนี้นอกระบบอะไรนั่นก็ผิดกฎหมายชัด ๆ ดีไม่ดีถ้าเรื่องถึงตำรวจ หนี้ที่ติดอยู่อาจไม่ต้องใช้เลยก็ได้นะ” อาเธอร์ออกความเห็น

        แต่โชส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทาง

        “แม่บอกว่า เจ้าหนี้ชื่อ ‘ราเมศ’ เป็นนักธุรกิจดัง เจ้าของกิจการหลายอย่าง มีอิทธิพลมาก เพราะมีพ่อเป็น สส. ของเขตนี้ แจ้งตำรวจไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเงินสกปรกของมันซื้อความยุติธรรมไปหมดแล้ว”

        แม้ทั้งสี่จะสำเร็จการศึกษาระดับปริญญา แต่ประสบการณ์ทางโลกยังอ่อนเยาว์เหลือเกิน เมื่อเจอสถานการณ์คับขันในชีวิตจริง ก็ยากจะหาทางออกอย่างเหมาะสมได้

        ดาวโกรธเคืองจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “อะไรกันวะ! ทำผิดกฎหมายแต่ไม่ถูกลงโทษ แบบนี้ปริ๊นท์กฎหมายไปพับถุงกล้วยแขกขายยังจะมีประโยชน์กว่าอีก”

        ชามเอามือแตะแขนเพื่อนเป็นสัญญาณเตือนว่าให้ใจเย็น

        “มีอะไรให้พวกเราช่วย บอกได้เลยนะโช” สาวหวานพูดอย่างเต็มใจ

        โชมองเพื่อนทุกคนอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณพวกเธอมากนะ ตอนนี้เรายังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน คงต้องค่อย ๆ คิดหาทางกันต่อไป”

        พูดอย่างปลดปลง เรื่องที่เกิดกับครอบครัวนั้นหนักหนาจนโชมืดแปดด้าน หญิงสาวไขกุญแจเปิดประตูบ้าน สภาพภายในยังคงเป็นปกติไม่มีอะไรเสียหาย ภาพบรรยากาศของบ้านยังเหมือนเดิมในความทรงจำ ทว่ากลับต่างไปในความรู้สึก

        หนี้จำนวนมหาศาลขนาดนั้น จะหามาใช้จนครบได้อย่างไร?

        และหากใช้หนี้ไม่ครบ เธอจะยังได้อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้อีกหรือไม่?

        โชมองหนทางอนาคตของตนไม่เห็นจริง ๆ

 

        หลังจากที่อาเธอร์ย้อนกลับมหาวิทยาลัยเพื่อขับรถของโชมาจอดไว้ให้ที่โรงพยาบาล เพื่อนทั้งสามก็ล่ำลาพลางให้กำลังใจ และสัญญาว่าจะหาทางช่วยเหลือเธอทุกวิถีทางที่ทำได้ ความผูกพันยาวนานกว่าสิบปี ทำให้สัมพันธภาพของทั้งสี่เปรียบเสมือนสายใยที่ร้อยโยงความรู้สึกเข้าไว้ด้วยกัน มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ก็ทุกข์ร่วมกัน

        ห้วงราตรีมาเยือน ในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงโชผู้เดียวที่ยังตื่นเต็มตา ความกลัดกลุ้มร้อนรนรุมสุมจิตใจทำให้ไม่อาจข่มตานอนได้ แม้เวลาจะเลยล่วงผ่านวันใหม่มากว่าชั่วโมงแล้วก็ตาม

        เธอทำอะไรได้บ้าง?

        ในวิกฤตร้ายแรงเช่นนี้ หญิงสาวครุ่นคิดจนหัวแทบแตก ว่าเธอสามารถช่วยเหลือหรือแก้ไขสถานการณ์อะไรได้บ้าง

        วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา เป็นสายตรงกับธุรกิจที่ครอบครัวทำอยู่พอดี โชนั่งหน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กพลางไล่เปิดรายงาน การบ้าน และวิชาเรียนที่บันทึกไว้ทีละวิชา สายตาไล่อ่านตัวอักษรเพื่อทบทวนความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนผ่านมาตลอดสี่ปี ทฤษฎี แนวคิด กลยุทธ์ต่าง ๆ ถูกเรียบเรียงและขีดเขียนในสมุดเล่มใหญ่อย่างเป็นระบบระเบียบ โชที่หยิบเอกสารต่าง ๆ ในสำนักงานติดมือมา ไล่ดูรายละเอียดผลประกอบการและรายการนักท่องเที่ยว รวมถึงเส้นทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สมองทำงานเร็วจี๋ประหนึ่งมีหนูมาถีบจักรอยู่ในศีรษะ

        แต่แม้จะพยายามคิดวางแผนการตลาด แผนธุรกิจ หรือแผนกลยุทธ์ด้วยความรู้ที่มีสักเท่าไหร่ หญิงสาวกลับไม่รู้เลยว่าทฤษฎีที่เรียนมา อาจใช้ไม่ได้ผลกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน

        ดังที่มารดาบอก ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาความขัดแย้งรุนแรงทางการเมือง ภาพการชุมนุมประท้วงจนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายถูกฉายผ่านสื่อต่าง ๆ ไปทั่วโลก ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวที่เคยเพิ่มขึ้นในอัตรากว่าร้อยละ 20  ทุกปี กลับลดลงอย่างน่าใจหาย ใช่เพียงบริษัทเที่ยวไทยทัวร์ของเธอบริษัทเดียวที่ประสบภาวะวิกฤต หลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทเล็ก ต่างทยอยปิดตัวลงไปประหนึ่งโดมิโนที่ล้มตามกันไปเป็นทอด

        จุดประสงค์หลักของการท่องเที่ยวคือเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตหรือไม่ก็พักผ่อนหย่อนใจ แต่หากเป้าหมายคือดินแดนที่ไม่ปลอดภัยต่อชีวิต ใครเล่าจะอยากเอาตัวเองมาเสี่ยง

        ในวิชาที่เรียนมานับตั้งแต่ปีหนึ่ง ไม่มีวิชาใดเลยที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกู้วิกฤตให้ธุรกิจที่มีหนี้สินร่วมสิบล้าน และไม่มีวิชาใดเลย ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวในภาวะประเทศมีความวุ่นวายเช่นนี้

        ดวงตากลมเหลือบมองใบหน้ายามหลับใหลของมารดา ก่อนสลับไปมองใบหน้าปูดโปนของบิดา ทั้งคู่รักและเป็นห่วงเธอมาก จนไม่อาจเปิดเผยภาระที่แบกเอาไว้ให้รู้เลยสักนิด เช่นนี้แล้ว เมื่อโชรู้ถึงปัญหาทั้งหมด เธอจึงตั้งปณิธานในใจว่าจะเป็นฝ่ายแบกรับภาระที่ว่านี้เอง เพื่อทดแทนพระคุณที่เลี้ยงดูและส่งเสียให้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสุขสบายมาจนถึงทุกวันนี้

        สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนระบายออกมารวดเดียว ผมยาวถูกรวบใช้ที่หนีบผมหนีบอย่างลวก ๆ เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่ปกติไม่แม้แต่จะเคยคิดลอง ถูกยกกระดกดื่มติดกันสองขวดตามคำเตือนจำนวนสูงสุดที่ดื่มได้ต่อวัน ข้างคอมพิวเตอร์มีกาแฟกรุ่นไอร้อนวางตั้งเอาไว้อยู่ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะเช้า โชต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลา

ทุกวินาทีที่เสียไป ย่อมหมายถึงจำนวนดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ

        เมื่อความรู้ทั้งหมดที่มีไม่อาจแก้ปัญหาได้ คนที่โตมากับยุคไซเบอร์เช่นเธอ จึงหันมาพึ่งพาอีกหนทางหนึ่ง

        นิ้วคลิกเมาส์เปิดหน้าเว็บเบราว์เซอร์ก่อนพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ของเว็บบอร์ด[3]ชื่อดังลงไป

        ‘พันธุ์แท้’ เว็บบอร์ดที่ได้รับความนิยมที่สุดของประเทศไทย แบ่งหมวดหมู่เรื่องต่าง ๆ ตามที่ผู้ใช้สนใจออกเป็นหมวดย่อยมากมายหลายสิบเรื่องราว โชคลิกที่หมวด ‘ธุรกิจ’ ซึ่งปกติไม่เคยเข้ามาเลยสักครั้ง เพราะแม้จะสมัครเป็นสมาชิกเว็บบอร์ดนี้มาหลายปีแล้ว แต่หมวดที่เข้าเป็นประจำ หากไม่เป็นเรื่องที่ได้รับความนิยมจากวัยรุ่น เช่น แฟชั่น บันเทิง ก็จะเป็นหมวดเกี่ยวกับการท่องเที่ยว สำหรับหาข้อมูลประกอบการเรียนเท่านั้น

        กระทู้ต่าง ๆ ที่สมาชิกโพสเอาไว้ ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจ ศัพท์เฉพาะหลายคำที่ผ่านตาล้วนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินและไม่รู้ความหมาย แต่โชก็มิได้สนใจหรือต้องการศึกษาข้อมูลจากกระทู้ใด หญิงสาวคลิกปุ่ม ‘ตั้งกระทู้’ ก่อนพิมพ์คำถามลงไป สมองพยายามเรียบเรียงประโยคที่คิดว่าสามารถอธิบายสถานการณ์และปัญหาของตัวเองให้เหล่า ‘ผู้รู้’ ได้เข้าใจมากที่สุด

 

 

        ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจนำเที่ยวค่ะ

        #แผนธุรกิจ #บริษัททัวร์ #นำเที่ยว

ครอบครัวเราทำธุรกิจบริษัททัวร์ แต่เพราะสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดลง ประกอบกับการวางแผนธุรกิจผิดพลาด จนต้องไปกู้เงินมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้บริษัทใกล้จะไปไม่รอดแล้ว มีใครพอมีหนทางหรือไอเดียทำให้ธุรกิจกลับมาดีเหมือนเดิมได้บ้างไหมคะ

ชานัสตา

 

        ราวกับได้ยินเสียงติ๊กต่อกในหัว โชนับวินาทีรอหลังจากตั้งกระทู้เสร็จ ข้อดีของเว็บบอร์ดพันธุ์แท้ คือจะมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติหากมีการตอบสนองในหน้ากระทู้ เช่น มีคนมากดถูกใจ มาแชร์เนื้อหา หรือมีคนมาคอมเมนต์ตอบ

        และเพียงไม่ถึงนาที คอมเมนต์แรกที่รอคอยก็ปรากฏ

 

 

 

 

 

        ความคิดเห็นที่ 1

        ลดขนาดธุรกิจสิครับ เหลือเฉพาะเส้นทางนำเที่ยวที่ได้รับความนิยม จับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าจากประเทศที่มีปริมาณนักท่องเที่ยวมากอย่างจีน เกาหลีใต้  ญี่ปุ่น และโคกับโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกดัง ๆ ที่นักท่องเที่ยวรู้จัก น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายทัวร์ได้

        ยิ่งยศ

 

        โชถอนใจอย่างผิดหวัง คำตอบดังกล่าวคือสิ่งที่พ่อกับแม่ทำอยู่เป็นปกติ ไม่ใช่แค่ในช่วงที่ประเทศมีปัญหา เธอรู้ดีว่าไม่สามารถช่วยแก้วิกฤตให้บริษัทได้เลย

        และเพราะเว็บบอร์ดนี้มีสมาชิกหลักล้าน กระทู้ที่ตั้งเพียงไม่นาน กลับปรากฏสู่สายตาผู้ใช้ที่เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากมายหลายพันคน ใครมีความรู้ มีประสบการณ์ มีแนวคิดทฤษฎีหรือไอเดีย ต่างพร้อมใจกันช่วยตอบคำถาม จนกระทู้ของโชมีคำตอบถูกเขียนเรียงรายเอาไว้ยาวเป็นหางว่าว

        หญิงสาวไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างมิให้ตกหล่น ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้าสู่สมอง หลายคำตอบเธอรู้ดีว่าพ่อกับแม่ได้ทดลองทำไปแล้ว อีกหลายคำตอบราวกับผู้คอมเมนต์เปิดตำราธุรกิจและหยิบยกทฤษฎีมาพิมพ์ใส่ทั้งดุ้น

แต่ไม่มีคำตอบใดที่โชคิดว่าจะนำมาปรับใช้กับธุรกิจในตอนนี้ได้เลย

        กว่าหนึ่งชั่วโมงที่ทยอยไล่อ่านคอมเมนต์ ประตูแห่งความหวังของโชก็ราวกับจะแง้มปิดลงอย่างช้า ๆ แสงสว่างที่ส่องลอดออกมาจากช่องประตู ใกล้จะมืดลงจนดับสนิท เธอหวาดกลัวเช้าวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง

        แต่พลันเมื่อสายตาสะดุดกับคอมเมนต์ล่าสุดที่เพิ่งปรากฏขึ้น ก็ราวกับห้วงคำนึงทั้งมวลถูกประโยคคำตอบนั้นดึงความสนใจมาไว้บนหน้าจอจนสิ้น

 

 

        ความคิดเห็นที่ 75

        คุณเชื่อไหม แม้นักท่องเที่ยวปกติจะมีปริมาณลดลง แต่นักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มกลับยังมีปริมาณเท่าเดิม ซ้ำยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ไม่สนใจหรอกว่าประเทศไทยจะมีความวุ่นวายไม่สงบแค่ไหน บางคนมองเหตุชุมนุมทางการเมืองเป็นเหมือนงานเทศกาลซะด้วยซ้ำ ถ้าคุณเปลี่ยนรูปแบบการนำเที่ยว หันมาจับกลุ่มเป้าหมายที่ว่านี้ นอกจากจะสร้างความแปลกใหม่ให้ธุรกิจทัวร์ ยังอาจทำรายได้มหาศาลในเวลาอันสั้นอีกด้วย

        ปิยภัทร

 

        และทันทีที่สมาชิกที่ใช้ชื่อ ‘ปิยภัทร’ คอมเมนต์ตอบ ก็ราวกับทุกคนละวางความสนใจคอมเมนต์อื่นไปจนสิ้น คอมเมนต์ตอบความเห็นของปิยภัทรถูกเขียนต่อท้ายอย่างมากมาย

        - ความเห็นที่ 75-1 “มาแล้ว ๆ ปูเสื่อรอคำอธิบายขยายความ”

        - ความเห็นที่ 75-2 “ยังไม่นอนอีกหรือด็อกเตอร์”

        - ความเห็นที่ 75-3 “อ่านเมนต์นี้เมนต์เดียวก็พอแล้วมั้ง”

        - ความเห็นที่ 75-4 “อยากรู้ด้วยคน กลุ่มเป้าหมายที่ว่าคืออะไรเหรอคะ?”

        และอีกมากมายหลายข้อความ โชขมวดคิ้วมุ่น เพียงคำตอบเดียวกลับสร้างกระแสสนใจให้สมาชิกเว็บบอร์ดมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าเทียบกับคำตอบด้านบนเกือบทั้งหมด ที่มีคนคอมเมนต์ต่อไม่มากนัก

        ปิยภัทรเป็นใคร?

        รูปโปรไฟล์ของสมาชิกคนนี้ เป็นสีดำสนิทไม่มีแม้อักษรหรือสัญลักษณ์ใดสักตัว แถมชื่อปิยภัทรที่ใช้นี้ อาจไม่ใช่ชื่อจริงที่บ่งบอกถึงตัวตนในโลกออฟไลน์ของเขาก็ได้

        แต่ถึงตอนนี้ เรื่องทั้งหมดมิใช่ประเด็นที่โชควรสนใจ คำตอบของชายหนุ่มต่างหาก ที่ทำให้โชพิมพ์คอมเมนต์ต่อท้ายลงไปเป็นครั้งแรก

        - ความเห็นที่ 75-16 “ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคะ ว่ารูปแบบการนำเที่ยวที่ว่าคืออะไร และนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มไหน?”

        ดวงตาจ้องค้างที่หน้าจอ หัวใจเต้นระรัวราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นจับเขย่า หญิงสาวคาดหวังว่าคำตอบที่จะได้รับ จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนและครอบครัวได้ แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้จะล่วงเลยเวลามาถึงตีสาม แต่ความง่วงงุนพลันมลายหายไปจนสิ้น โชนั่งนิ่งประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้งด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

        แต่จนแล้วจนรอด ผ่านไปกว่า 10 นาที ก็ยังไม่มีคอมเมนต์ตอบจากปิยภัทร เธอร้อนใจจนเอามือขยำชายเสื้อตนเองจนยับย่น

        หรือเขาเพียงคอมเมนต์ด้วยความสนุก มิได้ปรารถนาช่วยเหลือเธอจริง ๆ?

        ความร้อนใจทำให้ห้วงความคิดในแง่ลบผุดขึ้นในสมองอย่างมิอาจเลี่ยง หากเป็นเช่นนั้นจริง โชคงสาปส่งคนที่เห็นความทุกข์ผู้อื่นเป็นเรื่องล้อเล่นเช่นนี้

        แต่ไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรในแง่ร้ายต่อ สัญญาณเตือนว่ามีผู้ส่งข้อความส่วนตัวมาหา ก็ปรากฏขึ้นที่มุมด้านขวาล่างของหน้าจอ และเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งคือ ‘ปิยภัทร’ นิ้วที่วางค้างอยู่บนปุ่มเมาส์ ก็กระดิกคลิกโดยอัตโนมัติ

        “คุณแน่ใจว่าจะให้ผมคอมเมนต์ตอบบนบอร์ดโดยให้ทุกคนเห็นอย่างนั้นเหรอ?”

        โชที่ปรารถนารู้คำตอบเพื่อหาหนทางแก้ปัญหา มิได้ตระหนักคิดถึงข้อเสียของเว็บบอร์ดเลยสักนิด

        เธอรู้ คนอื่นก็ย่อมรู้ การเสนอไอเดียที่ช่วยแก้ปัญหาธุรกิจให้เธอ ย่อมอาจแก้ปัญหาธุรกิจให้ผู้อื่น ซึ่งแม้จะเป็นการดีที่ทำให้ปัญหาของหลายคนได้รับการแก้ไข แต่หากไอเดียนี้สามารถนำไปใช้ได้อย่างประสบผลสำเร็จ การที่มีคนทำเหมือน ๆ กันเป็นจำนวนมาก ก็อาจเป็นการมอบโอกาสให้คู่แข่งขันทางธุรกิจ

        หญิงสาวชั่งใจระหว่าง ‘วิกฤต’ ของครอบครัว กับ ‘น้ำใจ’ ที่ควรมีต่อผู้ประสบปัญหาเดียวกัน

        และเมื่อคิดถึงวินาทีแรกที่รู้ว่าครอบครัวของตนมีหนี้สินมหาศาล ความทุกข์มากมายที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้แทบล้มทั้งยืน ครอบครัวอื่นที่เจอวิกฤตเดียวกัน ก็ย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกเศร้าโศก กดดัน เครียด มองไม่เห็นอนาคตไม่ต่างกัน

        เธอมิใช่นางฟ้าหรือแม่พระ หากเป็นยามปกติ โชอาจเห็นแก่ธุรกิจตนเองจนบอกให้ปิยภัทรแนะนำผ่านช่องทางข้อความส่วนตัวนี้แล้ว แต่เพราะเจอปัญหาเข้ากับตัวเอง หญิงสาวจึงส่ายศีรษะละวางความคิดเห็นแก่ตัว ก่อนพิมพ์ตอบกลับไป

        “กรุณาพิมพ์ตอบบนบอร์ดได้เลยค่ะ”

        ราวกับห้วงเวลานี้ยาวนานเป็นนิรันดร์ เพียงครู่ ปิยภัทรก็พิมพ์ตอบกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้โชต้องคิดหนักที่สุดในชีวิต

        “คุณเป็นคนแปลกดี ผมไม่ค่อยได้เจอคนแบบคุณเท่าไหร่ เอาเป็นว่า ผมจะแนะนำในสิ่งที่ยังอธิบายไม่หมดจากบอร์ดในช่องข้อความส่วนตัวนี้ แต่ขอให้คุณสัญญากับผมว่า ห้ามนำสิ่งที่รู้นี้ไปบอกใคร หรือเผยแพร่ที่ไหนโดยเด็ดขาด”

        โชคิดในใจว่าหมอนี่แปลกพิลึก หากจะพิมพ์ตอบเลย ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องสร้างทางเลือกให้เธอด้วยคำถามในช่องทางส่วนตัวเช่นนี้ แต่พอเธอเลือกหนทางหนึ่ง เขากลับบังคับให้เธอเดินในอีกหนทางหนึ่งอย่างเสียมิได้

        “ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรนะคะ แต่หากมันสามารถทำให้ฉันได้รับคำแนะนำที่ดี ฉันยอมทำตามข้อเสนอของคุณค่ะ”

        ทันทีที่กดปุ่มส่งข้อความ ปิยภัทรก็พิมพ์ตอบกลับมาแบบไม่ให้เธอต้องรอเหมือนเคย

        “คุณเคยไปพัทยาไหม”

        “เคยค่ะ”

        “แล้วคุณเคยเดินถนนคนเดินที่พัทยาไหม”

        คำถามนี้ทำให้โชลังเลที่จะพิมพ์คำตอบ ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาในสมองอย่างกะทันหัน

        โชที่ปกติจะไปเที่ยวพัทยากับครอบครัว ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่โชไปค้างคืนที่พัทยากับกลุ่มเพื่อนในชั้นเรียน ความเข้าใจของหญิงสาวที่มีต่อถนนคนเดิน หรือ Walking Street คือคิดว่าเปรียบเสมือนตลาดนัด มีสินค้าที่ระลึก ของกินของใช้ วางขายเรียงรายดังเช่นถนนคนเดินที่จังหวัดอื่น

        แต่ความเป็นจริงกลับมิใช่เช่นนั้น

        ถนนคนเดินที่ตั้งอยู่บริเวณสุดถนนเลียบหาดพัทยาใต้ เต็มไปด้วยสถานบันเทิงเริงรมย์ที่ไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน มีการแสดงโชว์ที่มุ่งเน้นเรื่องเพศแทบทุกร้านที่ตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทาง เธอกับดาวและชาม ที่เดินร่วมกับเพื่อนผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งอายจนหน้าแดงเมื่อถูกชักชวนให้เข้าไปในร้านจากพนักงานเชียร์แขก

        “เคยค่ะ”

        “ผมเดาว่าคุณคงแค่เดินผ่าน แต่ไม่เคยเข้าไปในร้าน” ปิยภัทรเว้นจังหวะครู่หนึ่งราวกับยั่วเย้า “คุณรู้ไหม ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เที่ยวในถนนคนเดินพัทยาแต่ละเดือนมีเท่าไหร่ และคุณรู้ไหม ว่าเงินที่สะพัดกับธุรกิจสีเทานี้ มาก มาย มหาศาล แค่ ไหน

        หากโชเห็นสภาพใบหน้าตื่นตะลึงกับร่างกายที่แข็งทื่อเป็นก้อนหินของตนตอนนี้ คงอดกลั้นหัวเราะไม่ไหวแน่ ๆ

 

[1] หนี่เฟิงเลอ : คุณบ้าไปแล้ว

[2] รถโคช : รถยนต์ขนาดใหญ่ประเภทรถบัส สำหรับขนส่งผู้โดยสาร กลุ่มคนที่เดินทางระหว่างเมืองหรือระหว่างประเทศ แตกต่างจากรถบัสที่ออกแบบมาในระยะเดินทางที่สั้นกว่า มักมีที่เก็บกระเป๋าแยกออกมาจากชั้นเก็บกระเป๋า และโดยมากจะเก็บสิ่งอำนวยสะดวกสำหรับการเดินทางยาว ๆ  เช่น เบาะที่นั่งสบาย ๆ หรือห้องน้ำ เป็นต้น

[3] เว็บบอร์ด : คือลักษณะของเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนบทสนทนา การพูดคุย การอภิปรายในสังคมออนไลน์

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น