บทที่ 1 อย่าลืมใครบางคน
เจ็ดปีก่อน
กังสดาลพบว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวอเมริกาเป็นความคิดที่แย่ แย่หนึ่ง แม่ของเธอติดงาน ปล่อยให้เธออยู่ต่างเมืองเพียงคนเดียว แย่สอง เพื่อนสนิทก็เลิกคบไม่บินมาสมทบ แย่สาม ไกด์นำเที่ยวเท ทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ และนั่นมันก่อนที่เธอจะโดนวัยรุ่นท้องถิ่นไล่ตามแล้วลากเธอเข้าไปในซอยด้วยซ้ำ ซึ่งคงเป็นจุดจบสุดแย่ของสาวสวยวัยเพิ่งจะยี่สิบหากเธอไม่อาจเอาตัวรอดไปได้
อันที่จริงเธอสวยแค่พอประมาณ แต่ถ้าหนีไม่ได้ เธอตายอนาถแน่
นิวยอร์กน่าจะเป็นหนึ่งในเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก แต่คนชั่วก็มักจะมีช่องทางทำเลวเสมอ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่คิดว่าการเดินคนเดียวกลางเมืองที่ตนไม่รู้จักขณะฝนตกพรำๆ ไม่น่าก่อปัญหาอะไร น่าเสียดายความประมาทมักจะเป็นหนทางสู่ความสลดใจ ก่อนเธอจะตระหนักว่าความโง่ของตนกำลังจะส่งผลอย่างไรก็เจอชาวต่างชาติผิวขาวหนึ่งผิวสีหนึ่งผิวปาก พูดแซว แล้วตามประชิดติดพันแบบไม่สนใจเสียงขู่ฟ่อของเธอ
“ถอยไป! ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจ”
ภาษาอังกฤษของกังสดาลค่อนข้างดี แต่เธอสื่อสารกับกลุ่มคนขาดคุณงามความดีตรงหน้าไม่ได้ ทั้งสองหัวเราะอย่างย่ามใจ แล้วเดินขึ้นหน้าต้อนให้เธอเข้าไปซอยมืดห่างจากแสงสว่างและความปลอดภัยมากขึ้น เม็ดฝนปรอยๆ กลายเป็นสายฝนเทกระหน่ำ หากนี่เป็นละครก็ต้องเป็นฉากอาชญากรรมครองเมือง ตัวประกอบโดนทารุณกรรมจนตาย หญิงสาวมองเห็นฉากตัวเองโดนทำร้ายตายศพไม่สวยแบบนอนสตอป แต่เธอไม่คิดจะรอให้ถึงฉากย่ำยีนั่น ขยับหาทางเอาตัวรอด ทว่าหนึ่งในนั้นคว้าไหล่เธอและพยายามกดเข้ากำแพง กังสดาลจึงตอบโต้ด้วยวิธีคลาสสิกกรีดร้องให้ดังลั่น ด้วยความหวาดกลัวภาษาอังกฤษจึงเปลี่ยนเป็นภาษาไทยโดยไม่รู้ตัว
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย”
เธอจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นมีอะไรบ้าง คร่าวๆ ก็คือมีคนเข้ามาช่วยเธอ ฉุดมือพากันหนี ต่อจากนั้นก็วิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง วิ่งจนเหนื่อยหอบซี่โครงบานก็ไม่ยอมหยุด หัวใจ ตับ ปอด ไปจนถึงเซี่ยงจี๊ของเธอประท้วงความวิบาก มีเพียงมือที่เห็นต่างเพราะมันยังจับมือของเขาที่ลากจูงเธอวิ่งไปข้างหน้าไม่ปล่อย เนิ่นนานเขาถึงหยุดเท้าลงเปิดโอกาสให้เธอได้เห็นหน้าผู้มีพระคุณเป็นครั้งแรก
ตรงนี้สว่างไสวกว่าจุดเกิดเหตุเมื่อครู่ แต่ยังมืดสลัวจนมองใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน กังสดาลพยายามเพ่งมอง เห็นเพียงคนเอเชีย โครงหน้าคม ดวงตาสีนิลที่จ้องมองตาเธอราวกับจะทะลุให้ถึงความคิด ตามด้วยคิ้วเข้มขมวดมุ่น
หัวใจที่ผ่านการวิ่งระยะไกลเต้นกระหน่ำ กังสดาลแยกไม่ออกว่าเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยหรือตื่นเต้น เช่นเดียวกับร่างกายสั่นระริก ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหรือหนาวจากเสื้อผ้าเปียกชุ่มน้ำฝนเหมือนเพิ่งขึ้นจากสระว่ายน้ำ อย่างเดียวในร่างกายเธอที่อยู่ในสภาวะสงบก็คือมือที่มีมือของเขากุมเอาไว้ ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านสัมผัส ทำให้เธอไม่หวาดกลัวสถานการณ์ในตอนนี้ เป็นความมั่นคงหนึ่งเดียวท่ามกลางความวุ่นวาย
ก่อนเธอจะเอ่ยขอบคุณ เขาก็ชิงเอ่ยประโยคภาษาไทยอันอบอุ่น
“ทีหลังอย่าลืมพกสมองก่อนออกจากบ้านนะครับ”
น่าเสียดายที่ต่อมาเธอลืมคำแนะนำดีๆ นี้ไป แถมยังจำหน้าชายคนนี้ไม่ได้ด้วย
ห้าปีก่อน
ความร้อนใจรวมเข้ากับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่องจนใบหน้าคมเข้มกลายเป็นซีดเซียว หากทำได้ชายหนุ่มอยากบินจากอเมริกากลับไทยทันที เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเดินทางมาที่นี่กี่ครั้งตลอดทุกปี ทั้งเรียนปริญญาตรี ปริญญาโทและเริ่มต้นทำธุรกิจ ทุกครั้งเขาไม่คิดจะรีบร้อนกลับเมืองไทย แต่อาจเพราะลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาอยากกลับทั้งที่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากอะพาร์ตเมนต์ และความต้องการนั้นก็เพิ่มขึ้นทุกวินาที โดยเฉพาะหลังจากได้รับอีเมลฉบับหนึ่ง อีเมลที่ทำให้โลกของเขาพลิกคว่ำ เขาทำทุกวิถีทางจนได้พูดคุยกับเจ้าของอีเมลฉบับนั้นผ่านโปรแกรมวิดีโอคอล แต่คนส่งไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจ
“อย่างที่ฉันบอกไปทางอีเมล เราเลิกกันเถอะ”
เราเลิกกัน สามคำสั้นๆ สำหรับช่วงเวลาสองปี
“ทำไมคุณถึงบอกเลิกกับผม”
ชายหนุ่มเค้นคำถามผ่านลำคอที่แห้งผากเพราะความสะเทือนใจ ผู้หญิงที่เขาพูดคุยผ่านวิดีโอคอลเป็นคนที่เขาสลักลึกในหัวใจอย่างไม่มีวันลืมเลือน แต่ขณะนี้ด้วยสายตาเย็นชาที่มองสบตาเขา เธอเหมือนคนแปลกหน้าที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน
“เพราะเราควรจบกันแค่นี้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ ไหนคุณบอกว่าเราจะไม่มีวันเลิกกัน” เขาถามได้เพียงคำถามเดิมซ้ำๆ
“พอแค่นี้เถอะค่ะ คุณมีความฝันของคุณ ฉันก็มีความฝันของฉันเหมือนกัน...” อยู่ๆ เธอก็ชะงักไป ต่างกับสายตาเด็ดขาดไม่หวั่นไหวเช่นเดียวกับคำพูดต่อมา
“และฉันไม่รักคุณแล้ว ลืมฉันซะเถอะค่ะ”
“ทำไม...” ไม่รอให้เขาถามจบ สัญญาณการติดต่อจากอีกฝั่งก็ถูกตัดขาด เขาจึงไม่อาจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปได้
ทำไมคุณลืมว่ารักผมเร็วขนาดนี้
หนึ่งปีก่อน
‘อดีตนางร้ายหนีหนี้ธุรกิจขายตรงยังไร้ร่องรอย’
กังสดาลอ่านพาดหัวข่าวเด็ดออนไลน์แล้วตรงไปตรวจสอบในทวิตเตอร์ต่อเพื่อดูว่ากระแสความคิดของชาวไซเบอร์เป็นเช่นไรบ้างกับการหนีคดีของบุษบา อดีตนางร้ายชื่อดังจากละครช่วงปี 90 แต่ละความเห็นไปในทางเดียวกันหมด นั่นคือเป็นหนี้ต้องชดใช้ แถมคนส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของผู้เสียหายก็เป็นผู้เสียหาย ทำเอาเธอประหลาดใจว่าทำไมผู้เสียหายเยอะขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเหล่าคอมเมนต์นับร้อยนี้ เป็นผู้เสียหายตัวจริงหรือแค่อยากเรียกร้องความสนใจ
อินเทอร์เน็ตก็เหมือนโลกอีกใบ ใครใคร่พูดก็พูด จริงเท็จมักปะปนกันไป เพราะการสืบหาความจริงบนโลกออนไลน์ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไร หนำซ้ำยังสามารถก้าวร้าวได้อย่างสาแก่ใจ ไม่ต้องอาศัยความกล้ามากมายก็ใช้คำพูดตบหน้าคนได้ รวมไปถึงแช่งชักหักกระดูก ถึงอย่างนั้นกังสดาลก็ยังไล่อ่านคำด่าทีละประโยค ค้นหาความต้องการของประชาชนชาวโซเชียล
‘ชดเชยเงินสักหน่อยได้ไหม จะอดตายอยู่แล้ว’
เป็นใจความหลักๆ ในบรรดาคอมเมนต์นับร้อย กังสดาลอยากคิดให้ออกว่าจะแก้ไขปัญหาให้คนน่าสงสารเหล่านี้อย่างไร ก็ดันมีข้อความเสียงถูกส่งเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน เธอแค่เห็นชื่อคนส่งยังไม่ทันฟังก็รีบติดต่อกลับผ่านโปรแกรมแชตออนไลน์ แล้วผลที่ได้ก็เหมือนเคย เธอติดต่ออีกฝ่ายไม่ได้ เลยได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ยังมีข้อความเสียงส่งมาให้รู้ว่าคนที่เธอตามหายังอยู่ดี
“สมองไม่ดีก็อย่าคิดให้เยอะ ทำตามที่แม่บอก ออกจากบ้านซะ อย่าดันทุรังใช้หนี้แทนแม่”
ข้อความเสียงไม่กี่ประโยคจากบุษบาสามารถใช้เป็นคำสั่ง คำตำหนิ และยังบ่งบอกถึงทัศนคติที่แม่มีต่อลูกสาวอย่างกังสดาลได้ด้วย ยังดีที่ลูกสาวคนนี้เชี่ยวชาญด้านคิดบวก
“ขอบคุณที่ติดต่อมานะคะแม่ แม่เป็นยังไงบ้างคะ หนูเป็นห่วงแม่นะ” แล้วก็พูดเสริมไปอีกสองประโยค “ถึงแม่จะทิ้งหนูไป หนูก็รู้ว่าแม่รักหนู แม่แค่แสดงออกไม่เก่ง”
กังสดาลส่งข้อความเสียงกลับไป แม้ว่าจะติดต่อบุษบาไม่ได้มาหลายวันแล้วก็ตาม แต่ความรักที่แม่มีต่อเธอชัดเจนอยู่บนตั๋วเครื่องบินไปอังกฤษซึ่งถูกเตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้า
ก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่บุษบามักจะปูทางไว้ให้ลูกสาวเสมอ ไม่ว่าจะช่วยผลักดันเข้าวงการ ส่งเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังค่าเทอมแพงลิบ จนถึงหาช่องทางหนีออกไปยังประเทศที่ไม่ได้ทำสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และเช่นกันที่กังสดาลมักจะทำพัง เข้าวงการไม่สำเร็จ เรียนไม่จบ ส่วนตอนนี้...
เธอฟังข้อความเสียงจากแม่อีกรอบ ก่อนเลื่อนสายตามองตารางเที่ยวบิน อีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่องไปอังกฤษ เธอจะหนีพ้นปัญหาที่ตนไม่ได้ก่อ ไม่ต้องรับผิดชอบคนที่เธอไม่ได้โกงเงิน แต่กังสดาลตัดสินใจได้ในนาทีนี้เองจึงรีบส่งข้อความเสียงอันใหม่ไปให้บุษบา
“ขอโทษนะคะแม่ แต่หนูชอบชาไทยมากกว่าเอิร์ลเกรย์”
กังสดาลภูมิใจตนเองที่หาเหตุผลให้การตัดสินใจที่อาจจะเป็นหายนะครั้งใหญ่แก่ชีวิตได้สำเร็จ เธอไม่สนหรอกว่าการอยู่ที่เมืองไทยขณะที่บุษบาหนีประกันศาลไปเมืองนอกจะส่งผลอย่างไรบ้าง เธอรู้แค่หากเธอหนีหนี้ไปอีกคน สำนึกผิดชอบชั่วดีคงโหมกระหน่ำใส่สมองซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไรของเธอ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของตน หญิงสาวเบนเท้าไปหาร้านชาไทยพลางคิดแผนต่อไปในชีวิต ระหว่างนั้นก็ไม่วายอ่านประเด็นร้อนในโลกไซเบอร์ไปด้วย
#นางร้ายไม่จ่ายหนี้
อันที่จริงมันควรจะเป็น #อดีตนางร้ายไม่จ่ายหนี้ หรือไม่ก็ #อดีตนางร้ายหนีหนี้ไปต่างประเทศ แต่อ่านแล้วไม่ทรงพลังเท่าแฮชแท็กที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ กังสดาลในฐานะลูกสาวของอดีตนางร้ายคนที่ว่าถอนใจใส่โทรศัพท์ ไม่คิดจะมองทาง แล้วก็ไม่ทันมองคนที่กำลังเดินสวนทางกับเธอ
สนามบินนานาชาติเป็นทั้งจุดเริ่มแห่งการเดินทางและจุดสวนทาง ชายหนุ่มในชุดลำลองเพื่อความพร้อมในการเดินทางยาวนานข้ามทวีปก้าวขาไปตามทางพร้อมกับคุยโทรศัพท์ไปด้วย จนเกือบจะไม่ทันสังเกตเห็นหญิงสาวที่เอาแต่ก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
“ผมจะกลับบ้านเดือนหน้า ฝากพ่อ...”
คำพูดต่อมาค้างอยู่ในลำคอของชายหนุ่ม เขาไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไรดี ระหว่างยื่นขาไปขัดขาเธอให้คว่ำกับเมินหน้าหนี ทว่าทันใดนั้นหญิงสาวที่เขาทำเป็นลืมว่าเคยรู้จักก็ถูกกลุ่มคนแปลกหน้าตรงเข้าไปขวางทางแบบไม่สนมารยาท
“คุณใช่กีกี้ กังสดาล ลูกสาวของคุณเกศ บุษบาหรือเปล่าคะ”
“แม่ของคุณหนีไปไหนคะ”
ชายหนุ่มเห็นวินาทีที่เธอเปลี่ยนจากเด็กสาวหลงทางมองหาข้อมูลผ่านโทรศัพท์เป็นหญิงสาวถือตัวที่เชิดหน้า ปรายตามองคนอื่นผ่านจมูก ครั้งหนึ่งเธอเคยบอกเขาว่าการเชิดใส่คนอื่นคือวิธีป้องกันตัวที่ดีที่สุด และครั้งนี้เธอพิสูจน์ให้เห็นชัดๆ ว่าทำได้ดี
ทันทีที่หญิงสาวใช้สายตาเยือกเย็นมองคนอื่นนิ่งๆ แทนคำพูดว่า ‘ไม่รู้จักอย่ามาทัก’ สี่ห้าคนที่รายล้อมก็พร้อมจะเปิดทางให้เธอโดยอัตโนมัติ แล้วเธอก็ลากกระเป๋าเดินทางก้าวฉับๆ ไม่สนคนมองตามหลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเขาด้วย
เธอไม่เห็นเขาในสายตา ขณะที่เขาพยายามไม่มองเธอ
ชายหนุ่มหัวเราะเยาะตัวเองที่ผ่านมาหลายปียังไม่สำนึกได้เสียทีว่าควรลบผู้หญิงคนนี้ออกไปจากสมอง แล้วหันความสนใจไปยังโทรศัพท์ที่ยังรอการสนทนาจากเขาอยู่
“ไม่มีอะไรครับพ่อ ผมแค่คิดว่าก่อนออกจากบ้านคราวหน้าผมควรเตรียมตัวให้ดีกว่านี้” จะได้ไม่สะทกสะท้านเวลาบังเอิญเจอหน้าเธอเสียที
ห้าปีก่อนเขาจำฝังใจ สี่ปีก่อนเขาลืมไม่ลง สามปีก่อนเขาลืมไม่ได้ สองปีก่อนเขาก็ยังจดจำ แต่ตอนนี้เขาควรลืมเธอได้เสียที
อีกด้านของสายโทรศัพท์รับรู้ถึงความตึงเครียดแปลกๆ ผ่านคำพูดไม่กี่ประโยคของลูกชาย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองห่างไกลจากคำว่าเปิดอกคุยกันมาหลายปี เขาจึงทำได้แค่อวยพรให้ลูกเดินทางปลอดภัยก่อนจะหันมาพูดกับหลานชาย
“พ่อเราต้องไปทำงานที่อเมริกาเดือนนึง ช่วงนี้หลานก็อยู่กับปู่แล้วกันนะ”
ก่อนเอ่ยประโยคนี้เขาไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะลูกชายของเขามุ่งมั่นกับการหาเงินตลอดสี่ปีจนแทบไม่มีเวลาให้หลานชาย แต่พอมองเห็นดวงตากลมโตแสดงความผิดหวัง เขาก็รู้ว่าตนคิดผิด
“ไม่ใช่พ่อลืมผมไว้ที่บ้านคุณปู่ใช่ไหมครับ”
น้ำเสียงเด็กน้อยทั้งเศร้าสร้อยและเหงาหงอยจนชายวัยเฉียดหกสิบเกือบสงสาร ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าตัวเล็กเพิ่งละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ฉายฉากละครพระเอกความจำเสื่อม ลืมศัตรูคู่แค้นรวมไปถึงมรดกหมื่นล้านและคฤหาสน์หลังงาม
“ปู่ชักเชื่อที่พ่อของเราบอกแล้ว ว่าเราดูละครมากเกินไปแล้ว”
ชายชราอยากกุมขมับเพราะหลานชาย เจ้าหนูคนนี้พูดก็เก่ง อ่านหนังสือก็คล่อง แต่ทั้งหมดนั่นได้มาเพราะละครล้วนๆ ต้องโทษผู้เป็นพ่อของเด็กชายที่ใช้โทรทัศน์เลี้ยงลูก ส่วนตัวเขาเห็นความกระตือรือร้นอยากรู้เนื้อหาละครล่วงหน้า จึงเผลอสนับสนุนด้วยการปล่อยให้เด็กหัดสะกดคำผ่านหนังสือเรื่องย่อละครดัง ผ่านไปปีเศษๆ ศัพท์แสงของเด็กชายเพิ่มขึ้นนับพันคำ แต่ร้อยทั้งร้อยมาจากละคร
“ผมไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะครับ” เจ้าตัวแสบทำหน้ามุ่ย ดูละครที่ระบุว่ามีเรตติงสำหรับคนทั่วไปแต่เนื้อหาจริงเหมาะกับคนอายุสิบสามปีขึ้นไปมากกว่า
คนมองไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือถอนใจ ได้แต่ลูบศีรษะผมหยิกยุ่ง มรดกทางพันธุกรรมจากพ่อของเด็กน้อย
“ใช่ หลานเป็นเด็กสี่ขวบแล้ว”
“เพราะฉะนั้นคุณปู่ไม่ต้องกลัวผมจะรับไม่ได้แล้วนะครับ”
บทพูดฟังดูคุ้นๆ เหมือนมาจากละครดังหลังข่าวสักเรื่อง ผู้เป็นปู่ยังไม่ทันได้นึกชื่อเรื่อง เจ้าหนูก็บอกประโยคสำคัญออกมา
“บอกมาได้แล้วครับว่าแม่ผมคือใคร”
คราวนี้ชายชราได้ถอนใจยืดยาวจริงๆ เขาไม่ลืมว่าแม่ของเด็กชายคือใคร ปัญหาคือถ้าเขาบอกชื่อออกไปก็ต้องบอกรายละเอียดด้วยว่าเธอจากไปอย่างไร เขาคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็หยิบไอแพดค้นหาละครเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ปู่ว่าหลานควรดูละครเรื่องนี้นะ มีนางร้ายที่หลานยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วย”
ความคิดเห็น |
---|