บทที่ 5 เหตุการณ์เมื่อ 7 ปีก่อน
เจ็ดปีก่อน
กังสดาลพาผู้ชายเข้าห้องเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เด็ดสุดก็คือห้องที่ว่าเป็นโรงแรมในต่างแดน และผู้ชายคนนี้คือคนแปลกหน้าที่เธอเพิ่งจะเคยเจอ
“คุณเข้ามาอาบน้ำอุ่นก่อน เสื้อผ้าให้แม่บ้านของโรงแรมอบแห้ง แป๊บเดียวก็ใช้ได้แล้วค่ะ”
กังสดาลไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ แต่ตอนเธอช่วยสหกรณ์เช็ดหน้าพบว่าหน้าผากที่ชุ่มน้ำฝนของเขาร้อนแทบลวก แล้วเธอจะให้ผู้มีพระคุณใส่ชุดเปียกๆ เดินทางกลับไปทั้งที่ป่วยหนักได้อย่างไร เห็นเขายืนอึกอักไม่เข้ามาเสียทีเธอก็ถือวิสาสะจูงมือเขาเสียเลย เธอรู้สึกถึงแรงกระตุกขัดขืนนิดๆ จึงนึกได้ว่าเธอลากผู้ชายเข้าห้อง อดจะเขินอายไม่ได้ แต่คิดอีกทีวันนี้เขาก็จูงมือเธอวิ่งตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง ถือว่าหายกันไป
“ผมกลับไปเปลี่ยนที่โรงแรมของผมดีกว่า”
“เปียกขนาดนี้เดี๋ยวก็ปอดบวมกินพอดี” เธอขัดคำพูดของเขาด้วยการผลักเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับสั่งการ “ถอดชุดส่งออกมาให้ฉันด้วยนะคะ”
“คุณเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชาย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก”
“เราคงจะคุยกันคนละคลื่นความถี่แล้วละ” เขายังพูดไม่จบประโยคเธอก็ดึงประตูปิด แต่เขาเพิ่งจะถอดเสื้อสูทออกประตูก็ถูกคนเดิมดึงเปิด
“รีบถอดเสื้อผ้า ส่งชุดมาเลยค่ะ” เห็นเขาทำท่าไม่เข้าใจเธอก็เอื้อมมือไปหากระดุมเสื้อเชิ้ตเขา
“คุณอยากเห็นผมแก้ผ้ามากขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เขาแซวด้วยรอยยิ้มจนเธอเก้อไป เพราะเพิ่งนึกได้ว่ากำลังพยายามเปลื้องผ้าชายแปลกหน้าอยู่ รีบปิดประตูหนีแทบไม่ทัน
พอมีประตูกั้นระหว่างทั้งสอง กังสดาลก็เอามือกุมแก้มที่ร้อนผ่าวของตน ด้วยฐานะลูกสาวของนักแสดงที่มีชื่อเสียงพอตัว เธอคุ้นเคยกับคนในวงการ หายากที่จะเจอผู้ชายคนไหนที่ทำให้เธอหวั่นไหว
หรือนี่คือทฤษฎีสะพานแขวน ว่ากันว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบให้ผู้ชายไปจีบผู้หญิงบนสะพานแขวนซึ่งแกว่งไปแกว่งมาชวนตื่นเต้น จากผลทดสอบมันจะประสบความสำเร็จมากกว่าไปยืนจีบบนสะพานปูนที่มั่นคง แต่คิดอีกทีเขายังไม่ได้จีบเธอเลย แค่เป็นพลเมืองดีพาเธอหนีอันธพาล เธอต่างหากที่พาเขาเข้าห้อง แล้วก็อย่างที่เธอบอก เธอไม่ทำอะไรเขาหรอก
กังสดาลคิดวุ่นวายไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ ประตูห้องน้ำก็เปิดออกเผยให้เห็นสหกรณ์ที่ถอดแค่สูทตัวนอก เธอไม่ทันถามเขาก็ผลักเธอเข้าห้องน้ำแทน
“คุณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย”
ทั้งที่เขาเป็นคนป่วย แต่กลับนึกถึงเธอก่อนตัวเอง ถ้าเมื่อครู่กังสดาลให้คะแนนนิยมสหกรณ์เกือบเต็มร้อย ตอนนี้มันคงเกินร้อยไปไกล แต่อาการหัวใจหวั่นไหวของเธอสะดุดทันทีเพราะความตกใจจากเงาในกระจก ซึ่งสะท้อนภาพเธอเอง
“ผีบ้าตัวนี้คือใคร”
ผมเธอกระเซิง เครื่องสำอางเลอะเทอะไปหมด กังสดาลเห็นแล้วผวา นึกไม่ออกเลยว่าสหกรณ์จะมองแล้วสยดสยองแค่ไหน เพื่อแก้ไขสิ่งที่พลาดไปแล้ว เธอเลยตั้งอกตั้งใจอาบน้ำเปลี่ยนชุด หวังจะโผล่หน้าไปพบเขาใหม่ในรูปลักษณ์ที่น่ามองขึ้น
สหกรณ์ค้นพบความผิดพลาดหลังจากเสียสละให้กังสดาลอาบน้ำก่อน เพราะบนตัวเขาไม่มีเสื้อผ้าชิ้นไหนไม่เปียกชุ่มเลย มองซ้ายมองขวารอบห้องของเธอ นอกจากผ้าม่านก็มีเพียงของใช้ส่วนตัว และเขาก็ไม่อาจหาญพอจะเปลือยแล้วไปนอนซุกผ้านวมในห้องหญิงสาวแล้วโดนข้อหาโรคจิต
“ผมกลับก่อนนะครับ โรงแรมผมอยู่ไม่ไกล”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บเดียว”
ผ่านไปสิบนาที สหกรณ์ตัดสินใจกลับดีกว่ารอต่อ แล้วก็พบว่ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือของเขาอยู่ในเสื้อสูทที่ถูกถอดทิ้งไว้ในห้องน้ำ
“คุณช่วยส่งเสื้อสูทให้ผมที”
“แป๊บเดียวค่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปแล้ว”
ผ่านไปอีกยี่สิบนาที หรืออาจจะสามสิบนาที สหกรณ์เริ่มทนไม่ไหว
“คุณ! ผมจะตายอยู่แล้วนะ”
เขาปล่อยตัวนั่งยองๆ เพราะเริ่มมึนหัวจากอาการไข้ สาบานว่าวันนี้จวบจนวันตาย เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนไหนใช้ห้องน้ำก่อนเขาอีก แต่มีแนวโน้มว่าเขาจะเป็นไข้ตายในวันนี้ถ้ายังไม่ถอดชุดเปียกๆ บนตัวออก สหกรณ์กำลังไตร่ตรองว่าจะดึงผ้าม่านมาห่มดี หรือดึงผ้าคลุมเตียงมาใช้ก่อน กังสดาลก็เปิดประตูมาตรงจังหวะพอดี
“ขอโทษทีนะคะ ฉันอาบน้ำ...” คงมีบางอย่างทำเธอชะงักกวาดตามองเขาแทน เขาเองก็ชะงักเผลอมองเธอโดยไม่สนมารยาท
กังสดาลดูตัวเล็กไปอีกในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวนุ่มฟู ผมของเธอเก็บอยู่ในผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก เหมือนลูกแมวที่ถูกห่อด้วยผ้า สหกรณ์อยากจะจิ้มแก้มป่องๆ ของเธอสักที แต่อาการไข้ทำให้เขาคิดช้ากว่าเธอ
“คุณรอฉันไดร์ผมแป๊บได้ไหมคะ”
สหกรณ์คาดว่าเขาน่าจะเป็นคนแรกที่ป่วยหนักเพราะรอเข้าห้องน้ำ อันที่จริงกังสดาลถามจบก็สังเกตเห็นใบหน้าแดงก่ำที่ไม่ใช่เพราะเขินอายหรือโมโหของสหกรณ์ เธอรีบขอโทษขอโพยผลักเขาเข้าห้องน้ำอาบน้ำอุ่น เตรียมเสื้อคลุมตัวใหญ่ให้ระหว่างส่งชุดสูทของเขาไปซักอบแห้งด่วน แต่ถึงตอนนั้นเขาก็หมดสภาพไม่อาจลากตัวเองกลับไปโรงแรมของตน
ถ้าไม่รู้จักตัวเองดีสหกรณ์ก็ไม่อยากเชื่อว่าจะทรุดหนักได้ไวขนาดนี้ อันที่จริงเขาร่างกายแข็งแรงมาก ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนก็ยังปลีกตัวไปออกกำลังกายเพราะเชื่อว่าสุขภาพดีจะช่วยให้สมองทำงานดีตามไปด้วย ดังนั้นเขาจึงล้มป่วยไม่บ่อยนัก โดยเฉพาะอาการป่วยจากไข้หวัด ไม่นึกว่าจะมาเจ็บป่วยในต่างแดน อาการเดิมที่แค่ซื้อยาลดไข้บรรเทาหวัดแผงละไม่กี่บาทก็หายกลายเป็นความยุ่งยาก และส่วนใหญ่เขาต้องให้เครดิตการปฐมพยาบาลโดยกังสดาล
“ฉันนึกว่าเอาผ้าโปะหน้าผากจะทำให้ลดไข้ไวขึ้น”
กังสดาลยืนทำหน้าสำนึกผิด ขณะสหกรณ์หาผ้าแห้งมาเช็ดหน้ากับผม ก่อนจะเปลี่ยนใจไปถอดเสื้อที่เปียกอีกรอบออกด้วย แล้วทั้งหมดก็เพราะผ้าโปะหน้าผากของเธอ
เจลแปะหน้าผากลดไข้ไม่น่าจะหายาก แต่กังสดาลผู้เชื่อในภาพจำจากละครไทยใช้ผ้าชุบน้ำแทน ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร ยกเว้นเธอไม่ได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูเช็ดมือผืนเล็ก แต่เป็นผ้าขนหนูสำหรับเช็ดผมแล้วแรงบิดผ้าเธอก็ช่างน้อยเกินไป สหกรณ์กำลังนอนเพื่อฟื้นฟูร่างกายอยู่บนโซฟาถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อมีผ้าเปียกชุ่มโชกทับลงมาบนใบหน้า เปียกทั้งหน้าทั้งศีรษะลามไปเปียกตัวด้วย หากเธอไม่แสดงออกว่าหวังดี เขาคงคิดว่าเธอพยายามฆาตกรรม
“เอาเสื้อตัวใหม่ไหมคะ” เห็นสหกรณ์ออกมาพร้อมเสื้อคลุมอาบน้ำ กังสดาลก็นึกได้ว่านอกจากเสื้อเชิ้ตกับเสื้อสูท เขาไม่มีอย่างอื่นให้ผลัดเปลี่ยนแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ แค่คืนเดียว” เขาห้ามก่อนเธอจะยกหูโทรศัพท์สั่งซื้อเสื้อตัวใหม่จากรูมเซอร์วิซ
สหกรณ์นึกเสียใจแล้วที่ตอบรับคำเชิญของกังสดาลมานอนพักอยู่ในห้องของเธอ ถึงจะป่วย ถึงจะไม่สะดวกกลับโรงแรมของตนเพราะรถประจำทางหมด เขาก็ไม่ควรอยู่ใกล้คุณหนูผู้พร้อมทำให้เขาป่วยหนักมากขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
พอได้ยินเสียงอ่อยเพราะความรู้สึกผิดของกังสดาล ความหงุดหงิดของสหกรณ์ก็ลดลง
“ไม่เป็นไรครับ อีกไม่นานก็เช้าแล้ว” โรงแรมหรูไม่มีนาฬิกาติดฝาผนัง เขาไม่ได้มองหานาฬิกาข้อมือกับโทรศัพท์ของตน แต่ประเมินเวลาจากตอนมาถึงกับเวลาที่ได้เอนตัวลงนอนไปพักหนึ่ง
“แต่คุณควรใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ รอแป๊บนะคะ ฉันมีเสื้อยืดตัวใหญ่”
เขากำลังจะบอกเธอว่าอย่าลำบากเลย แต่เธอเผ่นออกไปก่อนแล้ว สหกรณ์ต้องฝืนลืมตารอกังสดาลที่วุ่นวายอยู่นานว่าเสื้อตัวไหนถึงจะเหมาะกับเขา เนื่องจากเสื้อผ้าที่เธอนำติดมาด้วยส่วนใหญ่จัดตามสีประจำวัน ซึ่งล้วนแต่สดใสแสบตาทั้งนั้น กว่าเธอจะกลับมาพร้อมเสื้อยืดสีฟ้าสดลายดอกไม้ เขาก็เกือบจะหลับไปเพราะฤทธิ์ยาแก้ไข้แล้ว
“ผมคุณชื้นนี่คะ ต้องเป่าให้แห้งก่อนค่ะไม่อย่างนั้นจะปวดหัว” แล้วเธอก็จัดแจงลากเขาเข้าไปในห้องน้ำในส่วนแห้งที่มีไดร์เป่าผมรออยู่
“นั่งลงค่ะ ฉันเป่าผมแป๊บเดียว”
สหกรณ์อยากอ้าปากบอกว่าเขาปวดหัวเพราะเธอมากกว่า แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนอยากทำความดีชดใช้ความผิดเขาก็พูดไม่ออก ยอมนั่งให้เธอเป่าผมให้
นิ้วมือที่ชอนไปตามแนวผมให้ความรู้สึกดีอย่างพูดไม่ถูก สหกรณ์เผลอเอนศีรษะไปทางด้านหลังใกล้กังสดาลมากขึ้น แล้วได้ยินเสียงเธอหัวเราะคิกคัก
“คุณชอบให้คนเล่นผมเหมือนฉันเลย”
เขาขี้เกียจว่าตนไม่ได้ชอบให้คนเล่นเส้นผม ทว่าชอบสัมผัสแผ่วเบาบนหนังศีรษะมากกว่าจึงได้แต่ส่งเสียง “อืม” ตอบรับออกไป
สหกรณ์ไม่รู้ว่านิ้วมือของผู้หญิงเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า เพราะเขามีเพียงสองคนให้เปรียบเทียบ นั่นก็คือแม่ของเขากับกังสดาล คนหลังให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มเหมือนลูกแมว แต่ปลายนิ้วของเธอบนศีรษะของเขาคล่องแคล่วและให้น้ำหนักกำลังเหมาะ เขาเสพสัมผัสอันเพลิดเพลินไปด้วยฟังเธอไปด้วย แล้วอยากทอดเวลานี้ไปให้ยาวนาน เมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะหลับก็ฝืนเบิกตามองเธอผ่านกระจก
ท่าทางจริงจังของกังสดาลเจือไว้ด้วยความเอาใจใส่ ท้ายสุดสหกรณ์ก็ต้องยอมแพ้หลับตาลงภายใต้มือที่อ่อนโยนของเธอ เมื่อเธอแตะส่วนอ่อนไหวที่เขาแอบซ่อนเอาไว้ในหัวใจ ก็ยอมรับอย่างเผลอไผล
“สัมผัสของคุณทำให้ผมคิดถึงแม่”
ถ้ามีใครบอกสหกรณ์ว่าเขาจะข้ามทะเลมาอเมริกา เพื่อใช้เวลานั่งคุยกับหญิงสาวแปลกหน้าโดยไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับธุรกิจ เขาคงบอกว่าไม่มีทาง แต่ตอนนี้เขากลับนั่งเคียงข้างกังสดาลบนโซฟารอให้เธอใช้ปรอทวัดไข้กับมือเช็กอุณหภูมิว่าลดลงบ้างหรือไม่พร้อมกับฟังเธอพูดไปด้วย
“ตอนเด็กๆ ฉันไว้ผมยาวเพราะชอบเวลาแม่ถักเปียให้นี่แหละ แต่ส่วนใหญ่เป็นพี่เลี้ยงทำให้มากกว่า” กังสดาลยังคงเจื้อยแจ้วเรื่องเดิมต่อ
“แม่ของคุณทำงานยุ่งเหรอครับ”
สหกรณ์นิ่วหน้าเมื่อเผลอถามคำถามส่วนตัวออกไป แต่กังสดาลไม่ใส่ใจสักนิดตอบคำถามโดยไร้ท่าทีจะปิดบัง
“ก็คงยุ่งแหละค่ะ ฉันเห็นแม่เยอะสุดก็จากทีวี” แล้วเธอก็ทำตาโตสบกับเขา “ฉันไม่ได้บอกใช่ไหมว่าแม่ของฉันคือ เกศ บุษบา”
“ใครเหรอ” เขางุนงงเมื่อได้ยินชื่อนี้ แต่เธอประหลาดใจกว่าที่เขาไม่รู้จัก
“เกศ บุษบา นางร้ายไงคะ แม่ฉันเล่นละครหลายเรื่องเลยนะ”
แล้วเธอก็ยกตัวอย่างมาหลายชื่อ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นละครดังข้ามยุคขนาดที่คนไม่ดูละครอย่างเขายังเคยได้ยินผ่านหู ทว่าไม่เคยผ่านตา
“ขอโทษครับ ผมไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์”
สหกรณ์ดูแค่ข่าวช่วงเช้า กับข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องดูโทรทัศน์ด้วยซ้ำ เพราะอินเทอร์เน็ตให้ข้อมูลที่ฉับไวมากกว่า ละครโทรทัศน์กับเขาคือสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย
“ไม่เป็นไรค่ะ ระยะหลังแม่ของฉันก็ไม่ค่อยได้เล่นเป็นตัวร้ายเท่าไร กำลังขยับไปรับบทแม่นางร้ายแทนแล้ว”
ปากบอกไม่เป็นไร แต่สีหน้าของกังสดาลผิดหวังที่สหกรณ์ไม่เข้าใจความนิยมของคนดูที่มีต่อมารดาของเธอในฐานะนักแสดงชื่อดัง เขาเลยอดปลอบใจเธอไม่ได้
“ผมอยากลองดูละครบ้าง คุณช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับว่าเรื่องไหนห้ามพลาด”
สหกรณ์เพียงต้องการเปลี่ยนเรื่องไม่ให้กังสดาลคิดมากว่าเหตุใดเขาถึงไม่รู้จักแม่ของเธอ แต่ยิ่งเล่าเธอยิ่งพูดไม่หยุดออกท่าออกทางจนเขาเพลิดเพลินตาม
“เรื่องนี้คุณต้องได้ดูค่ะ แม่ฉันได้รางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยมเลยเชียวนะ ปกติเขาไม่ให้นางร้ายกันหรอก ให้แต่นางเอก”
เพื่อยืนยันความเก่งกาจของแม่ กังสดาลก็พยายามต่อสัญญาณโทรศัพท์เข้ากับโทรทัศน์ เพราะหน้าจอเล็กอาจทำสหกรณ์ปวดหัว แต่เอาเข้าจริงเขาเริ่มปวดตุบๆ เพราะเธอวุ่นวายกับโทรทัศน์อยู่นานก็ยังต่อสัญญาณไม่สำเร็จ เขาจึงโทร. ตามรูมเซอร์วิซมาจัดการให้พร้อมขอยาแก้ปวดศีรษะอีกสองเม็ด แล้วเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกผิดเขาจึงออกตัวว่าอยากดูละครดังปีเก้าศูนย์เรื่องนี้ ดูไปดูมาเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบุษบาถึงได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม เพราะเธอเล่นได้ถึงบทบาท สมควรกับคำว่าชั่วร้ายแบบนางร้ายที่แม่ค้าตลาดต้องมอบเปลือกทุเรียนให้
“แม่ฉันเล่นเก่งมากเลยใช่ไหมคะ” คำชมของกังสดาลเจือเสียงทอดถอนใจเอาไว้ มันจึงไม่ค่อยเหมือนกับการเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจเช่นก่อนหน้านี้สักเท่าไร
“คุณไม่ชอบที่แม่เล่นละครเก่งเหรอครับ” อาจเพราะตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่ใกล้กัน สหกรณ์จึงไม่คำนึงถึงการรักษาระยะห่างในการตั้งคำถามสักเท่าไร
“เปล่า ฉันก็แค่อยากทำได้แบบนี้บ้าง” เธอทำปากยื่น แสดงความริษยาทั้งที่บนหน้าจอเป็นแม่แท้ๆ ของตน
เขาขบขันจนเผยความคิดของตนออกไป “ผมนึกว่าคุณจะพูดว่าฉันก็แค่อยากเห็นแม่ฉันจริงๆ ไม่ใช่ผ่านจอทีวี”
“นั่นมันน้ำเน่าไปไหมคะ” เสียงหัวเราะใสของเธอจูงใจให้เขายิ้มตาม “อีกอย่างแค่เปิดหน้าจอก็เห็นแม่ เด็กคนอื่นอยากได้แบบฉันยังไม่ได้เลย”
เธอเชิดหน้าได้ใจจนเขาพูดไม่ออก ตรรกะของเธอช่างไร้เทียมทาน สหกรณ์ค้นพบความสามารถพิเศษที่เขาไม่เคยพบจากใครบนตัวกังสดาล การมองโลกแง่ดีแบบไร้ขอบเขต
“ต่อให้คุณคิดอีกอย่าง ผมก็เข้าใจคุณนะ ผมเองก็ฟังเสียงของพ่อผ่านโทรศัพท์มากกว่านั่งคุยกันจริงๆ จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาผ่านโทรศัพท์ด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ค่อยว่าง”
“ถ้าแข่งเรื่องเด็กขาดความอบอุ่น ฉันชนะคุณขาดลอย ตอนยังเด็กเพื่อนๆ นึกว่าพี่เลี้ยงเป็นแม่แท้ๆ ของฉันเพราะไปร่วมงานวันพ่อวันแม่ตลอด” ถึงเธอจะพูดแบบนี้แต่น้ำเสียงห่างไกลจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ติดจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ “แต่แบบนี้ฉันเลยมีคนไปร่วมงานตลอด เพื่อนๆ ฉันไม่มีไปทั้งพ่อทั้งแม่เลย”
“พ่อคุณก็ไม่ว่างเหรอ” ไม่รู้ทำไมแต่สหกรณ์อยากรู้จักกังสดาลทุกแง่มุม
“เขาตายแล้วน่ะค่ะ”
“ขอโทษนะครับ” สหกรณ์ค้นพบว่าเขามักจะดึงหัวข้อสนทนาไปในทางหดหู่เสมอ แต่กังสดาลก็พร้อมจะเติมความสดใส
“ไม่เป็นไรค่ะ เขาตายก่อนฉันเกิดอีก แม่บอกว่าข้อดีที่สุดของเขาคือตายไว” กล่าวจบเธอก็ทำหน้าเหย “มุกนี้พูดแล้วดูอกตัญญูว่าไหมคะ”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจว่าคุณแค่เล่นมุก แม่ผมก็ตายแล้ว แต่ผมไม่คิดว่าเป็นข้อดีตรงไหน”
“ขอโทษนะคะ”
คราวนี้เป็นเธอที่เอ่ยขอโทษเขาบ้าง เพียงแต่น้ำเสียงของเธอแสดงความเสียใจกว่าตอนบอกถึงความสูญเสียของตน และเขาก็แทบจะลอกคำตอบของเธอออกมาเป๊ะๆ
“ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยแม่ก็มีเวลาให้ผมหลายปี เธออยู่กับผมจนมอสาม”
เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเขา แค่คิดถึงก็มีรอยยิ้มประดับมุมปากของสหกรณ์จนกังสดาลต้องเอ่ยถาม
“แม่ของคุณเป็นคนยังไงคะ”
“เป็นแม่บ้านแบบที่คุณจะเห็นได้ในละคร” สหกรณ์ชี้นิ้วไปยังหน้าจอโทรทัศน์ เห็นแม่ของนางเอกกำลังแสดงภาพลักษณ์ผู้หญิงวัยกลางคนแสนดีอยู่
“เธอใจดีกับลูก ทำงานบ้านเก่ง บ้านผมไม่เคยรกเลยทั้งที่ผมซนมาก เธอชอบทำอาหารด้วย ยังทำขนมให้ผมไปแจกเพื่อนบ่อยๆ”
“น่าอิจฉาจังเลย แม่ของฉันทำอาหารไม่เป็น แม่บอกว่าครัวทำหน้ามัน แค่ล้างจานก็ทำให้มือพังได้แล้ว แต่ผู้จัดการของแม่แอบเล่าว่าแม่ไม่รับงานแขกรับเชิญรายการอาหารเพราะอาจทำครัวพัง” ระหว่างพูดเธอก็ยกมือตัวเองขึ้นมาดู แล้วก็หน้าบึ้งใส่มัน
“เห็นได้ชัดว่าฉันสืบทอดส่วนแย่ๆ ของแม่มา แต่ไม่ได้ส่วนดีๆ ติดมาสักนิด ยังดีที่ยังน่ารัก แต่น่ารักก็กินไม่ได้ ถ้าเล่นละครได้เก่งสักหน่อยยังใช้หน้าตาหาเงินซื้อของกินให้ลูกได้บ้าง”
เธอยกมือกุมสองแก้ม จนเขาเกิดความคิดหุนหันอยากจะหยิกแก้มป่องๆ นั่นสักที
“คุณไม่ต้องซีเรียสเรื่องพวกนี้หรอกครับ”
“หมายความว่ายังไง คุณจะบอกว่าฉันไม่ต้องเป็นแม่ที่ดีก็ได้เหรอคะ”
เธอแสร้งทำเสียงสูงโต้แย้ง และทำให้เขายิ้มได้ แม้คำพูดจะยังจริงจังเช่นเดิมก็ตาม
“เปล่า ผมแค่จะบอกว่าแม่ที่ลูกต้องการน่ะไม่จำเป็นต้องทำอาหารเก่ง ทำงานบ้านเก่งหรอก ขอแค่มีเวลาให้ลูกได้ก็พอ ผมแน่ใจว่าคุณต้องเป็นแม่ที่เอาใจใส่ลูกไม่แพ้ใครแน่นอน”
“คงงั้นมั้งคะ”
กังสดาลรับคำแล้วเสหลบตาเขา ทว่าไม่อาจซ่อนแก้มแดงระเรื่อ สหกรณ์จึงนึกได้ว่าทั้งสองเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่นาน แต่กลับนั่งถกเถียงกันเรื่องเลี้ยงลูกเป็นตุเป็นตะ
“ดูสิ ในละครเรื่องนี้ผมก็ไม่เห็นแม่ในเรื่องจะเก่งตรงไหนเลย” สหกรณ์เปลี่ยนเรื่องแล้วดึงความสนใจมายังละครที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ละครเรื่องนี้มีทั้งหมดยี่สิบสองตอนจบ ถือว่าไม่ยาวเท่าไร แต่ก็ไม่ควรจะดูรวดเดียวจบ ความตั้งใจเดิมของกังสดาลคือยกตัวอย่างฉากเด็ดของบุษบาให้สหกรณ์ดู แต่เกรงว่าเขาไม่เข้าใจที่มาที่ไป จึงเริ่มเปิดตั้งแต่ตอนแรก แล้วก็เผลอดูยาวไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขาฟุบลงมากับบ่าเธอแล้ว เพราะถึงสมองจะคิดไม่ทัน แต่ร่างกายเขาก็รู้สึกโหยหาการอยู่ใกล้เธอ
ความคิดเห็น |
---|