๑๑

๑๑

อ้ายซูไป่

“คอขาดแล้วไหมเล่า!”

เพียงตะวันสาดแสงทองเหนือท้องนภา เสียงอึกทึกจึงดังขึ้นจากเรือนพักของข้าราชบริพารฝ่ายใน ปรากฏร่างขาวบางที่เร่งสับฝีเท้าอย่างรัวเร็ว โดยจุดมุ่งหมายคือศาลาไม้สักซึ่งตั้งอยู่บริเวณสวนพฤกษา เยื้องกับที่ประทับของพระชายาในเจ้าฟ้าเมืองสองแคว

“แย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว คุณท้าวเจ้าขา!”

นางในสาวหลงลืมการสำรวมกิริยาจนสิ้น มือบางถกผ้าถุงที่สวมใส่ขึ้นแล้ววิ่งกระหืดกระหอบมาตามทางเดินหินที่ทอดยาว จึงเรียกสายตาขุ่นเขียวจากสตรีที่นั่งกรองมาลัยอยู่บนตั่งไม้ได้เป็นดิบดี

มือเหี่ยวโบกสะบัดให้บ่าวไพร่ที่คอยบีบนวดถอยห่างจากไป ดวงตาจับจ้องผู้มาใหม่ที่กำลังคลานเข่าเข้าหา

ความตื่นตระหนกของเพ็ญ เป็นที่ฉงนใจของคุณท้าวมณฑา จากที่จะปริปากต่อว่า จึงเปลี่ยนเป็นไต่ถามถึงท่าทางรีบร้อนนั้นแทน

“เอ็ดตะโรกระไรตั้งแต่ฟ้าสาง หากมิใช่เรื่องสลักสำคัญ หวายจักต้องลงหลังสักสองสามไม้แล้วกระมังแม่เพ็ญ”

กลีบปากสีชาดยังไม่วายลอบค่อนขอด ด้วยขัดหูขัดตากับท่าทางกระโดกกระเดกเหล่านั้นเสียเหลือเกิน

“แม่ปรางหายตัวไปเจ้าค่ะ!”

รอจนปรับลมหายใจกลับมาสู่สภาวะปกติได้ เพ็ญจึงเร่งรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งส่งม้วนกระดาษสีซีดให้แก่ผู้อาวุโสกว่า ที่ค้อมกายลงรับพอดี 

มือเหี่ยวย่นกระตุกสิ่งของเจ้าปัญหาไปจากมือเล็ก หลังจากกวาดตาอ่านลายมือคุ้นตาจนได้ความแล้ว คราวนี้จึงเป็นคุณท้าวผู้เคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติเสียเอง ที่สูญสิ้นการควบคุมอารมณ์

“ตายโหงกันละทีนี้!”

   เสียงแหลมหวีดร้องออกมา ลำตัวที่เอนพาดหมอนขิตตั้งตรงเสียจนเชี่ยนหมากที่วางอยู่ข้างเคียงแทบร่วงหล่นไปกองกับพื้น ก่อนจะระลึกได้ว่าเมื่อครู่ตนเพิ่งติเตียนแม่นางในใต้ปกครอง หญิงชราจึงเร่งปรับท่าทางของตนกลับมาให้สง่าผ่าเผยดังเดิม

“แม่ปรางหนีไปกระนั้นฤๅ นี่มันเรื่องกระไรกัน ไฉนจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้”

“ข้าเองก็มิทราบเจ้าค่ะ ได้ยินนางบ่นเพียงว่าปวดศีรษะนัก จึงขอเข้านอนเสียแต่หัววัน ข้าจึงมิได้เอะใจกระไร จนรุ่งสางจึงได้พบว่าบนฟูกนอนนั้น หาใช่แม่ปรางไม่ แต่เป็นเพียงม้วนผ้าสอดไว้เสมือนร่างคนคลุมโปงเจ้าค่ะ”

เพ็ญละล่ำละลักเสียงเครือ ใจนึกเป็นห่วงสหายที่อันตรธานไปโดยไร้ร่องรอย ซ้ำยังทิ้งไว้เพียงจดหมายน้อยที่มิได้ช่วยคลี่คลายให้กระจ่างแจ้งแม้แต่สักนิด 

“เอ้า ยังมัวนั่งพิรี้พิไรอยู่ได้ นำความไปแจ้งกรมเวียงซี จักได้ช่วยกันออกตามหา ข้าเดาว่านางคงยังหนีไปได้มิไกลนักดอก”

คุณท้าวมณฑาตวาดแหว ร่างเล็กจึงสะดุ้งรับ ก่อนจะก้มกราบลา แล้วสับฝีเท้าจากมาเพื่อไปดำเนินการตามที่ผู้อาวุโสกว่าออกคำสั่ง

ได้ยินเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันลอยล่องตามหลัง เพ็ญจึงนึกขยาดใจ พร้อมช่วยภาวนาให้โทสะของหญิงชรานั้นคลายลงก่อนที่จะตามตัวคนหลบหนีพบ มิฉะนั้นแล้ว ไม่แคล้วว่าสหายของหล่อนจะต้องโดนลงหวายให้ระคายกายา ด้วยบังอาจท้าทายคำบัญชา ซ้ำยังไม่รักษาหน้าตาของผู้หลักผู้ใหญ่

“แค่กๆ ”

ฟากคนที่กำลังถูกพูดถึงนั้น บัดนี้ได้เดินทางล่วงพ้นจากอาณาเขตของเมืองพระพิษณุโลกสองแควมาสู่ชายป่า ได้ยินจากผู้นำทางว่าอาจต้องใช้เวลาอีกราวสองราตรีกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เนื่องจากขบวนส่วนใหญ่เป็นเกวียนเทียมโคที่ใช้ขนสัมภาระ การเคลื่อนขบวนจึงล่าช้ากว่าการควบขี่อาชาเฉกเช่นนายทหารที่ล่วงหน้านำไปก่อน

ปรางยกมือขึ้นถูจมูกที่เริ่มจะแดงขึ้นน้อยๆ บอกตนเองว่าคงเป็นเพราะไม่คุ้นชินกับการเดินทางไกล กอปรกับอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืน เนื่องจากฝนหลงฤดูเพิ่งซาไป จึงทิ้งร่องรอยของความเย็นชื้นเอาไว้ ชวนให้ไม่ใคร่สบายตัวเท่าไรนัก

ร่างแบบบางขดตัวชันเข่า ยกแขนสองข้างกอดตนเองให้คลายความหนาว ลำตัวสั่นสะท้านในทุกคราวที่พาหนะเคลื่อนไหว

“เอ้า นางหน่ายจี ผัวเอ็งเป็นกระไรอีกเล่านั่น อย่าบอกหนาว่าโดนลมเย็นเพียงเท่านี้แล้วไข้จักถามหาเอา พุทโธ่ เป็นชายจริงฤๅไม่วะ อ้ายหน้าขาว”

เสียงสัพยอกที่ดังลอดเข้ามาทำให้คนที่ถูกอ้างถึงต้องเยี่ยมหน้าออกไป พร้อมด้วยแม่รามัญตัวน้อยที่ตั้งท่าลับฝีปากกับคนบนหลังม้าอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง ปรางจึงได้แต่สั่นศีรษะอย่างระอาใจ

ยามนี้นางรำสาวอยู่ในเครื่องแต่งกายเฉกเช่นชายรามัญ ผ้าลายตารางสีทึบที่โพกอยู่เหนือกระหม่อมเก็บเรือนผมดำขลับเอาไว้ เผยกรอบหน้าเนียนใสที่เกลี้ยงเกลาสมดังคำของบุรุษหนุ่ม เสื้อผ้าตัวโคร่งที่สวมใส่เพื่อบดบังทรวดทรงของอิสตรีก็ดูรุ่มร่ามเสียจนน่าหงุดหงิดใจ เพราะหล่อนนั้นช่างห่างไกลจากคำว่าชายชาตรีจริงดั่งคำปรามาส

แต่ก็นับเป็นโชคดีที่ในขบวนนี้ไม่มีใครมองออก คงมีเพียงสายตาค่อนขอดที่คอยเดียดฉันท์ว่าหล่อนนั้นดูผอมแกร็นเสียจนมิเหมือนบุรุษคนอื่นเขา เพราะกุลีส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเพื่อแบกหามสัมภาระต่างล่ำสันดุจยักษ์ปักหลั่นก็ไม่ปาน

“พี่หาเรื่องข้าอีกแล้ว ก็บอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าพี่ซูไป่มิใช่ผัวของข้า จักค่อนขอดไปไยหนักหนา น่ารำคาญจริงเทียว”

บัดนี้ไม่มีครูสอนละครรำนามว่าปรางอีกต่อไป คงมีแต่ ‘อ้ายซูไป่’ ชายรามัญที่ลี้ภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของแผ่นดินสยาม ซ้ำยังมีปูมหลังชีวิตที่แสนอาภัพ ด้วยสูญเสียครอบครัวไปจากการศึกสงครามภายในอาณาจักรพุกามประเทศ 

“ไฮ้! นางหน่ายจี นี่ข้าเป็นพี่เอ็งนะโว้ย”

เสียงถกเถียงกันรั้งความสนใจของคนจำแลงกายให้หันมอง ศีรษะทุยสวยสั่นคลอนพลางนิ่วหน้า เพราะดูทีว่าชายหญิงคู่นี้จะไม่ยอมลดราวาศอกกันโดยง่าย แม้ฝั่งหนุ่มมอญจะไร้ซึ่งโทสะ มีเพียงการยั่วอารมณ์ไปมาให้พอขุ่นใจเล่น เพราะร่างสันทัดตอบรับคำต่อว่าด้วยสายตาเจือแววขบขัน ประหนึ่งกำลังนึกสนุกกับการเย้าแหย่ให้แม่ตัวน้อยต่อคำเจรจาแต่นั่นก็ทำให้หน่ายจีพื้นเสียอยู่มิใช่น้อย

‘สมิงทออู’กระตุกบังเหียนอาชาให้หยุดนิ่ง แล้วยกนิ้วชี้มายังใบหน้าเชิดรั้นของหญิงร่างเล็กที่ถือศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง เพราะบิดาของเจ้าหล่อนนั้น เป็นพี่ชายท้องเดียวกันกับบิดาของตน

ต้นตระกูลของสมิงทออูรับราชการเป็นขุนศึกในราชวงศ์มอญมะกะโทมายาวนาน จวบจนกระทั่งเมืองหงสาวดีถูกยึดครองโดยราชวงศ์เมงกะยินโยแห่งตองอู นักรบที่ยังจงรักภักดีต่อแผ่นดินเดิมจึงหนีตายเทครัวมาสู่แผ่นดินสยาม เพราะมิปรารถนาจะสยบใต้อาณัติของกษัตริย์เจ้าพุกามประเทศองค์ปัจจุบัน

นายทหารมอญจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาการรบมาจากบุพการี ที่บัดนี้วางศัสตราวุธลงแล้วมุ่งหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หากแต่ยังมิทอดทิ้งสรรพยุทธ์ที่มีติดตัวมานับแต่จำความได้ จึงเปรียบดังบรมครูในเพลงยุทธ์อีกคนหนึ่ง ที่ขุนศึกหลายนายอยากจะขอฝากตัวเป็นศิษย์ แต่พระอาจารย์ผู้นี้กลับแทบมิเคยปรากฏกายให้ใครได้เห็น จนมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างไปว่าท่านหาได้มีตัวตนอยู่จริงไม่

ด้วยเหตุนี้ ดาบอาทมาตจึงเป็นอาวุธคู่กายที่ตระกูลของสมิงทออูชำนาญการใช้ เนื่องจากเป็นเพลงยุทธ์ชั้นสูงที่ผู้มีใจหนักแน่นด้วยคุณธรรมกอปรกับต้องเป็นคนรามัญเท่านั้น จึงจะได้รับคัดเลือกให้สามารถศึกษาวิชาดาบนี้ได้

เว้นเสียแต่เจ้าฟ้าเมืองสองแควที่เคยเสด็จเป็นองค์ประกัน ณ เมืองหงสาวดี จึงทรงได้ร่ำเรียนยุทธพิชัยเช่นว่าจากสำนักกุโสดอ ก่อนที่จะเสด็จนิวัตสู่สยาม พร้อมวิชาการรบที่ทรงนำติดองค์มาด้วย จึงทรงคิดที่จะตั้งกองทหารของพระองค์เองไว้เป็นกำลังต้านข้าศึกในภายหน้า

สมิงทออูและครอบครัวที่เป็นหนี้บุญคุณแผ่นดินสยาม จึงพร้อมถ่ายทอดวิชาที่มีแก่นายทหารที่พระองค์ท่านทรงคัดเลือก โดยไม่คิดหวงแหนวิชาของตน

“เป็นพี่แล้วทำตัวพาลพาโลเช่นนี้น่ะรึ เบื่อจะต่อความ ไปให้พ้นหน้าข้าเลย ไป๊!”

นายทหารมอญอาสาอ้าปากค้างกับกิริยาของน้องสาว ก่อนจะตวัดสายตาใส่อ้ายหนุ่มหน้ามนที่ดูทีว่าจะหน้าซีดหน้าเซียวลงกว่าเก่าก่อน แต่เขามินึกอยากใส่ใจ ด้วยไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบหน้า

ยิ่งแม่น้องสาวตัวดีออกตัวรับรองเป็นมั่นเหมาะ ซ้ำยังกล้าเอาหัวของตนเองเป็นประกันว่าเชื่อใจอ้ายหนุ่มนี่ได้ เขาก็ยิ่งเหม็นขี้หน้ามัน

สมิงทออูสะบัดหน้าหนี ท่าทางแสนงอนดุจอิสตรี หน่ายจีจึงแลบลิ้นปลิ้นตาตามหลังไป แล้วทิ้งแผ่นหลังแนบกับประทุนเกวียน พลางปาดเหงื่อที่ผุดพราวรอบกรอบหน้าให้พอฉ่ำชื้น

“มิรู้ว่าใครเป็นพี่ฤๅน้องกันแน่ จนป่านนี้แล้วยังทำตัวมิรู้จักโต”

ปรางหัวเราะเบาๆ กับท่าทีเหล่านั้น ตากลมมองเลยไปยังร่างผอมแกร็นที่นอนหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ดูทีว่าคงจะหลับลึกเสียจนไม่ได้ยินการลับฝีปากของชายหญิงรุ่นลูกทั้งสอง

“อากาศหนาวเยี่ยงนี้ แม่บุปผาจักมิเป็นกระไรแน่ฤๅ”

ไต่ถามถึง ‘นางบุปผา’ มารดาของหน่ายจีที่เป็นชาวพิษณุโลกสองแควแต่กำเนิด ทว่ากลับได้พบรักและใช้ชีวิตร่วมกับขุนศึกรามัญ จนกระทั่งมีบุตรสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่นั่งอยู่เคียงกันในเวลานี้ 

“มิเป็นกระไรเจ้าค่ะ ข้าให้แม่ดื่มสมุนไพรเมื่อตอนที่เราแวะพักล้างตัวยังลำธาร นอกจากฤทธิ์ที่จักทำให้ง่วงงุนแล้ว ยังช่วยคลายหนาวได้ดีนัก ขอพี่ปรางมิต้องเป็นกังวล”

สาวรามัญที่มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรอยู่พอตัวอธิบายเสียงใส

“พักสายตาสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ กว่าแม่จักตื่นขึ้น ก็คงจวนถึงหมู่บ้านผามุ่ยพอดี”

‘หมู่บ้านผามุ่ย’ เปรียบดังดินแดนลับแลที่แทบไม่มีนักเดินทางคนใดเคยยินชื่อมาก่อน เพราะซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาสูงชัน ซ้ำยังมีการลงอาคมเอาไว้เป็นม่านหมอกบังตา จึงเหมาะควรที่จะใช้เป็นสถานที่ฝึกวิชาการรบอย่างลับๆ เพื่อมิให้ข้าศึกนั้นผิดสังเกต 

หล่อนเพิ่งทราบจากหน่ายจีอีกเช่นกันว่าแท้จริงแล้วขบวนสินค้าในคราวนี้ แฝงไปด้วยการส่งเสบียงให้กองทหารที่ลอบปลีกตัวออกจากเมืองสองแควมาเพื่อฝึกวิชาการรบ ค่ายพักแรมของเหล่าทหารกล้าจึงตั้งอยู่ในแนวป่า ลึกเข้าไปจากหมู่บ้านอีกราวหนึ่งโยชน์ 

ซึ่งหลังจากส่งชาวบ้านส่วนหนึ่งที่หมู่บ้านแล้ว คณะของสมิงทออูจึงจะเดินทางต่อไปยังค่ายพักแรมที่จะใช้พักอาศัยนับแต่นี้ตราบจนเสร็จสิ้นการฝึกวิชา แล้วจึงค่อยหวนคืนสู่เมืองสองแคว

หากวันนั้นมาถึง หล่อนค่อยหาทางหนีทีไล่ต่อไปว่าควรทำอย่างไร เพื่อให้ตนเองรอดพ้นจากการจับคลุมถุงชนโดยมิเต็มใจ

หวังใจไว้เพียงว่ากว่าจะถึงเวลานั้น ขุนนางหนุ่มผู้มากพร้อมไปด้วยยศศักดิ์คงจะมีสตรีที่พร้อมเคียงคู่และตบแต่งออกหน้าแทนหล่อนเสียก่อนแล้ว ลำพังรับโทษทัณฑ์ที่ริอ่านหลบหนีมาจากคุณท้าวมณฑา ยังไม่น่าหวั่นใจเท่าการต้องออกเรือนไปกับขุนนางเจ้าสำอางผู้นั้นแม้เพียงสักนิด

เมื่อเสียงจำนรรจ์ของแม่รามัญตัวน้อยเงียบลง ตามมาด้วยลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเจ้าตัวนั้นผล็อยหลับอยู่เคียงข้างมารดาของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรางจึงหยัดยิ้มอ่อนจาง ก่อนจะเบนสายตามองไปยังทิวแถวแนวไม้ ที่รกครึ้มและไหวสะบัดตามสายลมพัดผ่าน

หวนคะนึงถึงใบหน้าคมคายของขุนศึกหนุ่มที่มิรู้ว่าป่านนี้เขาจะเป็นเช่นไร หากเขาทราบว่าหล่อนหายตัวมาเช่นนี้ เสี้ยวความคิดหนึ่งจะประหวัดถึงกันบ้างฤๅไม่

ภาพจำแสนใจร้ายผุดพรายขึ้น ชวนให้คนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีขบเม้มริมฝีปากแล้วเชิดหน้า ประคองมิให้หยาดน้ำตาที่กำลังคลอขังรินไหลออกมาประจานความอ่อนแอของตน 

เขาทำเสมือนว่าหล่อนนั้นผิดหนักหนา ทั้งที่ก่อนแยกจากมาเป็นเขาเองที่คิดล่วงเกินกันก่อน ซ้ำยังไม่มีคำขอโทษสักคำให้ได้ยินยล สำทับว่าเขาหาได้รู้สึกผิดต่อการกระทำของตนแม้แต่สักนิดไม่

จักอาวรณ์คนใจร้ายเช่นนั้นไปไย แม่ปรางเอ๋ย

คิดได้ดังนั้น ร่างแบบบางจึงขดกายเข้าหากันแล้วกดปลายคางแนบท่อนแขนที่รองรับไว้ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ตนเองคิดสิ่งใดให้ใจบอบช้ำไปมากกว่านี้

เมื่อชะตาชีวิตของเขาและหล่อนไม่อาจหวนมาบรรจบกันได้ หล่อนก็ควรจะต้องหักใจแล้วยอมรับความจริง

แต่...มันคงมิเป็นกระไรใช่ฤๅไม่ หากหล่อนจักขอเก็บชายใจร้ายผู้นั้นเอาไว้ในส่วนลึกของใจ แล้วคิดคำนึงถึงเขาบ้างในบางเพลา

เพราะในยามที่ใจเหว่ว้า ใบหน้านั้นก็เปรียบดั่งหลักยึดเดียวที่ทำให้หล่อนมีกำลังใจในการใช้ชีวิตของตนต่อไป

“หมื่นท่านขอรับ!”

ร่างสูงที่กำลังสาละวนอยู่กับการปลูกเพิงพักหลังย่อม วางมือของตนลงเมื่อได้ยินเสียงเรียกขานที่ดังแหวกผืนป่ามาก่อนตัว

มิช้าจึงตามมาด้วยร่างสันทัดที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามา พร้อมด้วยม้วนกระดาษสีจางในมือ ท่าทางตื่นตูมชวนให้คนมองต้องนิ่วหน้าน้อยๆ 

“เอะอะไปไยวะอ้ายสังข์ นกกาพากันแตกรังเพราะเสียงเอ็ง เห็นฤๅไม่”

หมื่นสุรเสนาชี้ไปยังร่มไม้สูงใหญ่เหนือศีรษะ เห็นเหล่าสกุณาตีปีกเสียงดังพรึ่บพรั่บ บ้างก็โผบินออกไปเพื่อหาร่มเงาใหม่ที่สงบสุขกว่าเดิม

“มีจดหมายมาจากสองแควขอรับ ม้าเร็วเพิ่งนำส่งเมื่อครู่ ได้ยินว่าเป็นเรื่องด่วนนัก”

นายสังข์อธิบายเสียงหอบ ร่างสันทัดค้อมตัวลงยันมือไว้กับเข่าสองข้างพลางหอบหายใจจนลิ้นห้อย นายทหารหนุ่มจึงนึกขันกับอาการเช่นนั้น มือแกร่งสะบัดไล่ให้ลูกน้องของตนไปหาที่นั่งพักแล้วจิบน้ำดับกระหาย ส่วนตนเองก็ย้ายมาทรุดกายนั่งลงยังแคร่ไม้ไผ่ด้านหน้าเรือนพักชั่วคราว 

สองมือแกะม้วนกระดาษแล้วจึงกวาดตาอ่านข้อความอย่างไวๆ ทราบว่าจดหมายนี้ถูกส่งมาจากมารดาของตน ก่อนที่ใจชายจะร่วงหล่นไปกับวรรคสุดท้ายที่ปลายปากกาเขียนถึง

มือใหญ่กำแน่นจนม้วนกระดาษนั้นยับย่นคากำปั้น หากนั่นยังไม่เท่าสันกรามที่บดเข้าหากันจนเส้นขมับบนใบหน้าปูดโปน 

ไฉนสตรีผู้นั้นจึงสร้างเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน เจ้าหล่อนจักร้องเรียกหาความสนใจจากผู้ใดอีก!

แม้ใจจะนึกติเตียนการกระทำแสนโง่เขลา ทว่าอีกเสี้ยวหนึ่งนั้น บุรุษหนุ่มกลับนึกห่วงกังวล ด้วยมิรู้ว่าบัดนี้ สาวเจ้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร กำปั้นหนักจึงทุบลงบนแคร่ แรงสั่นสะเทือนนั้นกระเพื่อมไปถึงทหารใต้ปกครองที่นอนแผ่หลาอยู่เคียงกัน

นายสังข์จึงเร่งกระถดกายนั่งตัวตรง พลางเหลือบมองใบหน้าเคร่งเครียดของผู้ถือศักดิ์สูงกว่า นึกขยาดกับท่าทางที่ดูเหมือนมีเมฆทะมึนก่อตัวคลุมเหนือร่าง และเดาว่าเมฆดำนั้นอาจแปรเปลี่ยนเป็นพายุลูกใหญ่ในอีกมิช้า ร่างสันทัดจึงทำท่าจะลุกขึ้นแล้วปลีกตัวหนีไปขอแฝงกายอยู่กับหมอทองดีที่เรือนพักอีกฟากหนึ่ง ซึ่งกำลังจัดเก็บข้าวของเพราะเพิ่งเดินทางมาถึงได้มินาน

ทว่ายังไม่ทันได้สาวเท้าจากไกล เสียงกัมปนาทที่ดังไล่หลังมาจึงทำให้นายสังข์ต้องเร่งหมุนตัวกลับไปโดยพลัน ก่อนจะได้รับฟังความต้องการของผู้เป็นนาย เสียงห้าวจึงถามย้ำอีกครั้ง ด้วยคิดว่าตนเองนั้นอาจเพียงหูเฝื่อนไป

“ไปเอาเหล้ามา หูตึงหรือไรวะ ไปซี!”

ก่อนที่ร่างสันทัดจะสะดุ้งรับอีกครา แล้วออกวิ่งกุกกักไปยังท้ายเรือนของตน เพื่อจัดหาของมาให้ตามคำบัญชา

ร่ำร้องหาสุราตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดินเช่นนี้ อ้ายสังข์เดาว่าข้อความในจดหมายนั้น คงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้!


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น