๑๐
พบเพื่อจาก
“ต้องเดินทางไกลเยี่ยงนี้ อาการบาดเจ็บของหมื่นท่านจักมิเป็นกระไรจริงฤๅขอรับ”
หมื่นสุรเสนาพรูลมหายใจ นับแต่ย่างกรายออกจากท้องพระโรงในเขตพระราชฐานชั้นกลางมาจวบจนโรงม้า ซึ่งตั้งอยู่บริเวณพระราชฐานชั้นนอก อ้ายสังข์ก็ยังมิหยุดคำเจรจา เสียงห้าวคอยไต่ถามประดุจมันเป็นเมียของเขาก็มิปาน ดวงตารียาวจึงเหลือบมองโดยไม่คิดสงวนอาการว่าระอาใจ
“ต้องคมดาบศัตรูมานับมิถ้วนยังรอดตายมาได้ นับประสาอะไรกับบาดแผลไฟลวกเพียงเท่านี้เล่าวะ”
ร่างสูงว่าพลางยกแขนขึ้นหมุนไหล่ของตนให้คู่สนทนาดู แม้จะรู้สึกปวดตึงอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากมายเท่าเมื่อคืน ซ้ำไข้ที่ตั้งท่าจะถามหานั้นก็มลายสิ้นไปนับแต่ได้รับประทานยา พร้อมหมอจำเป็นที่อาสาเช็ดตัวให้จนไอร้อนที่แผดเผากายาทุเลาเบาลง
คิดถึงใบหน้าเย็นชาของคนแสนงอนแล้ว บุรุษหนุ่มจึงสลัดศีรษะแล้วก่นด่าตนเองในใจ ด้วยระยะหลัง สตรีผู้นั้นชักจะมาปรากฏกายอยู่ในห้วงคำนึงของตนบ่อยครั้งเกินควรเสียแล้ว
“เช่นนั้น กระผมขอติดตามไปด้วยหมื่นท่านในครานี้ เผื่อมีกระไร จักได้ช่วยกันระวังภัยขอรับ”
เมื่อนายสังข์ย้ำความต้องการของตนอย่างหนักแน่น ผู้เป็นนายจึงไม่คิดห้ามปราม คงมีเพียงการพยักหน้าตอบรับที่ทำให้ร่างสันทัดยิ้มยิงฟัน ก่อนจะเร่งนำหน้าไปจัดเตรียมอาชาสำหรับการเดินทางไกลในวันนี้
การเรียนรู้ยุทธวิธีการรบของศัตรูนั้น ล้วนเพื่อนำมาตั้งรับและปรับใช้ในการวางกลศึก เมื่อใดที่สงครามใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง จะได้ต้านการชาญณรงค์ของฝ่ายผู้รุกรานได้เสมอกัน
แต่เพื่อไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงหูผู้ใด เพราะในยามบ้านเมืองระส่ำระสายเช่นนี้ การซ่องสุมกำลังและฝึกปรือการยุทธ์ย่อมสำแดงชัดถึงการเอาใจออกหาก มิยอมสวามิภักดิ์ใต้อาณัติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทหารและอุปนิกขิตของฝ่ายนั้นต่างแฝงตัวอยู่ถ้วนทั่วราชอาณาจักร จึงเป็นการยากยิ่งนักที่จะไม่ล่วงรู้ไปถึงหูของเจ้าประเทศราช
เพราะสยามยังมิพรักพร้อมในการเปิดสงครามถึงเพียงนั้น หากผลีผลามไปไซร้ มิวายจะลงเอยเฉกเช่นที่แล้วมา พาให้ตนเองต้องบอบช้ำซ้ำสอง ด้วยเป็นรองทั้งสรรพอาวุธและกำลังไพร่พล
เหล่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจึงลอบหารือและวางแผนกันอย่างเงียบเชียบ โดยหมายใจว่าหากการนี้สำเร็จลุล่วงตามประสงค์ แผ่นดินจะได้มีทหารกล้าที่มากพร้อมด้วยฝีมือ และสามารถรบพุ่งเพื่อนำอิสรภาพกลับคืนสู่มาตุภูมิแห่งตนให้จงได้ เขาจึงได้รับคำสั่งให้เป็นฝ่ายล่วงหน้าเพื่อไปกรุยทาง รองรับคณะเดินทางอีกส่วนหนึ่งที่จะตามมาภายหลัง โดยทำทีว่าเป็นขบวนของพ่อค้าที่ต้องนำสินค้าไปส่งยังนอกเมือง
หมื่นสุรเสนากระโดดขึ้นควบขี่ ‘อ้ายศรีบาน’ ม้าศึกคู่ใจอย่างคล่องแคล่ว ตั้งใจจะหวนคืนเรือนเพื่อนำความไปกราบเรียนบุพการี แล้วถือโอกาสร่ำลาพวกท่าน แม้จะรู้ดีว่าผู้เป็นมารดาคงต้องตระหนกตกใจที่เขาต้องเดินทางอีกครั้ง หากแต่เพราะหน้าที่ที่พึงกระทำเพื่อแผ่นดิน ท่านคงมิคิดถือสาเอาความที่เขาจำต้องแจ้งเรื่องอย่างเร่งร้อนถึงเพียงนี้
ชั่วขณะหนึ่งที่ใจชายหวนระลึกถึงเจ้าของดวงหน้าเย็นชา ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าหญิงสาวมิได้เป็นดังเช่นที่เพียรพยายามแสดงออก ภาพจำและกลิ่นกายหอมกรุ่นเมื่อครั้งเคยได้ชิดใกล้ พานัยน์เนตรอาบไล้ไปด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง ก่อนที่คิ้วหนาจะขมวดเข้าหากันพร้อมกระตุกบังเหียนให้อาชาตัวใหญ่หยุดยั้งยังหน้าประตูพระราชวัง
เห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนกุมมือพลอดรักกันอย่างมิอายฟ้าดิน หากนั่นยังมิเป็นที่กวนใจเท่าหญิงผู้นั้น เป็นผู้เดียวกันกับที่อยู่ในห้วงคำนึงของตนเมื่อครู่ เรียวปากจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหยัน
สายตาดูแคลนมองจ้องไปยังใบหน้าตื่นตระหนกของร่างอรชรที่หันมาสบตากันพอดี ก่อนที่ขุนศึกหนุ่มจะกระตุกบังเหียนพร้อมเตะขาให้เจ้าอาชาออกวิ่งไปเบื้องหน้า โดยไม่แม้แต่จะชายตากลับไปยังจุดเดิมที่ได้จากมาอีกเลย
สตรีร้อยเล่ห์...มิต้องพบหน้ากันอีกก็ดีแล้วนั่นแล!
ฟากคนที่โดนกระทำปั้นปึ่งใส่จึงมีสีหน้าสลดลง แต่แล้วดวงตางามโศกก็ต้องผินกลับมามองคู่สนทนาอีกครั้ง เมื่อเสียงกังวานเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ
“จริงซี นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอ้ายคนชั่วช้าผู้นั้นที่ข้ากำลังเร่งรัดตามตัว ขอแม่ปรางมิต้องห่วงพะวง ข้าให้สัตย์ว่าจักนำตัวมันมารับโทษทัณฑ์ตามอาญาให้จงได้ ริอ่านก่อการอุกอาจเช่นนี้ มิพ้นจักต้องโดนตัดหัวเสียบประจาน มิให้ชาวเมืองคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
ไม่ว่ากลีบปากสีก่ำจะพร่ำพูดอะไร คนฟังก็หามีใจรับฟังคำเจรจาเหล่านั้นไม่ ด้วยใจประหวัดถึงนายทหารหนุ่มที่เพิ่งควบขี่ม้าศึกตัวใหญ่ออกไป มิรู้ทำไมจึงสังหรณ์ว่าหล่อนอาจมิได้พบหน้าเขาอีก
กว่าขุนนางเจ้าสำอางจะยอมล่าถอยแล้วปล่อยให้หล่อนได้มีอิสระ ก็ต้องอาศัยลูกน้องในสังกัดของเขาที่เร่งนำความมารายงาน เมื่อทราบว่ามีข้อราชการสำคัญ หลวงบวรรังษีจึงรุดไปยังพระที่นั่งหลังกลาง ซึ่งเป็นสถานที่ออกว่าราชการของเจ้าฟ้าวังหน้า ความสงบจึงหวนคืนสู่อาณาบริเวณอีกครั้ง
ปรางสืบเท้าไปยังสวนเขียวขจีของฝ่ายใน ซึ่งใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมละครรำ เห็นนางรำบางส่วนมาคอยอยู่ก่อนแล้ว จึงรับไหว้จากคนอ่อนวัยกว่า แล้วไต่ถามถึงความคืบหน้าของท่ารำที่หล่อนมอบหมายเป็นการบ้านเอาไว้
แต่ดูทีแล้ว วันนี้ครูสอนละครรำจะไม่ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อตัวเสียเท่าใด ด้วยพลั้งเผลอทีไร ภาพของบุรุษหน้ายักษ์ก็คอยจะผุดพรายในมโนสำนึกอยู่ร่ำไป หล่อนจึงแสนจะหงุดหงิดกับตนเอง
“ใจลอยไปที่ใดกัน แม่ปราง”
เสียงนุ่มหูของสหาย ทำให้ปรางผินตาไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น เห็นเพ็ญกำลังสืบเท้าเข้ามา คนที่ยืนทอดอาลัยพิงหลังไว้กับเสาต้นใหญ่ในศาลาจึงขยับท่ายืนของตนใหม่ ตากลมมองจดหมายน้อยที่อยู่ในมือพลางหรี่ตาลง เห็นสีหน้าพิพักพิพ่วนของอีกฝ่ายแล้ว นางรำสาวจึงสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่จะได้ฟังในอีกมิช้าคงไม่ใช่เรื่องดี
“แม่เพ็ญ...มีเรื่องกระไรฤๅ”
“คุณท้าวฝากข้ามามอบให้เจ้า ได้ยินว่าเป็นฤกษ์ยามในการสมรสตามที่โหรท่านทำนายทายทัก”
มือเรียวดุจลำเทียนเร่งหยิบม้วนกระดาษสีหม่นขึ้นพิจารณา เพียงดวงตากวาดมองข้อความภายใน กลีบปากสีเรื่อจึงเปิดอ้า พร้อมมือทั้งสองที่ร่วงหล่นลงข้างลำตัวโดยพลัน
“เป็นเยี่ยงไร ได้ฤกษ์เมื่อใดกัน”
“เพ็ญสิบห้าค่ำเดือนนี้...”
เสียงหวานตอบกลับอย่างอ่อนแรง ทีแรกคนฟังจึงขานรับธรรมดา ก่อนจะตระหนักได้ว่าวันที่กล่าวถึงนั้น คืออีกห้าราตรีเบื้องหน้า เสียงใสจึงร้องอุทานออกมา ลืมสงวนกิริยาที่เคยถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดี
“ทำเช่นไรกันดี ไฉนจึงรวดเร็วเสียปานฉะนี้”
เพ็ญยกมือขึ้นทาบทรวง ดวงตานั้นเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เสียงเล็กกระซิบกระซาบ สองตาคอยเหลือบมองสิ่งมีชีวิตรอบข้าง แล้วประคองคนที่นิ่งงันเสมือนสูญสิ้นวิญญาณให้นั่งลงบนพื้นไม้ในศาลารับรองด้วยกัน
“ข้าคิดกระไรมิออกเลย แม่เพ็ญ”
ปรางสบตาสหายของตน แววตาฉายชัดว่าเป็นกังวลใจ คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่หวาดกลัวนั้นจะมาถึงตัวรวดเร็วเพียงนี้ กลีบปากอวบอิ่มจึงขบเม้มเข้าหากันเป็นเชิงใช้ความคิด แต่ไม่ว่าคิดอย่างไร หล่อนก็คิดไม่ตกสักที ไหล่ลาดจึงลู่ลงดังว่ายอมแพ้
“ยังพอมีเพลาอีกหน่อย ข้าจักใคร่ครวญหาทางให้จงได้ แม้ต้องสละชีวี ข้านี้ก็ยินดีกระทำ หากนั่นจักทำให้ข้ารอดพ้นไปจากการสมรสในครานี้ได้”
น้ำคำเด็ดเดี่ยวและปณิธานอันหนักแน่นทำให้เพ็ญไม่กล้าทัดทานอะไร คงมีเพียงฝ่ามือที่คอยลูบแผ่นหลังบางราวกับจะปลอบใจ นึกหวาดหวั่นกับแววตาสงบนิ่งของผู้เป็นเพื่อน เพราะพอจะรู้อยู่ว่าสตรีผู้นี้สามารถลงมือกระทำได้จริงตามคำพูดทุกประการ หล่อนจึงมิปรารถนาจะเห็นเกลอรักของตนต้องพลีชีพไปต่อหน้าต่อตาเพียงเพราะปรารถนาจะหลีกเลี่ยงการสมรสที่ไม่เต็มใจ
ในวันถัดมา ปรางอาศัยช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการสอน ปลีกตัวออกมานอกรั้วกำแพงวัง โดยตั้งใจว่าจะแวะเวียนไปยังเรือนของนายทหารหนุ่มที่หล่อนยังมิเห็นหน้าเขาในเขตพระราชฐาน ทั้งนี้ก็เพื่อนำขนมที่ปรุงขึ้นจากฝ่ายในไปกราบแม่นายของเรือนเป็นสินน้ำใจตอบแทนความเมตตา ที่ท่านเคยให้การช่วยเหลือหล่อนมาโดยตลอด ซ้ำยังขอรับนางน้อมเอาไว้เป็นบ่าวในเรือนของตนอีกคน หล่อนจึงนึกซึ้งในน้ำใจที่ท่านมอบให้ตลอดระยะเวลาที่ได้รู้จักกัน
ทว่าออกเดินยังไม่พ้นเขตของตลาด เสียงใสดุจระฆังกังวานที่ขานเรียกชื่อของตนไล่หลังมา ก็ทำให้ปรางต้องหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดิน หันไปเบื้องหลัง จึงเห็นดรุณีน้อยในเครื่องแต่งกายเช่นชาวสองแคว แต่ไม่อาจบดบังเชื้อสายรามัญที่ฉายชัดอยู่บนดวงหน้าอ่อนเยาว์นั้นได้ รอยยิ้มละไมจึงผุดพรายบนเรียวปากสีเรื่อ
“ดีใจจริง ที่ได้พบพี่ที่นี่”
น้ำเสียงติดปลายหอบ เพราะผู้พูดนั้นวิ่งมาอย่างลิงโลด รั้งรอจนลมหายคืนสู่สภาวะปกติ แม่สาวน้อยจึงค่อยๆ เปล่งคำเจรจาต่อ
“หากมิพบกัน ข้าคงนึกเสียใจไปตลอดชีวิตเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“ไยต้องเสียใจด้วยเล่า เจ้าพูดเสมือนว่าเราจักมิได้พบหน้ากันอีกอย่างนั้นแล”
ปรางตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะ คิ้วโก่งดั่งคันศรขมวดเป็นปม ด้วยไม่เข้าใจความหมายที่คนอ่อนวัยกว่ากำลังจะสื่อสาร
“ก็ข้าแลแม่จักต้องย้ายออกจากเมืองสองแควนี้แล้วน่ะซี คนรู้จักของข้า เขามาชวนให้เดินทางไปด้วยกัน เห็นว่าจักต้องนำของไปส่งขายยังชายแดน แลมิรู้ว่าจักได้หวนคืนกลับมาอีกเมื่อไร ข้าจึงอยากมาลาพี่เอาไว้ก่อน แลขออภัยที่ตัวข้านั้นยังมิได้มีโอกาสตอบแทนน้ำใจของพี่เจ้าค่ะ”
ถ้อยคำของหน่ายจีเป็นที่ต้องใจของผู้ฟัง ดวงตากลมสวยของคนเจ้าแผนการจึงทอประกายวาววับ ครั้นระลึกได้ว่าบางที ตนเองอาจมีทางรอดไปจากการถูกจับคลุมถุงชนโดยปราศจากความยินยอม
“ไฉนเจ้าจึงคิดว่าตนเองจักมิมีโอกาสตอบแทนน้ำใจข้าเล่า...”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยอย่างเนิบนาบ คู่สนทนาจึงเงยหน้าขึ้นสบตา ก่อนที่ถ้อยวาจาถัดมาจะทำให้หญิงรามัญสั่นศีรษะจนผมเผ้าพันกันยุ่งเหยิงไปหมด
“ล้อข้าเล่นใช่ฤๅไม่เจ้าคะ พี่คงมิได้คิดกระทำจริงๆ ดอก”
หน่ายจีว่าพลางหัวเราะออกมาอย่างแห้งแล้ง หลังจากฟังคำเจรจาจากคนอายุมากกว่าจนได้ความแล้ว ร่างเล็กจึงนึกอยากเป็นลมเสียประเดี๋ยวนั้น มองใบหน้าของบุคคลต้นคิดอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ริมฝีปากจึงอ้าออกน้อยๆ เมื่อเสียงกังวานหวานสำทับซ้ำในความประสงค์ของตน
“พี่ปราง! คิดกระไรอยู่เจ้าคะ เพียงลอบติดตามไปกับขบวนก็นับว่าอันตรายมากแล้ว ยิ่งจักปลอมตัวเป็นชายไซร้ มิวายจักโดนจับได้เสียตั้งแต่ย่างกรายเข้าไปวันแรก หักใจเถิดเจ้าค่ะ เรื่องนี้ข้ามิอาจตอบแทนพี่ได้จริงๆ ”
รอยยิ้มที่ค้างอยู่ในหน้าจึงผันเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย สายตาเย็นชามองจ้องดรุณีเยาว์วัยเป็นเชิงกดดัน ชวนให้คนถูกจ้องอยู่นั้นเสียวสันหลังขึ้นมาครามครัน หน่ายจีจึงห่อตัวเข้าหากัน พลางส่งสายตาอ้อนวอนกลับคืน หวังเพียงให้หญิงผู้พี่คิดเปลี่ยนใจ
“อันที่จริงแล้ว...ช่วยน่ะ ช่วยได้เจ้าค่ะ แต่พี่ปรางแน่ใจฤๅ ว่าปรารถนาจักให้เป็นเยี่ยงนี้ หนทางข้างหน้ายากลำบากนัก หาได้สะดวกสบายเฉกเช่นเมืองสองแควแห่งนี้ไม่ ข้าเพียงมิอยากให้พี่ต้องตกระกำลำบากไปด้วยกันก็เท่านั้น”
เสียงใสแบ่งรับแบ่งสู้ หากยังไม่วายทัดทาน หวังจะให้ปรางคิดทบทวนให้ถ้วนถี่อีกครั้ง เพราะนึกห่วงกังวลจริงดังคำเจรจา
สตรีที่อยู่แต่ในรั้ววังฤๅ จักสามารถระหกระเหินเดินทางไปกับคณะของพ่อค้าได้
ทว่าอีกใจหนึ่ง หน่ายจีกลับนึกลังเล ดวงตากลมใสดุจแก้วเจียระไนจึงมองเลยไปยังผ้าพันแผลบนท่อนแขนเรียวเสลา ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมดวงใจ กอปรกับน้ำเสียงเหนื่อยล้าจากผู้พูด ทำให้หญิงรามัญใจอ่อนยวบ
“คับที่อยู่ได้...แต่คับใจนั้น อยู่ยากนัก หน่ายจีเอ๋ย”
ดวงตางามโศกที่มองสบอยู่นั้นดูโรยแรงเสียจนหน่ายจีเองก็สามารถรับรู้ได้ จึงระบายลมหายใจพรืดใหญ่ แล้วยอมตกปากรับคำในท้ายที่สุด
“เช่นนั้น ข้าขอเพลาเพียงหนึ่งราตรีเจ้าค่ะ วันพรุ่ง พี่ปรางมาคอยข้าที่กงนี้ หากเจรจาความได้ประการใด ข้าจักเร่งนำความมาแจ้งนะเจ้าคะ”
ยามบ่ายคล้อยวันต่อมาปรางจึงมาคอยที่จุดนัดพบตามคำบอกกล่าวของแม่รามัญตัวน้อย ชะเง้อคอมองอยู่ไม่นาน จึงได้เห็นใบหน้าแฉล้มที่ฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อเม็ดโต รอยยิ้มในหน้าจึงปรากฏขึ้นอย่างมีความหวัง
หลังจากที่หล่อนกลับจากการนำของกำนัลไปฝากฝังยังเรือนของหมื่นสุรเสนาเมื่อเย็นวาน จึงได้ทราบความจากนางทับทิมว่าผู้เป็นบุตรชายมีข้อราชการเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปกระทำ
ปรางจึงนึกใจหาย เพราะนั่นมิได้ผิดไปจากลางสังหรณ์ของตน
ทว่าเหตุที่ทำให้ใจหล่อนเจ็บร้าว คงมิพ้นความจริงที่ว่าเขาชิงชังกันเสียจนมิปรารถนาแม้แต่จะเอ่ยถ้อยคำอำลาตามประสาคนเคยพบหน้า และเมื่อระลึกได้ว่า หากสิ่งที่หล่อนหมายใจไว้สำเร็จสมดังประสงค์ หล่อนและเขาคงไม่อาจมีวาสนาได้พบกันอีกนับแต่นี้ไปจนตลอดกาล ความวูบโหวงพลันบังเกิดขึ้นภายในจิตใจ
แต่ลางที เป็นเช่นนี้อาจสาสมแก่ใจเขาแล้วกระมัง มิต้องเห็นหน้าคนที่ตนเองชิงชัง เขาคงจักสุขใจกว่าที่เป็นอยู่
ดวงตาคู่งามอ่อนแสงลงชั่วครู่ ก่อนที่เสียงกระหืดกระหอบจากหน่ายจีพร้อมข่าวดีที่ใจพึงอยากฟัง จะทำให้แววตาของนางรำแปรเปลี่ยนไป ความหวังเกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้นตระหนักได้ถึงหนทางรอดพ้นจากการสมรสที่ใจไม่ปรารถนา มือเรียวจึงกุมมือเล็กของหญิงต่างเมืองเอาไว้ พร้อมคำขอบคุณจากหัวใจที่เอื้อนเอ่ยออกไปด้วยความปีติยินดี
“ย่ำค่ำ ขบวนของเราจึงจักออกเดินทาง แต่ที่ข้ากังวลใจ พี่จักปลีกตัวออกมาจากวังหลวงอย่างไรมิให้เป็นที่ผิดสังเกต”
หน่ายจีไต่ถามพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ฟากคนที่มีแผนการอยู่ในใจจึงคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์
เห็นดวงตาคู่งามหรี่ลงอย่างมีเลศนัย สาวรามัญจึงได้แต่เกาศีรษะตนเอง หากแต่ไม่คิดถามไถ่สิ่งใดต่อไปอีก ด้วยรู้ดีว่าสตรีตรงหน้าสามารถกระทำทุกสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายได้ทั้งสิ้น
ยามนี้จึงมีแต่เฝ้าเพียรภาวนาไม่ให้วันข้างหน้า เจ้าหล่อนคิดกระทำการใดที่น่าพรั่นพรึงอีกเป็นพอ
“อ้อ เกือบลืมไป เครื่องแต่งกายของพี่เจ้าค่ะ ข้าหยิบยืมมาจากคนที่รู้จักกัน แลซักล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวข้าจักสอนวิธีโพกผ้าเฉกเช่นคนรามัญนะเจ้าคะ พี่จักได้ผลัดเปลี่ยนพร้อมสรรพ แลจักได้มิเป็นที่สงสัยของคนในขบวนเจ้าค่ะ”
ปรางฟังคำเจรจาเจื้อยแจ้วของสาวรามัญอย่างเพลิดเพลิน พร้อมทั้งยินยอมให้จับจูงเข้าใต้ร่มไม้แต่โดยดี
เมื่อเห็นว่ารอบข้างร้างราจากผู้คน และคงไม่เป็นที่ผิดสังเกต จึงตั้งใจฟังสิ่งที่ร่างเล็กคอยสอนแล้วจดจำเอาไว้เพื่อนำไปใช้ต่อในค่ำคืนนี้ ใจหญิงสั่นระรัว แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หล่อนคิดกระทำการเสี่ยงภยันตราย
หวนรำลึกถึงเมื่อคราวที่ลอบผลัดเปลี่ยนตัวกับพิกุล ครั้งเดินทางติดตามขบวนเสด็จพระสุพรรณไปยังเมืองหงสาวดีแล้ว หญิงสาวจึงเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของตนนั้นเป็นอย่างไร ไฉนจึงมีเรื่องให้ต้องคอยหลีกหนีอยู่ร่ำไป
และถ้าหากไม่เป็นการวิงวอนต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจนเกินไป ก็นึกอยากให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของการหลบหนีเสียที
หล่อนเพียงอยากมีชีวิตตามแต่ใจตนเองลิขิตบ้างก็เท่านั้น...
ความคิดเห็น |
---|