๙
หญิงรามัญ
“มิคอยพี่เขาจริงฤๅ ประเดี๋ยวป้าจักให้นางเมี้ยนไปตาม ตะวันขึ้นฟ้าปานฉะนี้ยังมิเยี่ยมหน้าออกจากห้องหับ มันใช้ได้ที่ไหน ชักเกกมะเหรกเกเรใหญ่แล้วเทียว พ่อคนนี้นี่”
เสียงแม่นายของเรือนดังแว่วมาจากทางเรือนขวาง ร่างสูงที่เพิ่งสืบเท้าออกมาจากเรือนนอนของตนจึงขมวดคิ้วน้อยๆ ครั้นจับใจความได้ว่าตนเองกำลังตกเป็นหัวข้อของการสนทนา สองขาจึงเร่งออกเดินไปสมทบ
หมื่นสุรเสนาทรุดตัวลงบนตั่งเตี้ย ลอบมองเสี้ยวหน้าหวานละไมของคนฝั่งตรงข้าม เห็นเจ้าหล่อนผินมองไปทางผู้อาวุโสกว่าโดยไม่แม้แต่จะชายตามองกัน ทำดั่งเขาไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้
“พูดถึงก็มาพอดีเทียว เอาใหญ่แล้วหนา เห็นแม่มิปริปากกระไรจึงกระทำตัวเช่นนี้รึ พ่อทัด”
คำตำหนิดังลอดออกมาจากกลีบปากสีหมากสุกโดยพลัน นางทับทิมยกพัดขนนกในมือขึ้นชี้มาทางบุตรชายของตน ท่าทางดูปั้นปึ่งแสนงอนมากกว่าจะเป็นความโกรธา เพราะดวงตาคู่งามลอบจับจ้องใบหน้าอิดโรยของบุตรชายด้วยความห่วงใย
สุดท้าย คนเป็นมารดาจึงห้ามใจไม่ให้ไต่ถามมิได้
“แล้วนั่นเป็นกระไรรึพ่อ เจ็บแผลมากฤๅ”
“ขอรับ”
หมื่นสุรเสนาตอบกลับ พลางเหลือบตามองคนที่วางหน้าเย็นชาอีกครา เห็นห่อผ้าข้างตัวพาใจวูบโหวงพิกล ก่อนที่ดวงตารียาวจะเบนกลับไปที่นางทับทิม เมื่อได้ฟังคำเอ่ยอย่างนุ่มนวลที่ชวนให้คนมีชนักติดหลังร้อนตัวขึ้นมาครามครัน
“น่าแปลกหนา แผลไฟลวกเพียงเท่านี้กลับระคายกายาเจ้าได้มากกว่าคมมีดของอริราชศัตรู ร่างกายของนักรบนี่ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงเทียว”
ผู้อาวุโสว่าพลางลอบสังเกตอากัปกิริยาของคู่หนุ่มสาว แล้วจึงเป็นร่างอรชรของครูสอนละครรำที่ชิงยกมือประนมไหว้ ก่อนจะขอตัวลา
ทว่าสิ่งที่ทำให้แม่นายของเรือนพึงใจกว่าคือท่าทางเร่งรีบของบุตรชายที่ถลันลงเรือนไปไวปานสายลมพัดผ่าน ด้วยอ้างว่าจะต้องเร่งไปรายงานตัวต่อผู้เป็นนาย นางทับทิมจึงยกพัดขึ้นโบกไปมา พร้อมรอยยิ้มมีเลศนัยที่ฉายชัดบนใบหน้า
หมื่นสุรเสนาสืบเท้าตามหลังสตรีที่มิปริปากเจรจานับแต่พ้นชานเรือน เห็นเจ้าหล่อนหยุดเดินเป็นระยะ แล้วปรายตามองมาละม้ายมิสบอารมณ์ หากมิได้ต่อว่าด้วยถ้อยคำใด มีเพียงฝีเท้าที่เร่งขึ้นให้ว่องไวกว่าเดิม ร่างสูงจึงสาวเท้าตามหลังไป
จนกระทั่งถึงปากทางเข้าตลาด เพราะจากเรือนของตนนั้น ต้องผ่านตลาดกลางเมืองไปเสียก่อน จึงจะเข้าถึงเขตรั้วของพระราชวังได้ ร่างอรชรของคนที่เดินนำหน้าไปจึงหมุนกายกลับมาประจันหน้ากัน
ปรางขบเม้มริมฝีปากตนเองจนได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง รู้สึกอึดอัดใจประหนึ่งมีไฟสุมอยู่ในแผ่นอก และมันคงจะต้องระเบิดออกเป็นเสี่ยงในอีกไม่ช้า หากบุรุษตรงหน้ายังไม่เลิกตีรวนกัน
ไฉนหล่อนจึงจะมองไม่ออกว่าเขาจงใจตามมา เพราะแม้เส้นทางมุ่งหน้าสู่สถานที่ประทับของเจ้าฟ้าวังหน้าจะเป็นเส้นทางเดียวกัน แต่เขาเองก็สามารถล่วงหน้าไปก่อน โดยมิต้องเดินตามรอยฝีเท้าหล่อนเช่นนี้
ทว่าเขากลับเทียวเดินและหยุดตามจังหวะการเคลื่อนกายของหล่อน จึงไม่อาจคิดเป็นประการอื่นใดไปได้ นอกเสียจากว่าเขาปรารถนาจะยั่วอารมณ์กัน
หากยังไม่ทันได้ไต่ถาม ดวงตากลมสวยก็มีอันต้องเบิกโพลง เพราะนิ้วแกร่งที่ยกขึ้นชะงักค้างอยู่เบื้องหน้าทำท่าเสมือนจะแตะลงบนกลีบปากเห่อช้ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้สติ จึงเร่งรีบชักมือของตนกลับไปไพล่หลังเอาไว้
ปรางมองจ้องคนหน้านิ่งด้วยความสับสน ตามอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปของเขาไม่ทัน
“ข้า...มิเข้าใจ...”
คำรำพันเสมือนเสียงกระซิบจึงหลุดรอดออกมาจากเรียวปากสีเรื่อ พร้อมดวงตาสั่นระริกที่จับจ้องใบหน้าคมคายของนายทหารหนุ่ม ราวกับจะค้นหาคำตอบที่ซ่อนเร้นอยู่ในดวงตาดำลึกคู่นั้น
ทั้งที่เมื่อคืนเขาเพิ่งทำร้ายจิตใจกัน แล้วเหตุใดวันนี้จึงแปรผันมาเป็นกระทำดี
ฟากคนที่เพิ่งได้สติจึงเร่งปั้นหน้าเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อครู่ตนเองถึงพลั้งเผลอแสดงอาการเช่นนั้นออกไป
เพราะความใกล้ชิดกระนั้นฤๅ ที่ทำให้ใจของเขาปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้…?
เพียงเห็นท่าทีเซื่องซึมของเจ้าหล่อน ความชิงชังที่เคยบังเกิดขึ้นอยู่เป็นนิตย์ ก็พลันมลายหายไปเสียง่ายดาย กรามแกร่งจึงบดเข้าหากันแน่น บอกตนเองว่าอย่าได้เผลอหลงคล้อยตามมารยาร้อยเล่ห์ของสตรีใจดำผู้นี้เป็นเด็ดขาด
สายตาสองคู่ประสานกันเนิ่นนานโดยปราศจากถ้อยคำ ความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างกันนั้น ทรมานเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ด้วยคนหนึ่งนั้นรักปักใจมายาวนาน ส่วนอีกคนกลับเพียรสร้างกำแพงสูงชันขวางกั้นความรู้สึกที่กำลังก่อเกิดไว้
ก่อนเสียงใสดุจระฆังแก้วของใครอีกคนที่กำลังสาวเท้าเข้ามา จะทำลายบรรยากาศชวนอึดอัดให้หมดไป
ปรางกลืนก้อนสะอื้นที่ตีบตันลงลำคอแล้วผินตามองผู้มาใหม่ ใบหน้าจิ้มลิ้มมิได้มอมแมมเหมือนเมื่อคราวก่อนที่พบกัน รอยยิ้มเล็กๆ จึงแต่งแต้มอยู่บนเรียวปาก พร้อมทั้งแววตาที่อ่อนแสงลงกว่าเก่า
“เจ้านั่นเอง แม่เจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า”
ร่างเล็กฉีกยิ้มกว้าง เห็นท่าทางที่ดูสดใสนั้นแล้ว จึงคาดเดาได้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวกำลังจะตอบรับ คงเป็นเรื่องน่ายินดี
“เพราะแม่หญิงแท้ๆ เทียว แม่ข้าจึงผ่านพ้นมาได้ นับแต่นี้เพียงเฝ้าคอยดูอาการ ข้าเชื่อว่ามินานแม่จักต้องหายเป็นปกติได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
ฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่พร่ำพูดด้วยความดีใจ ปรางจึงหยัดยิ้มตาม ก่อนที่ตากลมจะเบิกขึ้นน้อยๆ เป็นอารามตกใจเมื่อมือของสาวชาวบ้านเกาะกุมเข้าที่ท่อนแขนโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
“แม่หญิงพอจักมีเพลาฤๅไม่ ข้าอยากตอบแทนน้ำใจของท่านเจ้าค่ะ”
“มิเป็นกระไรดอก ได้ฟังว่าแม่เจ้าพ้นภัย ตัวข้าก็ยินดี แลเจ้ามิจำต้องตอบแทนอันใดดอกหนา”
ปรางปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเนิบนาบและใบหน้าสุขุม ก่อนที่จะโดนฉุดรั้งให้เดินตามกันเข้าไปในตลาด
ฟากบุรุษเพียงหนึ่งเดียวที่ลอบสังเกตการณ์อยู่จึงได้แต่สั่นศีรษะแล้วเร่งสืบเท้าจากไป ด้วยระลึกได้ว่าวันนี้ตนเองมีกิจสำคัญที่ต้องหารือกับทหารในสังกัด จึงมิคิดรอท่าคนที่คงมีธุระติดพันอยู่อีกนาน กอปรกับดูทีว่าหญิงสาวชาวบ้านผู้นั้นคงมิน่าเป็นภยันตรายใด เขาจึงวางใจที่จะฝากร่างอรชรเอาไว้ให้เจ้าหล่อนดูแล
“ข้าชื่อหน่ายจีเจ้าค่ะ”
หลังจากถูกคะยั้นคะยอพร้อมด้วยลูกอ้อนที่แม่สาวชาวบ้านวอนขอ ปรางจึงยอมคล้อยตาม แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตามใจปรารถนา บัดนี้หล่อนจึงย้ายมานั่งอยู่ใต้เพิงมุงจาก ที่ทราบว่าเป็นร้านน้ำชาและขนมพื้นเมืองตามแบบรามัญ
“หน่ายจี?...เป็นคนรามัญฤๅ”
เสียงหวานทวนชื่อเรียกตามที่ร่างเล็กแนะนำ พร้อมรอยยิ้มยิงฟันจนเห็นฟันสีขาวมุกเรียงตัวสวยงาม ผิดแผกไปจากสาวชาวบ้านคนอื่นที่นิยมเคี้ยวหมากจนฟันดำคล้อยหลังประโยคคำถามนั้นจึงได้เห็นสีหน้ายุ่งๆ จากคู่สนทนา ปรางจึงมิรู้ว่าตนเองพูดกระไรผิดแผกไป
ลอบพินิจพิจารณาดรุณีแรกรุ่นที่แม้จะอยู่ในเครื่องนุ่งห่มเฉกเช่นหญิงเมืองสองแคว แต่บางสิ่งบอกว่าเจ้าหล่อนนั้นหาใช่ชาวสยามดังเช่นที่บอกกล่าวไม่กะเกณฑ์ดูแล้ว นางคงจะมีอายุราวๆ สิบสี่ปี ใบหน้ารูปไข่ โหนกแก้มสูง ตาสองชั้นหลบในเล็กน้อย กอปรกับจมูกเชิดรั้นและผิวขาวเหลืองตามแบบของชาวรามัญ
ก่อนที่เสียงใสจะยอมรับและปฏิเสธไปในคราวเดียวกัน คนฟังจึงได้แต่นึกฉงนใจ
“เคยเป็นเจ้าค่ะ แต่บัดนี้ข้าคือชาวสยาม แลชีวิตนี้ก็พร้อมที่จักอุทิศให้แผ่นดินสยามเท่านั้น”
จุดกึ่งกลางตาแฝงไปด้วยความเจ็บร้าว ทั้งน้ำเสียงก็แปร่งปร่าอย่างน่าประหลาด ราวกับผู้พูดนั้นมีปูมหลังฝังใจ ทว่าด้วยไม่ใช่เรื่องของตนเอง ปรางจึงมิคิดเยี่ยมหน้าเข้าไปสอดเพราะถ้าหากเป็นตนเองบ้างที่โดนละลาบละล้วงถึงเรื่องส่วนตัว หล่อนคงมินึกชอบใจดุจกัน
“พี่ปราง ข้าขอเรียกเยี่ยงนี้ได้ฤๅไม่เจ้าคะ”
ร่างอรชรเงยหน้าขึ้นจากขนมตำรับมอญโบราณที่มิเคยเห็นมาก่อน ความลังเลใจเกิดขึ้นชั่วขณะ เนื่องจากโดยวิสัยแล้ว หล่อนไม่ได้สนิทสนมกับผู้ใดง่ายดายนัก แต่มิรู้ทำไม เมื่อเป็นร่างเล็กตรงหน้า หล่อนจึงยอมพยักหน้าตอบรับคำขอนั้นอย่างง่ายดาย
มิช้า แม่คนช่างเจรจาจึงฉีกยิ้มกว้างออกมาอีกครา พร้อมทั้งชี้ชวนให้หล่อนลองรับประทานขนมหวานที่เจ้าตัวแสนจะภูมิใจนำเสนอ ความร่าเริงสดใสของดรุณีผู้นี้จึงทำให้ปรางอดแย้มยิ้มตามไม่ได้
“จริงซี แผลเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ...ข้าขออภัย เป็นเพราะข้าแท้ๆ พี่จึงต้องเจ็บตัว”
หน่ายจีว่า พลางชะเง้อคอมายังต้นแขนเนียนที่ถูกพันผ้าไว้
ปรางจึงมองตามแล้วสั่นศีรษะ ดวงตากลมโตมองจ้องไปยังใบหน้าเกลี้ยงเกลา แล้วกำชับคนตรงหน้าถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจนับแต่วันเกิดเหตุ
“แต่คราหน้า จงอย่าวู่วามทำกระไรเยี่ยงนั้นอีก หากมิโชคดีอย่างครานี้ นั่นอาจหมายถึงชีวิตเจ้าเทียวหนา”
เมื่อได้ฟังเสียงเข้มๆ พร้อมทั้งแววตาที่มองมาเป็นเชิงตำหนิ สาวชาวบ้านจึงประนมมือไหว้ท่วมหัว พร้อมรอยยิ้มแห้งแล้ง แล้วลดมือลงเกาท้ายทอยของตนแก้เก้อ
กิริยาประหนึ่งม้ากระทืบโรงนั้นมิได้ขัดตาคนที่คุ้นชินกับระเบียบแบบแผนของราชสำนักอยู่เป็นวิสัย กลับกันหล่อนยังนึกชอบใจในความเป็นธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่งของร่างเล็กผู้นี้ ซ้ำยังอดอิจฉามิได้ ที่เจ้าหล่อนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสรเสรี มิจำต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เปรียบดั่งกรอบคอยล้อมตัวตน ด้วยมีคนคอยขีดเส้นทางชีวิตให้เดินตามอยู่เสมอ
“รับปากข้าแล้ว ก็ห้ามผิดคำเสียเล่า”
“เจ้าค่ะ”
หน่ายจีรับคำเสียงอ้อมแอ้ม สีหน้ามีแววสลดลงเล็กน้อย ปรางจึงได้แต่สั่นศีรษะอีกครั้ง แต่ไม่ได้ตำหนิอะไรอีก เพราะเข้าใจว่าในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น คงไม่มีใครควบคุมสติของตนเองได้
เพียงแต่หล่อนอยากให้อีกฝ่ายหวนระลึกถึงคนที่คอยอยู่เบื้องหลังด้วย หากหน่ายจีเป็นอะไรไป แล้วแม่ของนางที่คอยอยู่ จะมีชะตากรรมเช่นไร
บทเรียนจากเรื่องราวในอดีตสอนให้หล่อนจำต้องตรึกตรองถึงผลของการกระทำให้ถี่ถ้วน
หากเอาแต่ความต้องการของตนเป็นที่ตั้ง การกระทำเหล่านั้นอาจย้อนมาทำร้ายคนที่อยู่รอบตัว
“มิต้องเลี้ยงข้าดอก เก็บอัฐของเจ้าไว้ใช้เมื่อยามจำเป็นเถิด”
เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องเข้าวังแล้ว ปรางจึงจ่ายค่าขนมแก่แม่ค้าชาวรามัญ แล้วหันกลับมากุมมือขาวที่เพียรพยายามจะวางอัฐใส่มือหล่อนให้จงได้
แม่ตัวเล็กจึงเบ้หน้าเสียจนยับย่นไปหมด ด้วยโดนขัดความตั้งใจ ก่อนที่ดวงตาวาวใสจะเป็นประกาย พร้อมยืนกรานในปณิธานอันหนักแน่นของตน
“ถ้าเช่นนั้น ในภายหน้า หากมีกระไรที่ข้าจักสามารถช่วยเหลือพี่ปรางได้ เร่งบอกข้าหนาเจ้าคะ ข้ายินดีแลเต็มใจช่วยเหลือทุกอย่างเจ้าค่ะ”
ปรางมองตามร่างเล็กที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไป เพราะเจ้าตัวเพิ่งระลึกได้ว่าเวลานั้นล่วงเลยมานานเกินสมควรแล้ว จึงเร่งสืบเท้ากลับไปที่เรือน เพราะต้องจัดหาอาหารให้มารดาที่คงจะตื่นนอนพอดี
ครั้นตระหนักได้ว่าตนเองต้องเร่งเข้าวังดุจกัน ขาเรียวจึงออกเดินอย่างไวๆ พร้อมรอยยิ้มที่ผุดพรายอยู่บนดวงหน้าจวบจนถึงจุดหมายปลายทาง
“แม่ปราง”
เสียงก้องกังวานที่ดังขึ้นจากด้านนอกเขตพระราชฐานรั้งเสี้ยวหน้าหวานละไมของคนเร่งรีบให้หันมอง เสมือนเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อวานไม่มีผิด เพราะเพียงผินดวงตาไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น จึงปรากฏร่างสันทัดของขุนนางหนุ่มแห่งกรมพระนครบาล จะต่างเพียงคราวนี้ไม่มีนายทหารหน้ายักษ์ข้างกายตน ปรางจึงนึกพิพักพ่วนใจ หากยังฝืนส่งยิ้มอ่อนบางให้ตามมารยาท
“ไหว้เจ้าค่ะออกหลวงท่าน”
ใบหน้าสำอางฉายชัดไปด้วยความปีติยินดี มือขาวประคองมือเรียวที่กำลังกระพุ่มไหว้ตน คนที่ไม่นึกพึงใจกับการแตะต้องกายาอย่างอุกอาจจึงมีสีหน้าตึงขึ้นน้อยๆ
ทว่าบุรุษหนุ่มคงไม่ทันสังเกต เพราะคอยแต่จับจ้องดวงหน้าของครูสอนละครรำโดยไม่วางตา ซึ่งก็เป็นสายตาที่หญิงสาวแสนจะไม่ชอบใจ ปรางจึงออกแรงรั้งมือของตนกลับคืน
“ขออภัย...ข้านั้นเสียมารยาทนัก ขอแม่ปรางอย่าคิดเดียดฉันท์ มิรู้เป็นกระไร พบกันคราใด ข้านั้นมิอาจควบคุมตนเองได้สักครา”
คำพูดอย่างตรงไปตรงมาชวนอึดอัดมากกว่าเก่า หากสาวเจ้ายังสำรวมกิริยา สองตากวาดมองรอบกาย หมายจะหาหนทางหลีกหนีไปจากคนมือไวตรงหน้า เพราะดูทีว่าเขาจะไม่ผิดไปจากคำที่เกลอรักเคยได้ปรารภไว้
“ได้พบเจ้าลำพังเช่นนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่จักสนทนากันอย่างเป็นส่วนตัว...”
ท้ายประโยคนั้นเจือความดูแคลน กลีบปากสีสดบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน มองปราดเดียวก็สามารถทราบถึงความนัยที่เขาตั้งใจสื่อสารได้ไม่ยาก ร่างแบบบางจึงลืมตน เผลอขึงตาใส่ ด้วยรู้ดีว่าเขาหมายความถึงผู้ใด และนั่นจึงยิ่งทำให้หล่อนชิงชัง
เบื้องหลังของขุนนางอนาคตไกลผู้นี้จะเป็นเช่นไร หล่อนมิเคยนึกสงสัยและคิดก้าวล่วง แต่นิสัยหยามเหยียดผู้อื่นเช่นนี้ คือสิ่งที่หล่อนรังเกียจเดียดฉันท์เป็นที่สุด
แล้วบุรุษเช่นนี้น่ะฤๅ ที่หล่อนจำต้องตบแต่งครองคู่ด้วย
ให้ตายเสียดีกว่า ที่จักต้องจำยอมลงเอยเช่นนั้น!
“เจ้าคงทราบความจากคุณท้าวท่านแล้ว...ขออภัยหนาที่ข้ามิได้ไต่ถามความสมัครใจของเจ้าก่อน แลนำความขึ้นหารือต่อผู้ใหญ่ท่านโดยพลการ ข้าเพียงคิดว่าเรื่องสำคัญเยี่ยงนี้ เข้าตามตรอกออกตามประตู ให้รู้ถึงหูผู้ใหญ่ก่อนจักเป็นการเหมาะควรเสียกว่า...แลจักทำให้แม่ปรางมั่นใจได้ว่าตัวข้านั้น...จริงใจต่อแม่ปรางเพียงใด”
ดวงตาสื่อความหมายมองจ้องใบหน้างามพิลาศ ก่อนจะถือวิสาสะกุมมือเรียวที่วางนิ่งอยู่ข้างลำตัวของหญิงสาว ทุกการเคลื่อนไหวแฝงไปด้วยลูกไม้แพรวพราวดั่งคนเจนจัดในสนามรัก หากเป็นสตรีอื่นไซร้ คงมิวายระทดระทวยดุจขี้ผึ้งต้องไฟลน เพียงเพราะน้ำคำหวานล้ำและกิริยาละมุนละม่อมของนักเกี้ยวพาราสี
ทว่า...สิ่งเหล่านี้มิอาจใช้ได้กับคนเช่นหล่อน
ในขณะที่กำลังจะชักมือของตนกลับมา สายตาเจ้ากรรมเหลือบเห็นใบหน้าคมคายของนายทหารหนุ่มที่กำลังไสม้านำหน้าทหารในสังกัดออกมาจากประตูพระราชวัง เสี้ยววินาทีนั้นดวงหน้าพริ้มเพราจึงถอดสีลงโดยพลัน
“คุณพี่...”
ความคิดเห็น |
---|