๑๒
บุญพาวาสนาส่ง
“ถึงแล้วเจ้าค่ะพี่ปราง พี่ปรางเจ้าคะ”
เสียงกระซิบกระซาบข้างหู พร้อมแรงเขย่าบนท่อนแขนปลุกคนที่จมจ่อมอยู่ในห้วงนิทราให้เบิกตาขึ้นมอง เห็นใบหน้ารางเลือนของแม่สาวรามัญ ปรางจึงยกมือขึ้นขยี้ตาน้อยๆ ก่อนจะกวาดมองไปรอบนอกประทุนเกวียน
ภาพของเรือนมุงจากหลายหลังตั้งอยู่ต่อกันท่ามกลางหมอกควันที่พัดปกคลุม แม้เรือนเหล่านี้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้พำนักเพียงชั่วคราว แต่กลับดูแข็งแรงทนทานเสมือนว่าผู้สร้างนั้นได้ใช้เวลาเตรียมการมาเป็นอย่างดี ค่ายของกองทหารลับนี้จึงเปรียบเสมือนหมู่บ้านขนาดย่อม ซ้ำยังดูน่าอยู่กว่าหมู่บ้านที่หล่อนเพิ่งเดินทางผ่านขึ้นมาเสียอีก
ทิวเขาสูงชันทอดตัวขนานเรียงรายกั้นเขตขัณฑสีมา พฤกษานานาพรรณแข่งกันแผ่สยายร่มไม้ใบบางโอบคลุมยอดไศล กอปรกับเสียงน้ำตกซ่านกระเซ็นเป็นจังหวะ เลยแนวป่าไปคงจะมีธารน้ำไว้ให้ผู้คนได้ใช้สอย
อวลกลิ่นกองไฟที่จุดขึ้นเพื่อคลายความหนาวพัดพามาตามแรงลมหอบใหญ่ คนที่ไม่คุ้นชินกับอากาศเช่นนี้จึงสั่นสะท้านจนต้องเร่งยกแขนขึ้นกอดตนเองอีกครา แม้จะมีผ้าผืนหนาพันรอบลำคอไว้อีกชั้น แต่ปรางก็ยังรู้สึกเหน็บหนาว
“ทนหน่อยนะเจ้าคะ หากตะวันขึ้นเมื่อใด อากาศคงจักอุ่นขึ้นกว่านี้เจ้าค่ะ”
หน่ายจีพูดด้วยแววตาเป็นกังวล เห็นท่าทางของหญิงผู้พี่แล้วจึงนึกเห็นใจ เพราะเจ้าหล่อนคงไม่เคยได้สัมผัสอากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้มาก่อน
ปรางพยักหน้ารับ ก่อนจะถูกขานเรียกให้ไปช่วยแบกหามข้าวของ มือเรียวจึงรั้งชายผ้านุ่งของหน่ายจีเอาไว้ เมื่อเห็นว่าแม่สาวรามัญกำลังจะปริปากทัดทานคำสั่งของสมิงทออู
“แต่พี่...”
“ข้าทำได้ อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย”
ร่างแบบบางในเครื่องนุ่งห่มที่หลวมโพรกเกินตัวจึงออกเดินไปรวมตัวกับกุลีที่ต่อแถวรับสัมภาระจากเกวียนเล่มใหญ่ ได้ยินคำหยอกเย้าจากชายฉกรรจ์ที่เทียวพร่ำพูดให้พอระคายหู ก่อนที่เสียงตวาดกร้าวจากนายทหารมอญจะดังขึ้นกลบคำพูดเหล่านั้น ความสงบจึงคืนสู่อาณาบริเวณอีกครา
“เอ้า ของเอ็งเพียงเท่านี้ก็พอ ขืนให้แบกหามแบบอ้ายพวกนั้น มิวายหลังจักขาดเอาเสียก่อน”
สมิงทออูที่ยืนจังก้าอยู่บนเกวียนว่า พลางโยนห่อผ้าม้วนใหญ่ลงมาให้ร่างแบบบางที่ยืนคอยรับอยู่ด้านล่าง แม้จะมิใช่กำปั่นหรือกระสอบใบโตแบบที่พวกแรงงานคนอื่นได้รับ แต่ก็นับว่าหนักอึ้งเกินกำลังสตรีอยู่พอสมควร ปรางจึงเซถอยหลังไปเล็กน้อย พอให้ได้เสียงหัวเราะครึกครื้นอีกคำรบ
คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่พึงใจ จึงกัดฟันกอดห่อผ้านั้นไว้ แล้วพยายามยืนให้มั่นคง แรงกำลังล้วนเกิดแต่การอยากเอาชนะเสียทั้งสิ้น
“มันต้องอย่างนี้ซีวะ เป็นชายทั้งที จักมาทำตัวอ่อนแอเยี่ยงสตรี มันใช้ได้ที่ไหนกันเล่า อ้ายหน้าขาวเอ๊ย”
สมิงทออูเย้าอย่างคะนองปากพลางหัวเราะเสียงทุ้มด้วยความขบขัน ก่อนจะละความสนใจจากอ้ายหนุ่มรามัญท่าทางปวกเปียก แล้วหันไปสั่งความแก่ลูกน้องของตนที่เดินย้อนกลับออกมาจากหมู่บ้านพอดี
“จักให้ข้านำไปไว้ที่ใด”
เสียงที่ถูกดัดให้ทุ้มห้าว หากยังติดปลายหวานละมุนหู อดีตนางรำจึงไม่นึกอยากปริปากเจรจามากนัก เกรงว่าจะเป็นที่ผิดสังเกตเอาในสักวัน แต่ด้วยคราวนี้ไม่มีทางเลือก เพราะหล่อนไม่รู้ว่าจะต้องนำสัมภาระที่อยู่ในความครอบครองไปไว้ที่ใด จึงไต่ถามทหารมอญอาสาที่ยืนอยู่บนเกวียน ก่อนจะได้รับเพียงกิริยาอาการแทนคำพูดตอบรับ
สมิงทออูชี้นิ้วบ่ายหน้าไปยังเรือนพักหลังย่อมที่อยู่ด้านในสุด ซึ่งปลูกห่างจากเรือนของทหารคนอื่น ปรางจึงคะเนเอาว่าคงเป็นที่พักของผู้เป็นหัวหน้า สองขาพาร่างออกเดินไป แม้จะทุลักทุเลไม่น้อย เพราะห่อผ้าในมือสูงจนบดบังทางเดิน แต่หญิงสาวก็กัดฟันทนแล้วสืบเท้าไปจนถึง
เรือนมุงจากยกตัวสูงขึ้นเหนือพื้นดินในระดับพอดีศีรษะให้คนเดินลอดผ่าน ใต้ถุนโล่งกว้างเปิดรับสายลมพัดโกรก หน้าบันไดมีแคร่ไม้ไผ่ตั้งอยู่ พร้อมด้วยไหสุราระเกะระกะไม่น่ามอง ปรางจึงนิ่วหน้าน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นไปตามขั้นบันได เมื่อไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดในเรือน จึงเร่งวางห่อผ้าลงแล้วสลัดแขนของตนไปมาไล่ความเมื่อยขบ
ตาหวานกวาดมองรอบห้อง เห็นฟูกนอนยับย่นและผ้าแพรที่กองสุมกันไว้ เยื้องไปอีกหน่อยเป็นผ้านุ่งสีเข้มที่กระจัดกระจายไปคนละทาง สตรีที่รักความเป็นระเบียบจึงได้แต่ย่นหน้า ไม่รู้ว่าที่นี่เป็นเรือนที่คนใช้อาศัยจริงหรือไม่ แล้วผู้เป็นเจ้าของเรือนนั้นต้องเป็นคนเช่นไร ไฉนจึงข่มตานอนในห้องหับที่สกปรกเช่นนี้ได้
ร่างแบบบางไม่อาจทนอยู่เฉย พลันถือวิสาสะเก็บกวาดข้าวของเหล่านั้น ใช้เวลาเพียงไม่นาน สภาพห้องที่รกรุงรังประดุจผ่านศึกสงครามจึงกลับมาสะอาดสะอ้าน ก่อนจะระลึกได้ว่าตนเองกำลังกระทำเกินกว่าหน้าที่ จึงเร่งก้าวเดินจากมา แล้วไปรวมกลุ่มกับหน่ายจีที่บัดนี้กำลังขนข้าวของเข้าเรือนตนเองดุจกัน
“มิได้! เอ็งวิปลาสไปแล้วรึ ถึงจักผูกสมัครรักใคร่ แต่ยังมิได้ตบแต่งกันออกหน้า จักให้มันมาค้างอ้างแรมด้วยได้เยี่ยงไร เห็นแก่หน้าน้าบุปผาบ้างฤๅไม่ น้าท่านจักเอาหน้าไปไว้ตรงที่ใด หากถูกครหาว่าลูกสาวนั้นทำกิริยางามหน้า โร่เอาผู้ชายมาอยู่ร่วมเรียงโดยมิได้ผูกข้อไม้ข้อมือให้ถูกธรรมเนียม”
แว่วเสียงทุ้มห้าวของนายทหารมอญคนเดิมที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังญาติผู้น้อง ปรางจึงขมวดคิ้วอีกครั้ง เพราะคิดว่าตนเองกำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนา สองขาก้าวเข้าไปร่วมวงในตอนที่ดวงตาสีเปลือกไม้นั้นผินมองมาพอดี ตามด้วยหน่ายจีที่กลอกตามองฟ้า สีหน้าดูเหนื่อยใจกับคนช่างพูดเสียเต็มประดา
“พูดถึงก็มาพอดี อ้ายตัวปัญหา ที่แล้วมาข้ามิได้พูดกระไรเพราะต้องเร่งเดินทาง แต่จากนี้ข้าจักขอพูดให้แจ่มกระจ่าง...”
สมิงทออูเว้นวรรคพร้อมสูดลมหายใจเข้ายืดยาว ก่อนนิ้วกระด้างจะชี้ขึ้นต่อหน้าในระยะประชิด จนปลายนิ้วแทบจะทิ่มเข้าไปในลูกตากลมสวยของอ้ายหนุ่มรามัญตัวเล็กที่ตนเองนั้นแสนจะชิงชัง
“ข้ามิรู้ว่าเอ็งคิดหวังสิ่งใดจึงได้ติดตามน้องสาวข้ามาจนถึงที่นี่ หากคิดจักช่วงชิงโอกาสนี้รวบหัวรวบหางน้องข้าโดยมิตบแต่งให้ถูกต้องตามครรลอง แลจักร่วมหอกันโดยมิอายฟ้าดินไซร้ ไม่เอ็งก็ข้าจักต้องตายกันไปข้างหนึ่ง เฮ้ย! อ้ายขิ่นยุ้นโว้ย ไปเอาดาบกูมาที! เป็นฉะนี้แล้ว เอ็งแลข้าจงมาประลองให้รู้ดำแดงกันไปในวันนี้เลยเสียดีกว่า!”
เสียงทุ้มตะโกนเรียกลูกน้องของตนที่ชะเง้อคอมองอยู่หลังโคนต้นมะขาม แล้วจึงลั่นวาจาท้าทายหนุ่มรามัญร่างผอมแห้ง ที่ดูทีว่าจะไม่คณามือตน สมิงทออูจึงกระหยิ่มยิ้มย่อง ครั้นปรายตามองสำรวจทั่วเรือนร่างบางดุจอิสตรีจนถี่ถ้วน
เมื่อเรื่องราวเริ่มจะเลยเถิดไป ฝ่ายคนเป็นน้องสาวที่เพิ่งพานางบุปผาเข้าไปพักภายในเรือนจึงหวนกลับออกมา พร้อมยกมือขึ้นเท้าสะเอวดังว่าสุดจะทนกับการตีตนไปก่อนไข้ของญาติผู้พี่ มือขาวอาศัยจังหวะที่สมิงทออูสั่งความลูกน้อง บิดใบหูได้รูปเสียเต็มแรงจนเสียงห้าวหวีดก้องทะลุหลังคาเรือน
ปรางจึงได้แต่เข็ดขยาดกับแม่รามัญตัวน้อย ที่ต่างไปจากภาพจำเมื่อคราวพบหน้ากันครั้งแรกเสียลิบลับ ถ้าหากวันนั้นหน่ายจีไม่อ่อนไหวเรื่องมารดา แล้วต่อกรกับทหารหงสาวดีด้วยกิริยาเช่นนี้ บางทีอาจเป็นทหารเลวผู้นั้นเสียเองที่จะมีอันต้องเจ็บตัว
“เสียงโหวกเหวกอันใดเล่านั่น ผู้ใดมาวิวาทกันอยู่แถวนี้”
ร่างสูงที่เพิ่งกลับจากการติดตามพระภิกษุออกปฏิบัติสมาธิที่ชายป่า ไต่ถามนายทหารที่เดินเคียงกัน นายสังข์จึงกระชับดาบคู่ที่สะพายอยู่บนหลังพลางชะเง้อคอมอง ตาหวานดุจสตรีเบิกขึ้น กระทำเสมือนว่าตัวมันนั้นรู้คำตอบเป็นอย่างดี
“ไม่ทราบซีขอรับ”
ถ้อยคำพาซื่อพร้อมรอยยิ้มยิงฟันดำเมี่ยมทำให้หมื่นสุรเสนาได้แต่ยกกำปั้นขึ้นเป็นเชิงขู่ ก่อนที่เสียงกังวานจากภิกษุที่เดินนำหน้าไปจะไขข้อข้องใจให้แทน ทหารทั้งสองนายจึงหยุดยืนแล้วประนมมือรับคำกล่าวจากบุคคลที่เป็นดั่งอาจารย์ของตน
“อ้ายสมิงทออู บุตรชายของอาตมาเอง คณะเดินทางจากสองแควคงจักมาถึงแล้วละหมื่นท่าน”
ขุนศึกหนุ่มขานรับคำบอกกล่าว แล้วก้าวเท้าตามพระอาจารย์ไปยังทิศทางที่เสียงอึกทึกดังขึ้น ในคลองตาเห็นภาพของหญิงรามัญที่กำลังกระโดดเกาะหลังนายทหารมอญอาสา เยื้องกันนั้นเป็นร่างผอมบางของชายรามัญอีกคนหนึ่งที่ละล้าละลัง จะเข้าไปห้ามก็ไม่ใช่ จะช่วยก็ไม่เชิง หมื่นสุรเสนาจึงได้แต่สั่นศีรษะให้กับความชุลมุนเหล่านั้น ก่อนจะขอปลีกตัวลากลับเรือนของตน ด้วยมิใช่ธุระกงการอันใดที่ตนเองจะต้องเยี่ยมหน้าเข้าไปสอด
มือแกร่งประนมไหว้ภิกษุวัยชรา ทว่าออกเดินไปได้ไม่ไกล เสียงกังวานที่ไล่หลังมาก็พาให้สีหน้าของนายทหารกล้าสลดลงโดยพลัน
“สุราน่ะเพลาๆ ลงสักหน่อยหนา มันผิดศีล แลยังมิอาจช่วยดับทุกข์ร้อนในใจให้โยมได้ดอก”
“ขอรับ”
กลีบปากหยักลึกรับคำแล้วกระพุ่มไหว้อีกครั้ง เห็นสายตาขบขันพร้อมรอยยิ้มเผล่จากอ้ายสังข์แล้ว ดวงตารียาวจึงถลึงใส่ แล้วพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงเรียกให้มันตามมาด้วยกัน
ฟากนายทหารที่ติดตามไปจึงได้แต่ระบายลมหายใจ ด้วยรู้ดีว่าคำตักเตือนของพระอาจารย์คงเป็นดั่งสายลมที่ปลิวผ่านหูก็เท่านั้น เพราะแม้หมื่นสุรเสนาจะอยู่ในโอวาทของผู้ใหญ่เสมอมา หากแต่เว้นเรื่องสุราเมรัยไว้เสียเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ว่าผู้ใดทัดทาน เจ้าตัวก็หายินยอมรับฟังไม่
แลถ้าหากจักร่วมหอลงโรงกับน้ำจัณฑ์ได้ อ้ายสังข์ก็ขอลงใจเป็นแม่นมั่นว่าหมื่นท่านคงจักกระทำไปแล้วเป็นแน่!
“โตจนป่านนี้แล้วยังมิเลิกวิวาทกันอีกฤๅ เจ้าลิงค่างสองผู้นี้”
เสียงของผู้มาใหม่ทำให้คนที่กอดรัดฟัดกันเร่งแยกห่าง ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วก้มกราบผู้พูดโดยพร้อมเพรียง
ปรางจึงนึกโล่งใจที่สถานการณ์ชวนเวียนศีรษะนั้นคลี่คลายลงง่ายดายกว่าที่คิด หล่อนเงยหน้าสบตาพระภิกษุที่มองมาก่อน เห็นบางอย่างสะท้อนจากนัยน์ตาสงบนิ่งคู่นั้น ดวงตางามโศกจึงเร่งหลุบต่ำลงมองพื้น
“แล้วนี่ ผู้ใดกันรึ มิเคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน เป็นหญิง ไยจึงแต่งกายเช่นชายอกสามศอกเล่า”
ใจดวงน้อยแทบร่วงหล่นกับคำทักเช่นนั้น ก่อนจะเป็นหน่ายจีที่ชิงปฏิเสธแทน เพราะคนถูกทักชะงักนิ่งเสมือนวิญญาณปลิดปลิวออกจากร่างไปเสียแล้ว
“มิใช่นะเจ้าคะหลวงพ่อ พี่ซูไป่เป็นชายเจ้าค่ะ หาใช่หญิงไม่”
“เฮอะ”
เสียงแค่นจมูกจากบุรุษตัวโตที่ตั้งป้อมชิงชังกันตั้งแต่แรกเริ่มทำให้ปรางนึกอ่อนใจ เหลือบตามองจึงเห็นดวงตาสีเปลือกไม้มองจ้องอยู่ก่อน แสดงออกว่าจะไม่ยอมลดละโดยง่าย อดีตนางรำจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ
“เช่นนั้นฤๅ สายตาอาตมาคงจักฝ้าฟางไปเองกระมัง แลนี่มีเรื่องอันใดกัน อาตมาได้ยินเสียงเอะอะดังไปถึงฝั่งโน้น”
“ก็นางหน่ายจีน่ะซีขอรับหลวงพ่อ ร่ำร้องจักให้อ้ายหน้าวอก เอ้อ อ้ายซูไป่ พักแรมที่เรือนด้วยกันให้จงได้ งามหน้าหรือไม่เล่าขอรับ เป็นหญิงยิงเรือ รู้ถึงที่ใดเขาจักได้ต่อว่ามาถึงพ่อแม่ให้อับอายขายหน้า มิรู้มันคิดกระไรอยู่ หลวงพ่อช่วยพูดแทนทีเถิดขอรับ กระผมสู้อุตส่าห์ตักเตือนด้วยความหวังดี แต่เห็นทีมันคงมิใคร่ใส่ใจฟัง”
สมิงทออูได้ทีฟ้องผู้เป็นบิดายาวเหยียด ก่อนจะสะดุ้งรับแล้วเปลี่ยนคำเรียกขานกลางคัน ครั้นโดนฝ่ามือพิฆาตของญาติผู้น้องบิดเข้ากับบั้นเอว เมื่อเรียวปากสีหม่นพร่ำพูดถ้อยคำไม่น่าพิสมัย
หน่ายจีขึงตาใส่พี่ชายที่ลอยหน้าลอยตาอย่างน่าหมั่นไส้
มีอย่างที่ไหน เที่ยวเรียกคนอื่นเขาว่าอ้ายหน้าวอกเช่นนั้น ปากคอช่างเราะรายเสียยิ่งกว่าสตรี!
“ผัวของโยมฤๅ”
คำถามนี้มีแต่สาวรามัญ ร่างเล็กจึงสั่นศีรษะจนผมเผ้าปลิวสยาย ปฏิเสธเสียงหนักแน่นอีกครั้ง หวังจะย้ำไปถึงหูของชายร่างยักษ์ที่เมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่รู้ว่าต้องให้พร่ำบอกอีกสักกี่พันหน คนโง่งมจึงจะยอมเชื่อคำ
“ทำกระไรเป็นบ้างเล่าโยม”
พระภิกษุเบนสายตากลับมาที่ดวงหน้าผ่องแพ้วของคนที่ตกเป็นประเด็น
ปรางจึงลอบเม้มริมฝีปากด้วยความประหม่า พยายามบังคับเสียงพูดของตนไม่ให้แกว่งพร่า แล้วจึงตอบรับคำถามไถ่จากพระคุณเจ้าที่กำลังมองจ้องลงมาทางตนพอดี
“ปัดกวาดเช็ดถู ทำครัวได้หมด...ขอรับ”
เพียงเท่านั้นจึงได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะดังสนั่นจากนายทหารมอญที่แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น มือหนากุมหน้าท้องสั่นกระเพื่อมของตนไว้ ดุจดังได้ฟังเรื่องขบขันที่สุดในชีวิตแล้วก็ไม่ปาน
ร่างแบบบางจึงตวัดสายมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก เริ่มจะรำคาญใจกับท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออก แม้จะเพียรบอกตนเองว่าเพราะเขาไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร จึงได้แสดงกิริยาหยาบคายเช่นนั้นออกมา ทว่าก็อดนึกขุ่นเคืองมิได้
“เช่นนั้น ไปพักที่เรือนของนายค่ายเถิด อาตมาได้ยินว่าเขากำลังหาคนปัดกวาดเช็ดถูเรือนของตนอยู่พอดี เรือนนั้นไม่วุ่นวายนัก โยมคงจักอยู่ได้สบาย แลเหมาะสมกว่ากงนี้”
เมื่อพระคุณเจ้าสรุปความเช่นนั้น จึงไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานอะไร คงมีเพียงสายตาสองคู่ที่ลอบสบกันด้วยความหวั่นใจ รั้งรอจนทหารมอญผุดลุกตามหลังภิกษุรูปดังกล่าวไป หน่ายจีจึงถลันเข้าประชิดกายบางโดยพลัน
“จักทำเช่นไรกันดีเล่า พี่ปราง”
“คืนนี้...คงต้องเป็นดั่งคำที่หลวงพ่อท่านว่าไปก่อนแลหนา วันหน้าค่อยคิดหาทางอีกที ขืนทำตัวมากเรื่องไปกว่านี้ เห็นทีข้าอาจจักถูกพี่ชายเจ้าส่งตัวกลับสองแควพร้อมกับกุลีเหล่านั้นก็เป็นได้”
ปรางตอบกลับอย่างเหนื่อยอ่อน เหลือบตามองกลุ่มชายร่างยักษ์ที่กำลังโดยสารเกวียนเล่มใหญ่เตรียมเดินทางกลับลงไปยังหมู่บ้านด้านล่าง หลังจากเสร็จสิ้นหน้าที่ทั้งปวง
ดวงตาคู่งามเคลือบแฝงไปด้วยความปริวิตก ภาพเรือนหลังย่อมที่ตั้งอยู่ด้านท้ายสุดของค่ายผุดพรายในเสี้ยวความคิด
“ไม่คิดเลยว่าอ้ายพี่สมิงมันจักขี้สอดปานฉะนี้ ปกติมิเห็นจักใส่ใจข้าสักกระผีก เห็นทีคงจักคิดกลั่นแกล้งพี่ปรางเสียมากกว่า คิดแล้วก็เสียดายนัก หากมันเห็นว่าพี่เป็นหญิงเช่นข้าไซร้ มิวายจักเข่าอ่อน แลกลับคำเสียประเดี๋ยวนั้น อ้ายผู้ชายพายเรือ”
ปรางจึงระบายลมหายใจอีกครั้ง ครั้นตระหนักได้ว่าการเริ่มต้นชีวิต ณ ที่แห่งนี้คงมิได้ง่ายดายดังเช่นที่เคยคาดการณ์เอาไว้เสียแล้ว
หมื่นสุรเสนากลับมาถึงเรือนของตนพร้อมความฉงนใจ ตาเรียวกวาดมองข้าวของที่เคยกระจัดกระจายไร้ทิศทาง แต่บัดนี้มันกลับถูกจัดวางกลับคืนอย่างเป็นระเบียบ ทั้งผ้าผ่อนที่เคยกองสุมก็ถูกพับเรียงกันเป็นตั้งชิดผนังเรือน
ความสงสัยคลายลงเมื่อเห็นห่อผ้าที่วางอยู่ตรงกลางห้อง เดาเอาว่าคงเป็นกุลีสักคนที่ขนสัมภาระมาส่ง ซ้ำยังมีน้ำใจเก็บกวาดเรือนให้ รอยยิ้มน้อยๆ จึงแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปาก ด้วยมิคิดว่าจะมีบุรุษใดในค่ายนี้ที่ใส่ใจงานเรือนดุจอิสตรี หากตามตัวได้ เห็นทีเขาคงต้องคอยไหว้วานให้มันมาช่วยทำความสะอาดให้อีกบ่อยครั้งเสียแล้วกระมัง
มือแกร่งคลี่ห่อผ้าที่ส่งตามมาทีหลัง เพราะเขาต้องล่วงหน้ามาด้วยอาชาก่อน จึงไม่อาจนำข้าวของเครื่องใช้ติดตัวมาได้มากนัก ก่อนเดินทางจากมาจึงได้ฝากฝังให้มารดาเป็นธุระจัดการแทน ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ และตำรับตำราถูกจัดวางใส่ในหีบห่อ พร้อมด้วยของบางชิ้นที่ชวนให้ใจกระตุก จากรอยยิ้มในหน้าเมื่อครู่จึงผันเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึม
ผ้าผืนบางปักลายดอกไม้สวยงามตรงมุมชวนให้หวนระลึกถึงเจ้าของมัน เพราะในวันที่เขาเกือบต้องพิษไข้จากบาดแผลไฟลวกตรงแผ่นหลัง ผ้าผืนนี้ถูกชุบเช็ดไปทั่วลำตัวเพื่อปัดเป่ามิให้ไข้นั้นได้กล้ำกรายเรือนกายเขา
และในวันนั้น กลับเป็นเขาเสียเองที่ตอบแทนน้ำใจของเจ้าหล่อนด้วยการกระทำแสนร้าย เพียงเพราะมิอยากให้ความดีเหล่านั้นมีอิทธิพลเหนือดวงใจของตน
กรามแกร่งบดแน่นจนเป็นสันนูน ก่อนร่างสูงจะผุดลุกขึ้นแล้วสูดลมหายใจ มือใหญ่ขยำผ้าผืนน้อยที่ส่งกลิ่นหอมละมุนละไมดุจกลิ่นกายของนวลนางผู้เป็นเจ้าของแล้วเขวี้ยงมันลงในกำปั่นไม้ตรงมุมห้อง ปิดตายความทรงจำเก่าก่อนทิ้งไว้ในนั้น แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนพักของนายสังข์
เสียงทุ้มร้องหาสุราตั้งแต่หัววัน ฟากคนอ่อนอาวุโสกว่าจึงได้แต่รับคำด้วยสีหน้าพิพักพ่วนใจ แต่ไม่กล้าปฏิเสธผู้เป็นนาย จึงทำได้เพียงคอยหากับแกล้มมาเพิ่มเติมให้ ด้วยเกรงว่าอวัยวะภายในของอีกฝ่ายนั้นจะบอบช้ำด้วยพิษสุราไปเสียก่อนได้ออกรบกับอริราชศัตรู
“อารายวะ...หมดแล้วรึ...ไปอาว...มาอีกซีว้า”
เสียงยานคางพร้อมสภาพปวกเปียกของหมื่นสุรเสนาเป็นที่น่าหนักใจสำหรับคนมองยิ่งนัก เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่ขุนศึกหนุ่มจะเมามายได้ถึงเพียงนี้
ทว่ามิใช่เรื่องเกินความคาดหมาย หากคืนนี้ปลายทางจะลงเอยดังเช่นที่เป็นอยู่ ด้วยผู้เป็นนายร่ำสุราโดยลำพังมานับแต่พระอาทิตย์ยังมิลาล่วงพ้นเส้นขอบฟ้า กระทั่งดวงจันทราขึ้นทอแสงแทน ร่างหนั่นแน่นจึงได้ยอมรามือ
ของเหลวสีอำพันที่หมักดองไว้หมดไปราวสองไห นายสังข์จึงช่วงชิงโอกาสที่คนเมามายฟุบหน้าลงอย่างหมดสภาพ รั้งจอกใบน้อยพร้อมไหเจ้าปัญหาให้ห่างกายา แม้หมื่นสุรเสนาจะพยายามไขว่คว้า จึงคว้าได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“หมดสภาพเลยฤๅวะ”
‘นายมิ่ง’ ทหารอีกคนหนึ่งที่เคยสังกัดอยู่ยังกรุงศรีอยุธยาด้วยกัน เยี่ยมหน้าออกมาจากด้านบนเรือนพัก ในมือมีไม้สีฟันและเกลือบดที่ใช้ขัดฟันเสียจนขาวสะอาด หากนั่นกลับเป็นเดียดฉันท์ของคนมองนัก เพราะคิดว่าคนฟันขาวปากซีดดูประหลาดพิกล จะรูปงามดั่งคนเคี้ยวหมากจนปากแดงก่ำฟันเคลือบสีนิลได้อย่างไร
“กูว่าเรานำไหเหล่านี้ไปฝังดินให้พ้นตาหมื่นท่านเสียเถิด เกินจักทานทนแล้วว่ะ”
นายมิ่งพยักหน้าหงึกหงัก เห็นสหายยืนเท้าสะเอวมองผู้บังคับบัญชาที่นอนแผ่หลาอย่างหมดสภาพแล้ว จึงได้แต่สั่นหน้าไปมาพลางขัดซอกฟันด้วยความชำนิชำนาญ มือสากยกขันทองเหลืองขึ้นอมน้ำกลั้วปากจนกระพุ้งแก้มนูนเป็นก้อนกลม แล้วจึงค่อยชะโงกหน้าบ้วนทิ้งลงผ่านช่องหน้าต่างที่เจาะไว้รับลมจากภายนอก
“มึงพาไปลงน้ำที่ลำธารซี สายน้ำคืนเพ็ญเย็นฉ่ำปานฉะนี้ มิสร่างก็ต้องสร่างแลหนา”
นายมิ่งแซวด้วยความคะนอง ก่อนจะหดหัวกลับเข้าไปในเรือนทั้งที่ไม้สีฟันนั้นยังคาอยู่กับปาก เมื่อนายสังข์ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเพื่อบอกให้มันสำรวมถ้อยคำ หากคนเมารู้สติ มิวายจะหลังลายกันไปถ้วนทั่ว ด้วยมิรู้จักที่สูงที่ต่ำ
“ระวังปากมึงด้วยอ้ายมิ่ง ประเดี๋ยวจักได้ฉิบหายกันหมดนี่ดอก”
แม้เสียงห้าวจะต่อว่าเช่นนั้น แต่นายสังข์ก็หอบเอาร่างโงนเงนมาจนถึงลำธารเย็นใสตามคำแนะนำของสหายจนได้
คืนนี้พระจันทร์ดวงโตสาดแสงทองสว่าง หนทางจึงกระจ่างชัดแม้ไม่มีตะเกียงหรือคบไฟช่วยนำทางให้ ก่อนที่นายสังข์จะระลึกได้ว่าตนเองลืมนำเครื่องแต่งกายชุดใหม่มาให้ผู้เป็นนายได้ผลัดเปลี่ยน จึงเร่งวางร่างกำยำพิงโคนต้นไม้ แล้วสาวเท้ากลับไปยังเรือนพักเพื่อหยิบข้าวของที่ต้องการ คะเนเอาเองว่าระยะทางนั้นมิห่างไกลกัน และตรงนี้คงมิมีภยันตรายใด จึงวางใจที่จะปล่อยให้คนเมามายอยู่ลำพังเพียงชั่วครู่
คล้อยหลังร่างสันทัด คนที่เริ่มจะคืนสติจึงหรี่ตาขึ้นสู้แสงนวลผ่องจากท้องนภา สายตากวาดมองรอบข้างตามสัญชาตญาณ พลางสลัดศีรษะไล่อาการงุนงง
แว่วเสียงคลื่นน้ำซ่านกระเซ็นเสมือนมีสิ่งใดแหวกว่ายอยู่เหนือกระแสธารา หมื่นสุรเสนาจึงค่อยๆ หยัดยืน แม้จะยังไม่มั่นคงนัก แต่มือก็คอยไขว่คว้าเอากิ่งก้านสาขาของต้นไม้ไว้เป็นหลักยึด
ร่างสูงเร้นกายอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ เห็นร่างขาวนวลที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในสายธารเย็นใส จึงคะเนเอาว่าคงเป็นผีสางนางไม้ที่ออกมาเริงระบำท่ามกลางลำน้ำในยามราตรี ก่อนที่ร่างงามนั้นจะผินดวงหน้ากลับมาให้สองตาได้ยล เมื่อนั้นสติรับรู้ของบุรุษหนุ่มจึงหวนคืนกลับมาโดยพลัน
“แม่ปราง...”
ความคิดเห็น |
---|