ชิงชัง

“ไฉนวันนี้ชิงกลับเรือนเร็วนักล่ะขอรับ กระผมนึกว่าหมื่นท่านจักอยู่ฉลองด้วยพวกกระผมที่นี่จนสว่างเสียอีก”

ร่างสูงรับจอกจากทหารในสังกัดแล้วยกขึ้นจดชิดริมฝีปาก รสขมปร่าทว่าแสบร้อนของสุราไหลผ่านลำคอ ก่อนที่ขุนศึกหนุ่มจะสลัดศีรษะน้อยๆ ยกมือแกร่งขึ้นเป็นเชิงห้ามปรามมิให้ผู้ใต้บังคับบัญชารินเพิ่ม

“พวกเอ็งลืมแล้วฤๅว่าวันพรุ่งเราจักต้องฝึกพิชัยยุทธ์ หากเมามายไป มีหวังจักได้หลังลายกันถ้วนทั่ว”

“ปูโธ่ อย่าพูดเป็นลางเช่นนั้นซีขอรับ หวายท่านเจ้าคุณคราก่อนยังแสบร้าวมิรู้ลืม”

หมื่นสุรเสนาส่ายหน้าไปมาอย่างระอาใจ มือใหญ่หยิบดาบคู่กายขึ้นสะพายหลังพลางตบบ่าหนุ่มรุ่นน้อง กำชับมิให้อีกฝ่ายตั้งวงกันจนย่ำรุ่ง ด้วยเกรงว่านอกจากโทษทัณฑ์ของผู้เป็นนายแล้ว จะพ่วงมาด้วยพระราชอาญาจากองค์จอมทัพ

“ข้าขอตัวก่อน แล้วพบกันที่ลานฝึกวันพรุ่ง”

บุรุษหนุ่มที่ยังมิคลายอาการงุนงงยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ คาดว่าครานี้พวกลูกน้องจะเล่นพิเรนทร์เกินไปเสียแล้ว แม้รสชาติจะถึงใจเพียงใด แต่ฤทธิ์เหล้าแรงถึงเพียงนี้ ดื่มกินบ่อยเข้ามีหวังจะเสียการงานกันไปทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย

“ช่วย...ช่วยด้วย”

ระหว่างทางกลับเรือนนั้น หูแว่วเสียงแหบระโหยดังมาตามสายลม จึงยกคบไฟขึ้นเพื่อส่องมองรอบข้าง เขาไม่ใช่คนหวาดกลัวต่อผีสางหรือเรื่องเหนือธรรมชาติใดๆ ทว่าชั่วชีวิตนี้ก็หาเคยประสบพบเจอกับตนเองไม่

เมื่อพบเพียงความว่างเปล่า ขาทั้งสองจึงออกเดินอย่างช้าๆ เปลือกตาสีหม่นปิดลงพลางลอบสูดลมหายใจ

จู่ๆ ภาพจำของหญิงสาวนางหนึ่งเมื่อครั้งยังอยู่กรุงศรีอยุธยาก็พลันผุดขึ้นในห้วงคำนึง

ครานั้นดวงเนตรกลมโตดุจเนื้อทรายตื่นตระหนก ทว่าสาวเจ้ายังฝืนทำเสมือนตนเองไม่เป็นอะไร ทั้งที่เกือบจะถูกอริราชศัตรูข่มเหง 

แต่ผู้ใดจะคิดเล่าว่าท้ายที่สุด โชคชะตาจะเล่นตลกเสียจนดลใจให้เจ้าหล่อนปลงใจร่วมเรียงเคียงหมอนกับขุนศึกแดนศัตรูไปเสียได้

ความรักนี้หนา...ไยมิเคยปรานีหัวใจผู้ใดเสียเลยเล่า

เพราะแม้จะผ่านพ้นมาหลายขวบปี ใจเขาก็มิเคยผันเปลี่ยนไปจากสตรีนางนั้นเลยสักครา

‘ข้าคงรับเอาไว้มิได้ดอกเจ้าค่ะ ขออภัยที่ข้าต้องพูดเช่นนี้ แต่ยังมีสตรีที่ดีแลเพียบพร้อมพอที่จักเคียงคู่พี่ทัดอีกมากมาย ได้โปรดให้ข้าได้เป็นน้องสาวคนเดิมของพี่เถิดหนา’

เสียงเสนาะหูและใบหน้างามซึ้งของผู้พูดยังคงชัดเจนเสมือนเจ้าตัวยังคงอยู่ต่อหน้าเขาในเวลานี้ ความชอกช้ำที่กัดกร่อนหัวใจมายาวนานพานให้บุรุษหนุ่มต้องทุบแผ่นอกตนเอง เผื่อจะระบายความเจ็บปวดลงไปได้บ้าง

ชาตินี้พี่คงจักไร้วาสนาได้เคียงคู่เจ้า...แม่พิกุลเอ๋ย

พลั่ก!

ดวงตารียาวเบิกขึ้นตามแรงปะทะของบางสิ่ง ปรากฏเป็นสตรีที่บัดนี้ผมเผ้ากระเซิงเสียจนบดบังใบหน้า ทว่าไม่ทันได้ไต่ถามสิ่งใด เพราะกายเบาหวิวราวกับไร้น้ำหนักนั้นชิงหมดสติลง ก่อนที่แสงไฟในมือจะสาดส่องให้เห็นดวงหน้ายับเยินที่เขานั้นจดจำได้ฝังใจ เสียงทุ้มจึงอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก

“แม่ปราง!”

กรามแกร่งบดเข้าหากันแน่นเพียงเห็นว่าคนในอ้อมแขนคือคนที่ตนเองนั้นแสนจะชิงชัง แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในภยันตราย ชายชาติทหารจึงละทิ้งความรู้สึกเหล่านั้น แล้วประคองร่างบอบช้ำพิงไว้กับโคนต้นไม้

เห็นต้นเหตุของเรื่องทั้งปวงที่กำลังวิ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบแล้ว ขุนศึกหนุ่มพลันคำรามลอดไรฟัน มือที่ว่างจากการถือคบไฟคว้าดาบออกมากวัดแกว่งอย่างชำนาญ คาดว่าอ้ายโจรผู้ขลาดเขลาคงรับรู้ได้ว่าเขาเป็นทหารของแผ่นดินนี้ มันจึงเร่งสับฝีเท้าจากไปทั้งที่เสื้อแสงยังคงหลุดลุ่ยอยู่อย่างนั้น

รอจนคลายใจได้ว่าอ้ายเดนมนุษย์ผู้นั้นจะไม่หวนคืนกลับมา ร่างสูงจึงเร่งขยับกายเข้าหาร่างอรชรของแม่หญิงที่ยังคงมิรู้สติ

เพียงแสงไฟสาดลงเหนือดวงหน้า ร่องรอยบอบช้ำและคราบเลือดบนมุมปากก็ทำให้กำมือแกร่งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เพราะต่อให้ชิงชังสตรีตรงหน้าเพียงใด เขาก็คงไม่อาจนิ่งเฉย หากต้องเห็นหล่อนถูกบุรุษกักขฬะย่ำยีข่มเหง

หมื่นสุรเสนาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะด้วยมิรู้ว่าควรทำอย่างไร ทราบว่าเรือนเดิมของปรางถูกเผาทำลายไปนับแต่การศึกคราวก่อน เขาเองก็มิคาดคิดว่าหล่อนจะหวนคืนสู่เมืองพิษณุโลกสองแควอีกครั้ง และหามีเหตุอันใดให้ต้องติดต่อกันอีกไม่ เวลานี้เขาจึงมิอาจทราบว่าเรือนหลังใหม่ของเจ้าหล่อนนั้นตั้งอยู่แห่งหนใด

แม้จะขัดใจอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยมนุษยธรรมจึงทำให้นายทหารหนุ่มตัดสินใจช้อนกายแน่งน้อยขึ้นแนบอุระ แล้วมุ่งหน้ากลับสู่เรือนของตนเสียแทน

“เกิดกระไรขึ้นรึพ่อทัด”

เป็นไปดั่งที่คาดหมาย เพราะเพียงฝ่าเท้าย่างเยื้องถึงชานเรือน มารดาซึ่งกำลังจัดเตรียมของทำบุญในรุ่งเช้าพลันถลันออกมายังจุดที่เขายืนอยู่ 

ร่างท้วมยกสองมือขึ้นทาบอกด้วยอารามตกใจ ยิ่งพิศมองสภาพของสตรีในอ้อมแขนบุตรชาย ในฐานะที่เป็นสตรีเช่นเดียวกันจึงมองรูปการณ์ออกได้โดยไม่ยาก

“พุทโธ่ ลูกสาวบ้านไหนหนอ ไฉนจึงเคราะห์ร้ายถึงเพียงนี้”

ครั้นคราบมอมแมมบนใบหน้าถูกเช็ดออกจนเกลี้ยงเกลา ธารน้ำสายยาวพลันกลั่นร่วงจากดวงตาฉ่ำชื้น

“แม่คุณของป้า ใครกันมันช่างใจร้ายใจดำทำกับหลานได้”

เมื่อครั้งยังมิมีสงคราม นางทับทิมนั้นเคยค้าขายผ้าทอมาก่อน โดยส่วนใหญ่ผู้ที่แวะเวียนมาอุดหนุนจนกลายเป็นลูกค้าประจำย่อมมิพ้นคุณหญิงเขียนจันทร์ ที่ต้องใช้ผ้านุ่งสวยงามเพื่อทำเครื่องแต่งกายของนางรำในคณะ จึงไม่แปลกที่หล่อนนั้นจะรู้จักมักคุ้นกับบุตรีของลูกค้าตนเป็นดิบดี

“คุณพระคุ้มครองแท้ๆ เทียว แม่ปรางเอ๋ย”

มือป้อมเกลี่ยปอยผมที่ลงมือหวีจนกลับมาเงางามดังเดิมให้พ้นกรอบหน้า หลังจากใช้ผ้าซับรอยเลือดแห้งกรังจนหมดไป คงเหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยบอบช้ำบนข้างแก้มและหน้าท้องแบนราบ

ขุนศึกหนุ่มที่รู้ตัวว่าตนเองมิบังควรมองจ้องผิวนวลใต้ร่มผ้าของคนหลับใหลจึงเร่งถอนสายตา ร่างสูงผุดลุกขึ้นเมื่อบิดาย้อนกลับขึ้นมาหลังจากส่งเกลอเก่าซึ่งเป็นหมอยาตำรับชาวบ้านพ้นเรือนไป

“ประคบสมุนไพรอีกสักหน่อย รอยช้ำคงจักทุเลา ห่วงเพียงแต่จิตใจนางนี่ซี จักหวาดกลัวกี่มากน้อยก็มิรู้ น่าสงสารเสียจริง”

สิ้นคำพูดของผู้เป็นใหญ่ในเรือน เสียงแหบแห้งพลันกรีดร้องทั้งที่ยังมิลืมตา ลำตัวสั่นระริกดั่งวิหคหลงรัง เป็นท่าทางที่ทำให้แม่นายของเรือนต้องปาดน้ำตาที่ไหลรินอีกคำรบ ก่อนจะขยับกายเข้าโอบกอดร่างแน่งน้อยไว้ มือนุ่มลูบศีรษะทุยสวยเป็นเชิงปลอบประโลม

“ชู่...นิ่งเสียเถิดหนา ป้าแลพี่ทัดอยู่กงนี้ จักมิมีผู้ใดทำกระไรหลานได้แล้ว”

เมื่อชื่อของตนถูกกล่าวอ้างโดยปราศจากความยินยอม ตาเรียวจึงผินมองอย่างมิใคร่พอใจ ทว่าหมื่นสุรเสนาไม่กล้าเอ่ยคำใด ด้วยผู้พูดเป็นบุพการีของตน จึงทำได้เพียงเบนดวงตาโชนแสงไปยังร่างของสตรีในอ้อมแขนมารดาแทน 

ถ้อยคำต่อว่าที่อยากจะพร่ำพูดให้สาแก่ใจถูกเก็บกลืนกลับไป เพียงเพราะสภาพของเจ้าหล่อนยามนี้ย่ำแย่เกินใจจะทานทน ร่างสูงจึงสืบเท้าจากมาท่ามกลางความงุนงงของบิดามารดา 

“ลูกจักนำความไปรายงานยังกรมเวียงขอรับ โจรผู้ร้ายเยี่ยงนี้ หากปล่อยไปมันคงกำเริบเสิบสาน ลงมือก่อการกับหญิงอื่นอีกโดยมิเกรงกลัวต่ออาญาแผ่นดิน”

ทว่ายังมิทันพ้นชานเรือน แว่วเสียงกังวานของบิดาที่ดังลอดมา เพียงเท่านั้นใจบุรุษที่แกร่งกล้าก็พลันทำทีจะอ่อนยวบลงเสียอย่างนั้น

“นางตัวคนเดียวมิใช่ฤๅแม่ทับทิม พ่อแม่ก็สิ้นไปหมดแล้ว บ้านเมืองเป็นฉะนี้ เป็นหญิงลำพังจักอยู่ได้เยี่ยงไร”

“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! อย่า...ข้ากลัวแล้ว”

เสียงหวีดร้องดังฝ่าความเงียบงันยามราตรี พาให้ร่างแกร่งที่เพิ่งกลับถึงเรือนเร่งสืบเท้ามายังต้นเสียงนั้น เห็นมารดาและบ่าวหญิงอีกผู้ช่วยกันจับแขนเรียวที่ปัดป่ายไปมาไว้คนละข้าง ทว่าไม่อาจต้านทานกำลังของคนที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายได้ 

หมื่นสุรเสนาปลดดาบที่มักสะพายติดกายอยู่เสมอวางลงกับตั่งเตี้ย ก้าวเท้ายาวๆ เพียงไม่กี่ก้าว ร่างสูงใหญ่ก็ประชิดถึงฟูกนอน เขาแตะท่อนแขนของมารดาเพื่อบอกให้อีกฝ่ายผละกายออกมา ด้วยเกรงว่าพละกำลังของสตรีบนฟูกนั้นจะพาให้มารดาตนเป็นอันตรายได้

เปลือกตาบวมช้ำขยับยุกยิกเสมือนว่าคนหลับใหลกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องหวาดผวา ซึ่งเขาเดาว่าคงมิพ้นเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นย่ำอย่างแน่แท้ แผ่นอกบางหอบสะท้าน กอปรกับหยาดเหงื่อที่พร่างพรมไปทั่วลำตัว พาให้ฟูกที่ใช้รองนอนเปียกชุ่ม

“แม่ปราง”

ขุนศึกหนุ่มลองส่งเสียงเรียก เผื่อว่าเจ้าของชื่อจะคืนสติ แต่เพียงจิตใต้สำนึกของคนฟังรับรู้ถึงเสียงทุ้มต่ำของมนุษย์เพศชาย ร่างอรชรจึงผุดกายลุกนั่งพร้อมด้วยแรงมหาศาลที่ผลักคนตัวโตกว่าจนซวนเซไปอีกทิศทางหนึ่ง

“อย่าเข้ามา!”

นาทีนี้ไม่ว่าสองมือจะคลำสิ่งใดใกล้ตัวซึ่งพอจะใช้แทนอาวุธได้ หญิงสาวก็ฉกฉวยเอาสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันตนให้พ้นจากเภทภัยเสียทั้งสิ้น 

ทว่าอนิจจาเอ๋ย สิ่งที่มือเรียวไขว่คว้าได้คงมีเพียงหมอนขิดใบน้อยที่หล่อนเคยใช้หนุนนอนเท่านั้น 

หมื่นสุรเสนาสั่นศีรษะอย่างอ่อนใจ เห็นร่างอรชรกวัดแกว่งหมอนไปมาทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตา เสียงทุ้มจึงขานเรียกชื่อหล่อนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นกว่าเก่า

คนที่ขวัญผวาอยู่เป็นทุนเดิมสะดุ้งรับตัวโยน แต่มิช้าเปลือกตาบวมช้ำจึงยอมเปิดขึ้นมองรอบข้าง

เมื่อภาพที่ปรากฏนั้นมิใช่ชายป่าเฉกเช่นที่นึกกลัว หญิงสาวจึงสงบลง สายตาลอบสำรวจสถานที่ที่ไม่คุ้นตาอย่างระแวดระวัง เห็นเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นและหน้าต่างบานใหญ่ตรงปลายเท้า คาดเดาเอาว่าที่นี่คงเป็นเรือนของชาวบ้านสักคนที่ช่วยหล่อนไว้

ปรางกระถดกายจนแผ่นหลังชิดติดมุมห้องเพื่อระวังภัย แสงสลัวจากตะเกียงบนโต๊ะไม้สะท้อนเงาของบุคคลที่อยู่รอบกาย จึงหรี่ตาลงน้อยๆ เพื่อเพ่งพิจารณาร่างของคนแปลกหน้าทั้งสาม ที่หล่อนพอจะเห็นเค้ารางว่าเป็นสตรีสองนาง และบุรุษเจ้าของเสียงทรงอำนาจเมื่อครู่

“แม่ปราง นี่ป้าเองหนา ป้าทับทิมอย่างไรเล่า”

ครั้นเห็นว่าสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ นางทับทิมจึงค่อยๆ หย่อนกายถัดไปจากหญิงสาวที่นั่งนิ่งเสมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ เสียงกังวานเอ่ยอย่างอาทร พร้อมแตะท่อนแขนบอบบางแผ่วเบา

“คุณป้า...”

ปรางขานเรียกตาม เมื่อระลึกได้ว่าร่างท้วมตรงหน้าคือคนที่ตนเองเคยรู้จักมาก่อน ความอุ่นใจพลันบังเกิดขึ้น ก่อนจะลอบช้อนมองใบหน้าคร้ามคมของใครอีกคนที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง 

ชายคนนั้นเป็นเขาเองดอกฤๅ...

หวนนึกถึงภาพจำสุดท้ายที่สติจะรับรู้ได้ เพียงเท่านั้นความอุ่นซ่านจึงเอ่อล้นไปทั่วดวงใจ ทว่าด้วยแสงสว่างภายในห้องนั้นมิอาจส่องถึง ยามนี้หล่อนจึงมิอาจรับรู้ได้ว่าเขาจะมองกันด้วยสายตาเช่นไร

แต่พอจะคาดคะเนได้อยู่ว่าสายตานั้นคงมิพ้นแววเรียบเฉยดังเช่นที่แล้วมา ซ้ำร้ายกว่าอาจเป็นแววชิงชัง ที่ครั้งหนึ่งหล่อนเคยได้สัมผัส และรับรู้ว่ามันเจ็บร้าวเสียยิ่งกว่าคมอาวุธใดๆ 

ถ้าเป็นเช่นนั้นสู้มิเห็นมันเลยคงจักเป็นการดีเสียกว่า

หมื่นสุรเสนาไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะต้องเจอกับฤทธิ์ของสาวเจ้าจึงได้ลอบบดกราม มือใหญ่แตะลงบนแผ่นอกข้างที่ถูกผลัก แม้แรงของหล่อนจะมิได้มากทัดเทียมบุรุษ แต่สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดคงส่งให้สตรีที่ตัวเล็กเพียงเท่านี้มีแรงฮึดสู้อย่างมหาศาล ร่างสูงจึงขยับแขนและไหล่ของตนเองไปมาเพื่อไล่อาการเคล็ดขัดยอก

“ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ เทียว”

“พ่อทัด! ดูพูดเข้าซี น้องยังมิหายเสียขวัญ พ่อจักถือโทษโกรธเคืองกันไปไย”

คำเอ็ดของมารดาพาให้ขุนศึกหนุ่มถอนใจแล้วแสร้งเมินหน้าหนีไปอีกทางทันที ด้วยมิอยากมองแม่เสือร้ายที่บัดนี้กลับกลายเป็นลูกแมวตัวน้อยไปเสียแล้ว

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ...ที่เมตตาช่วยเหลือข้า”

เสียงหวานบอกผู้อาวุโส มือเรียวสวยกระพุ่มไหว้อีกครั้ง แล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงคนหน้าดุเบื้องหลังด้วย

“รบกวนคุณป้ามามากนัก ข้าคงต้องขอตัวลาก่อนหนาเจ้าคะ แลขออภัยที่ทำให้ต้องวุ่นวายเจ้าค่ะ”

มิรู้ทำไม เขาจึงรู้สึกขัดหูขัดตากับกิริยาสงบนิ่งของเจ้าหล่อนเสียเหลือเกิน ทั้งที่ตนเองหวาดกลัวถึงเพียงนั้น แต่ยามนี้กลับทำเสมือนว่าตนเองหนักแน่นดุจภูผาที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด

“จักดีฤๅแม่ปราง ค่ำมืดดึกดื่นเพียงนี้ นอนพักอีกสักหน่อย แลรอให้สว่างก่อนค่อยกลับเถิด”

นางทับทิมเอ่ยอย่างกังวล แต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของหญิงรุ่นลูกแล้ว แม่นายของเรือนจึงยอมทำตามความประสงค์ ทว่าไม่ลืมออกคำสั่งให้คนของตนตามไปส่งร่างอรชรให้กลับถึงเรือนโดยปลอดภัย

ยามนี้...ใครอีกคนที่ไม่ปริปากพูดคำใดนับแต่ย่างกรายออกจากเรือนจึงก้าวเดินตามร่างเพรียวบางไปอย่างเสียมิได้ ตาเรียววางนิ่งยังแผ่นหลังนวลภายใต้เครื่องแต่งกายเฉกเช่นข้าราชบริพารในราชสำนัก เห็นชายสไบสีอ่อนทิ้งตัวลงมาด้านหลังปลิวไหวตามจังหวะการเคลื่อนกายของเจ้าตัว 

ความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างกันทำให้ปรางรู้สึกอึดอัด กลีบปากจึงเผยอขึ้นสลับหุบลงอยู่หลายคราว ด้วยใจนั้นอยากไต่ถามความเป็นไปของเขาตามประสาคนที่มิได้พบหน้ากันมายาวนาน แต่รู้ดีว่าเขาเกลียดชังหล่อนเพียงใด สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงลอบกุมมือชื้นเหงื่อเข้าหากันเพื่อสะกดกลั้นอาการของตนไว้

ดูทีว่าหนทางกลับเรือนจะไกลและใช้เวลามากกว่าทุกครั้ง ปรางจึงเร่งฝีเท้าเพื่อหวังให้ห้วงเวลาที่แสนบีบคั้นเช่นนี้จบลงโดยไว ก่อนที่ขาทั้งสองจะอ่อนแรงลงจนเกือบเสียหลัก

“ขออภัยเจ้าค่ะ” 

เสียงพูดแผ่วพร่าดุจคำกระซิบ ปลายคางบึกบึนอยู่ชิดติดปลายจมูก

ใกล้...จนหอมอวลกลิ่นเข้มจัดจากกายชายเจือกลิ่นสุราอ่อนจาง 

หล่อนมินึกว่าเขาจักช่วย...

ท่อนแขนที่โอบรัดอยู่รอบเอวแน่งน้อยทำจิตใจที่ไม่เคยเป็นของตนสั่นระรัว ก่อนที่ปรางจะรู้ตัวว่ามิควรเป็นเช่นนี้ ร่างงามระหงพลันดีดตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นราวกับต้องของร้อน

เห็นใบหน้าบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายแล้ว จึงหักใจทำในสิ่งที่ใจตนมิเคยปรารถนาจะให้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย 

“คุณพี่มิต้องไปส่งข้าถึงเรือนดอกเจ้าค่ะ จากกงนี้กลับเรือนข้าอีกมิไกล ข้าไปคนเดียวได้เจ้าค่ะ”

สตรีอวดดี 

ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวของคนฟังโดยพลัน นัยน์เนตรดำสนิทเฉกเช่นพื้นนภามองจ้องร่างแบบบางโดยไม่พูดอะไร

ปกติเขาหาใช่คนสงวนถ้อยคำเช่นนี้ไม่ แต่เพราะเป็นสตรีตรงหน้า เขาจึงมินึกอยากเจรจาอันใดกับเจ้าหล่อนมากนัก ด้วยท้ายที่สุดแล้ว มิแคล้วจะต้องพ่นวาจาเจ็บแสบให้หล่อนได้ระคายใจอยู่ร่ำไป

“เมื่อครู่ ข้าเห็น...มีทหารเวรยามออกตรวจตราอยู่มากมาย ข้ามิเป็นกระไรดอกเจ้าค่ะ”

ปรางสำทับอีกครั้ง ทั้งที่ตนเองก็พอจะรู้ดีว่าหาจำเป็นต้องทำเช่นนั้นไม่ เขาคงมินึกสนใจไยดีว่าจะหล่อนเป็นเช่นไร

ดวงตากลมสวยอ่อนแสงลงเพียงชั่วครู่ ก่อนที่หญิงสาวจะปรับสีหน้าและแววตาให้เรียบเฉยดังเดิม 

“ข้าลาหนาเจ้าคะ ขออภัยอีกคราที่รบกวนคุณพี่แลคุณป้าในยามดึกดื่นเยี่ยงนี้”

นายทหารหนุ่มมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คงมีเพียงท่าทางสงบนิ่งเย็นชา ปรางจึงประนมมือไหว้เป็นการบอกลา แล้วหันหลังจากมาพร้อมน้ำตาเม็ดน้อยที่หยดลงประจานความอ่อนแอและโง่งมของตนเอง 

เพราะหัวใจที่ไม่รักดีดวงนี้มันยังเป็นของเขาเสมอมา ไม่ว่ากาลเวลาจักผ่านผันไปกี่ปี หล่อนก็ยังรักเขามิเสื่อมคลาย

แต่สาวเจ้าคงมิรู้ว่าคนที่ตนเองคำนึงถึงกำลังสืบเท้าตามหลังมาโดยเว้นระยะห่างมิให้หล่อนได้สังเกต ตาเรียววางนิ่งยังแผ่นหลังบอบบางที่มองจากมุมนี้แล้วดูจะยิ่งบอบบางเสียจนอาจสลายไปกับสายลมหอบใหญ่ที่กำลังพัดผ่านมา เห็นมือเรียวยกขึ้นลูบแขนพร้อมห่อไหล่ไว้ สัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างจากสตรีอวดดีที่มักแสดงออกว่าตนเองไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด

และนั่นจึงยิ่งทำให้เขาแสนชัง

สตรีใจดำเช่นนั้น ลงเอยด้วยการมิเหลือใครก็เหมาะสมแล้วมิใช่หรือไร

แต่มิรู้ทำไม...

อีกเสี้ยวหนึ่งของใจ กลับมิได้อยากให้เป็นเช่นนี้แม้แต่สักนิด


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น