เพลิงปริศนา

“ซี๊ด...”

เสียงสูดปากรั้งหางตาจากบุรุษหนุ่มที่นั่งปั้นหน้าถมึงทึงนับแต่ย่างกรายมาถึงเรือนหมอให้หันมอง เห็นดวงหน้าซีดเซียวและหยาดเหงื่อเม็ดโตผุดพราวรอบกรอบหน้านั้นแล้ว คนมองจึงได้แต่ลอบสบถกับตนเองเพียงลำพัง

“สตรีโง่งม”

ดูทีว่าคนถูกกล่าวหาจะได้ยิน เพราะนัยน์เนตรงามโศกเหลือบมองใบหน้าดุดัน ก่อนจะสูดปากอีกครั้งเมื่อหมอชราฝนยาใส่บาดแผล

“ขออภัย...แต่อดทนหน่อยหนา ยานี้จักช่วยมิให้แผลเจ้าอักเสบ”

หมอทองดีเอ่ยอย่างใจเย็น แม้จะอดสงสัยมิได้ว่าเหตุใดร่างอรชรจึงได้เจ็บตัวติดกันถึงสองครั้งสองครา เพราะจดจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เพิ่งถูกตามตัวไปรักษาเจ้าหล่อนอย่างเร่งด่วนถึงเรือนของขุนศึกหนุ่ม 

“แม่หญิง”

เสียงเนิบนาบเอ่ยเรียกเพื่อรั้งความสนใจของหญิงสาวกลับคืนมา เมื่อครู่เห็นดวงตากลมสวยมองเลยไปยังเสี้ยวหน้าคมคายของหมื่นสุรเสนา ชายชราจึงได้แต่สั่นศีรษะ ด้วยผ่านวัยหนุ่มสาวมาก่อน จึงมองออกได้มิยากว่านัยน์ตาคู่นั้นสื่อความหมายอย่างไร แต่เพราะมิใช่เรื่องของตน หมอทองดีจึงไม่คิดก้าวล่วง

   “เจ้าคะ?”

ปรางวางสายตาบนบาดแผลที่ถูกเย็บอย่างประณีต รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาครามครัน ครั้นเห็นผ้าซับโลหิตที่กองสุมอยู่บนพื้นเรือน 

ไหนจะเมื่อตอนเย็บแผลนั่นอีกปะไร ต้องข่มความเจ็บจนแทบขาดใจเมื่อเข็มและไหมทิ่มแทงลงบนผิวเนื้อ ด้วยชั่วชีวิตมิเคยต้องเลือดตกยางออกถึงเพียงนี้มาก่อน จึงอดก่นด่าความใจเร็วของตนมิได้ บางทีหากมิเยี่ยมหน้าเข้าไปสอดดังที่อ้ายทหารเลวผู้นั้นว่า หล่อนคงไม่มีอันต้องเจ็บตัว

ทว่าเพียงนึกถึงสาวชาวบ้านผู้แสนน่าสงสารแล้ว รอยยิ้มอ่อนจางพลันผุดพรายบนเรียวปาก 

‘บุญคุณครานี้ของแม่หญิง ข้าจักมิมีวันลืมเลยเจ้าค่ะ’

ร่างมอมแมมนั้นก้มกราบแทบเท้า ก่อนจะหอบร่างสะโหลสะเหลวิ่งจากไป เดาว่าคงจะเร่งไปซื้อยาต้มมาให้แม่ของตนกระมัง

อย่างน้อยวันนี้...หล่อนก็ช่วยชีวิตคนไว้ได้ถึงสองชีวิตเทียวหนา...

“ข้าจักให้ยาต้มไปด้วย ดื่มทดแทนของเดิมที่ข้าเคยให้ไว้ จักช่วยลดไข้แลช่วยให้แผลสมานในเร็ววัน รอยช้ำกงนี้เช่นกัน”

ปรางยกมือแตะพวงแก้มของตนตามคำบอกกล่าวของหมอชรา เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมา คะเนเอาว่าไข้คงจะได้ถามหาในอีกมิช้า 

เห็นหมอทองดีลุกไปสั่งความบางอย่างแก่หมื่นสุรเสนาที่นั่งปั้นหน้าเคร่งขรึมกอดดาบของตนเอาไว้ แล้วหันมองออกไปนอกชานเรือน ประหนึ่งทหารที่กำลังเฝ้าระวังภัย หญิงสาวจึงลอบหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสะเทือนไปถึงแผลบนต้นแขนให้ได้สูดปากอีกรอบ

‘เจ็บก็บอกว่าเจ็บ มันจักเป็นกระไรหนักหนา เพียงบอกความรู้สึกของตนเองออกมา มันจักทำให้เจ้าขาดใจตายหรือไร!’

แม้ถ้อยคำนั้นจะมิได้หวานรื่นหู หากกลับทำให้ใจคนฟังอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด

เพราะเพียงรับรู้ว่าเขายังอาทรกันอยู่บ้าง หาได้ตั้งป้อมชิงชังกันจนมิสนใจไยดีว่าหล่อนจะเป็นตายอย่างไร เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วสำหรับคนที่แสดงออกว่าเกลียดชังกันตลอดมา

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

มือเรียวสวยกระพุ่มไหว้ ร่างสูงจึงพยักหน้ารับอย่างสงวนท่าที แล้วเมินหน้าหนีออกไปด้านนอกชานเรือนอีกครา เสมือนว่ามีสิ่งที่น่าสนใจเป็นหนักหนาอยู่บริเวณนั้น

“ข้ารบกวนคุณพี่สองคราติดแล้ว เราเร่งกลับเข้าวังกันเถิดเจ้าค่ะ ป่านฉะนี้...”เสียงหวานพูดพลางหลุบตามองต่ำ ไม่กล้าสบสายตาคมกล้า เพราะเกรงว่าจะได้รับความขุ่นเคืองกลับมาให้ร้าวรานใจ

ทว่าในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืน อาการวิงเวียนศีรษะทำให้ร่างบางปลิวลมซวนเซไปอีกทิศทางหนึ่ง ก่อนที่ท่อนแข็งแกร่งจะสอดเข้าใต้แผ่นหลัง รับเอาร่างอ่อนแรงที่เสียหลักไว้ได้ทันท่วงที

ผิวเนื้อนวลเนียนร้อนระอุจนบุรุษหนุ่มสัมผัสได้ ไอร้อนจากลมหายใจทำให้ต้องบดกรามอีกครั้ง 

“อวดดี!”

ปรางช้อนสายตามองกลับโดยพลัน จุดกึ่งกลางตาเจือแววดื้อรั้น หากสีหน้ายังคงเรียบเฉยเสียจนคนมองนึกหงุดหงิดใจ 

“ข้ามิได้...”

“ตัวร้อนเช่นนี้แล้วยังจักทะเวนไปที่ใดอีก รังแต่จักสร้างภาระให้คนในวังเสียมิว่า นอนพักอยู่กงนี้ให้ไข้ทุเลาลงเสียก่อนค่อยกลับเรือน”

“แต่ข้า...”

“เก็บความอวดดีของเจ้าไว้ใช้คราวอื่น คราวนี้หาใช่เพลาเหมาะควรไม่!”

...ข้ามิอยากอยู่ที่นี่เพียงลำพัง...

ประโยคที่เสียงหวานตั้งใจจะเอื้อนเอ่ยถูกคำต่อว่ายืดยาวนั้นกลบทับไป ปรางจึงลอบขบเม้มริมฝีปากของตน ก่อนจะแกะฝ่ามือใหญ่ออกจากลำตัว แล้วหันหลังกลับเข้าไปในเรือนรักษา 

ร่างแบบบางทิ้งตัวลงบนฟูกนอนช้าๆ ตะแคงหน้าเข้าหาฝาผนังสีทึม พร้อมปิดเปลือกตาลงด้วยความน้อยใจ ทั้งที่รู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำให้ในวันนี้มากเกินพอแล้ว หล่อนมิควรเรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้อีก 

ความเหน็บหนาวจากพิษไข้ทำให้กายผ่ายผอมขดเข้าหากัน มือเรียวยกขึ้นกอดตนเองไว้ หวังบรรเทาให้ความหนาวสะท้านนั้นคลายลง

   ท่าทางเซื่องซึมของอิสตรีเป็นที่หงุดหงิดใจของคนมองอีกครา ตาเรียวจึงตวัดมองโดยไม่คิดสงวนอาการว่าชิงชัง 

และที่ชิงชังกว่านั้น คงมิพ้นตนเองที่มิอาจขยับเขยื้อนกายจากไปตามใจปรารถนา เพราะขาสองข้างกลับพาร่างทรุดตัวนั่งตรงมุมเดิมพร้อมกอดอาวุธคู่กายไว้ เสมือนว่าจะต้องระวังภัยให้แก่คนที่กำลังจมลงสู่ห้วงนิทรา 

มินานหางตาจึงเหลือบเห็นแผ่นหลังบางสะท้อนขึ้นลงตามลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ นัยน์ตาที่แข็งกร้าวพลันอ่อนแสงตาม แต่แล้วบุรุษหนุ่มก็เร่งสลัดศีรษะเพื่อไล่ความคิดพิกลที่กำลังก่อเกิดให้หมดไป

เขาน่ะฤๅ...กำลังนึกสงสารสตรีใจร้ายผู้นี้

ไม่มีทางเสียล่ะ

ก่อนที่เสียงแผ่วเบาของคนที่อาจกำลังละเมอเพราะพิษไข้จะดังลอดมาถึงร่างสูงใหญ่ เปรียบดั่งน้ำหยดน้อยไหลซึมเข้าสู่ดวงใจแกร่งกล้าดุจหินผาอย่างช้าๆ 

“อภัยให้ข้าสักครา...มิได้ฤๅเจ้าคะ”

เปลือกตาคู่นุ่มเปิดขึ้นอีกครั้งยามได้กลิ่นควันไฟจางๆ ลอยปะทะจมูก แสงตะวันจากฟากฟ้าลาล่วงไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมนบนท้องนภาและดวงจันทราทอแสงอ่อนบางเหนือศีรษะ ร่างระหงจึงค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นพลางยกมือนวดคลึงขมับของตน

อาการหนาวสั่นทุเลาลง เฉกเช่นบริเวณบาดแผลบนหัวไหล่ที่คลายความเจ็บร้าว หากยังต้องนั่งพักครู่หนึ่งเพื่อให้ตนเองคุ้นชินกับการเคลื่อนไหวร่างกายที่ต้องช้าลงกว่าปกติ

“ตื่นแล้วฤๅ”

ดวงตากลมสวยผินมองเจ้าของเสียงโดยพลัน แสดงออกถึงความประหลาดใจระคนดีใจ เพียงได้เห็นใบหน้าคมคายของคนที่หล่อนคิดว่าคงกลับไปนานแล้ว 

เมื่อคิดว่าตนเองอาจหลงละเมอด้วยพิษไข้ มือเรียวจึงออกแรงบิดท่อนแขนของตนเต็มแรง พอให้ได้เสียงสูดปากและรอยบุ๋มของคมเล็บที่จิกลงบนผิวเนื้อ

ท่าทางของร่างแบบบางอยู่ในคลองตาของนักรบหนุ่มทั้งหมด ศีรษะได้รูปจึงสั่นไปมาเสมือนว่าระอาใจ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะขยับเข้าใกล้คนเจ็บที่นั่งอยู่บนฟูก ถือวิสาสะแนบหลังมือลงบนหน้าผากนูนเกลี้ยงนั้น จนคนที่ถูกแตะต้องกายาอย่างอุกอาจถึงกับผงะถอยหลังไป

“ขออภัย ข้าเพียงแค่อยากแน่ใจว่าไข้เจ้าลดลงแล้วก็เท่านั้น”

ทั้งกิริยาและถ้อยคำมิได้หวานรื่นหู หากกลับทำให้ใจอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด ปรางจึงเร่งซ่อนอาการขวยเขินเอาไว้ นึกขอบคุณที่บัดนี้รอบข้างคงมีเพียงแสงไฟจากตะเกียงดวงน้อยเท่านั้น ร่างหนั่นแน่นเบื้องหน้าคงไม่อาจสังเกตเห็นพวงแก้มแดงโร่ฟ้องอาการ

“ข้านึกว่า...คุณพี่จักกลับไปเสียแล้ว...”เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มคำ ทว่ายังฝืนสู้ดวงตารียาวที่วางนิ่งอยู่บนใบหน้าของตนจึงรับรู้ได้ถึงความไม่สบอารมณ์จากสายตาคู่นั้น

“ท่านหมอไปออกตรวจชาวบ้านฝั่งโน้น จึงฝากข้าเป็นธุระเฝ้าเรือนให้จนกว่าอ้ายเปลวจักกลับมา”

หมื่นสุรเสนาอธิบายรวดเดียว อ้างถึงลูกมือของหมอทองดีที่ถูกไหว้วานให้ออกไปเก็บสมุนไพรตั้งแต่ช่วงสาย

เห็นสีหน้าเย็นชาของสตรีตรงหน้าแล้วนึกหงุดหงิดใจขึ้นมาครามครัน ร่างสูงจึงขยับกายออกห่างแล้วกลับไปทรุดตัวลงนั่งที่เดิม มือแกร่งยกสุราที่ยังเหลือค้างอยู่ก้นถ้วยขึ้นกระดกในรวดเดียว

“คุณพี่ติดสุราด้วยฤๅเจ้าคะ”

ไวกว่าความคิด เพราะกลีบปากสีซีดพลั้งพูดสิ่งที่ตนเองนึกสงสัยออกไป และนั่นจึงเรียกสายตาเฉียบคมจากชายหนุ่มที่นั่งเยื้องไปไม่ไกลให้ตวัดมองมาโดยทันที

แต่คราวนี้ปรางไม่คิดหลบเลี่ยงสายตาคู่นั้น หล่อนมองจ้องลึกลงไปในดวงตารียาวราวกับจะค้นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ในคราวนี้จึงเป็นนายทหารหนุ่มเสียเองที่ไม่อาจฝืนสู้ดวงตาวาวใสของคนที่ตนเองปักใจชิงชังได้

ปรางผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ทั้งห่วงใยและไม่อยากให้อีกฝ่ายร่ำสุราเป็นอาจิณ เพราะเพียงกลิ่นติดกายที่โชยมา ก็พอจะทำให้รับรู้ได้ว่าหลายขวบปีที่ผ่านพ้น คนตรงหน้าคงมีสุราเมรัยเป็นมิตรแท้ 

กลีบปากได้รูปขบเม้มเข้าหากันเป็นเชิงชั่งใจ นึกอยากไต่ถามถึงสิ่งที่รบกวนจิตใจเขา

หากเสี้ยวหนึ่งของใจรู้ดีว่าสาเหตุนั้นมีที่มาจากสิ่งใด ถามไถ่ไปก็รังแต่จะทำให้ต้องเจ็บช้ำ ร่างแบบบางจึงฝากคำขอโทษผ่านสายลมไป ไม่หวังว่าเสียงผะแผ่วเสมือนรำพันกับตนเองจะดังลอดไปถึงดวงใจแกร่งกล้าของคนฟัง

ทว่า...เสียงกระซิบแผ่วเบาดุจหยาดน้ำค้างปลิวแตะยอดหญ้า กลับชัดเจนในโสตประสาทของนายทหารหนุ่ม

หมื่นสุรเสนาแสร้งทำเป็นมองออกไปด้านนอกชานเรือน เพราะนี่นับเป็นครั้งที่สองที่ถ้อยคำเหล่านั้นสั่นคลอนใจเขา มือใหญ่จึงยกถ้วยกระเบื้องขึ้นจรดชิดริมฝีปาก หวังให้รสขมปร่าของน้ำจัณฑ์ชะล้างอาการแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจให้หมดไป

“อ้ายเปลวมาโน่นแล้ว กลับเรือนเจ้าเถิด ข้าจักไปส่ง”เสียงกังวานว่าเพียงเท่านั้น แล้วจึงลุกขึ้นสะพายอาวุธคู่ใจแนบแผ่นหลัง ท่อนขาแข็งแรงออกเดินนำไปโดยไม่รอให้คนเจ็บได้ทัดทานอะไรอีก

ปรางหยัดยิ้มกับตนเองเพียงลำพัง ยามนี้ไม่มีแม้แต่น้ำตาจะรินไหล หล่อนคิดว่าตนเองคงเริ่มชินชากับกิริยามึนตึงเหล่านั้นเสียแล้ว เพราะแม้ท่าทางของเขาจะไร้ซึ่งเยื่อใย หากยังคงมีน้ำใจต่อกันเฉกเช่นที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันพึงมี เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงเร่งสืบเท้าตามหลังเขาไป

แต่ด้วยเพิ่งฟื้นคืนจากพิษไข้ ความอ่อนเพลียจึงทำให้ม่านตาของหล่อนพร่ามัว ร่างปลิวลมซวนเซ มือเรียวคว้าชายเสื้อของคนที่เดินนำหน้าไปได้ จึงออกแรงกำมันไว้ราวกับนั่นเป็นหลักยึดเดียวที่ตนเองมี

“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าวิงเวียนเพียงเล็กน้อย คุณพี่เดินต่อเถิดเจ้าค่ะ”

ไม่ทันสิ้นประโยคดีนัก เพราะร่างสูงกลับเดินอ้อมมาแล้วช้อนตัวหล่อนขึ้นโดยไม่มีคำบอกกล่าว ดวงตาคู่งามจึงเบิกโพลงด้วยอารามตกใจ พร้อมร่างกายที่เกร็งไปหมดทุกส่วนโดยพร้อมเพรียงกัน

“หากปล่อยเจ้าเดินไป ข้าว่าค่อนคืนก็คงไม่ถึงเรือนดอกกระมัง”

เมื่อได้ฟังน้ำเสียงกึ่งตำหนิ ปรางจึงลดสายตาลงแล้วหลุบมองเพียงปลายคางบึกบึน จวบจนมาถึงบริเวณหมู่บ้านของตน 

แสงไฟโหมกระพือจากที่ไกลๆ พร้อมทั้งผู้คนที่มุงอยู่โดยรอบรั้งความสนใจได้เป็นอย่างดีคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันขณะพยายามเพ่งมองภาพเหล่านั้น เพียงระลึกได้ว่าสถานที่เกิดเหตุเป็นเรือนของตน ความหวาดวิตกทำให้หญิงสาวหลงลืมอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นไปเสียหมดสิ้น

ปรางดิ้นลงจากอ้อมแขนอุ่นแล้วเร่งสาวเท้าไปยังบริเวณต้นเพลิง ใจหญิงสั่นระรัวเหลือคณนา กระทั่งเห็นร่างท้วมที่ตนเองนึกห่วงกังวล จึงโล่งใจดุจยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากกลางอก 

ร่างแบบบางผวาเข้าหาบ่าวชรา กุมมือชื้นเหงื่อของฝ่ายนั้นไว้ พลางเบนสายตาไปยังเรือนมุงจากที่กำลังถูกเปลวไฟลามเลีย

“แม่น้อม! เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้!”

“บ่าวเองก็มิทราบเจ้าค่ะ รู้อีกที เพลิงก็ลุกลามเสียแล้ว จักทำเยี่ยงไรกันดีเจ้าคะ คุณปราง”นางน้อมว่าเสียงหอบสะท้าน มือเหี่ยวย่นเกาะกุมท่อนแขนเรียวเสลาไว้ราวกับจะหาที่พึ่งพิง

ปรางจึงกุมมือนั้นเพื่อปลอมประโลมให้หญิงชราคลายกังวล ก่อนจะระลึกได้ว่าในเรือนมีของสำคัญที่หล่อนเพิ่งได้รับมา จึงถลันเข้าไปภายในท่ามกลางเสียงหวีดร้องของคนรอบข้างและบุรุษหนุ่มที่เพิ่งสืบเท้ามาทัน

“แม่ปราง!”

หมื่นสุรเสนาตวาดกร้าว หากไวเท่าทันความคิด เพราะร่างสูงเร่งติดตามสตรีที่เขาคิดว่าเจ้าหล่อนคงจะวิปลาสไปเสียแน่แล้วเข้าไปด้านในโดยปราศจากความลังเล

กลุ่มควันสีเข้มโอบล้อมไปทั่วทำให้น้ำตาไหลซึมด้วยความแสบเคือง ก่อนจะสำลักออกมาน้อยๆ เพราะเมื่อครู่เผลอสูดดมเขม่าควันเข้าไป จึงเร่งยกท่อนแขนบดบังจมูกของตนไว้

“เจ้าวิปลาสไปแล้วรึฤๅแม่ปราง อยากตายหรือไร!”

มือที่ว่างอีกข้างฉุดกระชากร่างปลิวลมที่พยายามจะสาวเท้าไปเบื้องหน้าโดยไม่เกรงกลัวต่อภยันตราย

เปลวเพลิงโหมกระหน่ำจากท้ายเรือนขึ้นมา ทว่ายังไม่ทันลุกลามถึงบริเวณที่ตั้งหิ้งพระ ปรางจึงยกยิ้มด้วยความโล่งใจ ร่างแบบบางเร่งวิ่งเข้าไปหอบเอาโกศใบเล็กพร้อมห่อผ้าขนาดกลางที่วางหลบมุมอยู่ขึ้นแนบลำตัว หากสาวเจ้าคงหลงลืมว่าตนเองมีบาดแผลบนต้นแขน การเคลื่อนไหวเกินกำลังจึงทำให้ร่างกายเซถลา 

“โอ๊ย!”

ความเจ็บแล่นลงตั้งแต่ไหล่บางจรดท่อนแขนเรียวเสลา หญิงสาวจึงเผลอปล่อยของในมือร่วงหล่นลงไปในทันที เว้นเสียแต่โกศมุกที่เจ้าตัวนั้นกอดไว้แนบแน่นไม่ยอมปล่อยวาง

หมื่นสุรเสนาคำรามก้องในลำคอ ก่อนจะค้อมกายลงเพื่อประคองร่างคนที่กุมบาดแผลของตนไว้ แต่ยังไม่วายดื้อรั้นจะหยิบห่อผ้าเจ้าปัญหาเสียให้ได้ เขาจึงจำต้องสะกดโทสะที่เกิดขึ้น แล้วพาทั้งคนรั้นและของชิ้นนั้นออกมาจากเรือนอย่างทุลักทุเล 

ในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะเคลื่อนกายพ้นจากปากประตู สายตาเหลือบเห็นขื่อคาที่กำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟร้อนระอุทำทีจะร่วงหล่นลงมา ดวงตารียาวจึงเบิกกว้าง เสมือนเป็นกลไกตอบสนองโดยฉับพลันของร่างกาย เพราะวงแขนโอบรัดเอาร่างแน่งน้อยแนบอุระ ก่อนจะพลิกกายแบบบางออกไปให้พ้นจากระยะที่จะเป็นอันตราย หญิงสาวในอ้อมแขนจึงหวีดร้องลั่นดั่งคนเสียขวัญ

“คุณพี่!”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น