๖
คนที่คู่ควร
“เมื่อคืนนอนหลับสำราญใจดีฤๅไม่เล่าลูก”
เสียงนุ่มไต่ถามแขกคนพิเศษที่กำลังรับสำรับเช้าร่วมกันอยู่ตรงกลางเรือนขวาง
ปรางจึงเร่งล้างมือในอ่างทองเหลือง แล้วตอบรับคำถามไถ่อย่างอาทรจากแม่นายของเรือน
“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณที่กรุณาเจ้าค่ะ”
มือเรียวกระพุ่มไหว้ผู้ใหญ่ เผื่อแผ่ไปถึงคนหน้าดุข้างกายที่ไม่ปริปากเอ่ยถ้อยคำ
ดวงตาหวานโศกชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคมคาย ก่อนที่ภาพจำจะผุดพรายในมโนสำนึกแม้เขาจะขยันพร่ำพูดถ้อยคำแสนใจร้ายให้ได้ฟังอยู่บ่อยครั้ง หากแต่การกระทำนั้นช่างสวนทางกันเสียทุกครั้งไป
เพราะค่ำคืนที่ผ่านพ้น ร่างกำยำยืนปักหลักคอยหล่อนอาบน้ำจนแล้วเสร็จ ซ้ำยังทอดสายตามองส่งจนกระทั่งเห็นว่าหล่อนลั่นดาลหอนอนถ้วนถี่ดีแล้ว เขาจึงยอมถอดถอนสายตา กิริยาอาการเสมือนว่าต้องเฝ้าระวังภัยให้แก่กัน
เพียงระลึกถึงแก้มใสจึงเห่อร้อน ก่อนจะเร่งปรับสีหน้ากลับมายามสบตากับผู้ใหญ่ กลบเกลื่อนอาการสะเทิ้นอายด้วยรอยยิ้มหวานละไม
ฟากคนสูงวัยกว่าจึงคลายใจ เพราะสีหน้าของหญิงรุ่นลูกดูมีเลือดฝาดให้พอใจชื้น
“พักอีกสักวันให้ทุเลามิดีกว่าฤๅ ให้พ่อทัดเร่งนำความไปกราบเรียนยังฝ่ายใน พระชายาท่านคงมีจิตเมตตาแลมิคิดถือสาเอาความอันใดที่ขาดการงานติดต่อกัน”
“ข้าหาได้เป็นกระไรร้ายแรงไม่ ขอคุณป้ามิต้องกังวล แลให้ข้านำความไปกราบเรียนท่านด้วยตนเองเถิดนะเจ้าคะ”
ได้ยินเสียงแค่นจมูกจากบุรุษตัวโต รอยยิ้มในหน้าจึงชะงักค้างไปชั่วครู่
ปรางเหลือบมองคนที่ตั้งหน้าตั้งตาจับข้าวใส่ปากเสมือนอดอยากเสียเต็มประดา ทว่าหล่อนไม่นึกขุ่นเคืองเขา
เมื่อถูกจ้องนานเข้า คนหน้ายักษ์จึงมองตอบกลับมาด้วยดวงตาขุ่นเขียว หากนั่นมิได้น่าหวั่นเกรงแม้แต่สักนิด เพราะแก้มสากนั้นอวบอูมด้วยสำรับรสดีที่เจ้าตัวเร่งยัดมันเข้าไป มิรู้ว่าหิวโหยหรือจะเร่งรีบไปแห่งหนใด
“เอ้า พ่อทัด ช้าหน่อยเถิดลูก ประเดี๋ยวข้าวจักติดคอเอา”
“แค่กๆ ”
ไม่ทันขาดคำ หมื่นสุรเสนาพลันสำลักออกมาสมคำที่ผู้เป็นมารดาตักเตือน สองมือจึงเร่งคว้าขันน้ำขึ้นแล้วกระดกเสียรวดเดียว จนร่างอรชรที่นั่งอยู่ถัดไปได้แต่ลอบกลั้นยิ้ม
ปรางส่งผ้าสะอาดให้เขาได้ใช้ซับรอบขอบปาก ก่อนจะหันกลับมาจัดการสำรับของตนบ้าง แต่รับประทานไปได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น ท้องของหล่อนกลับอิ่มตื้อจนไม่สามารถเติมสิ่งใดลงไปได้อีก หญิงสาวจึงล้างมือในอ่างทองเหลืองใบเดิมแล้วใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งที่นางน้อมเพิ่งยื่นให้เมื่อครู่ซับริมฝีปากตนเอง
“ข้าวหลานมิพร่องเลย มิถูกปากฤๅ”
“มิได้เจ้าค่ะ สำรับเรือนนี้รสดีมิแพ้ตำรับชาววัง แต่ข้ายังมิใคร่อยากรับประทานอาหาร ขออภัยคุณลุงกับคุณป้าด้วยเจ้าค่ะ ที่ข้านั้นเสียมารยาทนัก”
ปรางตอบเสียงนุ่ม ทั้งคำเจรจาและกิริยาอ่อนหวานเป็นที่ต้องใจแม่นายของเรือน นางทับทิมจึงยิ้มกว้างจนแก้มทั้งสองข้างแทบปริ ผู้เป็นสามีจึงต้องเร่งสะกิดให้ร่างอวบอิ่มรู้สึกตัว
“สงวนอาการหน่อยซี แม่ทับทิมเอ๋ย”
“พุทโธ่ คุณพี่ละก็...”
ท่าทางกระเง้ากระงอดที่มารดาแสดงออกทำให้บุตรชายหยัดยิ้มอ่อนจาง ครั้นสายตาประสานเข้ากับแม่นางรำหน้าหวานที่ผินมองมาพอดี รอยยิ้มในหน้าที่ค้างอยู่จึงผันเปลี่ยนเป็นความบึ้งตึง
ดวงหน้าหล่อเหลาแสร้งเมินไปอีกทางหนึ่ง ทำท่าเสมือนว่าบนศีรษะมีเมฆฝนตั้งเค้าตั้งแต่หัววัน ร่างแบบบางจึงเร่งเบนสายตากลับมายังผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วขอตัวลา ด้วยเกรงว่าถ้าช้าไปกว่านี้ จะโดนฝ่ายในตำหนิเอาได้
ลำพังพระชายานั้นมิน่าหวั่นเกรงเท่า ‘คุณท้าวมณฑา’ ที่เปรียบดั่งผู้รักษากฎเกณฑ์ของราชสำนักฝ่ายใน ด้วยท่านนั้นเคร่งครัดในระเบียบแบบแผนเป็นอย่างมาก หากไม่เร่งนำเหตุผลอันสมควรไปรายงาน มิแคล้วว่าจะต้องโดนลงทัณฑ์เพราะขาดการงานจริงๆ
หน้าที่ที่ปรางสืบต่อมาจากคุณหญิงเขียนจันทร์คือการเป็นครูสอนละครรำให้แก่นางรำรุ่นใหม่ที่เข้ามาทดแทนคณะเดิมซึ่งถูกเกณฑ์ไปยังหงสาวดีเมื่อหลายขวบปีที่ผ่านพ้น
ใบหน้าหวานซึ้งของนางรำรุ่นน้องผุดขึ้นในความทรงจำ ชวนให้คนที่จ่อมจมอยู่กับความคิดเสียจนลืมมองทางชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของบุรุษที่เดินนำไปก่อน
“ขออภัยเจ้าค่ะ”
หมื่นสุรเสนาระบายลมหายใจ เพราะนอกจากคำว่า ‘ขอบพระคุณ’ แล้ว ระยะหลังคงมีคำว่า ‘ขออภัย’ กระมัง ที่กลีบปากสีเรื่อนั้นขยันพร่ำพูดมาออกมาเสียเหลือเกิน
ร่างสูงที่ถูกมารดาออกคำสั่งแกมบังคับให้เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมกัน จึงชะลอฝีเท้าลงจนจังหวะการก้าวเดินเสมอกับคนเหม่อลอย เหลือบมองเจ้าของลำคอตั้งตรงนั้นแล้ว ริมฝีปากหยักลึกจึงขบเม้มเข้าหากันเป็นเชิงชั่งใจว่าควรเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนากับเจ้าหล่อนดีหรือไม่
แต่เพราะความสงสัยมีมากกว่า ท้ายที่สุดนายทหารกล้าจึงเปิดปากเจรจา ทั้งที่สองตานั้นมิได้ถอดถอนจากภาพเส้นทางเบื้องหน้า ดูเหมือนเพียงพูดลอยๆ ผ่านสายลมเสียด้วยซ้ำ
“ห่อผ้านั่น สำคัญมากฤๅ”
เพราะคุ้นชินแต่น้ำเสียงห้วนกระด้างและคำค่อนขอด ครั้นถูกไต่ถามโดยปราศจากโทสะ ปรางจึงคิดว่าตนเองนั้นอาจจะหูฝาดไป
หญิงสาวลอบมองเสี้ยวหน้าสงบนิ่งของร่างสูงใหญ่ พลางหวนคิดถึงของสำคัญอีกชิ้น นอกเหนือไปจากโกศบรรจุเถ้าอัฐิของมารดาที่หล่อนเพิ่งรักษาให้รอดพ้นจากเปลวเพลิงมาได้
สิ่งที่บรรจุอยู่ในห่อผ้าคือตำราพิชัยสงครามที่บิดาของหล่อนตั้งใจถ่ายทอดเอาไว้ โดยอิงจากประสบการณ์รบทัพจับศึกที่สั่งสมมายาวนาน และการคัดลอกคำสอนของบรมครูนับแต่โบราณกาลประสานเข้าด้วยกัน
แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นเพียงสมุดข่อยธรรมดา มิได้มีความน่าสนใจ แต่ภายในกลับอัดแน่นไปด้วยเพลงอาวุธ ตลอดจนแม่ไม้มวยไทย ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสงคราม เพื่อปกปักรักษาบ้านเมืองให้รอดพ้นจากอริราชศัตรูสืบไปในภายหน้า
ทว่าผู้เป็นบิดานั้นกลับสิ้นไร้วาสนาที่จะได้รับใช้ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของจอมทัพพระองค์ใหม่ เพราะท่านพลีชีวีรบพุ่งเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะสิ้นใจภายใต้คมศัสตราวุธของฝ่ายผู้รุกรานนับแต่สงครามช้างเผือก กอปรกับในเรือนไม่มีบุตรชายที่จะสืบต่อเจตนารมณ์ของท่านได้ ตำรายุทธพิชัยจึงถูกปิดตายลงกรุไปพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของที่ทอดกายฝังร่างลงใต้ธุลีดิน
ปรางจึงตั้งใจเก็บรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ โดยหวังใจว่าวันหนึ่ง คงมีใครสักคนที่คู่ควรพอจะรับเอาไปสานต่อ
เพราะนักรบนั้น มิใช่มีเพียงจิตใจมุ่งมั่นและพละกำลัง หากต้องเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม กอปรกับใช้วิชาการรบด้วยสติปัญญา คมดาบจึงมีไว้เพียงฟาดฟันผู้ที่มีใจเป็นปรปักษ์ต่อราชบัลลังก์และเขตขัณฑสีมา หาใช่กวัดแกว่งไปตามแต่ใจตนเองปรารถนาไม่
นี่คือถ้อยคำที่บิดาเคยพร่ำพูดให้ได้ฟัง เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
ดวงตางามโศกวางนิ่งยังใบหน้าคมคายของนายทหารหนุ่มเนิ่นนาน จวบจนเสียงก้องกังวานขานเรียกชื่อของตน ร่างอรชรจึงหลุดพ้นจากภวังค์ความคิด
“เจ้าค่ะ”
ปรางตอบรับเพียงสั้นๆ จึงได้ยินเสียงแค่นจมูกจากคนข้างตัว พร้อมดวงตารียาวที่มองจ้องกลับมา ทว่าคราวนี้ไม่มีคำต่อว่าใดให้หญิงสาวได้ระคายหูอีก คงมีเพียงประโยคคำถามเรียบง่าย หากแต่มีอิทธิพลต่อใจคนฟังอย่างมหาศาล
“มีสิ่งใดที่จักสำคัญเสียจนทำให้คนเรานั้นหลงลืมนึกถึงชีวิตของตนด้วยรึ”
น้ำเสียงนั้นนุ่มทุ้ม ซ้ำยังปราศจากการประชดประชัน คนถูกถามจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วจึงค่อยปริปาก
“แล้วคุณพี่เล่าเจ้าคะ...การออกศึกสงครามเพื่อรักษาบ้านเมือง ก็สำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตของตนมิใช่ฤๅ”
เสียงหวานมิได้ตอบถ้อยคำที่บุรุษหนุ่มถามค้างไว้ แต่กลับย้อนถามเขาในทำนองเดียวกัน หมื่นสุรเสนาจึงตอบรับโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาตรึกตรอง
“เพราะข้าเป็นทหารของแผ่นดินนี้ แลนั่นย่อมเป็นหน้าที่ที่ข้าพึงกระทำเพื่อบ้านเมืองของเรา”
น้ำคำหนักแน่นและปณิธานอันแรงกล้าของนายทหารหนุ่มดังก้องไปถึงดวงใจของคนฟัง แววตาที่ทอดมองใบหน้าคร้ามคมจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความชื่นชมยินดี
ดวงตาหวานโศกมองสบดวงตารียาว เห็นความเจ็บปวดสะท้อนออกมาจากสายตาคู่นั้น ใจหญิงจึงบีบรัดตามเขาไปด้วย
ยามนี้สยามตกเป็นผู้พ่ายการศึก จึงทำให้ต้องจำยอมอยู่ใต้อาณัติแห่งเจ้าประเทศราชที่มากล้นไปด้วยอำนาจ แม้สงครามจะผ่านพ้นมาหลายขวบปี แต่ร่องรอยของความสูญเสียยังคงฝังรากลึกอยู่ภายในใจของชาวสยามทุกคน
“เช่นนั้น...ข้าก็เชื่อมั่นยิ่งนัก ว่าวันหนึ่งนักรบของแผ่นดินนี้ จักนำอิสรภาพคืนมาสู่แผ่นดินของเราให้จงได้เจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่าปลายทางของบทสนทนามาสู่ประเด็นนี้ได้อย่างไร แต่หญิงสาวก็เอ่ยสิ่งที่ตนเองคิดออกไปด้วยความมั่นใจ ประกายเจิดจ้าในดวงตาคู่งามสะท้อนสู่นัยน์ตาของขุนศึกผู้ชาญณรงค์ ก่อเกิดเป็นความอุ่นซ่านในดวงใจอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน สายตาสองคู่จึงประสานกันเนิ่นนาน ก่อนที่เสียงเรียกขานจากอีกฝั่งหนึ่งจะฉุดรั้งคนทั้งสองออกจากห้วงภวังค์
“แม่ปราง”
ปรากฏเป็นร่างสันทัดของข้าราชการหนุ่มอีกผู้ที่อยู่ในเครื่องแต่งกายเนื้อดี บ่งบอกถึงความมั่งมีของผู้สวมใส่ ใบหน้าขาวใสประหนึ่งคนเจ้าสำอางฉายชัดไปด้วยรอยยิ้มปรีดา สองขาเร่งเคลื่อนเข้ามาตรงจุดที่หญิงสาวยืนอยู่
“ไหว้เจ้าค่ะ”
‘หลวงบวรรังษี’ รับการประนมไหว้จากร่างงามระหงของครูสอนละครรำประจำราชสำนัก ที่นานๆ ครั้งจะมีโอกาสได้พบหน้าเจ้าหล่อนด้านนอกเขตพระราชฐาน ด้วยปกติแล้วหญิงสาวมักอยู่แต่บริเวณฝ่ายใน บุรุษจึงมิอาจล่วงล้ำไปถึง ดวงตาแวววาวดุจแก้วใสจึงเผลอมองจ้องใบหน้างามพิลาศดั่งคนหลงละเมอ
ครั้นเห็นรอยช้ำจาง ๆ บนใบหน้า และผ้าพันแผลบนท่อนแขน กลีบปากสีสดดุจอิสตรีจึงไต่ถามด้วยความร้อนรน จนนายทหารหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงกันอดแค่นหัวเราะให้กับท่าทางเหล่านั้นไม่ได้
ปรางรับรู้ได้ถึงกิริยาที่ไม่งามนักของบุรุษตัวโต จึงส่งยิ้มอ่อนจางให้ขุนนางหนุ่ม หากยังสงวนท่าทีของตนไว้ดังเดิม เสียงหวานตอบรับคำถามไถ่ตามมารยาท
“อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“กรมเวียงคงจักมีงานล้นมือยิ่งนักกระมัง ออกหลวงท่านจึงยังมิทราบถึงทุกข์ร้อนของชาวเมือง”
เสียงทุ้มของใครอีกคนขัดขึ้นกลางวง กอปรกับคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นน้อยๆ เสมือนว่าคนพูดนั้นกำลังประหลาดใจเสียเต็มประดา รอยยิ้มในหน้าของหลวงบวรรังษีจึงจืดเจื่อนลง
ทว่าไม่ช้า ออกหลวงหนุ่มก็สามารถปรับสีหน้าของตนให้กลับมาเป็นปกติ เรียวปากสีสดส่งยิ้มให้นายทหารใหม่ที่เพิ่งย้ายสังกัดกรมกองมา ทั้งที่ดวงตานั้นมิได้ยิ้มตามปากของตนแม้แต่สักนิด
“ขออภัยเถิดหนา แต่ข้าเพิ่งเดินทางกลับจากเมืองศรีเทพเมื่อรุ่งสาง จึงอาจยังมิทราบความตามที่หมื่นท่านเอ่ยคำ”
น้ำเสียงผู้พูดเนิบนาบ แต่ดวงตาที่ประสานกันอยู่กลับดูเหมือนมีเปลวเพลิงสะท้อนออกมา สตรีเพียงหนึ่งเดียวในวงสนทนาจึงรู้สึกอึดอัดกับกิริยาเหล่านั้นเต็มทน
ปรางยกมือแตะสีข้างของร่างสูงใหญ่เป็นเชิงบอกให้เขาสำรวมอาการ ด้วยตรงนี้ถือเป็นเขตพระราชฐาน และการมีเรื่องกับขุนนางที่มียศสูงกว่าตน คงมิใช่เรื่องน่าพิสมัยนัก
ใช่ว่าหล่อนเห็นเขาด้อยค่ากว่าออกหลวงผู้นี้ไม่ หากเพราะมิอยากให้เกิดปัญหาต่อหน้าที่ราชการของเขาในภายหน้า จึงพยายามปรามให้คนที่กำลังพื้นเสีย สงบใจตนเองลงและหยุดต่อความ จะเป็นการดีต่อตัวเขายิ่งกว่า
แต่ดูทีว่าเขาจะไม่เข้าใจเจตนาดีที่หล่อนมีให้ เพราะมิช้า ดวงตาเรืองรองดั่งมีเปลวไฟลามเลียจึงมองจ้องมายังจุดที่หล่อนยืนอยู่เสียแทน
“เร่งไปรายงานตนเถิดเจ้าค่ะ ได้ยินว่ามีข้อราชการสำคัญมิใช่ฤๅ สายกว่านี้ จักโดนผู้ใหญ่ท่านตำหนิเอาได้นะเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยอย่างนุ่มนวล ใช้ไหวพริบเพื่อให้ตนเองและคนใจร้อนสามารถปลีกตัวออกมาได้อย่างไม่ผิดมรรยาท ทว่าก่อนจากมา กลีบปากหยักลึกก็ยังไม่วายทิ้งคำพูดแสนร้ายไว้ให้ขุนนางหนุ่มได้พอหน้าตึงอีกครา
“หากออกหลวงท่านจักมีใจเมตตาอาณาประชาราษฎร์จริงดั่งคำเจรจา ได้โปรดล่าตัวอ้ายเดรัจฉานผู้นั้นมารับโทษทัณฑ์ให้เห็นเป็นประจักษ์เถิดขอรับ จักได้มิมีผู้ใดกล้าเอาเยี่ยงอย่าง แลคิดก่อการกระทำชั่วต่อหญิงอื่นอีก...โดยมิเกรงกลัวอาญาของแผ่นดิน”
“ไฉนคุณพี่จึงพูดจาเยี่ยงนั้นกับออกหลวงท่านเล่าเจ้าคะ รู้ฤๅไม่ว่ามันมิงาม”
เมื่อพ้นมาจากบริเวณดังกล่าว แล้วเข้าสู่ภายในเขตรั้วของพระราชฐานชั้นนอก เสียงหวานจึงไต่ถามเป็นเชิงตำหนิ ร่างอรชรเดินอ้อมไปขวางหน้าคนพาลพาโลที่ทำท่าจะเดินหนีไปอีกทางเพื่อเลี่ยงการเจรจา กิริยาดุจดั่งเด็กชายเกเรที่กำลังโยเยเอาแต่ใจ
“จักให้ข้าพินอบพิเทาเอาใจเขา เพียงเพราะเขาถือบรรดาศักดิ์สูงกว่า ข้อนั้นหาใช่นิสัยข้าไม่ ผู้ใดบกพร่องต่อการงานของตนก็จำต้องฟังคำติเตียนตามวิสัย แลเมื่อครู่ข้าก็พูดในฐานะของราษฎรผู้หนึ่ง หากทนฟังมิได้ก็มิจำต้องฟัง ข้าจักได้จำใส่ใจไว้ว่าขุนนางในบ้านเมืองนี้ละเลยเพิกเฉยต่อหน้าที่ แลมิคิดเอาใจใส่ทุกข์ร้อนของชาวประชาเป็นอาจิณ”
ปรางระบายลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ฟังประโยคยืดยาวจากนายทหารหน้าดุผู้นี้แล้ว หล่อนจึงรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาครามครัน เพิ่งประจักษ์แก่ตนเองว่าเวลาคนพูดน้อยพร่ำพูดออกมาสักครา ถ้อยวาจานั้นจะเราะรายได้ถึงเพียงนี้
แต่ดูทีแล้ว คงมิใช่หล่อนคนเดียวกระมังที่ได้รับคำพูดเจ็บแสบให้ระคายใจ เพราะคนตรงหน้าสามารถเอ่ยมันกับผู้ใดก็ได้ที่เขาคิดว่ากระทำการไม่เหมาะสม และความเถรตรงเช่นนี้ก็ทำให้หล่อนนึกห่วงกังวล ด้วยมิใช่ทุกคนที่จะยอมรับฟังคำโดยไม่คิดขุ่นเคือง ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้นก็ตาม
“ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่ข้ามิอยากให้เรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านี้ เป็นชนวนใหญ่ในภายหน้า แลคุณพี่เองก็ยังต้องรับราชการที่นี่ไปอีกนาน ข้าจึงมิอยากให้มีสิ่งใดกีดขวางหนทางเจริญในหน้าที่ของคุณพี่ได้ก็เท่านั้น”
ฟังคำอาทรอย่างจริงใจจากแม่นางรำหน้าหวานแล้ว ร่างสูงจึงสะบัดหน้าหนี ไม่รู้แล้วว่ายามนี้ตนเองพื้นเสียกับเรื่องอะไรมากกว่ากัน ระหว่างเรื่องที่ทางการยังตามจับตัวคนร้ายมิได้ หรือเรื่องที่เจ้าหล่อนปรามมิให้เขาต่อความกับออกหลวงผู้นั้น
แต่เมื่อระลึกได้ว่าไม่ว่าจะเรื่องใด ก็ล้วนเกี่ยวด้วยแม่หญิงตรงหน้าทั้งสิ้น หมื่นสุรเสนาจึงได้แต่ก่นด่าตนเองในใจ ก่อนที่ดวงตารียาวจะผินมองไปยังร่างงามระหง พร้อมสั่งความรวดเดียวเฉกเช่นที่ชอบกระทำ แล้วจึงเดินจากไปเพื่อรายงานตัวต่อหัวหน้าสังกัดของตน ที่คาดว่าคงคอยอยู่ยังลานฝึกสรรพยุทธ์แล้ว
“เพลาชาย มาคอยข้าที่กงนี้ หากปล่อยเจ้ากลับเรือนลำพัง ข้ามิแคล้วต้องฟังคำบ่นจากคุณแม่อีก แลเจ้า! กราบเรียนฝ่ายในได้ความเยี่ยงไร ก็จงนำไปบอกแก่แม่ข้าด้วยตนเอง ข้าหาได้มีหน้าที่คอยส่งข่าวให้เจ้าไม่”
ปรางมองตามแผ่นหลังกว้างของคนเจ้าอารมณ์ไปพลางสั่นศีรษะเบาๆ ก่อนที่สองเท้าจะก้าวเดินไปยังเขตพระราชฐานชั้นใน
พระราชวังประจำเมืองพระพิษณุโลกตั้งอยู่บนเนินดินติดแม่น้ำสายใหญ่ แม้จะไม่ได้มีอาณาเขตกว้างขวางทัดเทียมพระราชวังแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ก็แฝงไปด้วยมนตร์ขลังตามกาลสมัยที่สืบต่อมา ซ้ำยังนับเป็นเคราะห์ดีที่ปืนใหญ่ของอริราชศัตรูมิได้ล่วงล้ำเข้าสู่เขตพระราชฐาน สถานที่พำนักของอุปราชวังหน้าแห่งอโยธยาศรีรามเทพนครจึงยังดำรงคงอยู่มาตราบจนปัจจุบัน
หญิงสาวหยุดยืนแล้วหันหน้าไปทางทิศใต้ เห็นวิหารหลังใหญ่ที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ยืนซึ่งอยู่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สองมือจึงยกขึ้นกระพุ่มไหว้ด้วยความเคารพศรัทธา เพราะเชื่อโดยสนิทใจว่านอกจากบารมีในองค์กษัตริย์ที่ปัดเป่าเภทภัยให้พ้นไปแล้ว ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองที่ช่วยปกปักรักษาให้เมืองสองแควรอดพ้นจากภัยพาลทั้งปวง
“มาอยู่กงนี้เองแม่ปราง ข้าตามหาเสียถ้วนทั่ว!”
เสียงกระหืดกระหอบของเกลอรักทำให้เจ้าของชื่อละสายตาจากเขตพุทธาวาส เห็นร่างเล็กกอบโกยอากาศเข้าไปด้วยความเหนื่อยหอบ จึงพอคาดเดาได้ว่าเพ็ญนั้นคงเร่งสาวเท้ามาจากฝ่ายใน
“ค่อยๆ เถิด แม่เพ็ญ มีเรื่องกระไรฤๅ ข้ากำลังจักเข้าไปกราบพระชายาท่านอยู่พอดีเทียว”
“คุณท้าวเรียกหาเจ้าแน่ะ แต่ข้าว่าดูมิสู้ดีนัก เร่งเข้าเถิด ประเดี๋ยวจักโดนเอ็ดเอาได้”
ศาลาไม้สักหลังย่อมตั้งอยู่กลางสวนเขียวขจี รอบข้างประดับด้วยหมู่มวลพฤกษานานาพรรณที่แข่งกันส่งกลิ่นหอมยวลใจ เยื้องออกไปเป็นกลุ่มนางรำที่กำลังซักซ้อมท่วงท่า และวงปี่พาทย์เครื่องห้าที่บรรเลงเพื่อให้จังหวะ จึงแว่วเสียงทุ้มก้องของระนาดเอกซึ่งเป็นทำนองหลักดังคลอมาตามสายลมอยู่เป็นระยะ
หญิงสาวที่เพิ่งมาถึงบรรจงรวบชายผ้านุ่งของตนพลางค้อมกายลงคลานเข่าอย่างเชื่องช้า กิริยาเนิบนาบเป็นที่ถูกใจของคนเคร่งครัดในธรรมเนียมปฏิบัติ ดวงตาฝ้าฟางที่มองลงมาจึงฉายแววพึงพอใจ
ร่างผอมของสตรีวัยหกสิบตอนปลายทอดกายอยู่บนตั่งไม้ มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลารับเอาจีบพลูที่ม้วนอย่างสวยงามจากบ่าวรับใช้ขึ้นขบเคี้ยว จนกระทั่งรสชาติจืดเจื่อนลง จึงค่อยบ้วนทิ้งในกระโถนทองเหลืองที่บ่าวคนเดิมคอยส่งให้
“กราบคุณท้าวเจ้าค่ะ”
ปรางประนมมือพร้อมก้มกราบลงจนหน้าผากมนแนบชิดพื้นศาลา แล้วจึงเงยหน้าสานสบสายตาที่ทอดมองมาอยู่ก่อน
“ฮึ เยี่ยมหน้ามาได้แล้วรึแม่ตัวดี ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างไปถ้วนทั่วว่าเจ้านั้นแกร่งกล้าถึงขั้นอาสาต่อกรกับพวกทหารหงสาเพียงลำพัง...แล้วเป็นเช่นไร แผลเจ้าทุเลาดีแล้วฤๅ”
แม้จะเกริ่นนำด้วยเสียงแหลมขึ้นจมูกเสมือนจะค่อนขอดกัน แต่คำลงท้ายอย่างอาทรนั้น ก็ทำให้คนฟังคลี่ยิ้มออกมาได้โดยไม่ยาก ด้วยรู้อยู่ว่านิสัยแท้จริงของคุณท้าวผู้นี้เป็นอย่างไร
คุณท้าวมณฑาเคยเป็นข้ารับใช้ในสมเด็จพระวิสุทธิกษัตรีย์ เฉกเช่นคุณหญิงเขียนจันทร์ ก่อนที่จะติดตามเสด็จไปยังกรุงศรีอยุธยาด้วยกัน เมื่อครั้งพระเจ้าชนะสิบทิศสถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นเสวยราชย์ ครองบัลลังก์แห่งอโยธยาศรีรามเทพนครสืบต่อจากสมเด็จพระมหินทราธิราชผู้ล่วงลับ
ครั้นพระนเรศเสด็จนิวัติจากกรุงหงสาวดีสู่แผ่นดินสยาม คุณท้าวจึงได้รับบัญชาให้ตามเสด็จพระองค์ท่านและพระชายากลับมายังพระพิษณุโลกสองแคว พร้อมด้วยนางในส่วนหนึ่งจากราชสำนักกรุงศรีอยุธยา และอีกส่วนเป็นคนสองแควโดยพื้นเพ
แม้อายุอานามจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ข้าหลวงผู้นี้ก็ยังคงรักษารูปร่างของตนให้ดูดีอยู่เสมอ อาจเพราะถวายตัวเป็นข้ารับใช้พระบรมวงศานุวงศ์มานับแต่ยังเยาว์วัย และมิได้ตบแต่งออกเรือน ร่างกายจึงมิต้องผ่านการคลอดบุตรเฉกเช่นสตรีนางอื่น เมื่อมองเผินๆ จึงดูเหมือนหญิงวัยกลางคนเท่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวจึงเต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว กอปรกับลักษณะนิสัยที่ค่อนข้างเข้มงวด จึงทำให้ทุกคราวที่เอื้อนเอ่ยนั้นดูน่าเกรงขาม จนเป็นที่เลื่องลือของนางในหลายคน สืบเนื่องจากท่านเป็นคนยึดมั่นในกฎเกณฑ์ หากกระทำการฝ่าฝืน มิอยู่ในระเบียบแบบแผน ย่อมต้องถูกลงทัณฑ์ตามสมควร แต่ถ้าประพฤติตนอยู่ในครรลองไซร้ คุณท้าวผู้นี้ก็ถือเป็นผู้ใหญ่ที่มีเมตตาและน่าคบหาคนหนึ่ง
“ยังจักปั้นหน้าแฉล้มใส่กันเสียอีก เจ้านี่หนา ลับสายตาข้าเพียงมินาน กลับก่อการใหญ่เสียจนหวิดจักเอาชีวิตตนเองมิรอด หากแม่เขียนจันทร์ยังอยู่ มิวายจักลมจับ ด้วยลูกสาวนั้นริอ่านทำตนห้าวหาญดั่งชายชาตรี เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออก มิคิดเลยว่าเจ้าจักเป็นคนเยี่ยงนี้นะ แม่ม้ากระทืบโรง”
พัดขนนกในมือถูกพับแล้วยกขึ้นชี้มายังร่างระหงที่นั่งก้มหน้ารับฟังคำตำหนิโดยไม่คิดปริปากเถียง รั้งรอจนกระทั่งผู้สูงวัยเริ่มเหนื่อยหอบ และร้องหาน้ำดับกระหาย ปรางจึงกระพุ่มไหว้อีกครั้ง เสียงหวานเอ่ยคำขอโทษด้วยสีหน้าสลดลง
เห็นท่าทางสำนึกผิดของหญิงรุ่นลูก คุณท้าวมณฑาจึงยอมคลายโทสะ แต่ยังไม่วายมองค้อนเจ้าของดวงหน้าหวานละไม แล้วจึงค่อยเอ่ยถึงธุระสำคัญในวันนี้
“เอาละ มิเป็นกระไรก็ดีแล้ว ที่เรียกหาเจ้านั้น ด้วยพระชายาท่านฝากฝังให้ข้าเป็นธุระในครานี้แทน”
“เจ้าคะ?”
ดวงตากลมใสมองใบหน้าผู้อาวุโสละม้ายฉงนใจ ก่อนที่ถ้อยวาจาถัดมา จะพาให้ลมหายใจของคนฟังหยุดชะงักไปในเสี้ยววินาทีนั้น
“มีคนมาทาบทามสู่ขอเจ้าไปเป็นภรรยาของเขา ข้าจึงเห็นควรด้วยว่าถึงเพลาที่เจ้าจักตบแต่งออกไปมีเหย้ามีเรือนเป็นของตนเสียที”
ความคิดเห็น |
---|