๘
ชายไร้หัวใจ
คำทักกอปรกับสีหน้าประหลาดใจสุดกำลัง ทำให้หมื่นสุรเสนารู้สติ ก่อนจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการปั้นหน้าดุแล้วกระแอมไอออกมา สองขาเดินนำหน้าไปยังทางประตูทางออกของพระราชฐาน หญิงสาวที่กำลังชะงักงันจึงมีโอกาสได้เห็นรอยเลือดวงใหญ่บนเสื้อของเขา
“เลือดออกถึงเพียงนี้ เจ็บมากฤๅไม่เจ้าคะ คุณพี่มิควรเร่งหักโหมฝึกอาวุธเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ”
ร่างสูงใหญ่ชำเลืองมองคนที่เร่งสาวเท้าตามมา พร้อมคำเจรจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
“ดื้อ!”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำแบบเดียวกันกับที่ตนเองเคยใช้ต่อว่า ดวงตารียาวจึงตวัดมองผู้พูดโดยพลัน ทว่าคราวนี้แม่นางรำหน้าหวานกลับมินึกหวั่นเกรง เพราะคิ้วโก่งดั่งคันศรขมวดมุ่น ซ้ำสายตาที่มองตอบกลับมาก็ยังมีทีท่าว่าจะไม่ยอมลดละ คราวนี้จึงเป็นนายทหารหนุ่มเสียเองที่นึกอ่อนใจ
“รู้ตัวฤๅไม่ว่าเจ้าช่างน่ารำคาญนัก”
“แล้วคุณพี่เล่าเจ้าคะ รู้ตัวบ้างฤๅไม่ว่าตนเองนั้นดื้อรั้นเพียงใด”
เห็นอากัปกิริยาที่พร้อมสู้ยิบตาจากสาวเจ้าแล้ว จึงเป็นหมื่นสุรเสนาเสียเองที่ยอมแพ้ในยกนี้แต่โดยดี เพราะวันนี้เขามีเรื่องให้ต้องหนักใจมากเกินพอแล้ว จึงมิปรารถนาจะรบรากับแม่นางรำผู้นี้ให้ต้องปวดศีรษะเพิ่มอีก
ร่างสูงมองใบหน้าหวานละไมของคนข้างตัวแล้วจึงเร่งสืบเท้าจากมา แว่วเสียงขานเรียกตามหลัง จวบจนกระทั่งเกือบถึงเรือน แม่คนที่ขยันพร่ำพูดมากกว่าทุกวันจึงค่อยสงบคำลง
“เป็นเยี่ยงไรบ้างแม่ปราง ได้ความฤๅไม่ลูก”
เมื่อขึ้นมาถึงบนเรือนขวางจึงเห็นแม่นายของเรือนนั่งคอยอยู่ก่อน
ปรางรวบผ้าถุงของตนอย่างอ่อนช้อยขณะคุกเข่าลงนั่งเยื้องไปจากนางทับทิม หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้พร้อมตอบรับคำถามไถ่อย่างร้อนใจนั้น โดยละเว้นมิเอ่ยถึงเรื่องการสมรสระหว่างตนเองและหลวงบวรรังษี
“พระชายาท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปพำนักยังฝ่ายในได้ จนกว่าทางการจักจัดหาเรือนหลังใหม่ให้เจ้าค่ะ ระหว่างนี้ ข้าคงต้องรบกวนฝากแม่น้อมไว้กับคุณป้าก่อน แลข้าจักเร่งติดตามเรื่องเรือนหลังใหม่ให้เร็วที่สุดหนาเจ้าคะ”
ฟังคำพูดอย่างเกรงอกเกรงใจนั้นแล้ว ร่างท้วมจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ด้วยใจนั้นอยากให้ร่างระหงตรงหน้าพักอยู่ที่เรือนของตนไปอีกสักระยะ แต่รู้ดีว่าคงเป็นภาพที่ไม่งามนัก เพราะหญิงสาวมิได้มีความสัมพันธ์อันใดกับคนในเรือนหลังนี้ มิแคล้วจะเป็นข้อครหาให้เจ้าหล่อนมีอันต้องเสื่อมเสีย
ดวงตาของผู้ใหญ่ลอบมองใบหน้าของบุตรชายที่นั่งถัดไป ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นในใจ ทว่านางทับทิมนั้นไม่ได้เอ่ยมันออกไป
“เอาเถิด ป้ายินดีช่วยทุกอย่าง แม่ปรางก็เปรียบดั่งลูกสาวอีกคนของป้า ลำพังเรื่องเท่านี้ มิได้เป็นการรบกวนอันใด ขอแม่ปรางมิต้องปริวิตก”
เสียงกังวานสำทับซ้ำอย่างอารี สตรีที่อ่อนวัยกว่าจึงกระพุ่มไหว้แทนคำขอบคุณ
เห็นท่าทางของหญิงทั้งสองแล้ว ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในวงสนทนาจึงเบนสายตาไปทางอื่น อาการเจ็บหนึบบนแผ่นหลังชวนให้ไม่ใคร่สบายตัวนัก จึงขอปลีกตัวจากมา โดยอ้างว่าอยากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มของตนใหม่
“ดูซี เป็นคนเกเรเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดมิรู้ แต่ก่อนว่านอนสอนง่ายนัก ไม่รู้ไปเอานิสัยเยี่ยงนี้มาแต่ที่ใด แม่ปรางอย่าถือสาพี่เขาเลยหนา”
คนเป็นมารดามองค้อนพร้อมเอ่ยคำต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก ปรางจึงคลี่ยิ้มอ่อนจางให้ หากดวงตาเป็นกังวลกลับมองตามแผ่นหลังกว้างของนักรบหนุ่มไปจนสุดสายตา
เมื่อดวงตะวันลาล่วงไปจากขอบฟ้า ต่างคนจึงต่างแยกย้ายเข้าเรือนนอนของตน แต่ร่างอรชรของผู้เป็นแขกกลับค่อยๆ ก้าวเดินไปยังเรือนนอนอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่พำนักของคนหน้าดุ ที่จู่ๆ ก็ให้บ่าวนำความมากราบเรียนบุพการีของตนว่ามิปรารถนาจะรับอาหารเย็น ด้วยรับมาพร้อมกับผู้เป็นนายนับแต่ก่อนกลับถึงเรือน
ทว่าปรางกลับตงิดใจชอบกล ดูจากท่าทีของเขาแล้วมิน่าจะเป็นดั่งคำกล่าวอ้าง หญิงสาวจึงย่างเยื้องแผ่วเบาพลางกวาดตามองรอบข้างอย่างระแวดระวัง ด้วยเกรงว่าจะมีสิ่งชีวิตใดโผล่มา โดยเฉพาะถ้าหากเป็นพวกบ่าวไพร่แล้ว มิแคล้วจะโดนข้อครหาให้เป็นที่เลื่องลือถึงกิริยางามหน้าที่หล่อนกำลังกระทำ
เป็นหญิงริอ่านบุกเข้าห้องของชายก่อน นับเป็นการกระทำที่มิบังควรยิ่งนัก
แต่จักให้ทำเช่นไร เมื่อใจดวงนี้นึกห่วงพะวงต่อเขาเสียยิ่งกว่าห่วงตนเอง
มือเรียวถือวิสาสะแตะบานประตูเพื่อดูเชิง เมื่อเห็นว่าบุรุษหนุ่มมิได้ลั่นดาลเอาไว้ กลีบปากสีเรื่อจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ผลักปราการขวางกั้นให้เปิดอ้าออก เงาตะคุ่มที่สะท้อนกับตะเกียงก่อเกิดเป็นความเคลื่อนไหวบนฝาผนังสีทึม คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากัน
“ผู้ใด!”
สัญชาตญาณของการระวังภัยทำให้เสียงทุ้มตวาดกร้าวออกมา ใจสาวจึงแทบร่วงหล่น
“ข้าเองเจ้าค่ะ”
มิช้า ขุนศึกหนุ่มจึงได้เห็นร่างงามระหงของผู้บุกรุกยามวิกาล
ดวงตาดุดันมองจ้องใบหน้าของผู้มาใหม่ พร้อมคำไล่อย่างไม่คิดถนอมน้ำใจคนฟัง
“เข้ามาทำไม ออกไปเสีย!”
ยิ่งห้ามจึงเหมือนยิ่งยุ เพราะหญิงสาวกลับสืบเท้าเข้ามาแล้วทรุดตัวลงบนที่นอนอีกฝั่งหนึ่ง
หมื่นสุรเสนาจึงเบิกตา พร้อมรั้งเสื้อผ้าฝ้ายของตนลง แต่มือเรียวของแม่หญิงแสนรั้นกลับดึงข้อมือแกร่งเอาไว้ แล้วยื้อแย่งเอาผ้าในมือไปถือไว้เสียเอง
“สังหรณ์ใจอยู่แล้วเทียว”
ปรางพูดพลางกวาดสายตามองข้าวของที่วางอยู่ เห็นขันทองเหลือง และบรรดายาสมุนไพรที่หมอทองดีจัดเตรียมไว้ให้ แต่ที่น่าหวั่นใจยิ่งกว่าคงไม่พ้นผ้าผืนน้อยที่ชายหนุ่มกำลังจะใช้ชุบเช็ดตามลำตัว ดูแล้วเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างสาหัสสากรรจ์ คราบเลือดแห้งกรังที่ติดอยู่ประปรายนั้นช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย ดวงตากลมสวยจึงมองคนที่ฮึดฮัดอยู่เป็นเชิงตำหนิ ก่อนจะหยิบผ้าปักลายสวยงามที่เหน็บอยู่กับขอบเอวของตนขึ้นมาสะบัดสองสามทีแล้วจุ่มลงในขันน้ำแทน
“แผลคงจักอักเสบ ข้าบอกแล้วว่ามิบังควรหักโหมฝึกเพลงอาวุธ คุณพี่ก็รั้นนัก คืนนี้คงจักมีไข้ด้วย หันหลังเถิดเจ้าค่ะ ข้าจักใส่ยาแลช่วยเช็ดตัวให้”
“มิใช่กงการอันใดของเจ้า กระทำกิริยาเยี่ยงนี้...”
“น่ารังเกียจเหลือทน”
ไม่รอให้เสียงทุ้มพูดจบ เพราะปรางชิงต่อประโยคนั้นราวกับเดาใจได้ว่าเขาจะต่อว่ากันด้วยถ้อยคำร้ายกาจอย่างไร
เสียงหวานเอ่ยเนิบนาบปราศจากการประชดประชันแล้วจึงกลายเป็นชายหนุ่มเสียเองที่นิ่งงัน เห็นความวูบไหวปรากฏในดวงตาคู่งามชั่วขณะ ก่อนที่เจ้าของร่างจะชิงกลบทับมันด้วยความเรียบเฉย จึงมีเพียงรอยยิ้มละไมเจืออยู่บนใบหน้าอ่อนเยาว์
เมื่อคนเจ็บเลิกต่อต้าน ปรางจึงค่อยๆ เลิกเสื้อที่เขาสวมใส่ขึ้น รอยพุพองนั้นมีโลหิตไหลซึม หญิงสาวจึงเจ็บหนึบในใจ มือเรียวบรรจงเช็ดทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง เห็นร่างสูงเกร็งกายเป็นระยะจึงคาดเดาได้ว่าเขาคงจะเจ็บมาก เพียงแต่ยังสงวนอาการเอาไว้
แววตาที่มองแผ่นหลังกว้างแฝงไปด้วยความร้าวราน หากเพราะหันหลังอยู่ ขุนศึกหนุ่มจึงไม่ทันมีโอกาสได้เห็นว่าดวงตาคู่งามนั้นร้าวลึกเพียงใด แม้ไม่มีน้ำตารินไหล แต่ใจผู้เป็นเจ้าของกลัดหนองเสียเกินจะทานทน
“ข้าจักพอกยาให้ อาจจักแสบหน่อย อดทนนะเจ้าคะ”
ถ้อยคำนุ่มนวลและสัมผัสเบาหวิวดุจขนนกส่งตรงถึงหัวใจ ทว่าร่างสูงใหญ่กลับทำเพียงสนองรับด้วยความนิ่งเฉย
แต่สำหรับคนที่เคยได้รับแต่ถ้อยคำห้วนกระด้างและการกระทำแสนร้ายอยู่เป็นนิตย์ กลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ดีเกินพอแล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีคำพูดเสียดแทงหัวใจให้หล่อนต้องเจ็บช้ำอีก
“รอนแรมมาไกล แลยังต้องเจ็บตัวเยี่ยงนี้ มิแปลกที่ร่างกายอาจจักต้านรับมิไหวเจ้าค่ะ”
“ข้าหาได้อ่อนแอถึงเพียงนั้นไม่”
เสียงทุ้มปฏิเสธทันควัน ปรางจึงหยัดยิ้มให้เด็กชายตัวโตที่กำลังออกอาการโยเย
“นักรบก็เป็นคนเจ้าค่ะ มีเจ็บแลป่วยไข้ได้ตามประสา ข้าจึงมิอยากให้คุณพี่ฝืนตนเองจนเกินกำลัง หากคุณพี่เป็นกระไรไป แล้วผู้ใดจักสู้เพื่อบ้านเมืองของเราต่อไปในภายหน้าเล่าเจ้าคะ”
หมื่นสุรเสนาพลิกกายกลับมาในตอนที่มือเรียวพันแผลให้จนแล้วเสร็จ จึงได้เห็นดวงตาสุกสกาวที่ช้อนมองมาพอดี สัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงและกิริยาที่แสดงออก หัวใจแกร่งกล้าของขุนศึกผู้ชาญณรงค์จึงสั่นไหวอีกครั้งอย่างมิรู้จักเหนื่อยหน่าย
พร่ำบอกตนเองเสมอว่าสตรีตรงหน้านั้นแสนใจดำ แต่มิรู้ทำไมในระยะหลัง ทุกการกระทำของเจ้าหล่อนช่างสวนทางกับสิ่งเหล่านั้นเสียเหลือเกิน
“หิวฤๅไม่เจ้าคะ เมื่อเย็นมิได้รับประทานกระไร รับอาหารสักหน่อย จักได้ช่วยให้ฟื้นคืนกำลังด้วยเจ้าค่ะ”
ปรางไต่ถามอย่างอาทร มือเรียวถือวิสาสะแตะหน้าผากของคนที่นิ่งงันไป เมื่อเห็นว่าไข้มิได้สูงดังที่หล่อนนึกกังวล จึงระบายยิ้มด้วยความโล่งใจ
“ข้ามิหิว แลเจ้าก็กลับห้องของตนไปได้แล้ว”
จ๊อก
ดูทีว่าร่างกายและคำพูดนั้นจะสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง ร่างอรชรจึงถือขันทองเหลืองที่ตั้งใจจะนำไปเทน้ำทิ้งค้างไว้เช่นนั้น มองคนที่ดึงหน้าตึงเสมือนว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ปรางอมยิ้มน้อยๆ ในท่าทาง เห็นแก้มสากขึ้นริ้วอ่อนจางด้วยความขัดเขิน หล่อนจึงมิอยากเย้าเขา เสียงหวานสรุปความเอาเองรวดเดียวแล้วเดินจากมาโดยไม่รอให้คนตัวโตกว่าได้ทัดทานอะไร
“เมื่อเย็นคุณป้าเก็บสำรับไว้เผื่อคุณพี่ด้วย ประเดี๋ยวข้าจักอุ่นมาให้ใหม่ รับประทานน้ำแกงร้อนๆ สักหน่อย ไข้จักได้ทุเลาเจ้าค่ะ”
หญิงสาวกลับมาอีกครั้ง พร้อมชามใบน้อยที่มีควันลอยขึ้นเหนือขอบปาก กลิ่นหอมรัญจวนยั่วยวนให้กระเพาะหลั่งของเหลวออกมา ก่อเกิดเป็นเสียงคำรามลั่นอีกครั้งจนร่างสูงต้องยกมือกุมหน้าท้องตนเองไว้
ตาเรียวเหลือบมองเสี้ยวหน้าสงบนิ่งของร่างอรชร เห็นคราบเขม่าจากเตาไฟที่ติดตรงข้างแก้มแล้วรอยยิ้มจึงฉายชัดในดวงตา ทว่าใบหน้านั้นยังแสร้งทำเป็นขึงขัง
“วางไว้กงนั้นแล ที่เหลือข้าจัดการเองได้ แลเจ้า ไปล้างหน้าล้างตาของตนเสีย มอมแมมจนดูมิได้แล้ว มิเคยจับงานครัวหรือไร”
ปรางสั่นศีรษะอย่างระอาใจ ยกหลังมือซับคราบที่เปรอะเปื้อนข้างแก้มออกตามคำบอกกล่าว แล้วจึงหย่อนสะโพกปักหลักลงที่เดิม พร้อมยื่นถ้วยแกงที่เป่าจนอุ่นพอดีชิดริมฝีปากที่กำลังพร่ำพ่นคำต่อว่า ดุจดั่งเจ้าตัวมิเหน็ดเหนื่อยกับการจำนรรจา
ก็เอาซี หากเขาไม่เบื่อที่จักพูด หล่อนก็ไม่เบื่อที่จักฟังเช่นกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวจึงพยักหน้าสำทับให้เขาเร่งรับประทาน ก่อนที่สำรับรสดีฝีมือนางทับทิมจะเย็นชืดจนเสียรสชาติไปเสียก่อน
รอจนน้ำแกงพร่องลงจนแทบติดก้นถ้วย มือเรียวจึงส่งผ้าสะอาดให้เขาได้ซับรอบขอบปาก ก่อนจะจัดแจงเก็บข้าวของที่ระเกะระกะบนที่นอนให้เรียบร้อย
ร่างสูงที่บัดนี้ย้ายตนเองไปนั่งพิงหัวเตียงไว้ จึงมองตามการเคลื่อนกายของร่างแบบบาง พลางครุ่นคิดบางสิ่งอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง
หากมิใช่เพราะเหตุการณ์ครานั้น เขาคงมิปักใจชิงชังหล่อนมากมายถึงเพียงนี้
อดีตที่มิควรจดจำทำให้กรามแกร่งบดเข้าหากันแน่น เมื่อระลึกถึงใบหน้างามซึ้งของสตรีอีกผู้ที่เป็นรักแรกและรักเดียวของตนมายาวนาน ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงภาพพี่ชายของสตรีนางนั้น ที่เป็นภาพจำตามติดกันมาดั่งเงาตามตัว
‘หมื่นศรีสุริยะ’หรือ ‘อ้ายแก้ว’ เกลอเก่าที่เติบโตมาด้วยกันนับแต่เยาว์วัย และยังออกกรำศึกด้วยกันจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนตายเพียงคนเดียวที่ตนเคยมี
หากมันไม่คิดคดทุรยศแผ่นดินอโยธยา แล้วปันใจเป็นไส้ศึกให้แก่ฝ่ายศัตรู ชะตาชีวิตของมันคงไม่ต้องลงเอยอย่างน่าอดสูเช่นนี้ และแม่พิกุลผู้เป็นน้องสาวก็คงมิต้องระหกระเหินไปไกล เพื่อให้ตนเองต้องจบชีวิตลงเสียก่อนจะได้มีโอกาสหวนคืนสู่มาตุภูมิดุจกัน
ความยอกแสยงจึงทิ่มแทงอยู่ในอก ชวนให้ลมหายใจของชายหนุ่มแทบขาดห้วง เปลือกตาสีหม่นปิดลงเพื่อกลบฝังภาพเหล่านั้นให้ลึกสุดห้วงดวงใจ ก่อนที่เสียงกังวานใสจากคนข้างกายจะดังขึ้น ดวงตารียาวจึงตวัดมองโดยพลัน
เพราะตัวการสำคัญที่ช่วยผลักดันให้พิกุลไปสู่แดนศัตรูนั้น ย่อมมิพ้นสตรีใจดำที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาในเวลานี้
ซ้ำยังเป็นสตรีนางเดียวกันกับที่อ้ายแก้วรักปักใจมายาวนานเสียด้วย
‘คอยดูเถิดหนา หากข้ามียศศักดิ์แลเงินทองมากพร้อมกว่านี้เมื่อไร ข้าจักไปสู่ขอแม่ปรางกับแม่ครูท่านให้สมดังตั้งใจ แม่ปรางจักได้มิต้องอับอายว่าผัวตนนั้นจักน้อยหน้าไปกว่าใครเขา’
ฟังปณิธานอันแรงกล้าของเกลอเก่าในคราวนั้น เขาจึงได้แต่สั่นศีรษะอย่างระอาใจ
หากย้อนไตร่ตรองดูให้ถ้วนถี่ บางทีการที่อ้ายแก้วคิดคดต่อบ้านเมือง และละโมบหมายตาในอำนาจที่มิใช่ของตน อาจเกิดแต่ความปรารถนาที่จะกระทำตนให้เป็นที่ทัดเทียมเสมอหน้ากับบุตรีของอดีตเจ้าพระยาผู้นี้ นายทหารที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระบรมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา จึงคิดแปรผันปันใจไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู ซ้ำยังกำเริบเสิบสาน คิดก่อการช่วงชิงบัลลังก์แห่งพุกามประเทศดั่งคนวิปลาสขาดสติ จนท้ายที่สุดมันจึงต้องจบชีวิตของตนเองอย่างน่าอเนจอนาถใจบนแผ่นดินพระเจ้าชนะสิบทิศ โดยไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้กลับมาเจอหน้าสตรีที่มันพร่ำบอกว่ายอมกระทำทุกสิ่ง เพียงเพื่อหวังให้เจ้าหล่อนยอมรับไมตรีของตน
มิรู้ว่าสตรีใจดำผู้นี้มีดีกระไร ไฉนสหายของเขาจึงได้หลงรักเจ้าหล่อนเสียจนหน้ามืดตามัวถึงเพียงนั้น!
ประกายเรืองรองในนิลเนตรรียาวดุจดวงตาของพญาอินทรีทำให้ปรางรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาครามครัน
เหตุใดเขาจึงมีทีท่าเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อครู่ยังดูปกติดีอยู่ เพราะแม้เมื่อครู่ หล่อนจะถูกออกปากไล่อยู่เป็นระยะ แต่ก็หาได้แข็งกร้าวเช่นนี้ไม่
“หึ เก่งหนา ข้าเกือบจักหลงคล้อยตามกลลวงของเจ้าเสียแล้ว”
“คุณพี่หมายความว่ากระไรเจ้าคะ ข้ามิเข้าใจ”
ฟังน้ำเสียงติดจะขึ้นจมูกของคนพาล ปรางจึงวางถาดทองเหลืองลงบนตั่งเตี้ยแล้วเชิดหน้าถาม ลำคองามระหงตั้งตรงอีกครั้ง ประหนึ่งว่ากำลังท้าทายคู่สนทนา ดวงตากลมโตที่มองจ้องกลับคืนไร้รอยกลัวเกรง
หมื่นสุรเสนาขยับกายทีเดียวก็สามารถประชิดถึงตัวคนอวดดีที่ยืนอยู่ ออกแรงกระตุกข้อมือบางเพียงน้อยนิด ร่างปลิวลมก็พลันเสียหลักลงมาบนฟูกนุ่มด้วยกัน
“ระวังแผลเจ้าค่ะคุณพี่!”
เสียงหวานหวีดร้องด้วยความตื่นตระหนก มองคนที่กระทำการอุกอาจด้วยสายตาตำหนิ
ปรางพยายามปลดมือแกร่งที่พันธนาการข้อมือตนเองออก ไม่นึกวางใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขา
“มารยาเช่นนี้ฤๅ ที่ทำให้อ้ายแก้วหลงเจ้าเสียจนโงหัวมิขึ้น”
“พี่แก้ว? พี่แก้วเกี่ยวกระไรด้วยเจ้าคะ”
หญิงสาวทวนถามพลางนิ่วหน้า ชื่อของบุรุษที่ไม่ได้ยินมานับแต่สิ้นสงครามเสียกรุง ทำให้หล่อนอดฉงนใจมิได้
ทราบความครั้งหลังสุดเมื่อสี่ปีก่อนว่าชายที่กำลังถูกอ้างถึงนั้นต้องโทษทัณฑ์จากพระเจ้ากรุงหงสาวดีจนสิ้นใจมิใช่ฤๅ แล้วไยเขาจึงคิดนำชื่อของคนตายมาหาเรื่องต่อว่ากันได้อีก
“มิต้องทำเป็นไขสือดอก ที่อุตส่าห์เยี่ยมหน้าเข้ามาหาข้าถึงกงนี้ คงจักมีแผนการอันใดอยู่อีกกระมัง ไหน...ลองสำแดงให้ดูหน่อยซี ว่าครานี้ เจ้าคิดวางกลกระไรอีก แม่คนร้อยเล่ห์”
นิ้วยาวเชยคางมนขึ้นพร้อมเหยียดยิ้มร้ายกาจ ปรางจึงมอบตอบด้วยดวงตาสั่นระริก ทั้งโกรธเคืองและน้อยใจที่เขาหยามเหยียดความปรารถนาดีของหล่อนถึงเพียงนี้
ดวงหน้าอ่อนเยาว์สะบัดหนี ก่อนจะตวัดสายตามองใบหน้าคมคายด้วยความกรุ่นโกรธ
“คุณพี่ดูหมิ่นน้ำใจของข้า”
“แล้วข้านั้นคิดผิดหรือไร หากมิใช่เพราะเจ้าปรารถนาในตัวข้าเสียจนทานทนมิไหว จักโร่เอาตนเองเข้ามาชิดใกล้กันถึงเพียงนี้รึ...ฉะนี้แล้วข้าควรทำเยี่ยงไร ควรจักสนองให้เจ้าสมใจฤๅไม่เล่า”
ปรางหวีดร้อง เมื่อปลายจมูกโด่งเป็นสันนั้นจู่โจมเข้าหาซอกคอของหล่อน หยาดน้ำอุ่นร้อนจึงเอ่อคลอรอบหน่วยตาด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ เพราะสิ่งที่เขาทำมิต่างอะไรจากอ้ายคนใจโฉดที่คิดข่มเหงสตรีผู้ไม่มีทางสู้
“ฮึก ปล่อยข้า...รังเกียจกันหนักหนา...แล้วกระทำเช่นนี้ด้วยเหตุใด”แม้จะหวาดกลัวเสียจนตัวสั่น แต่ยังไม่วายประชดประชันเขาทั้งน้ำเสียงสั่นเครือ
ร่างสูงจึงถอดถอนใบหน้าของตนขึ้นมา พร้อมรอยยิ้มร้ายกาจประดุจมารร้ายที่ชั่วชีวิตนี้ปรางไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นด้วยสองตาของตน ความผิดหวังจึงเอ่อท่วมท้นดวงใจ
“บุรุษนั้นมักเป็นเช่นนี้แล ยามมีความใคร่ก็เสพสมได้โดยไม่จำต้องมีความรัก แม้ข้าจักชิงชังเจ้าเพียงใด แต่พอใช้แก้ขัดได้ ซ้ำยังเป็นเจ้าเองที่เสนอตนมาถึงกงนี้ ไยข้าต้องปฏิเสธให้เสียน้ำใจด้วยเล่า”
ร่างแบบบางชะงักนิ่ง เสมือนลมหายใจและวิญญาณปลิดปลิวจากสรรพางค์กายด้วยถ้อยคำใจร้ายที่กลีบปากหยักลึกกระซิบชิดใกล้ ท้องนิ้วหยาบกร้านโลมไล้ไปทั่วกรอบหน้า ปรางจึงสลัดหนีสัมผัสจาบจ้วงเหล่านั้น
คงมีเพียงความร้าวรานจวนเจียนจะขาดใจ กลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำใสไม่ขาดสายก่อนที่เสียงหวีดร้องจะดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อใบหน้าคมคายซุกซบลงกับซอกคอ
“หยุดนะ! ฮึก...ปล่อยข้า...ข้าขอร้อง...”
สัมผัสของเขาไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อยนิด ตอกย้ำคำพูดใจร้ายที่พร่ำพูดได้เป็นอย่างดี ปรางจึงวิงวอนเสียงสั่น หมายจะให้คนหน้ามืดตามัวคืนสติ สองมือเพียรพยายามดันร่างใหญ่ดุจยักษ์ปักหลั่นให้พ้นไป การออกแรงมากเกินสมควรจึงทำให้เจ็บร้าวไปถึงบาดแผลบนท่อนแขน
“โอ๊ย!”
เมื่อนั้น บุรุษหนุ่มที่รู้ตัวว่ากระทำการล่วงเกินสตรีในอ้อมแขนจึงเร่งผละห่างพร้อมสติสัมปชัญญะที่หวนคืน ตาเรียววางนิ่งยังร่างน้อยที่ขดตัวเข้าหากันแล้วกอดตนเองไว้แน่น มือใหญ่จึงหมายจะแตะลงตรงปลายศอก ก่อนที่มือเรียวจะปัดมันทิ้งโดยไม่ไยดี
“แม่ปราง...ข้า...ขออภั...”
เผียะ!
ยังไม่ทันสิ้นคำ ใบหน้าคมคายพลันสะบัดตามแรงตวัดจากฝ่ามือเนียน ความแสบร้อนแล่นลงจากแก้มสากไปสู่กรามแกร่ง แต่หมื่นสุรเสนากลับมิกล้าขยับเขยื้อนเรือนกายของตน ก้อนน้ำลายเหนียวหนืดขวางกลางลำคอจนไม่สามารถเปล่งถ้อยคำ จึงทำได้เพียงมองคนบอบช้ำด้วยแววตาที่แสดงออกว่าลุแก่โทษอย่างชัดเจน
“จักต่อว่าข้าเยี่ยงไร ข้ามิเคยเคืองขุ่น แต่คุณพี่หยามเหยียดศักดิ์ศรีของข้า แลใช้อคติที่ตนเองมีด้อยค่าความปรารถนาดีที่ข้ามอบให้จากใจจริง ข้อนี้เป็นสิ่งที่ข้ามิอาจทนฟัง!”
ดวงตารวดร้าวที่มองจ้องมาเปรียบดั่งเข็มนับพันพุ่งตรงเข้าทิ่มแทง จึงไม่มีคำพูดใดหลุดรอดจากเรียวปากแสนร้าย
ชายหนุ่มมองใบหน้าอาบน้ำตาของร่างแบบบางที่บัดนี้ตัวสั่นสะท้านด้วยสาวเจ้ากำลังฝืนกัดก้อนสะอื้นเอาไว้
“ข้าขอถามหน่อยเถิด...คุณพี่จงเกลียดจงชังกระไรในตัวข้าเป็นหนักหนา หากเป็นเพราะเรื่องแม่พิกุล ตัวข้าก็เสียใจมิต่างกัน แลยังได้ชดใช้ในการกระทำของตนจนแทบมิเหลือสิ้นสิ่งใด...”
ประโยคขาดห้วงที่กลีบปากสีซีดเอ่ยมันออกมาบาดลึกไปถึงจิตใจของคนฟัง แต่ทิฐิสูงชันทำให้หมื่นสุรเสนาไม่ยอมลดละ โดยเฉพาะเมื่อชื่อของหญิงสาวอีกผู้ถูกเอ่ยอ้างให้ได้ยินยล ชั่วขณะหนึ่งดวงตาที่อ่อนแสงลงจึงแข็งกร้าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ทั้งชีวิตของแม่ข้าก็สังเวยให้การกระทำเหล่านั้น แลคุณพี่ยังต้องการสิ่งใดอีกฤๅเจ้าคะ ต้องการชีวิตของข้าคนนี้ด้วย จึงจักสาสมแก่ใจใช่ฤๅไม่!”
หยาดน้ำอุ่นร้อนร่วงเผาะในประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของคนพูดขาดห้วงด้วยความสะเทือนใจเหลือคณนา ก่อนที่ปรางจะหอบร่างสะโหลสะเหลจากมา มือเรียวยกขึ้นปาดม่านน้ำตาที่บดบังภาพเบื้องหน้า แต่ยิ่งเช็ดเท่าไร น้ำใสก็ยิ่งไหลทะลักออกมาประจานความโง่งมของตนเอง
นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ความร้าวรานจากหญิงสาวพุ่งเข้าสู่หัวใจโดยตรง ร่างสูงจึงรู้สึกอึดอัดเสียจนลมหายใจขาดห้วง ประหนึ่งก้อนเนื้อในอกนั้นสนองรับคำพูดที่เจ้าหล่อนพร่ำพรรณนา เพราะน้อยครั้งนักที่เขาจะได้ประจักษ์ความอ่อนแอเช่นนี้ด้วยสองตาของตน ดวงใจของบุรุษกล้าจึงไหวสะท้าน เสมือนกำแพงสูงชันที่เพียรพยายามสร้าง กำลังถูกธารน้ำที่เอ่อคลอจากดวงตาคู่งามซัดสาดให้สั่นสะเทือน
ความคิดเห็น |
---|