1

บทที่ 1 คืนความรู้สึก


 

1

คืนความรู้สึก

 

ผู้คนเนืองแน่นต่างยืนออรอคอยคนของตนเองอย่างใจจดใจจ่อ จ้องจอแสดงเที่ยวบินไม่วางตา หญิงสาวผู้หนึ่งยืนกลืนไปกับมวลหมู่ผู้มารอรับ เธอวางฝ่ามือประคับประคองหัวใจที่เอาแต่กู่ร้องก้องดังอยู่ภายใน หวังให้มันเต้นช้าลงกว่านี้อีกสักนิด สงบลงกว่านี้อีกสักหน่อย ด้วยเกรงว่าตนจะเผลอปล่อยพิรุธจนใครจับสังเกตเอาได้ นัยน์ตาหวาดหวั่นกวาดมองไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้าด้วยความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย

            และทันใดนั้นเอง ชายผู้หนึ่งก็ได้ปรากฏกายขึ้นในสายตาเธอ ท่ามกลางคนจำนวนมากมาย ท่ามกลางความวุ่นวายแตกต่าง ท่ามกลางความเคลื่อนไหวขวักไขว่ แต่เขากลับสะกดใจเธอให้หยุดนิ่ง ทิ้งสตินึกคิดหลุดลอยไป ลืมโลกตรงหน้าไปชั่วขณะ ระยะเวลากว่าห้าปีที่ไกลกัน มากพอจะคั่นกลางด้วยความรู้สึกผิดแปลกบางอย่าง ไม่รู้ว่าเขามองเห็นเธอที่อยู่ตรงนี้ไหม ทว่าเธอไม่อาจละสายตาประหม่าของตนไปจากคนคนนั้นได้ ชายผู้ซึ่งทิ้งตะกอนบางอย่างไว้ในใจกันก่อนจากไป

            และเขา...กลับมาแล้ว

            ระยะเวลากว่าครึ่งทศวรรษเปลี่ยนเขาให้ดูหล่อเหลาขึ้นอย่างที่เธอไม่เคยจินตนาการถึง กลบภาพเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งด้วยมาดภูมิฐานในชุดสูทเนี้ยบกริบ รัศมีความเข้มขรึมบางอย่างแผ่ซ่านเข้าปะทะใจคนมอง ฉายชัดว่าเขานั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน ทว่าสิ่งต่างๆ ภายนอกนั่นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่อยู่ภายใน เธอได้แต่หวังว่าภายใต้ท่าทางทรงเสน่ห์นี้คงมีบางสิ่งบางอย่างได้รับการบรรเทาให้เบาบางลงไปบ้างแล้ว

            “พราว พราว พราวลูก!”

            “คะ?”

            “ไปยืนทำอะไรตรงนั้น มานี่สิลูก พี่วินออกมาแล้ว” ครองขวัญกวักมือเรียกหญิงสาวผู้ซึ่งกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ตรงรั้วกั้นไม่ไกลกัน วันนี้นางและครอบครัวบุริมนาถมารอรับ ‘กวินภัทร’ ลูกชายคนโตที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากอเมริกา ทั้งหมดพากันเดินไปรอชายหนุ่มยังบริเวณสุดแนวกั้นผู้โดยสาร

            “คิดถึง” ชายหนุ่มยกมือไหว้บุพการี ก่อนจะโถมตัวเข้ากอดทั้งคู่อย่างถวิลหา หอมแก้มแม่ซ้ายขวาจนหนำใจ “ชื่นใจ...ไม่แก่ขึ้นเลยนะแม่เนี่ย” 

“น้องล่ะ” กวีลดาขัดขึ้นเมื่อพี่ชายยังไม่หันมาสนใจตน ทำเอาคนที่กอดแม่อยู่ต้องเอื้อมมือมาขยี้หัวฟูๆ สักทีอย่างมันเขี้ยว

            “คิดถึงหมดทุกคนนั่นแหละ” พูดจบเขาจึงชะงักไปเล็กน้อย ครั้นหันไปเห็นว่าทุกคนที่เขาพูดถึงเหมารวมไปถึงใครบางคนซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วย “ทุกคนในครอบครัวเรา” ชายหนุ่มเจาะจงเน้นเสียงหนักแน่น

            “ฮื้อ! ผมเสียทรงหมด” คนตัวเล็กสะบัดศีรษะหนีมือพี่ชายเป็นพัลวัน แถมยังเบี่ยงตัวหลบเมื่อเขาอ้าแขนจะโอบกอดเธอบ้าง “อ๊ะๆ ของฝากล่ะ” นอกจากจะไม่ยอมให้กอดแล้ว เธอยังแบมือออกไปรอตรงหน้า แสดงท่าทางราวกับลูกแมวอ้อนเจ้าของอย่างน่าเอ็นดู

            “หมดไปแสนแปด” คนเป็นพี่ทำได้แค่กลอกตามองบน แล้วจึงเขกกะโหลกน้องสาวคนเล็กหนึ่งที ก่อนชี้ไปทางกระเป๋าสามใบใหญ่ที่วางนอนซ้อนกันอยู่บนรถเข็น

            “โอเค กอดได้” สองพี่น้องจึงโถมตัวเข้าหากันอย่างแรง พี่ชายกอดรัดน้องสาวราวเอ็นดูหนักหนา โยกตัวไปมาจนพอใจแล้วจึงผละออก “นี่อย่าบอกนะว่าพี่วินใส่ชุดนี้มาตั้งแต่อยู่นู่น ลงทุนมาก...ดูแพงมาก...คุณชายมาก...” เธอทำเสียงลากยาวล้อเลียน กวาดสายตามองคนที่เพิ่งกลับมาตั้งแต่หัวจดเท้า

            “เปล่า พี่เพิ่งมาเปลี่ยนก่อนออกเกตเมื่อกี้นี้เอง” ความเข้มขรึมที่พยายามเก๊กเมื่อครู่หายวับไปในทันควัน

            “นั่นไง วิปก็ว่า จะทำเท่ว่างั้น”

            “ที่ออกมาช้านี่มัวแต่ไปเปลี่ยนชุดใช่ไหม” ครองขวัญเอ็ดทีเล่นทีจริงพลางตีแขนพ่อตัวดีด้วยความหมั่นไส้

            “ก็วินอยากเปิดตัวหล่อๆ ให้พ่อกับแม่ตะลึงนี่นา เป็นไง ลูกชายหล่อไหม” คนอยากหล่อยืดอกขึ้นเล็กน้อยให้ดูผึ่งผาย ยกแขนสองข้างจับปกเสื้อสูทกระชับให้เข้าที่ แล้วจึงส่งยิ้มประจบคนเป็นแม่

            “ตะลึงไหมล่ะ กว่าจะออกมาได้ ปล่อยพ่อแม่ยืนรอจนขาแข็งไปหมด” นางค้อนลูกชายเข้าให้

            “รู้ไหม แม่เราเขาพะวงกลัวว่าแกจะออกมาพร้อมลูกพร้อมเมีย” กมนทัตหันไปแซ็วภรรยาอย่างขบขัน

            กวินภัทรตกใจช็อกสุดขีด กลอกตาเหลอหลาพลางยกมือขึ้นปิดปาก ทำหน้าตามีพิรุธราวกับเด็กที่โดนจับได้ว่าแอบทำความผิดไว้ อาการนั้นทำเอาคนเป็นแม่อ้าปากหวอ ไม่คิดว่าสิ่งที่กังวลจะเป็นจริง

            “มีจริงๆ เหรอเนี่ยตาวิน!”

            “ล้อเล่น” ลูกชายขี้แกล้งเข้ามากอดออดอ้อนคนเป็นแม่ทันที “จะมีได้ไง แม่ยังไม่ไฟเขียวเลย หรือแม่อยากได้หลานหัวทอง”

            “เดี๋ยวเถอะ!” นางทำทีกะบึงกะบอนใส่ลูกชาย ก่อนจะหันไปเรียกพาพราวซึ่งยืนเงียบใบ้อยู่ด้านหลังให้เข้ามาร่วมวงสนทนา “พราว เข้ามาทักพี่เขาสิลูก เขินเหรอเรา”

            หญิงสาวก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด ทิ้งระยะห่างระหว่างกันพอสมควร เธอวางสีหน้าไม่ถูก จึงพยายามนิ่งงันเพื่อเก็บอาการประหม่า ด้วยไม่รู้ว่าควรทักทายเขาในรูปแบบไหนดี จะโอบกอดแบบที่เขาทำกับพ่อแม่หรือกวีลดาก็ใช่ที่ และไวกว่าใจคิด...

            “สะ...สวัสดีค่ะ” เธอยกมือขึ้นไหว้และกล่าวทักทายเขาไปเสียแล้ว ไหว้ในแบบเดียวกับที่ใช้ทำความเคารพญาติผู้ใหญ่นั่นละ

            ครั้นเห็นเธอยกมือไหว้ กวินภัทรถึงกับผงะไปเล็กน้อย ชายหนุ่มแสร้งส่งยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตาขณะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ ก่อนจะทำสิ่งที่พาพราวไม่คาดคิด เขารั้งหญิงสาวที่เอาแต่ยืนแข็งทื่อเข้าสู่อ้อมแขน กระชับแน่นจนส่วนสัดสัมผัสกันชัดเจน กระซิบกระซาบที่ข้างหูด้วยเสียงเนิบนาบ “ไง...สบายดีไหม” แล้วจึงผละออก ทำท่าทางราวกำลังสำรวจตรวจตราหาความเปลี่ยนแปลงของน้องสาวแสนรัก

            นัยน์ตาเข้มขลับจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างบอบบาง พลางกุมไหล่มนละมุนมือหมุนไปมาเบาๆ ส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอเด่นชัดเสียจนทำให้เขาร้อนวูบวาบอยู่ภายใน กลิ่นกายหวานๆ เมื่อครู่ยังอบอวลอยู่ในความรู้สึก นึกไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงที่ชอบทำหน้าตาว่างเปล่า ครั้นโตขึ้นมาจะพริ้งเพราสะพรั่งน่าสนใจได้ถึงเพียงนี้ มีบางสิ่งบางอย่างน่าค้นหาและท้าทายเขาอยู่ในที บางสิ่งที่ติดตามไปรบกวนจิตใจเขาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ห่างกัน

            พาพราวสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวจะจับไข้ ที่ปั่นป่วนอยู่ภายในไม่ใช่เพราะหวั่นไหว แต่เพราะเกรงใครจะล่วงรู้ความลับนั่นต่างหาก

            “ไป! กลับบ้านกัน” กมนทัตกล่าวรวบยอดเมื่อคนขับรถโทร. มาแจ้งว่าจอดรอรับอยู่บริเวณประตูทางออกหมายเลขใด และควรเร่งรุดไปโดยไวก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาไล่ไม่ให้จอดรอนานเกินควร

            โชคดีที่สัมภาระของชายหนุ่มมีไม่มาก เนื่องจากเขาเลือกขนมาเฉพาะบางส่วนที่สำคัญ นั่นรวมถึงรายการของฝากยาวเป็นหางว่าวของแม่และน้องสาวคนเล็ก ส่วนพวกของใช้อื่นๆ เขาส่งตามมาทีหลังผ่านบริการขนส่งระหว่างประเทศ คงมาถึงราวๆ กลางเดือนหน้า

            พาพราวเดินตามทุกคนไปอย่างเงียบๆ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเธอคือภาพครอบครัวหนึ่งซึ่งฉายแววความสุข สมบูรณ์พร้อม มีเสียงหัวเราะ มีรอยยิ้ม มีคำทักทาย มีเรื่องราวมากมายเล่าสู่กันฟัง...

            ...มีบางอย่างที่เธอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งตรงนั้น

            นัยน์ตาหวานเศร้าเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างของเขา ชายผู้พรากเอาสิ่งสำคัญไปจากเธอ คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กัน แล้วก็มามีอันต้องแปรเปลี่ยนไป ด้วยเหตุผลกลใดเธอก็มิอาจหยั่งถึงโดยแท้ ได้แต่หวังว่าระยะเวลาจะช่วยพัดพาเอาความเกลียดชังไปจากเขาได้ นั่นเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ของเธอ เพราะความจริงตรงหน้ากระแทกเข้าหาอย่างจังจนต้องทำใจยอมรับ เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด อคติ ความไม่พอใจ หรืออะไรสักอย่างในตัวเขายังคงอบอวลอยู่เช่นเดิม

            เช่นเมื่อครู่ตอนที่ขึ้นรถกลับกัน ชายหนุ่มตั้งใจวางถุงกระดาษตรงที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่ข้างตัวเพื่อกันไม่ให้เธอนั่ง เธอจะทำอะไรได้ นอกจากระเห็จมานั่งยังเบาะด้านหลังสุดนี้เพียงคนเดียว นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ

            กวินภัทรไม่ได้ตั้งใจ ครั้นเห็นแววตาราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ของเธอก็นึกอยากแกล้งเล่นเท่านั้น

            ...

            เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย พาพราวขอตัวขึ้นห้องทันที อ้างว่าต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ แต่ถ้าจะมีใครสักคนสนใจเธอสักนิด คงรู้ไปแล้วว่าเธอโกหกทั้งเพ เพราะนี่เป็นเดือนสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัย ฉะนั้นจึงมีเพียงแค่การทำศิลปนิพนธ์ที่ต้องจัดการให้เสร็จเรียบร้อยเท่านั้น

            ขณะคนอื่นๆ ต่างรวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น รุมล้อมคุณหนูของบ้านซึ่งจากไปนานกว่าห้าปี พูดคุย ถามไถ่ และแจกจ่ายของฝากกันอย่างครึกครื้น

           

            กระทั่งกลางดึกขณะเธอกำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนึ่งจังหวะ หญิงสาวคิดว่าคงเป็นอารี แม่บ้านที่เธอไหว้วานให้ช่วยหาของบางอย่างเมื่อช่วงหัวค่ำ พาพราวจึงเปิดรับในทันใดอย่างไม่คิดลังเล แล้วก็แทบผงะหงายเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือใคร…

...กวินภัทร!

            “ของเธอ” เขายื่นถุงกระดาษสีดำใบหนึ่งมาให้ คาดว่าคงเป็นของฝาก

            “ขอบคุณค่ะ” เธอพยักหน้าให้เขา แล้วจึงยื่นมือบางออกไปรับอย่างละล้าละลัง

            มือหนาเบี่ยงหนีในทันที ยียวนด้วยมาดกวนประสาทสุดพลัง นอกจากจะไม่ยอมส่งของให้กันดีๆ แล้ว เขายังเหยียดยิ้มและกระซิบเสียงเย็น “ไม่ได้อยู่ต่อหน้าใคร ไม่ต้องพยายามแสดงก็ได้ ฉันไปตั้งหลายปี ไม่คิดว่ากลับมาเธอจะยังอยู่ที่นี่อีก” ซ้ำร้ายเขายังจงใจปล่อยถุงกระดาษจนเกือบร่วงหล่นลงพื้น ดีที่ว่าเธอรับไว้ได้ทันเสียก่อน

“โทษที หลุดมือ” กล่าวจบจึงเดินหนีเข้าห้องนอนของตนไป ซึ่งโชคร้ายที่มันดันอยู่ถัดไปจากห้องของเธอนี่เอง

            “ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ยเสียงเบา แม้เขาไม่ได้อยู่ฟังแล้วก็ตาม จึงคล้ายกำลังพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า พาพราวก้มมองถุงกระดาษในมือด้วยความรู้สึกชนิดหนึ่ง

ภายใต้ท่าทีร้ายกาจและคำพูดเหน็บแนมของเขาฉาบซ่อนบางสิ่งบางอย่างซึ่งเธออธิบายไม่ได้ รู้เพียงความยินดีที่ก่อเกิดขึ้นในใจตน อย่างน้อยเขาก็นึกถึงกัน ที่สำคัญคือเธอได้ของฝากเช่นคนอื่นๆ นึกว่าจะถูกลืมเสียแล้ว

ครั้นเปิดออกดูจึงพบว่าเป็นกระเป๋าสตางค์สีขาว พิจารณาดูจากสายตาคร่าวๆ ก็รู้ว่าคงไม่ใช่ราคาถูกๆ เป็นแน่ หญิงสาวหยิบขึ้นมาอย่างทะนุถนอม พลิกเปิดดูด้วยความตื่นเต้น อมยิ้มอย่างคนมีความสุข แล้วจึงหยิบกระเป๋าใบเก่าของตนออกมา ดึงรูปถ่ายหลายใบที่เธอแนบไว้ในช่องใส่นามบัตรออกมา แล้วเลือกมาเพียงสองรูปจากทั้งหมด รูปแรกเป็นรูปครอบครัวซึ่งถ่ายไว้เมื่อครั้งที่กวีลดาเกิด ส่วนอีกรูปเป็นรูปถ่ายของเธอและเขาตอนที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันครั้งแรกเมื่อสมัยเด็กๆ เธอซ่อนมันไว้หลังรูปครอบครัวอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะนำกระเป๋าสตางค์ที่เขาให้เก็บใส่ไว้ในลิ้นชักข้างหัวเตียงเป็นอย่างดี เตือนตัวเองว่า ‘แค่นี้ก็ดีมากแล้ว’ 

 

            กวินภัทรลืมตาตื่นในเช้าวันใหม่ด้วยความรู้สึกไม่คุ้นชิน นัยน์ตาเข้มเหม่อมองเพดานห้องชั่วครู่ ปรับสายตาและอารมณ์ให้เข้าที่ นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาในความรู้สึกและบรรยากาศเช่นนี้ ภาพ กลิ่น เสียง และสัมผัสตอกย้ำว่าเขาได้กลับมาถึงบ้านแล้วจริงๆ

            “อ้าววิน! เป็นยังไงลูก เจ็ตแล็กเหรอเรา” ครองขวัญเอ่ยทักลูกชายที่เพิ่งเดินลงบันไดมาในเวลาเกือบสิบโมงเช้า เขายังดูอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย

            “ยังมึนๆ อยู่เลยแม่ แล้วนี่ทุกคนไปไหนกันหมด” ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครสักคน มีเพียงครองขวัญซึ่งนั่งอ่านหนังสือตรงมุมประจำอยู่เพียงลำพัง ทั้งที่เป็นวันหยุดแท้ๆ แต่บ้านกลับเงียบเชียบสิ้นดี

            “ยัยวิปออกไปทำงานที่โรงเรียนกับเพื่อน ส่วนพ่อเราเขาออกไปดูที่กับพาร์ตเนอร์น่ะ จะทานอะไรเลยไหม แม่จะให้เด็กเตรียมให้”

            “ขอกาแฟถ้วยเดียวก็พอครับ เดี๋ยววินไปทานข้าวเที่ยงกับย่าหยาที่เรือนริมน้ำเลยดีกว่า”

            “ไปสิ พราวก็อยู่นั่น”

            “เอ่อ...งั้น...วินเอาของฝากไปให้ย่าหยากับป้านิ่มเลยนะ” เขาว่าขณะพยายามเสยผมยุ่งไม่เป็นทรงของตนให้เข้าที่ จัดเสื้อโปโลที่สวมใส่อย่างลวกๆ เมื่อครู่ให้ดูเรียบร้อยขึ้น ประดักประเดิดเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตนจะได้เจอใครบางคน

            “ป้านิ่มเราเขาไม่อยู่หรอก ไปเดินสายทำบุญกับเพื่อนได้เป็นอาทิตย์แล้ว” คนเป็นแม่เอ่ยบอกขณะสายตายังไม่ละจากหนังสือสอนทำอาหารในมือ พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เจ้าลูกชายตัวดีก็หนีขึ้นห้องไปหยิบของเสียแล้ว ปล่อยให้นางพูดคนเดียวไปเรื่อย

            นอกจากขึ้นมาเอาของฝากแล้ว กวินภัทรยังใช้เวลาอยู่หน้ากระจกนานสองนาน ขยับตัวไปมาเพื่อตรวจตรารูปลักษณ์ของตนว่าดูดีพอหรือยัง เขาทำตัวราวกับเด็กหนุ่มขาดความมั่นใจ ก่อนจะขยี้ผมแรงๆ เมื่อนึกได้ว่ากำลังไม่เป็นตัวเอง ปกติเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ใส่ใจกับเรื่องทำนองนี้เสียหน่อย                        

 

เรือนริมน้ำเป็นเรือนไม้สองชั้นสีเบจซึ่งแทรกตัวอยู่ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์ ‘กัลยา’ หรือ ‘ย่าหยา’ มารดาของกมนทัตรักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ จึงมักสรรหาพันธุ์ไม้หลากหลายมาปลูกประดับทั่วบริเวณ เย็นตาและชื่นใจยามได้ย่างใกล้เข้ามา โชคดีที่ด้านหลังเรือนติดริมคลองสายเล็กๆ จึงให้ความรู้สึกคล้ายอยู่บ้านสวนในต่างจังหวัด ทั้งที่จริงแล้วสถานที่แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในเขตรั้วของบ้านบุริมนาถ คฤหาสน์หลังใหญ่ในย่านหรูของผู้มีอันจะกิน โดยตัวเรือนอยู่ห่างกันเพียงห้าร้อยเมตร คั่นกลางด้วยสวนขนาดใหญ่และต้นไม้หนาแน่น คลาคล่ำไปด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้ที่ได้รับการใส่ใจดูแลอย่างดีจากคนสวนประจำบ้าน

            โดยปกติแล้วในวันหยุดสุดสัปดาห์ หากไม่ได้มีกิจธุระอันใด พาพราวมักใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่กับกัลยาที่เรือนริมน้ำ ท่านแทบจะเป็นเพียงคนเดียวที่เธอรู้สึกอุ่นใจยามได้ชิดใกล้ หญิงสาวจึงชอบมาหาท่านทุกวันว่างอยู่เนืองนิตย์ คอยดูแล หยิบจับสิ่งของ ชวนท่านคุย คอยบีบนวด อ่านหนังสือให้ท่านฟัง หรือหากวันไหนนึกครึ้มอกครึ้มใจก็มักชวนกันทำอาหารบ้าง ทำขนมบ้าง เช่นวันนี้ หญิงชราชวนเด็กสาวทำขนมเปียกปูนใบเตยกะทิสด ซึ่งเป็นเมนูโปรดของกวินภัทร กะว่าจะเอาไว้ต้อนรับหลานชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมา เพราะตอนอยู่ต่างประเทศเขามักออดอ้อนมาทางโทรศัพท์เสมอว่า ‘คิดถึงขนมไทยฝีมือคุณย่าที่สุด’

            “พราว น้ำตาลน่ะใส่แต่ครึ่งหนึ่งก็พอนะ พี่วินเราเขาไม่ชอบหวานเลี่ยน” กัลยาจำได้ดีว่าเหตุผลที่กวินภัทรติดใจรสมือนางเพราะเขาไม่ชอบกินรสหวานจัด ฉะนั้นขนมไทยเจ้าอื่นจึงหมดสิทธิ์ เขาไม่คิดจะลิ้มลอง เว้นเสียแต่ที่นางทำให้กินเท่านั้น

            “ค่ะ แค่นี้พอไหมคะ” หญิงสาวพยายามยั้งมือขณะค่อยๆ เทน้ำตาลลงหม้อผสม       

            “อีกนิดก็ได้ลูก ผสมแป้งเข้ากันแล้วก็ตั้งเตาได้เลย ไฟอ่อนๆ ก็พอนะ” หญิงชราเอ่ยอย่างใจเย็น มองดูหญิงสาวกวนส่วนผสมจนเข้าที่ แล้วกรองอีกชั้นด้วยผ้าขาวบางเพื่อให้เนื้อนวลเนียนขึ้น “กวนไปเรื่อยๆ เบาๆ นะลูก” คนมากฝีมือคอยกำกับอยู่ข้างๆ ไม่ห่างกาย

            นางจำได้ดีเมื่อครั้งเริ่มหัดทำใหม่ๆ เด็กสาวเงอะงะ หยิบจับอะไรไม่ค่อยคล่อง จำได้ว่าครั้งแรกเคยสอนให้ทำข้าวต้มผัด จากนั้นจึงปล่อยให้ลองทำเองดู ทว่าแทบรับประทานไม่ได้เพราะมีรสหวานจัดจนเกินไป แถมข้าวเหนียวข้างในก็ยังสุกไม่สม่ำเสมอกันดี ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีพรสวรรค์ในการทำอาหารเอาเสียเลย แต่หญิงสาวก็พยายามเรื่อยมา คอยช่วยเป็นลูกมือให้นางอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งความพยายามเป็นผล เช่นตอนนี้ที่เธอทำอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งของคาวของหวาน อีกทั้งรสมือก็เริ่มคงที่ มีเสน่ห์ปลายจวักมากพอจะมัดใจใครได้อยู่หมัด

            กัลยามั่นใจ!

            ครั้นรู้ว่าขนมที่ทำวันนี้เป็นเมนูโปรดของชายหนุ่ม จากความมั่นใจในระดับสิบก็ลดฮวบลงเหลือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หญิงสาวกริ่งเกรงราวกับคนไม่เคยทำ ทั้งที่เป็นเมนูประจำซึ่งเธอหัดทำมาไม่รู้กี่สิบครั้ง ด้วยกลัวว่าจะทำไม่ถูกปากเขาเข้า แล้วจะมาค่อนขอดกันทีหลังเอาได้ มือเรียวค่อยๆ ขยับไม้พายกวนด้วยความตั้งอกตั้งใจ เพียงไม่นานขนมหวานสีเขียวสดใสในเตาก็เริ่มจับตัวเป็นก้อนเหนียวหนืดได้ที่ กลิ่นหอมของใบเตยอบอวลไปทั่วครัวริมน้ำ แซมด้วยกลิ่นไหม้อ่อนๆ จากเตาถ่าน เข้ากันอย่างละมุนละไม พาให้คนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้น้ำลายสอ กวินภัทรคลี่ยิ้มทันทีเมื่อรู้ว่าจะได้กินเมนูโปรดของตน

            “คิดถึงย่าที่สุดเลย” หลานชายคว้าหมับเข้าที่เอวนิ่มๆ ของกัลยาโดยไว ไม่ทันให้คนแก่ได้ตั้งตัว

            “ตาเถน! ตาวิน!” นางตกใจจนเผลอฟาดพัดในมือใส่หลานชายไม่ยั้ง

            พาพราวเองก็ตกใจเช่นกัน ยิ่งเมื่อหันมามองทางต้นเสียงแล้วเผลอสบเข้ากับนัยน์ตาสีเข้มของคนมาใหม่ ทำให้ไม่ทันระวัง มือที่จับไม้พายจึงเผลอไปโดนขอบกระทะทองเหลืองร้อนระอุบนเตาไฟเข้าอย่างจัง       

            “อุ้ย!” เธอรีบสะบัดมือออกห่าง กวัดแกว่งไล่ความแสบร้อนไปมาในอากาศ            

            “ว้าย! คุณพราว เป็นอะไรไหมคะนั่น แดงหมดแล้ว ไปแช่น้ำก่อนค่ะ เดี๋ยวป้าทำต่อเอง” จิตตรีรีบดึงมือคุณหนูสาวออกห่าง แล้วรุนหลังเธอให้รีบไปล้างน้ำโดยไว

            “ซุ่มซ่าม!” ไม่ใช่เสียงของกัลยา และไม่ใช่เสียงของจิตตรีแน่ๆ แต่เป็นชายหนุ่มตัวโตที่นั่งจ้องมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนั่นต่างหาก

            “นี่! ไปว่าน้อง คนเขาอุตส่าห์ตั้งใจทำของโปรดเรา”

            “ไม่เห็นจะอยากกินเลย อยากกินฝีมือย่าหยามากกว่า” เขาออดอ้อนคนแก่เสียงหวานพลางขยับเข้ากอดเอว ซุกหน้าเข้าหา ทำตัวราวกับเป็นเด็กชายตัวน้อย

            “เดี๋ยวนี้น้องทำอร่อยกว่าย่าตั้งเยอะ ได้กินแล้วจะติดใจ”

            “จะกินได้รึเปล่าก็ไม่รู้” ยังไม่วายส่งเสียงกระแนะกระแหนตามมา

แต่ก็นั่นละ จะกินได้รึเปล่าไม่รู้...แต่ที่รู้กวินภัทรจัดการไปสามถ้วยใหญ่เพียงคนเดียว พอโดนคนแก่แซ็วเข้า เขากลับตอบหน้าตาเฉยว่ากินเพราะหิวหรอก อีกทั้งยังไม่มีอาหารเช้าตกถึงท้อง ไหนๆ ก็ทำมาแล้ว เลยไม่อยากให้เสียของ และรสชาติก็...พอกินได้

            ย่าหลานนั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เรื่องราวสารพัดถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันอย่างออกรส โดยมีหญิงสาวนั่งฟังด้วยอาการสงบเสงี่ยม เขาและเธอใช้เวลาตลอดบ่ายร่วมกันกับคนเป็นย่า จนกระทั่งฝนตั้งเค้าทำท่าว่าจะตกนั่นละ หญิงสูงวัยจึงไล่ให้ทั้งคู่รีบกลับเรือนใหญ่ก่อนฝนห่าใหญ่จะเทลงมา กวินภัทรแย่งตะกร้าใส่ขนมจากมือเล็กมาถืออย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเธอรั้นไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา

            “อย่าอวดเก่ง” เขาก้มลงกระซิบกระซาบข้างหูคนตัวเล็กอย่างหมั่นไส้ในอาการ ทำให้เธอต้องรีบเดินนำไป ไม่สนใจคำพูดชวนตีนั่น

            ระหว่างทางเดินสายเล็กๆ ซึ่งปูด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงสลับฟันปลา เธอเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นขณะก้าวฉับกลับเรือนใหญ่ รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกแก้วฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ กิ่งไม้ใบไม้ปลิวไสวไปตามสายลมที่เริ่มทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงลมหวีดหวนมาเป็นระยะ พัดพาเอาละอองความชื้นเข้าปะทะผิวบางจนเริ่มหนาวสั่น ก่อนสายฝนจะกระหน่ำลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ลงเม็ดหนักหน่วง ทำให้คนทั้งคู่ซึ่งเดินมาได้ครึ่งทางแล้วต้องรีบวิ่งหาที่หลบในทันใด ก่อนที่จะเปียกปอนไปมากกว่านี้

            มือหนาคว้ามือเธออย่างถือวิสาสะ จับจูงชี้นำให้วิ่งตามเขาไป ผ่านอุโมงค์ต้นไม้ลึกเข้าไปราวสามเมตร ซึ่งทอดตัวไปสู่ศาลานั่งเล่นทรงแปดเหลี่ยมที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางความหนาแน่นของพืชพันธุ์ เมื่อเข้ามาหยุดยืนใต้ร่มหลังคาเรียบร้อย ชายหนุ่มยังคงไม่ปล่อยมือเธอ น้ำฝนชุ่มฉ่ำเย็นชื้น...แต่มือเธอกลับอุ่นร้อนและอ่อนนุ่มในที

            หญิงสาวพยายามขยับปลายนิ้วดึงออกจากการกอบกุมของเขาอย่างนุ่มนวล เก้อกระดากเพราะบรรยากาศและสัมผัสใกล้ชิดเกินพอดี กระทั่งหลุดพ้นจากพันธนาการแล้วจึงขยับออกห่าง

            “เล่นเก่งจังเลยนะ...บทเด็กดีแสนเรียบร้อยเนี่ย” เมื่ออยู่กันเพียงลำพังก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำ

            “หมายถึงอะไรคะ” คนที่กำลังวุ่นอยู่กับการลูบเนื้อตัวเปียกปอนหันมามอง จ้องชายหนุ่มด้วยแววสงสัย ระแวงว่าเขาจะหาเรื่องอะไรกันอีก

            “เธอหลอกฉันไม่ได้หรอก”

            “พราวไม่ได้หลอกอะไรคุณวิน”

            “คุณวินเหรอ...ทำไมไม่เรียกพี่แล้วล่ะ”

            “...” คนตัวเล็กเม้มปากแน่น ด้วยไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกไป แล้วจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไม่อยากมองหน้าเขาให้เสียอารมณ์ไปมากกว่านี้

            “หรือว่า...ไม่ได้อยากให้ฉันเป็นพี่ เป็นอะไรดีน้า...” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างยียวน ทำให้คนที่กำลังหันมาต้องผงะถอยหลังไปอย่างไม่ทันระวัง กระทั่งชนเข้ากับเสาศาลา

            เธอถอยไม่ได้แล้ว! อีกทั้งเขาก็เอาแต่ขยับเข้าหา ยกมือหนายันกับเสาต้นนั้นด้วยท่าทางคุกคาม

            “ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ถอยไปค่ะ!” นอกจากไม่ถอยแล้ว เขายังเบียดกายแกร่งเข้าหาอย่างจาบจ้วง ดีว่าเธอยกมือขึ้นกั้นระหว่างอกไว้ ไม่ให้จุดที่อันตรายต้องแนบชิดกัน ใบหน้าเขาอยู่ห่างจากเธอไม่เกินคืบ ปลายคางสากอยู่ในระดับสายตาเธอพอดิบพอดี

พาพราวเกร็งกายแน่นยามเมื่อชายหนุ่มเอียงศีรษะเข้าหา เรียวปากเขาเฉียดเฉี่ยวแก้มเธอไปเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ทั้งยังกระซิบเสียงต่ำพร่าที่ข้างหู จนหญิงสาวจำต้องแขม่วท้องลดอาการหวิวไหว

            “นี่ไง โมโหแล้วเหรอเด็กดี” ระยะชิดใกล้เพียงปลายนิ้ว เขาได้กลิ่นหอมบางเบาจากเรือนผมนุ่ม ฉ่ำหวานและผลาญใจในคราเดียวกัน

            “มะ...ไม่ได้โมโห ปล่อยก่อนค่ะ” ลมหายใจอุ่นร้อนซ่อนความหวามไหวผสมรวมมาขณะพัดผ่านเข้าหาผิวบางของเธอ คนในอ้อมแขนจำต้องย่นคอหนีอย่างหวาดหวั่น สั่นไหวเพราะอะไรบางอย่างในกายที่คล้ายจะมอดไหม้ใต้สัมผัสเขา

            “ไม่ปล่อย” ยิ่งเธอต้าน เขาก็ยิ่งขยับเข้าหา จากที่เธอรู้สึกว่านั่นใกล้มากแล้วก็ยิ่งใกล้เข้ามาอีก แนบชิดไปทุกส่วนสัด และยิ่งอันตรายเมื่อเขาพยายามเสียดสีอย่างมีชั้นเชิงเช่นนี้

            “อยากให้ปล่อยจริงๆ เหรอ” คล้ายมนตร์สะกดให้เขาต้องจดจ่ออยู่กับคนตรงหน้า ในระยะแค่นี้ ใกล้พอจะทำให้เห็นดวงหน้าของเธอเด่นชัด หยาดน้ำเกาะพราวจนผิวฉ่ำวาวไปทั่ว ไรผมเปียกลู่แนบลงมาตามกรอบหน้า ดวงตากลมโตสีน้ำตาลใสใต้กรอบแว่นหนา ที่แม้จะเต็มไปด้วยหยดน้ำก็ไม่อาจบดบังแววตาดื้อรั้นที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ แก้มนวลใสสีชมพูระเรื่อน่ามอง ริมฝีปากสีหวานเย้ายวนชวนให้จับจอง

            “...” เธอเอาแต่จ้องเขาไม่วางตาเช่นกัน อึดอัดและสั่นไหวไปกับวินาทีวัดใจ เธอควรรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้านี้อย่างไร

            และเมื่อเห็นว่าเขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาใกล้ ด้วยสัญชาตญาณก็รู้ได้แน่ชัดว่าเขาต้องการทำสิ่งใด เธอจึงรีบยกมือขึ้นป้องปากตัวเองไว้ทันควัน เขาชะงักงันไปชั่วครู่ ปรายตามองเธอด้วยแววเจ้าเล่ห์ แล้วจึงกดเรียวปากเข้าหามือบางอย่างเอาแต่ใจ ทำเธอไหวสั่นไปเล็กน้อยเพราะสัมผัสยวนใจนั่น จูบประทับอ่อนหวานผ่านมือบางนวลนุ่ม ราวกับมือเย็นฉ่ำของหญิงสาวเป็นปราการชั้นดีคั่นกลางระหว่างริมฝีปากเขากับเธอ

            ชายหนุ่มคงไม่รู้ ยามเขาค่อยๆ คลึงเรียวปากนุ่มไปบนผิวเนื้อของเธอ ความเปียกชื้นจากหยาดน้ำเย็นฉ่ำกลับกลายเป็นร้อนรุ่มในทันทีที่เขาสัมผัสผ่าน ราวกับเขากำลังควบคุมความรู้สึกทั้งหมดของเธอไว้ภายใต้รอยจูบแผ่วเบานั่น นุ่มนวลทว่าหนักหน่วง ถ่วงเรี่ยวแรงกำลังกันไว้จนไม่อาจต้านทาน ซ่านลึกลงไปในความรู้สึก สะกดเธอด้วยสายตาลุ่มลึกทอประกายราวกับร่ายมนตร์หวานใส่กัน

            หรือเขารู้...

            ใจเธอนั้นเต้นแรงเกินควบคุม ลืมกระทั่งวิธีหายใจ เสียงฝนรอบกายเลือนหายไปชั่วขณะ เธอได้ยินเพียงเสียงจังหวะที่กู่ร้องก้องกระทบอยู่ในอกข้างซ้ายของตน กายสาวสั่นไหวไปทั้งตัว หากไม่มีเสาด้านหลังให้พักพิงและไม่มีเขาแอบอิงกันไว้ เธอไม่แน่ใจว่าจะยืนทรงกายอยู่ได้เช่นขณะนี้ไหม

            ในภวังค์สะกดแสนสั้น...เธอพ่ายแพ้สิ้นท่าจนต้องหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก พึงเรียกสติที่ควรมี ก่อนจะผลักเขาออกสุดแรงกำลัง ทว่ากลับเบาโหวงในความเป็นจริง ร่างใหญ่เซไปอย่างรู้จังหวะ ตั้งใจยอมถอยห่าง เปิดทางให้เธอแต่โดยดี เขายกปลายนิ้วขึ้นคลึงริมฝีปากตัวเองไปมาขณะยืนมองคนตัวเล็กวิ่งฝ่าสายฝนออกไปอย่างพอใจในท่าที

นี่ถือเป็นแค่การเริ่มต้น!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น