2

บทที่ 2 ปริศนาฟ้าแลบ


 

2

ปริศนาฟ้าแลบ

ที่เบื้องนอกหน้าต่าง ม่านฝนพร่างพราวลงมาราวกับฟ้ารั่ว ประกายแสงส่องสว่างวาบขึ้นเป็นระยะ ลอดสาดผ่านม่านสีอ่อน ทอดทอลงมากระทบชายผู้หนึ่งซึ่งแอบลักลอบเข้ามาในยามวิกาล นัยน์ตาคมเข้มจับจ้องหญิงสาวที่นอนหลับใหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ทั้งที่เธอหลับนิ่งไม่ไหวติง ทว่ากลับมีอำนาจพิเศษสะกดเขาให้ก้าวเข้าหาด้วยความลุ่มหลง มือแกร่งสะบัดผ้าคลุมจนพ้นเรือนร่างอรชร แล้วจึงขยับเคลื่อนเลื่อนกายขึ้นคร่อม กักเก็บทุกทางหนีของเธอเอาไว้ใต้ร่างเขา ลูบไล้มือสากไปตามส่วนโค้งเว้านวลนุ่มของหญิงสาว เนื้อตัวเธอเปียกปอนชุ่มฉ่ำ ทว่ากลับอุ่นร้อนอ่อนหวานในที

“อื้อ...คุณวิน” เธอตอบรับเขาด้วยการบิดเร่าเนื้อตัวอย่างเย้ายวน แอ่นส่วนสัดนวลนุ่มขึ้นราวกับเชื้อเชิญให้สัมผัสหา

ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงซบต้นคอหอมกรุ่น ซุกไซ้ไล่เลยผิวกายสาวราวหลงละเมอ พลางเอ่ยว่าเธอขณะกำลังเคลิบเคลิ้มอย่างหนัก “ยัยแม่มด!”

หอมยวนใจ...เขาได้กลิ่นดอกแก้วสีขาวนวลลอยอบอวลจากเนื้อตัวของเธอ ยิ่งใกล้ยิ่งได้กลิ่น อ่อนหวานและซ่านกระสันไปพร้อมๆ กัน ริมฝีปากร้อนขบเม้มผิวบาง ทิ้งรอยสัมผัสไปตามรายทาง กระทั่งล่วงเลยมาถึงผิวนุ่มเหนือเนินอกอวบอิ่ม นัยน์ตาเข้มขลับกวาดมองส่วนเปิดเผยที่โผล่พ้นคอเสื้อเว้าลึก มองร่องกึ่งกลางรอยแยกยวนยั่วสายตาชาย

หญิงสาวสวมเพียงเสื้อนอนผ้าฝ้ายเนื้อบางเบา เปียกชุ่มโชกชื้นไปด้วยหยาดน้ำเย็นฉ่ำ ปราการเนื้อบางจึงไม่ต่างจากม่านหมอกจางๆ ซึ่งปกป้องผิวสาวไว้แทบไม่ได้ เลือนรางจนมองเห็นผิวเบื้องหลังนั่นรำไร ยิ่งเห็นชัดว่าเธอไม่ได้สวมอะไรปกปิดไว้ภายใน ก็ยิ่งกระตุ้นความต้องการภายในกายชายให้พุ่งทะยาน นิ้วเรียวเกี่ยวรั้งคอเสื้ออ้ากว้างเลื่อนลงมาตามลาดไหล่ กระทั่งเผยส่วนหวิวไหวงามสะพรั่ง เร่งเร้าให้เขาตื่นตัวเพื่อลิ้มรส ผมยาวประบ่าแผ่กระจัดกระจายสยายคลุมคลอเคลีย ประดุจแม่มดร้ายร่ายเวทมนตร์ใส่เขาจนแทบหลอมละลายและแข็งขึงในคราเดียวกัน เธอกระตุ้นอารมณ์กำหนัดในกายเขาให้เร่าร้อนขึ้นทบทวี

เรียวปากหยักโฉบเข้าเย้าหยอกครอบครองปลายถันสีหวาน แกล้งเลียลิ้นละเลงรักสลักความฉ่ำชื้นเป็นวงกว้าง สลับข้างไปมา หยอกเอินจนหญิงสาวใต้ร่างครางสะท้าน ต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นเพื่อสูดปากลดอาการวูบหวาม

“อื้อ...” ดั่งเสียงหวานร่ำร้องต่อต้านการขยับของเขา ยิ่งดูดดึง ดอมดม โลมเลีย เธอก็ยิ่งหวีดดังซ้ำถี่ขึ้นเรื่อยๆ เสียงแว่วหวานกระทบใจจนสร้างกระแสซ่านไหวไหลพล่านไปทั่วสรรพางค์กายชาย เธอกอดก่ายสอดประสานนิ้วมือเข้าหาเรือนผมสั้น สัมผัสที่แสดงชัดถึงความต้องการกันอย่างเหลือล้น และนั่นยิ่งปลุกเร้าใจเขาได้เป็นอย่างดี

“ชอบไหม...” เขาเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสวยหวานอันหยาดเยิ้มด้วยฤทธิ์อารมณ์ร้อน ก่อนจะเข้าปรนเปรอเต็มกำลังอีกครั้ง ทั้งขบเม้ม ดูดกลืน ดื่มด่ำ ขยำสลับลูบไล้อย่างเชี่ยวชำนาญ หวังสร้างความรู้สึกที่มากขึ้นอีกขั้นให้หญิงสาว เร่งเร้าให้เธอรัญจวนซ่าน ส่งแรงดื่มชิมสุดท้าย ก่อนจะเลื่อนใบหน้าขึ้นมาครอบครองกลีบปากฉ่ำระเรื่อ ดูดซับเสียงร้องและแรงหอบหายใจของเธอไว้ในลำคอ

“คิดถึกันไหม” เขาไม่พูดเปล่า กลับขยับมือหนาไล่ไปตามชายเสื้อนอนตัวยาว ลูบไล้เรียวขาเนียนนุ่มอย่างแผ่วเบา ราวกับต้องการจะหยอกเย้าทุกผิวสัมผัส กระตุ้นให้เธอต้องเผลอขยับขาออกห่าง เปิดทางให้เขาเข้าใกล้

นิ้วแกร่งลูบขึ้นสูง แตะต้องเนื้อนวลแสนนุ่ม ชุ่มชื้น ฉ่ำรื้นรอการเติมเต็มจากเขา เร่งเร้าให้เขาขยับเสียดสีอย่างมีจังหวะ

เธอร้องครางอย่างรัญจวนไปกับจังหวะการปรนเปรอของเขา ครวญแข่งกับเสียงหยาดฝนเบื้องนอกนั่น สั่นสะเทือนอารมณ์ดิบเถื่อนที่ซุกซ่อนในกายแกร่งให้คลุ้มคลั่ง

“เคยรึเปล่า เคยต้องการตอนที่ฉันไม่อยู่ไหม” เขาถามในจังหวะสุดท้าย ก่อนจะส่งเธอขึ้นไปแตะยังวังวนของความพร่างพราว

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าร้องดังก้องสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ชายที่กำลังหลับฝันสะดุ้งตื่นขึ้นกลางคันในยามค่ำคืน กวินภัทรจำต้องใช้เวลาชั่วครู่เพื่อระลึกเรื่องราว แล้วจึงสำนึกได้ว่าเหตุการณ์ชวนหวามหวิวก่อนหน้านั้น เขาแค่ฝันไปในจินตนาการ

บ้าเอ๊ย!

แม้แต่ในฝันเธอยังตามมาหลอกหลอนเขาจนได้ ทั้งที่อุตส่าห์ยับยั้งใจไม่ทำอะไรแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาฝันบ้าบอคอแตกกลางดึกสงัดแบบนี้

มันทรมาน...กวินภัทรได้แต่ข่มตาให้หลับลง เก็บกลั้นความรู้สึกค้างคาอัดแน่นเพื่อรอวันระเบิด!

 

ชายหนุ่มในชุดสูทมาดเข้มเดินตรงเข้ามายังห้องอาหารเป็นคนสุดท้าย เขาตื่นสายกว่าที่คิดไว้ในเช้าวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันแรกที่จะเข้าไปเริ่มเรียนรู้ระบบงานในบริษัทของครอบครัว ทว่ากลับลืมตัวนอนหลับยาว...ก็เพราะเธอนั่นละ หญิงสาวในชุดนักศึกษาที่นั่งหน้าแฉล้มอยู่ตรงข้ามกัน เมื่อคืนเธอมาเข้าฝันเขา…ยัยแม่มด!

คนถูกชายหนุ่มพาดพิงในใจขยับตัวอย่างอึดอัด เธอเผลอสบตาลุ่มลึกของเขาเข้าโดยบังเอิญ พาพราวจึงรีบทำทีเสมองไปทางอื่น ทั้งที่หน้าตาตื่นเสียขนาดนั้น

น่าแกล้งซะไม่มี

มุมปากเขากระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการคนตรงหน้า ครั้นเห็นหญิงสาวแอบชำเลืองมองกันไม่เลิกจึงแกล้งใช้ส้อมจิ้มไข่ดาวในจานของตัวเองแรงๆ ขยี้จนไข่แดงเยิ้มทะลัก นั่นทำให้ม่านตาหวานกระตุกวาบขึ้นด้วยอารามตกใจ กิริยาหวั่นผวาของคนตัวเล็กยังผลให้คนขี้แกล้งต้องเม้มปากแน่นเข้าเพื่อกลั้นขำ

พาพราวรีบหลุบตาลงต่ำพลางก้มหน้าจัดการกับอาหารของตนทันที กระทั่งเผลอตักถั่วอบในซอสมะเขือเทศขึ้นกินอย่างลืมตัว ทั้งที่เป็นเมนูแสนยี้ของตัวเอง ทว่าไม่ทันแล้ว! รสชาติหวานมันเค็มปะแล่มๆ นั่นเต็มล้นอยู่บนลิ้นเล็กของเธอเสียแล้ว หญิงสาวจึงต้องจำใจกลืนมันลงไปด้วยสีหน้าราวกับคนจะร้องไห้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทั้งหมดนั่นอยู่ในความสนใจของใครบางคน คนที่แอบหัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“พ่อว่าพักอีกสักอาทิตย์แล้วค่อยเริ่มงานก็ได้นะวิน” กมนทัตพูดขึ้นขณะพับหนังสือพิมพ์วางลงบนโต๊ะ แล้วยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบด้วยมาดสุขุม

“ไม่ดีกว่า วินไม่อยากอยู่ว่างๆ ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี แต่ถ้าพ่อให้พักอีกอาทิตย์ มีหวังโรคขี้เกียจกำเริบแหงๆ” กวินภัทรอยากเรียนรู้งานให้เร็วที่สุด ด้วยรู้ว่าตนใช้เวลาในการทำงานและเรียนต่อที่โน่นนานเกินไป ทำให้กลับไทยช้ากว่ากำหนดไปเกือบปี แทนที่พ่อจะได้วางมือจากธุรกิจเร็วขึ้น กลับต้องทอดเวลายาวออกไป  ยิ่งเขากลับมาเห็นว่าท่านนั้นแก่ลงไปมากเพียงไร เขาก็ยิ่งอยากให้ท่านได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที

“แล้วนี่นอนไม่อิ่มหรือลูก” ครองขวัญหันไปถามลูกชายที่ใบหน้าอิดโรยด้วยความเป็นห่วง ขณะมือยังคงสาละวนอยู่กับการทาแยมส้มลงบนขนมปังปิ้งแบบเกรียมที่ลูกชายชอบ

“นิดหน่อยครับ สงสัยยังแปลกๆ ไม่ชินเวลา” เขาหันไปยิ้มตอบเพื่อให้ท่านเบาใจ ก่อนจะแอบปรายตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขานอนไม่หลับครึ่งค่อนคืน

“วันนี้บริษัทพ่อแตกแน่ๆ แค่ท่านรองประธานจะเข้าไปดูงานยังแต่งเต็มไปขนาดนี้ กะเช็กเรตติงเหรอพี่วิน” กวีลดายื่นหน้าเข้ามาแซ็วพี่ชาย ก็เขาเล่นใส่สูทจัดเต็มเสียขนาดนี้ มีหวังไปถึงบริษัทคงขัดเขินเป็นแน่ ก็แหม...บริษัทพ่อที่เธอเคยแวะเวียนไปบ่อยๆ น่ะ ใครเขาใส่สูทไปทำงานกัน มากสุดก็เชิ้ตสบายๆ นั่นละ

“หยุดพูดไปเลยยัยหัวฟูฟันเหยิน พูดมากพี่จะริบของฝากคืนให้หมด รีบกิน!” เขารู้หรอกน่า นี่ก็แค่ให้เกียรติสถานที่หรอก...ส่วนเรื่องอยากหล่อ อยากดูดีให้ใครมองนี่ไม่มีในความคิดเขาเลยสักนิด ไม่มีจริงๆ สาบาน!

คนฟันเหยินเลยต้องเม้มปากเก็บฟันกระต่ายซี่ใหญ่นั้นอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะหันไปคว้าขนมปังปาดแยมส้มหนามาเต็มอัตราจากมือแม่ด้วยสีหน้าสุดร่าเริง “ขอบคุณนะคะแม่” เธอรู้หรอกว่าแม่ทำให้พี่ชาย แต่เป็นพี่ก็ต้องเสียสละให้น้องก่อนสิ จริงไหม

“นิสัย!” ชายในชุดสูทเรียบหรูดุน้องสาวที่ชิงตัดหน้าคว้าขนมปังสองแผ่นที่ควรเป็นของเขาไป พลางสะบัดหน้าหล่อเหลาใส่น้องในชุดนักเรียนหนึ่งที ปัญญาอ่อนสิ้นดี

“เราสองคนนี่ยังไง เล่นกันเป็นเด็กๆ ไปได้” ครองขวัญมองสองพี่น้องด้วยแววตากึ่งเอ็นดูกึ่งเอือมระอา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี พี่ชายคนโตก็ไม่เคยยอมลงให้น้องสาวคนเล็กเลยสักครา ดีที่พาพราวไม่เอากับเขาด้วย ไม่งั้นเธอคงปวดหัววันละสามเวลาหลังอาหารเป็นแน่

“ก็พี่วินนั่นแหละ เริ่มก่อน”

“นี่! น้อยๆ หน่อยเรา สวยก็ไม่สวย ยังนิสัยเสียอีก”

“พี่วิน! ว่าน้องเหรอ รอวิปโตก่อนเหอะ จะสวยให้ดู สวยกว่าพี่พราวอีก” ยัยตัวเล็กของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงแง่งอน ก่อนจะงับขนมปังคำใหญ่ด้วยกิริยาตะกละตะกลาม ทำเอาคนเป็นแม่เห็นแล้วอยากจะตีเข้าสักเผียะ

ส่วนคนถูกพาดพิงว่า ‘สวย’ วางสีหน้าไม่ถูกเมื่อบังเอิญสบตากับเขาได้จังหวะพอดิบพอดี เธอมองเห็นแววล้อเลียนบางอย่างฉายชัดในตาคู่คม พาพราวจึงรีบก้มหน้าหลบสายตาชาย แก้เก้อด้วยการจิ้มไส้กรอกแท่งอวบขึ้นมากัดคำใหญ่ ทำเอาคนที่มองอยู่ก่อนแล้วต้องเบิกตากว้างขึ้นด้วยคิดลุ่มลึก จินตนาการไปไกลเกินกว่าโต๊ะอาหารเช้านี้

หืม เมื่อคืนเขาเพิ่งฝันวาบหวามถึงเธอไป แรงอารมณ์ยังไม่คลายตัวดี แล้วเช้านี้เธอจะมากัดไส้กรอกให้เขาดูต่อหน้าต่อตาด้วยท่าทางแบบนั้นไม่ได้นะ! เขาสู้ความรู้สึกนี้ไม่ไหว

“วิน วิน!”

“คะ...ครับแม่” คนที่มัวแต่ละเมอเผลอคิดไปไกลอยู่คนเดียวหันขวับมามองมารดาที่เรียกกันเสียงดังกว่าระดับปกติ

“วันนี้แม่ฝากไปส่งพราวหน่อยนะ พอดีลุงชัยแกต้องไปรับป้านิ่มแต่เช้า” ครั้นสั่งคนตัวโตเสร็จสรรพจึงหันมาบอกลูกสาวคนกลางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้พราวไปกับพี่เขานะลูก”

“ไม่! เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ลุงชัยบอกพราวแล้วเมื่อวาน พราวเลยนัดเพื่อนมารับแล้วค่ะ” พาพราวรีบปฏิเสธทันทีเมื่อรู้ว่าจะต้องทนร่วมเดินทางไปกับชายหนุ่มสองต่อสอง ก่อนหน้านี้เธออาจยินดีอยู่หรอก แต่ต้องไม่ใช่หลังจากโดนเขาสัมผัสอย่างใกล้ชิดดังเช่นเมื่อเย็นวาน ความรู้สึกร้อนรุ่มยังติดตรึงอยู่ที่หลังมือไม่จางหาย ราวกับโดนเขาจูบประทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความรู้สึก ลางสังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นกลางใจจนร้อนรนอย่างคนมีชนักติดหลัง

“ขอตัวก่อนนะคะ” เมื่อทำความเคารพบุพการีเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็รีบเดินแกมวิ่งออกไปในทันใด

 

รถคันหรูบีบแตรส่งเสียงดังสนั่นไปทั่วท้องถนน เรียกความสนใจจากผู้คนและหญิงสาวให้หันไปมอง กวินภัทรชะลอรถเทียบทางเท้าบริเวณที่พาพราวยืนอยู่ ก่อนจะเปิดกระจกตะโกนเรียก เร่งเร้าให้เธอรีบขึ้นรถมาโดยไว มิเช่นนั้นรถคันหลังที่เขาปาดหน้าเปลี่ยนเลนกะทันหันเมื่อครู่อาจจะลงมาต่อยเอาได้ หญิงสาวจึงจำใจขึ้นรถมาแต่โดยดี เธอแกล้งปิดประตูเสียงดังประท้วงเขาในที

“ไหนบอกเพื่อนมารับ เพื่อนเธอเป็นคนขับแท็กซี่เหรอ”

“...” คนโกหกเม้มปากแน่นด้วยไม่รู้จะเอ่ยคำแก้ตัวอย่างไร เธอเอาแต่นั่งกุมมือไว้บนตักอย่างประหม่า กุมแน่นยังบริเวณหลังมือที่ถูกคนข้างๆ ล่วงล้ำเมื่อเย็นวาน แสร้งเบือนหน้าหนี มองริมทางไม่วางตา

ชายหนุ่มแอบชำเลืองมองอาการเธอแล้วนึกขบขันในใจ ก็น่าแกล้งออกอย่างนี้!

“รถที่บ้านมีตั้งหลายคัน ทำไมไม่เอามาขับ”

“พราวขับไม่เป็นค่ะ”

“หัดสิ”

“ก็...” เธอเม้มปากนิดๆ คล้ายกำลังใช้ความคิด ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มในลำคอ “...ไม่มีใครหัดให้”

“ว่างๆ แล้วจะสอน”

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ”

“ดีกว่าอะไร ทำไมต้องปฏิเสธ”

“ขอบคุณค่ะ”

“ขอบคุณก็หันมามองหน้ากันสิ” เขาว่าเสียงเข้ม พลันชะลอรถเข้าจอดริมทางอย่างกะทันหัน โชคดีที่อยู่ในบริเวณรถโล่ง ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุเอาได้ มือหนาปลดสายเข็มขัดนิรภัยของตนออก ก่อนจะโน้มกายเข้าใกล้...ใกล้จนดูคล้ายจะทาบทับเธอไว้

“ทะ...ทำไมคะ” คนโดนคุกคามถามเสียงสั่น พยายามขยับตัวหนีจนชิดบานประตู ยกมือขึ้นกั้นช่วงอกด้วยท่าทางหวาดระแวง นัยน์ตาหวั่นระริกทว่ากลับแฝงแววดื้อรั้นบางอย่าง เธอสู้แน่ถ้าเขาจะทำอะไรเช่นเมื่อเย็นวาน

“จะคาดเบลต์ให้” เขาเฉลยเสียงอ่อน แล้วจึงเอื้อมมือไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้เธอ ขณะสายตายังคงจดจ้องกันไว้ราวกับต้องการจะสะกดให้หญิงสาวหยุดนิ่ง แกล้งสอดตัวล็อกไม่ตรงช่องเพื่อยืดเยื้อเวลาที่จะได้ใกล้ชิดให้ยาวนานขึ้น

วันนี้พาพราวเกล้าผมสีน้ำตาลเข้มขึ้นมัดเป็นหางม้า ทิ้งลูกผมลงคลอเคลียต้นคอเนียนระหงเพียงรำไร ใบหน้าพริ้มเพราแต่งแต้มเพียงบางเบา ดูเป็นธรรมชาติสมวัย เธอไม่ได้สวมแว่นตาดังเช่นเมื่อเย็นวาน นัยน์ตาหวานจึงเปิดเปลือยฉายประกายวาววับ กวินภัทรกวาดสายตามองเธอราวกับต้องการจะเก็บรายละเอียดในระยะใกล้ เปลือกตาสีน้ำตาลอ่อน พวงแก้มนวลระเรื่อสีชมพู และดูเหมือนตอนนี้จะเข้มจัดขึ้นอีกเฉด ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปกลอสมันวาว เขาเกือบห้ามใจไม่ไหวตอนที่เธอเม้มปากเข้า อยากจะก้มลงไปสัมผัสลิ้มชิมรสเธอดูสักครั้ง อยากรู้ว่าจะซ่อนความหวานละมุนระดับไหนไว้กัน จะเหมือนที่เขาฝันบ่อยๆ นั่นไหม

ยิ่งได้มองใกล้ๆ ก็ยิ่งเห็นชัดว่าเธอเติบโตขึ้นมากแค่ไหน ระยะเวลากว่าห้าปีเปลี่ยนเด็กสาวแสนเนิร์ดให้กลายเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่ง ทว่ากลับฉายแววห้าวรั้นบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ แม้ภายนอกเธอจะดูเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่กลับมีบางอย่างลึกลับซุกซ่อนอยู่ภายใน และนั่นเองที่ดึงดูดใจเขาให้อยากค้นหา ทุกอย่างที่รวมเป็นเธอในตอนนี้ช่างเย้ายวนสิ้นดี

ภาพชินตาที่เธอมักใส่แว่นหนาเตอะ รวบผมตึงราวกับนักเรียนเคร่งระเบียบ ท่าทางหัวอ่อน กล้าๆ กลัวๆ เหมือนลูกหมาหลงทางตอนนี้สิ่งเหล่านั้นหายไปหมดแล้ว ทิ้งไว้เพียงใครอีกคนที่ดูแปลกตา น่าสนใจเป็นที่สุด

ก่อนเขาจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในเสี้ยววินาที เตือนตัวเองว่าอย่าให้สิ่งลวงตาภายนอกนี้มาหลอกเอาได้

หญิงสาวมองเขาราวกับตกอยู่ในภวังค์ หลงหวั่นไหวไปกับสายตาทรงเสน่ห์ ก่อนจะรู้สึกโหวงเหวงเมื่อเห็นแววหม่นวูบบางอย่างพาดผ่านนัยน์ตาสีเข้ม เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น ทว่ากลับสะกิดรอยแผลในใจเธอให้ปริแยกออกมา

เขาคงไม่รู้หรอกว่า...

ราวกับมีบางอย่างเคลือบแคลงใจ ก่อนเสียงเข้าล็อกจากตัวคาดเข็มขัดนิรภัยจะดึงสติเขาให้กลับสู่ความเป็นจริง กวินภัทรจึงขยับตัวกลับเข้าที่ ดึงสายเข็มขัดคาดอย่างเร่งรีบ ก่อนออกรถด้วยความเร็วกระชากกระชั้น ทำเอาคนข้างๆ ไปไม่เป็นเพราะท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขา

 

 

พาพราวเดินทอดน่องไปตามทางเท้าในมหาวิทยาลัยอย่างเหม่อลอย อดคิดถึงสิ่งที่เขาแสดงออกไม่ได้ หนักใจกับอะไรที่ตนจะต้องเผชิญหลังจากนี้ เธอรู้ดีว่าทั้งตัวเองและเขาเปลี่ยนไปแล้ว ช่องว่างบางอย่างจางหายไป แทรกกลางด้วยความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ยังไม่แน่ชัด

“พราว!” วรรณิกวิ่งเข้ามาแตะไหล่หญิงสาวไม่เบานัก

“แตงกวา! ตกใจหมด”

“ก็ฉันเรียกแกตั้งนานตั้งแต่อยู่ถนนฟากนั้นแล้ว จนไอ้ดินมันขี่ยูเทิร์นกลับมา แกก็ยังไม่ได้ยิน” เธออธิบายยืดยาว ก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทาง ‘ไอ้ดิน’ คนที่กำลังโบกมือหย็อยๆ ให้พาพราวขณะขี่รถจักรยานยนต์คู่ใจเข้าไปจอดยังลานหน้าอาคารเรียน “ทำไม คิดมากเรื่องอะไร คิ้วจะไหลมารวมกันแล้วเพื่อน หรือแกเครียดเรื่องงานแสดงภาพที่อาจารย์แก้วขอมา”

เธอไม่ได้กำลังคิดเรื่องนั้นสักหน่อย “ก็...ไม่เชิง แต่งานฉันมันส่วนตัวมากๆ ถ้าเลี่ยงได้ฉันก็ไม่อยากโชว์คนอื่นเท่าไหร่”

“มั่นใจหน่อยดิวะ” เธอกระแทกไหล่ใส่เพื่อนสาวไม่เบานักเพื่อเรียกความมั่นใจให้กัน “งานแกนี่มันสุดยอดของสุดยอดของสุดยอดแล้ว” วรรณิกทำท่าประกอบเลียนแบบศิลปินเอกชื่อดังคนหนึ่งของไทย เพื่อให้เห็นภาพว่าสุดยอดมากจริงๆ

“ไม่ใช่แบบนั้น แต่...จะบอกยังไงดี ก็ฉันหวงภาพพวกนั้นนี่นา”

“นี่วาดเก็บไว้ดูคนเดียวเหรอ ประเภทที่วาดเพื่อบำบัดจิตใจตัวเองอะไรแบบนั้นอ้ะ” วรรณิกตบมือให้เพื่อนคนสวยสามจังหวะด้วยความชื่นชม ทำสีหน้าราวซาบซึ้งใจหนักหนา “มีอุดมการณ์สุดๆ”

“ไป กินข้าวกัน มีเวลาแปดนาทีสามสิบสองวินาทีก่อนอาจารย์จะเข้า เชิญครับคุณแตงกวา กูรีบ...มาก!” เดินทัพวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาคล้องคอวรรณิกเมื่อเห็นหญิงสาวเอาแต่เดินโม้กับพาพราวอย่างเอ้อระเหยลอยชาย

“พราวไปรอที่ห้องเลยนะ เดี๋ยวดินกับยัยนี่ตามไป” เดินทัพหันมาบอกพาพราวด้วยเสียงสอง เสียงแบบที่วรรณิกได้ยินแล้วต้องเบ้ปากมองบน ทำปากขมุบขมิบเลียนแบบตามอย่างกวนอารมณ์ ก่อนคนตัวเล็กจะโดนเพื่อนชายล็อกคอแล้วลากไปทางโรงอาหารในทันที

พาพราวยิ้มขำความสัมพันธ์ของสองเพื่อนสนิท เธอจำได้ว่าช่วงแรกๆ ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ เธอนั่งเรียนคนเดียว เดินคนเดียว กินข้าวคนเดียวอยู่เกือบสามวัน ด้วยนิสัยไม่กล้าเข้าหาใครก่อน จนกระทั่งวันที่สี่นั่นละ ที่เดินทัพบังเอิญเข้ามาขอนั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน เขาชวนคุยด้วยการถามชื่อเธอ ทว่าพาพราวกลับระวังตัวแจ เพราะกลัวว่าเขาจะเข้าหาแบบไม่บริสุทธิ์ใจ ชายหนุ่มเลยต้องนั่งพูดคนเดียวอยู่นานสองนาน

...

“ถามชื่อก็ไม่ตอบ เราชื่อดินนะ จะเรียกดินเฉยๆ ก็ได้ อ้าว! ไม่ขำแฮะ ถ้าอยู่บ้านแม่ชอบเรียกเราว่าน้องดินนี่”

‘...’ หญิงสาวยังคงมองเขาตาใส ไม่ตอบคำใด

‘แต่ถ้าอยู่โรงเรียนเพื่อนๆ จะชอบเรียกเราว่าดินเนอร์ เนอร์ที่มาจากเหน่ออีกทีน่ะ เมื้อ-ก้อน-เรา-เป๋น-เด็ก-สุ-ผัน’

‘...’ เธอเม้มปากแน่นราวกับกลัวว่าดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก

‘เฮ้อ...ถ้าไม่บอกชื่อจะเรียกว่าแว่นแทนแล้วกันนะ แตงกวา! ทางนี้’ อยู่ๆ เขาก็หันไปโบกมือให้เพื่อนสาวอีกคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา

‘นี่! แกมาหลอกอะไรเพื่อนเขา เห็นสวยๆ ขาวๆ นี่ไม่ได้เลยนะ’ วรรณิกถือจานข้าวสองจานเดินเข้ามา ก่อนจะใช้จานซึ่งซื้อมาให้เพื่อนชายนั่นละโขกใส่หัวเขาไปหนึ่งทีไม่เบานัก และนั่นเองที่ทำให้พาพราวหลุดขำออกมาได้

‘โทษทีนะ พอดีนายนี่มันไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่’ เธอเอ่ยขณะนั่งลงข้างเพื่อนชาย ‘เราชื่อแตงกวานะ เป็นเพื่อนสนิทกับไอ้ดินเนอร์นี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว บ้านอยู่ข้างกัน เกิดโรงพยาบาลเดียวกัน เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล ประถม มัธยม ยันมหา’ลัย กะว่าเรียนจบก็จะแต่งงานกันเลย เธอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้เราด้วยนะ’

พาพราวมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย หญิงสาวหันไปมองวรรณิกที มองเดินทัพที พลางพิจารณาอย่างจริงจัง

‘ล้อเล่น...’ ครั้นเห็นเพื่อนใหม่ทำสีหน้าอึ้งงันหลังจากโดนอำเข้า สองเพื่อนสนิทข้างบ้านก็หัวเราะคิกคัก ก่อนจะยกกำปั้นชนกันเบาๆ

‘แล้วนี่ชื่ออะไร’ หลังจากหยุดขำได้ วรรณิกจึงเอ่ยถามเพื่อนสาวคนสวยที่ดูท่าทางจะคุณหนูอยู่ไม่หยอก มิหนำซ้ำคงยังไม่มีเพื่อนเสียด้วยสิ

‘เอ่อ...เราชื่อพราว’

‘พราวเหรอ โอเค เพิ่มเพื่อน’ คนอัธยาศัยดีสรุปรวบรัด รับเธอเป็นเพื่อนโดยไว ไม่สนใจปรึกษาหญิงสาวที่นั่งงงงวยอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยสักนิด มัดมือชกกันเห็นๆ แถมเจ้าตัวยังเออออเอาเองด้วยการตั้งชื่อเรียกให้เสร็จสรรพ ‘ดินเนอร์ คิวคัมเบอร์ แอนด์พาวเวอร์’ พร้อมด้วยบอกชื่อแก๊ง ‘เออร์’ ที่จนถึงทุกวันนี้เธอยังไม่เคยเข้าใจจุดประสงค์นั้นเลยสักครา       

หลังจากวันนั้นพาพราวจึงมีทั้งวรรณิกและเดินทัพเป็นเพื่อนสนิทเรื่อยมา เธอรักความสัมพันธ์นี้ ทั้งคู่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจยามได้อยู่ด้วยกัน ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของพาพราวจึงไม่เหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าตั้งแต่รู้จักสองคนนี้ชีวิตแสนจืดชืดของเธอก็มีสีสันขึ้นมาเยอะเลยทีเดียว

 

พาพราวกลับถึงบ้านในเวลาเกือบสี่ทุ่ม ดึกป่านนี้ทุกคนคงเข้านอนกันหมดแล้ว ไฟในบ้านจึงเหลือเพียงบางดวงที่ส่องสว่างบริเวณทางเดินเท่านั้น วันนี้เธอใช้เวลาไปกับการหาข้อมูลอ้างอิงสำหรับทำศิลปนิพนธ์ที่หอสมุดของมหาวิทยาลัย เนื่องด้วยช่วงนี้เป็นช่วงสอบปลายภาค หอสมุดจึงเปิดบริการตลอดทั้งคืน และตามนิสัยของเด็กนักศึกษาส่วนใหญ่แล้วมักจะมารวมตัวกันเพื่ออ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายในคืนวันสุดท้ายก่อนสอบเสมอ ช่วงกลางดึกในมหาวิทยาลัยจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ

“โทร. ไปทำไมไม่รับสาย ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าตอนเย็นจะไปรับ แล้วนี่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาถึงได้กลับเอาป่านนี้” อยู่ๆ กวินภัทรก็โผล่พรวดเข้ามาดักหน้า แถมยังโพล่งถามเสียงดังใส่กัน ไม่เว้นจังหวะให้เธอตั้งตัวเลยสักนิด

หญิงสาวแทบผงะหงายตกบันได ดีที่คว้าราวจับไว้ได้ทัน เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้มีเขาอยู่ในบ้าน ด้วยเคยชินว่าปกติชั้นสามไม่มีใครอยู่ นอกจากเธอคนเดียว

“พราวมีนัดกับเพื่อนค่ะ” เธอตอบกลับตามความเป็นจริง แล้วเบี่ยงตัวหลบเขาเพื่อเดินไปยังประตูห้องนอนของตน เพิ่งรู้ว่าหมายเลขโทรศัพท์ไม่คุ้นตาที่โทร. เข้ามาเมื่อช่วงเย็นเป็นของเขานี่เอง ซึ่งเธอก็โทร. แจ้งครองขวัญเรียบร้อยแล้วว่าต้องกลับดึก ฝากคนเป็นแม่ไปบอกลูกชายด้วยว่าวันนี้เธอจะกลับเอง ฉะนั้นเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย

“เพื่อนหรือแฟน” ชายหนุ่มยังเดินตามมาไม่ห่าง กระซิบถามให้ได้ยินกันเพียงสองคน และหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านหลังหญิงสาว ขณะเธอกำลังควานหากุญแจในกระเป๋าสะพายเพื่อไขประตูห้องนอน

“เพื่อนค่ะ” เธอเลี่ยงตอบอย่างขอไปที เริ่มรู้สึกหวาดระแวง แต่ไม่กล้าหันไปมองด้านหลัง

“เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย” กวินภัทรยังคงรบเร้าไม่เลิก เขายืนทิ้งระยะห่างจากเธอเพียงไม่ถึงศอก

หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะตอบเสียงแข็ง “เพื่อนผู้ชาย...” และเพียงคำตอบนั้น ชายเบื้องหลังก็เอื้อมมือมายันบานประตูไว้ทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว คล้ายต้อนเธอให้อยู่ในอ้อมแขน “...กับเพื่อนผู้หญิงอีกคนค่ะ” เธอตอบเสียงสั่นทันทีเมื่อเห็นวงแขนแกร่งของเขาที่โอบล้อมกันไว้ ไอร้อนจากกายชายแผ่พุ่งโจมตีจนรู้สึกหวาดหวั่น

“ไปทำอะไรมาล่ะถึงได้กลับเอาตอนนี้”

เสียงเย็นๆ นั่นกระซิบอยู่ไม่ห่าง ใกล้จนรับรู้ได้ถึงแรงลมหายใจจากเขาที่เป่ารินรดลงบนผิวอ่อนตรงท้ายทอย หญิงสาวจำต้องย่นคอหนีความอุ่นร้อนแปลบปลาบนั่น ซ่านหวิวและน่าหวั่นเกรงในคราเดียวกัน

“มีอะไรอีกไหมคะ พราวจะเข้าห้อง มีงานต้องทำส่งอาจารย์” ทั้งๆ ที่ใจสั่นเพราะสัมผัสใกล้ชิด ทว่าเธอยังแสร้งทำเป็นไม่สนใจความนัยหรืออะไรก็ตามที่เขาตั้งใจแสดงออกอยู่ในตอนนี้ ทั้งยังกลั้นใจถามออกไปเสียงแข็ง ด้วยเบื่อจะเล่นยี่สิบคำถามกับเขาแล้ว มือบางหมุนกุญแจเป็นเชิงส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธอต้องการจะเข้าห้องแล้ว

“เดี๋ยว…ฉันแค่จะมายืมสายชาร์จโน้ตบุ๊ก”

“...” ก็แค่นั้น ทำมาเป็นหาเรื่องยียวนกวนประสาทอยู่ได้ ซักฟอกเธอราวกับพ่อหวงลูกสาว

“ฉันลืมไว้ที่สนามบินตอนเปลี่ยนเครื่อง”

“ใช้คอมพ์ในห้องหนังสือก่อนก็ได้นะคะ”

“ไม่ได้! ฉันต้องใช้ข้อมูลในโน้ตบุ๊ก”

“ค่ะ เดี๋ยวพราวไปหยิบให้” พาพราวรีบเปิดประตูผลักเข้าไปโดยไวจนคนที่ยันบานประตูไว้ไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มจึงเสียจังหวะเซไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนเธอจะปิดประตูใส่หน้าเขาอย่างจัง ดีที่ไม่กระแทกหน้าหล่อๆ ของเขา ไม่งั้นเขาจะให้เธอรับผิดชอบ

คนในห้องก็แง้มบานประตูออกเพียงเล็กน้อย พอให้เกิดช่องว่างสำหรับยื่นมือส่งของให้เขาเท่านั้น “นี่ค่ะ” เธอเปิดโหมดป้องกันตัวสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่พ้นมือเขาอยู่ดี ห้าบาทสิบบาทเขาก็เอา กวินภัทรรับของจากมือเธออย่างอ้อยอิ่ง พลันลูบไล้และจับมือบางไว้อย่างจาบจ้วง ในขณะที่เธอพยายามดึงให้พ้นจากการเกาะกุม พอหลุดเข้าไปได้หญิงสาวจึงรีบงับประตูโดยไว ตามมาด้วยเสียงล็อกในทันใด

อยากจะหัวเราะ ดี! ยิ่งเธอถอยหนี เขาก็จะยิ่งกระโจนเข้าใส่ พอถึงตอนนั้น กลับตัวหันหลังวิ่งหนีเขาให้ทันล่ะ

...เพราะถ้าเขาตะครุบได้เมื่อไร จะกัดไม่ปล่อยเลย!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น