เสียงเคาะประตูระรัวหน้าห้องดึงความสนใจคนที่กำลังนอนหลับสบายให้ตื่นขึ้นกลางดึก เธองัวเงียลุกขึ้นมาเปิดอย่างไม่มีสติมากนัก ทันทีที่ประตูเปิดออกกว้าง แสงสว่างจ้าจากภายนอกก็สาดส่องเข้ามาในห้องมืดสนิท จนหญิงสาวต้องหยีตาสู้แสงเพื่อมองว่าใครมาเคาะเรียกกันดึกดื่นเช่นนี้ ก่อนตาปรือๆ นั่นจะเบิกกว้างขึ้นทันควัน ตื่นเต็มตาในบัดดลเมื่อคนที่ยืนหน้าตาอึ้งไม่แพ้กันคือกวินภัทร เรียกระบบประสาทของเธอให้กลับมาทำงานเต็มร้อย ท่ามกลางความอึ้งงันของทั้งคู่ยังไม่มีใครเอ่ยคำใดออกมา พาพราวรีบงับบานประตูปิดลง ก่อนจะตั้งสติและแง้มถามเขาว่ามีเรื่องด่วนอะไร
“ฉันเอาสายชาร์จมาคืน”
บ้าที่สุด! เอามาคืนป่านนี้คิดว่าเธอจะต้องใช้มันทำบ้าอะไรตอนตีสองเหรอ
“ไว้ค่อยคืนพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ” สิ้นคำ เจ้าของสายชาร์จจึงกระแทกประตูปิดปังทันที
เธออึ้งที่เห็นเขา ทว่าเขาน่ะสิอึ้งกว่าที่เห็นเธอ ก็แม่คุณเล่นอยู่ในชุดนอนตัวบาง ไม่ใช่ชุดนอนสายเดี่ยวเซ็กซี่ขยี้ใจชายอะไรเทือกนั้นหรอกนะ แต่เป็นเสื้อยืดสีขาวที่มีรูปมิกกี้เมาส์แปะอยู่ตรงกลางหน้าอก เขาจำได้ว่าเป็นเสื้อคู่ที่แม่เคยซื้อให้เขากับเธอตอนเด็กๆ เธอร้องจะเอามิกกี้เมาส์ เขาจึงต้องจำใจใส่ลายมินนี่เมาส์ไปโดยปริยาย
แล้วอะไรน่ะหรือ ก็ถ้าเธอจะรู้สักนิดว่าเสื้อตอนเด็กที่เธอเอามาใส่นอนนี้มันไม่ได้โตตามตัวเธอสักหน่อย แถมยังทั้งบางทั้งรัด ถึงจะรัดไม่มาก แต่ก็พอเห็นเค้าลางได้ชัดเจนว่าภายใต้เสื้อนอนนั่นมีบางอย่างกระจ่างออกมา
หืม! โนบราอีกแล้ว เหมือนในฝันเลยแม่คุณ โอ๊ย! เขาไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองในเวลาแบบนี้เลย
เพียงสัปดาห์แรกของการทำงานเต็มขั้น กวินภัทรจำต้องใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ระบบงานบริหารใหม่เกือบทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ตำแหน่งรองประธานบริษัทที่ได้รับแต่งตั้งในฐานะทายาทมาพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง เวลานี้ชายหนุ่มจำต้องทุ่มเทอย่างหนักให้แก่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คล้ายเป็นช่วงเวลาทดสอบความสามารถเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากคนในองค์กร ต้องแสดงวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำ
และนับเป็นโชคดีที่บิดาส่งเลขานุการมากประสบการณ์มาคอยดูแลช่วยเหลือและเป็นที่ปรึกษาให้ระหว่างนี้ ซึ่งอาจต้องเหนื่อยกันสักหน่อยในช่วงเริ่มต้นเพื่อปรับรูปแบบการทำงาน แต่เขาเชื่อว่าเมื่อผ่านพ้นไปสักพักจะปรับตัวให้เข้าที่เข้าทางได้ในที่สุด ทว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้นย่อมต้องแลกด้วยการทำงานอย่างหนักในช่วงแรก ฉะนั้นช่วงนี้ชายหนุ่มจึงกลับบ้านดึกดื่นค่อนคืนเกือบทุกวัน
ขณะเขาขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน แสงไฟหน้ารถสาดส่องเข้าปะทะร่างชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งยืนแอบอยู่บริเวณริมทาง ถัดไปอีกไม่ไกลก็เป็นประตูรั้วใหญ่ของบ้านบุริมนาถแล้ว ชายหนุ่มคงไม่สนใจเลยสักนิดหากหญิงสาวในชุดนักศึกษานั่นไม่ใช่ใครบางคนที่ทำให้เขาประสาทเสียวันละหลายเวลา กวินภัทรเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาภายในรถ แล้วจึงหรี่ตามองเธออย่างคาดโทษ
ดึกดื่นป่านนี้แต่กลับมายืนทำตัวลับๆ ล่อๆ นี่คงเพิ่งกลับมาสินะ แถมยังมีผู้ชายมาส่งเสียด้วย แล้วทำไมไม่ส่งให้ถึงหน้าประตูบ้าน มายืนแอบพลอดรักอะไรกันตรงนี้!
มือหนากำพวงมาลัยแน่นเข้า ก่อนจะชะลอรถเพื่อลอบสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล ม่านตาคมกระตุกวาบตอนเห็นหญิงสาวถอดหมวกกันน็อกส่งคืนให้เด็กหนุ่มคนนั้นแล้วส่งยิ้มให้กัน ช่างน่าหมั่นไส้ในสายตาคนมองนัก กวินภัทรมั่นใจว่าเธอเห็นเขาแล้ว ทว่ากลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พาพราวพูดอะไรบางอย่าง ก่อนเด็กหนุ่มนั่นจะขี่รถจักรยานยนต์เลี้ยวกลับออกไปในทันใด ส่วนเจ้าตัวรีบเดินจ้ำอ้าวไปยังทางเข้าบ้านโดยไว ชายหนุ่มจึงขับไปดักหน้าเธอไว้ ชะลอหักเข้าริมทางในระยะเพียงเฉียดฉิว หากเขาเบี่ยงผิดองศาไปนิดเดียวคงเฉี่ยวเธอเป็นแน่
“ขึ้นมา!” เขาลดกระจกเรียกเธออย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบและเบี่ยงตัวเดินต่อโดยไม่สนใจเขา
อวดดี! ชายหนุ่มที่อารมณ์เสียอยู่แล้วเลยอารมณ์เสียหนักเข้าไปใหญ่ กระชากประตูเปิดแล้วก้าวตามลงมาคว้าแขนเธอกุมไว้ รั้งคนตัวเล็กที่หอบข้าวของพะรุงพะรังเข้าหาตัว “ดื้อ!” กวินภัทรคว้ากระเป๋าผ้าซึ่งเต็มเอี้ยดไปด้วยหนังสือหลายเล่ม ประหลาดใจเล็กน้อยที่เธอสะพายมันไหว จากนั้นจึงกึ่งลากกึ่งจูงมายัดใส่รถทั้งคนทั้งของนั่นละ
รู้ว่าขัดเขาไม่ได้ แม้เป็นระยะทางใกล้ๆ ทว่าอย่างไรเธอก็ไม่อยากอยู่ใกล้เขาไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ครั้นได้เข้ามานั่งในรถที่แอร์เย็นฉ่ำ พาพราวก็อดรู้สึกเย็นวาบแปลบปลาบไม่ได้ สะดุ้งไหวเล็กน้อยตอนเขาปิดประตูเสียงดังใส่กัน เธอเม้มริมฝีปากขณะลอบมองเขาเป็นระยะ แสร้งวางสีหน้านิ่งเฉยทั้งที่ภายในกำลังปั่นป่วนสิ้นดี
เขาเกลียดนักไอ้ท่าทางอวดดีเช่นนี้ นี่น่ะหรือเด็กดีแสนเรียบร้อยน่ารักของทุกคน อยากให้แม่ได้มาเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักที่ท่านชมนักชมหนาให้เขาฟังไม่ขาดปากที่แท้ก็แค่เด็กดื้อด้าน เสแสร้ง แกล้งทำตัวบอบบางให้ทุกคนหลงรัก ขี้อิจฉาก็เท่านั้น แล้วมีอย่างที่ไหนมายืนคุยกับผู้ชายลับๆ ล่อๆ กลางดึกสงัดเช่นยามนี้ ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงก็คงให้ไปส่งถึงหน้าประตูบ้านแล้วสิ
และแทนที่เขาจะเลี้ยวรถเข้าบ้าน กวินภัทรกลับขับเลยไป ทำให้คนที่นั่งหน้าตูมอยู่ข้างกันต้องหันมามองเขาอย่างหวาดระแวง “จะไปไหนคะ!” เธอถามเสียงสั่น หน้าตาตื่น
นอกจากไม่ตอบคำถามแล้ว เขายังยิ้มมุมปากเจือแววเจ้าเล่ห์ให้เธอหวั่นวิตกเล่น หญิงสาวมองเขาราวกับเป็นของประหลาด นัยน์ตาหวาดหวั่นขณะมองเขาสลับกับมองทางด้านหน้าด้วยแววกังวล ชายหนุ่มขับรถพาเธอมายังบริเวณริมทะเลสาบท้ายหมู่บ้าน พาพราวกวาดสายตามองออกไปบริเวณรอบนอก ในเวลาดึกดื่นเช่นนี้แทบไม่มีเงาของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย
หมาสักตัวก็ยังไม่มี
เธอพยายามควานหาหนังสือในกระเป๋าผ้า เลือกเล่มที่คิดว่าสันปกหนา แข็ง และด้านที่สุด แล้วจึงกำมันไว้แน่น หญิงสาวลอบมองเขาด้วยท่าทีระวังตัวสุดฤทธิ์ แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มพิงศีรษะเอนลงกับเบาะ หลับตาและนิ่งเงียบไป ทำท่าราวกำลังหลับ เธอจึงขมวดคิ้ว มองเขาอย่างสงสัย เขาจะขับรถพาเธอมานั่งหลับตรงนี้ทำไมกัน
เปล่า…เขาไม่ได้หลับ แต่กำลังพยายามข่มอารมณ์อยู่ต่างหาก
บรรยากาศภายในรถเงียบงันไร้บทสนทนา ช่างขัดกับมวลอากาศเบื้องนอกเสียเต็มประดา ลมกระโชกแรงพัดวนจนใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ กิ่งไม้ไหวเอนลู่ขยับตามแรงลม มีเสียงหวีดหวิวครวญครางจากธรรมชาติดังโหมอยู่รอบทิศ ก่อนหยดน้ำจะพร่างพรายลงมาจากฟากฟ้าดำทะมึน ทิ้งตัวลงกระทบกระจกกว้างด้านหน้ารถเป็นจุดเล็กจุดน้อย ก่อนจะค่อยๆ ขยายตัวกว้างขึ้นเป็นวงใหญ่กระเซ็นไปมา เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคารถดังเปาะแปะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงซ่าอื้ออึงเมื่อสายฝนเทลงมาอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตา ราวกับมีม่านฝนปกคลุมโอบล้อมรอบรถไว้จนแทบมองสิ่งใดภายนอกไม่เห็น
อากาศเย็นชื้นโรยตัวคืบคลาน ส่งผลให้คนที่สวมเพียงเสื้อนักศึกษาตัวบางเริ่มหนาวสั่น มือเล็กจึงยกขึ้นลูบแขนตัวเองเพื่อคลายความหนาว เผลอตัวปล่อยมือจากสันหนังสือเล่มหนาที่กะจะใช้ฟาดใส่คนคิดมิดีมิร้าย
กวินภัทรลืมตาทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจอดรถในที่โล่งแจ้งยามฝนตกหนัก อาการนั้นทำให้หญิงสาวที่ลอบมองเขาอยู่แล้วสะดุ้งตกใจ เธอผวาจนขยับไปเบียดชิดริมประตู ชายหนุ่มหันมามองเธอชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจขับรถเข้าไปจอดใกล้ๆ กับศาลาริมน้ำ
“เมื่อกี้ใครมาส่ง” เขาถามเสียงเข้ม เข้มพอๆ กับตาที่จ้องมาทางเธอนั่นละ
“พะ...เพื่อนค่ะ” หญิงสาวละล่ำละลักตอบ
“เพื่อนผู้ชาย...ไปกับมันมาถึงไหนล่ะ”
“เขาแค่มาส่งค่ะ”
“ก่อนมาส่งไปทำอะไรกันมา”
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ทำ”
“ก็แล้วแต่คุณวินจะคิดเถอะค่ะ” เธอรู้แน่ชัดแล้วว่าเขาต้องการหาเรื่องกัน ฉะนั้นอารมณ์จึงเริ่มขุ่นมัวขึ้นมาเล็กน้อย เธอโตแล้ว และดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่เด็กหัวอ่อนที่จะให้เขาดุด่าว่ากล่าวดังเช่นเมื่อก่อนแล้ว ไม่อยู่ตั้งห้าปี ไม่เคยคิดดูดำดูดีกัน แล้วตอนนี้จะกลับมาทำตัวจุ้นจ้านวุ่นวายใส่เธอทำไม ทีเมื่อก่อนไม่เคยเห็นสนใจ เอาแต่พูดจาร้ายกาจให้เจ็บช้ำ
“ระวังหน่อยแล้วกัน อย่าปล่อยให้พลาดขึ้นมาล่ะ” มีทั้งแววตำหนิ เย้ยหยัน และดูถูกในคราเดียวกัน
เส้นอารมณ์เธอขาดผึงลงทันใดหลังได้ฟังคำสบประมาทนั่น “ไม่หรอกค่ะ ถุงยางก็มี ยาคุมก็มี” หญิงสาวจ้องเขากลับไม่วางตาอย่างท้าทาย เธอไม่ใช่พาพราวคนเก่าแล้ว และไม่ลืมด้วยว่าเขาเคยทำอะไรเธอไว้บ้าง
กวินภัทรอึ้งไปชั่วขณะ นัยน์ตาคมเข้มเบิกกว้าง สันกรามขบเข้าหากันแน่น ไม่คาดคิดว่าเธอจะกล้าตอกกลับมาเช่นนี้
“ดี! แล้ววันนี้พกมาด้วยไหมล่ะ”
สิ้นประโยคนั้นชายหนุ่มซึ่งมีแรงมากกว่าคว้าร่างบางเข้าหาตัวทันที มือแกร่งเอื้อมโอบประคองท้ายทอยเธอไว้ นัยน์ตาสีนิลฉาบซ่อนความกระด้างบางอย่างไว้ขณะจ้องตาเธอชั่วครู่ แล้วจึงตัดสินใจขยับเรียวปากเข้าใกล้ แต่เธอส่ายหน้าหนีทันที หญิงสาวพยายามรั้งกายสู้แรงเขาสุดกำลัง เธอไม่ยอม และจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเด็ดขาด พาพราวเม้มริมฝีปากอิ่มไว้แน่น บ่ายเบี่ยง หลีกหนีไม่ให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ
ดื้อนัก! ใบหน้าหล่อเข้มอยู่ห่างจากเธอเพียงปลายนิ้ว ใกล้จนรับรู้ได้ถึงอาการสั่นไหวของหญิงสาว ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าคนตัวเล็กด้วยแววอ่อนแสงลง เขาขยับปลายนิ้วเกี่ยวเส้นผมออกจากมุมปากให้เธอ แรงรูดบางเบาจากเส้นผมเพียงไม่กี่เส้นทำใจเธอหวั่นไหวจนต้องเผลอคลายริมฝีปากออก นิ้วสากเกลี่ยไล้แก้มใสของเธอแผ่วเบา สัมผัสอ่อนโยนนุ่มนวลจนเธอต้องหลับตาลงชั่วครู่ ใจกระตุกวูบวาบในเสี้ยววินาที ก่อนจะเต้นโครมครามเสียงดังก้องอกในวูบต่อมาเมื่อชายตรงหน้าขยับเข้าแนบชิด กดริมฝีปากลงบนแก้มของเธอจนร้อนผะผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้า มิหนำซ้ำยังไม่ยอมถอยห่าง แต่กลับกดหนักย้ำลงไล้ไซ้ขยับอย่างเย้ายวน ชวนให้ใจเธอโอนเอนไม่มั่นคง หลงไปกับความร้อนร้ายที่ทำลายสตินึกคิดให้ช้าลงในทันใด
“อย่านะคะ...” เสียงใสสั่นสะท้านครั่นคร้าม เธอหลับตาแน่นด้วยไม่รู้จะป้องกันตัวเองอย่างไร เมื่อผลักยังไงเขาก็ไม่ยอมขยับ หันหน้าองศาไหนก็มีแต่เสียเชิงให้ชายคนนี้
“อย่าอะไร...” ชายหนุ่มเอ่ยถามคล้ายละเมอ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอจะหอมหวานยวนใจได้ถึงเพียงนี้ ความอุ่นนุ่มที่แนบชิดกำลังทลายบางอย่างในกายเขา ชี้ชัดให้ยอมรับความรู้สึกในส่วนเร้นลึกที่เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นกลางใจ เขาไม่ได้อยากให้เธอเป็นแค่น้องสาวอีกแล้ว
สัมผัสจากเขาที่ผิวบอบบางส่งผลสะเทือนไปทั้งความรู้สึก แรงลมหายใจอุ่นซ่านที่เป่ารินรดกันอยู่ทำเลือดเนื้อในกายสาวตื่นไหว ใจหวิวจนรู้สึกว่าตัวเบาโหวง หาร่างกายตนเองไม่เจอ มือบางสั่นระริกจนต้องพยายามกำไว้แน่น ฝืนออกแรงผลักไสต่อต้านเขาเท่าที่กำลังจะเอื้ออำนวย แม้กายจะอ่อนระทวย แต่ใจเธอยังพยายามหยัดสู้
ชายหนุ่มไม่ปรานีเธอเลยสักนิด เขายังคงรุกราน ปลุกเร้ากันไม่หยุดหย่อน ไม่ผ่อนจังหวะให้เธอตั้งตัว มือหนาขยับรวบท้ายทอยเธอไว้ ประคองแกมบังคับให้หญิงสาวเอียงศีรษะเปิดองศาเพื่อให้เขาขยับเข้าหาได้ถนัดถนี่ ไล่ริมฝีปากต่ำลงมาตามกรอบหน้า ทิ้งรอยสัมผัสละมุนแผ่กระจายผ่านผิวกายสาว จดปลายจมูกลงซุกซบสูดดมเอาความเป็นเธอไว้จนชุ่มปอด กลิ่นยั่วอุราที่หาจากหญิงใดไม่ได้...หากไม่ใช่เธอคนนี้ ต้นคอเกลี้ยงเกลาที่เขาแอบมองบ่อยครั้ง จินตนาการไปไกลว่าจะอบอุ่นเพียงใดยามเมื่อได้ซบอิง เธอทำเขาลุ่มหลงจนไม่เป็นตัวเอง
พาพราวมั่นใจว่าตนพยายามขัดขืน ทว่าไร้เรี่ยวแรงจะสู้ เขาจู่โจมจาบจ้วงจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว หลงเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสหยอกเย้าที่ไม่เคยพานพบ ซ่านกระสันไม่มีที่สิ้นสุด เธอสู้กับความรู้สึกของตัวเองไม่ไหว คล้ายจะยินยอม ทว่าใจก็ร่ำร้องให้ต่อต้าน มือเล็กที่ขยุ้มเสื้อเชิ้ตของเขาไว้จึงเดี๋ยวผลักไส เดี๋ยวดึงเขาเข้าหา คล้ายตกลงกับตัวเองไม่ได้ว่าต้องการสิ่งใด
พลันนั้นเสียงสัญญาณช่วยชีวิตก็ดังขึ้น มือเล็กควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าอย่างลนลาน และทันทีที่เห็นว่าใครโทร. เข้ามามือไม้ก็ยิ่งสั่นพร่า ไม่รู้ว่าสั่นเพราะโทรศัพท์ในมือ หรือเพราะเธอควบคุมตัวเองไม่ได้กันแน่
“มะ...แม่โทร. มาค่ะ” เธอสบตาเขาเพื่อขอความเห็นว่าควรทำเช่นไรดี ลนลานจนดูน่าสงสาร
“รับสิ” นับว่าเขายังใจดี ยอมหยุดการกระทำเอาแต่ใจ ทว่ากลับยังกอดเธอไว้ไม่ปล่อย
“ค่ะ...คุณแม่” นิ้วเรียวกดรับสายและกลั้นใจตอบปลายสายไป พยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติที่สุด
“พราวอยู่ไหนลูก ติดฝนรึเปล่า ไหนหนูบอกใกล้จะถึงแล้ว” ครองขวัญส่งเสียงถามมาด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ...พราวติดฝนอยู่ค่ะ” เธอถึงกับกลั้นหายใจชั่วครู่เมื่อต้องโกหกแม่ออกไปเช่นนั้น ละอายใจจนต้องหลบสายตาเขา
“หนูอยู่ที่ไหน ให้ลุงชัยออกไปรับไหม”
กวินภัทรกระซิบที่ข้างหูอีกด้านอย่างแผ่วเบา บังคับให้เธอบอกแม่ว่าอยู่กับเขา ไม่พูดเปล่า ยังอาศัยจังหวะนั้นแนบใบหน้าร้อนจัดเข้าชิดใกล้ ปั่นป่วนจนเธอแทบประคองสติไว้ไม่ได้
“ไม่ต้องค่ะ พราว...พราวอยู่กับ...กับพี่วินค่ะ” คนเป็นพี่เลยยิ้มออก ขยับขึ้นจูบขมับเป็นการให้รางวัล ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้อยากจะได้เลยสักนิด แต่เขาอยากให้นี่นา
“เหรอ งั้นแม่ขอคุยกับพี่วินหน่อยสิ”
“ครับแม่” เขาตอบรับทันที เธอจึงทุบแขนเขาอย่างแรงโทษฐานที่ตอบเร็วเกินไป แม่จะผิดสังเกตไหมล่ะ
“เอ่อ...พราวเปิดสปีกเกอร์โฟนไว้น่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ วินพาน้องกลับบ้านดีๆ นะลูก แม่ฝากน้องด้วย”
“ใกล้แล้วครับแม่ ฝนตกหนักมาก วินมองทางไม่ค่อยเห็นเลย”
ถ้าเธอกล้ากว่านี้อีกสักหน่อย ใจเด็ดกว่านี้อีกสักนิด คงตะโกนใส่หน้าเขาไปแล้วว่า ตอแหล...มาก!
“งั้นไม่ต้องขับเร็วนะลูก ระวังๆ ล่ะ ยังไม่ชินทางดี”
“ครับแม่ แม่นอนไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรา...ครับ...ฝันดีครับ” หลังจบละครฉากใหญ่ ชายตรงหน้าดึงโทรศัพท์มือถือจากเธอไปกดวางสายทันที
ใส่หน้ากากสุดๆ หนามากด้วย
“อย่านะคะ” เพียงแค่ได้ยินเสียงครองขวัญ สติเธอก็กลับเข้าร่องเข้ารอยเต็มร้อย รีบห้ามทันทีเมื่อเขาทำท่าว่าจะสานต่อ เธอไม่อยากให้อะไรๆ เลยเถิดไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็มากเกินต้านทานแล้วในความรู้สึก
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องคำรามดังสนั่นกึกก้อง มีใครบางคนตกใจผวา จนเผลอกอดซบคนข้างกายไว้แน่น ไม่ใช่พาพราว ทว่ากลับเป็นผู้ชายร่างใหญ่ตัวหนาหนักที่เธอผลักยังไงเขาก็ไม่ขยับออกห่างเสียที
“ปล่อยค่ะ”
“ฉันกลัว” เขาว่าเสียงออดอ้อน ยังคงกอดซบเธอไว้แน่น
ตลกแล้ว คนที่กลัวควรเป็นเธอไหม
ทั้งคู่นั่งฟังเสียงฝน ทนหายใจร่วมกันอย่างอึดอัดภายในรถแคบๆ อยู่ชั่วครู่ ก่อนกวินภัทรจะตัดสินใจขับรถกลับท่ามกลางพายุฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก และดูท่าคงจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งคืน
ทันทีที่รถจอดนิ่ง พาพราวรีบเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าบ้านไปชนิดที่ว่าถ้ามีฝุ่นคงตลบอบอวลไปแล้ว
ฝ่ายชายหนุ่มกลับยิ้มขำเมื่อเห็นอาการตื่นกลัวของเธอ
เช้าวันใหม่ หยาดน้ำจากฝนชุ่มฉ่ำขังอยู่ตามพื้นเป็นแอ่งเล็กแอ่งน้อย ไอละอองเย็นชื้นแผ่กระจายปกคลุมให้แดดอุ่นยามเช้าหอมสดชื่นกว่าทุกวัน กลิ่นไอดินลอยอ้อยอิ่งทิ้งตัวในอากาศจางๆ ดอกไม้ใบไม้ชูช่อสะพรั่งราวกับได้รับพลังจากม่านฝนจนเขียวชอุ่มเย็นตา
“ริน ไปตามคุณพราวที แปดโมงแล้วทำไมป่านนี้ยังไม่ลงมาอีก ไม่รู้ป่วยรึเปล่า เมื่อคืนเห็นว่าติดฝน” ครองขวัญสั่งรินรดาเมื่อเห็นว่าผิดสังเกต เพราะโดยปกติแล้วพาพราวมักตื่นเช้าเสมอ
เด็กสาวรับคำด้วยกิริยานอบน้อม แล้วจึงเดินขึ้นบันไดไปตามคุณหนูของบ้านยังห้องนอนชั้นบนสุด เธอเคาะประตูเรียกอยู่สองครั้ง เมื่อไม่มีการตอบรับจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปทันที โชคดีที่ไม่ได้ล็อก
เธอไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาในห้องนี้บ่อยนัก เนื่องจากพาพราวไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่มย่ามพื้นที่ส่วนตัว รินรดาเดินสำรวจไปทั่วห้องนอนกว้าง ประเมินจากสายตาน่าจะใหญ่กว่าห้องนอนของเธอเกือบหกเท่า โทนสีพาสเทลและเฟอร์นิเจอร์สีอ่อนถูกตกแต่งเข้ากันเป็นอย่างดี ตู้เสื้อผ้าที่มีชุดราคาแพงแขวนเรียงรายไล่เฉดสีไปจนสุดราว โต๊ะเครื่องแป้งเต็มไปด้วยเครื่องสำอางแบรนด์หรูวางเรียงแน่นพื้นที่ ล่อสายตาหญิงสาวที่ไม่เคยมีให้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ราวกับโดนมนตร์สะกด เธอมองสิ่งเหล่านั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ
รินรดาแอบหยิบน้ำหอมขวดใสดีไซน์แปลกตาขึ้นมาฉีดเบาๆ หยิบลิปสติกหลายเฉดสีขึ้นมาลองเล่นอย่างไม่สนใจขออนุญาตเจ้าของสักคำ ทำตัวราวกับกำลังอยู่ในชอปเครื่องสำอาง หยิบนู่นจับนี่ทดสอบเล่นอย่างเพลิดเพลิน เปิดลิ้นชักตรวจตราเครื่องประดับสวยงามที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้สวมใส่ สำรวจจนพอใจก่อนจะต้องชะงักนิ่งไป...เมื่อเผลอสบตาตนเองในกระจก มองเห็นแววเหนื่อยล้าในตาคู่คมกล้า แล้วจึงเลื่อนสายตาไปมองภาพสะท้อนเบื้องหลัง ภาพของหญิงสาวที่กำลังนอนหลับสบายบนเตียงกว้างหนานุ่ม
ข้าวของเครื่องใช้มากมายล้วนเพียบพร้อมราวกับเจ้าหญิงที่มีทุกอย่าง
...ทุกอย่างที่เธออยากมี
สาวใช้เดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้เตียงนอน ยืนกอดอกมองคนที่ยังหลับใหล แม้แสงอาทิตย์จะสาดส่องผ่านม่านสีฟ้าอ่อนเข้ามารำไรแล้วก็ตามที แต่คุณหนูนี่ก็ยังไม่ตื่นจากหลับฝัน
สบายจังเลยนะ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาทำงาน ไม่ต้องคอยรับใช้ใคร ไม่ต้องทำอะไรก็มีทุกอย่างรอพร้อม
การรบกวนนั้นทำเอาคนที่นอนหลับอยู่เริ่มงัวเงียตื่น รู้สึกเหมือนมีใครมายืนจ้องกันอยู่ในระยะใกล้ คุณหนูสาวพยายามฝืนลืมตาขึ้นมองให้ชัด “ริน...”
“คุณผู้หญิงให้มาตามลงไปทานข้าวค่ะ” รินรดาเอ่ยบอกเสียงเรียบ
“บอก...คุณแม่ทีว่าฉันไม่สบาย” พาพราวพูดด้วยเสียงแหบโหย เปลือกตากำลังจะปิดลงอีกรอบ
“ค่ะ” เธอรับคำ แล้วจึงลงมาเรียนครองขวัญว่าอีกสักพักพาพราวจะตามลงมา
“งั้นฉันฝากรินคอยจัดการอาหารให้คุณพราวทีนะ ฉันจะพาคุณวิปไปซื้อของเตรียมเข้าค่าย อ้อ...แล้วก็อย่าลืมเอากระเป๋าเป้สีดำใบใหญ่ของคุณวิปมาทำความสะอาดด้วยล่ะ”
ส่วนคนที่รินรดาบอกว่าไม่เป็นไรนั้นนอนซมเหงื่อท่วมตัว ทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานเป็นปกติ เธอพยายามลืมตา แต่ฝืนลืมไม่ขึ้น ลำคอแห้งผากหนืดเหนียว ปวดหัวตุบๆ ราวกับโดนบีบรัดไว้ เมื่อยล้าและครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับไม่สบาย ได้ยินเสียงแว่วดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ฝันหลายตลบกลับไปกลับมา หลับๆ ตื่นๆ จนสับสนแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝัน
แม้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ทว่ากวินภัทรยังออกไปบริษัทแต่เช้า เพื่อเข้าไปเอาเอกสารหลายชุดที่เขาสั่งเลขาฯ เตรียมไว้ ตั้งใจว่าจะนำกลับมาศึกษารายละเอียดที่บ้านในช่วงวันว่าง ขากลับเขาแวะทำธุระและนัดเจอเพื่อนเก่าสมัยเรียน กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาค่อนบ่ายไปแล้ว
ขณะกำลังเดินเข้าห้องนอนของตน ตาซุกซนเหลือบไปมองบานประตูห้องของหญิงสาวในชั้นเดียวกันอย่างสนอกสนใจ เขาสงสัยว่าทำไมเธอต้องไขกุญแจเข้าห้องนอน จำเป็นต้องล็อกประตูตลอดเวลาไปทำไมกัน มีความลับอะไรซ่อนอยู่ในห้องนั้น เร็วกว่าใจคิด ขาก็ก้าวฉับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของผู้ต้องสงสัยเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มค่อยๆ คว้าก้านโยกเปิดอย่างเบามือ
ไม่ได้ล็อก!...
กวินภัทรมองซ้ายมองขวา ก่อนจะแง้มบานประตูออกให้พอสอดตัวเข้าไปได้ แล้วแทรกกายเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องเงียบเชียบ เขาจึงมั่นใจว่าเจ้าของคงไม่อยู่เป็นแน่ อาจจะขลุกอยู่กับกัลยาที่เรือนริมน้ำก็เป็นได้ ชายหนุ่มสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ เข้าลึก กลิ่นที่ทำให้นึกถึงเธอ ภายในห้องมีอะไรบางอย่างอบอวลลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ เขาไม่รู้ว่าอะไร ทว่าเขาชอบบรรยากาศและความคุ้นเคยนี้เหลือเกิน ดวงตาเข้มขลับกวาดมองไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว เขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยเข้ามาในห้องนี้ครั้งสุดท้ายตอนไหน จากความทรงจำเลือนรางแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด โทนสี ตำแหน่งการจัดวาง ทุกอย่างยังคงเดิม เพิ่มเติมก็แค่ข้าวของกระจุกกระจิกที่มีมากขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มมองสำรวจสิ่งต่างๆ อย่างสนใจ
และทันใดนั้นเองก็มีเสียงขยับเคลื่อนไหวดังมาจากทางเตียงนอน ก่อนชายผู้บุกรุกจะต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าต้นกำเนิดเสียงมาจากใคร
“เฮ้ย!” นี่ถ้าเป็นตอนกลางคืนเขาคงหัวใจวายตายไปแล้ว พาพราวนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงยับย่น ผมเผ้าพันยุ่งปรกใบหน้ามิดชิด ผ้าห่มหลุดลงมากองอยู่ที่บั้นเอว นี่มันฉากในหนังสยองขวัญชัดๆ กวินภัทรสาวเท้าเข้าไปใกล้ ชันเข่ายันกายกดลงบนฟูกจนยวบยาบ
เมื่อพิจารณาใกล้ๆ จึงได้เห็นว่าเสื้อนอนของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อชื้นเต็มแผ่นหลัง จึงลองเขย่าไหล่มนเบาๆ เพื่อปลุกให้เธอตื่น ทว่าไร้วี่แววตอบสนอง ดูจากอาการ คาดว่าคงป่วยเอาเรื่องอยู่ กวินภัทรจึงพลิกกายเธอให้นอนหงาย ลองจับหน้าผากและซอกคอวัดอุณหภูมิ ตัวเธอร้อนรุมๆ คล้ายมีไข้ ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง นี่เธอนอนซมมาเกือบทั้งวันเลยหรือไง
“เป็นไงบ้าง ไหวไหม” เขากระซิบถามเสียงอ่อน จัดท่าทางให้เธอนอนในท่วงท่าสบายตัว โชคดีที่วันนี้หญิงสาวใส่ชุดนอนมิดชิด คงเพราะเมื่อคืนฝนตก อากาศจึงหนาวเย็นกว่าปกติ นี่ถ้าเธออยู่ในชุดเช่นคืนนั้น เขามั่นใจว่าตัวเองคงไม่ทนแน่ๆ
คนป่วยกระสับกระส่ายเล็กน้อยเมื่อโดนรบกวน กวินภัทรตัดสินใจผละไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำเพื่อมาเช็ดตัวให้ อันที่จริงเขาควรตามใครสักคนมาทำหน้าที่นี้แทน อาจเป็นสาวใช้ หรือไม่ก็ครองขวัญ แต่เวลานี้เขาอยากดูแลเธอด้วยตัวเอง แม้รู้ว่าเป็นการไม่เหมาะสม ทว่าใจกลับดื้อด้านเรียกร้อง มือหนาบิดผ้าขนหนูให้พอหมาด แล้วจึงไล่ซับไปตามกรอบหน้าของหญิงสาวด้วยความนุ่มนวล เธอปัดออกคล้ายรำคาญที่มีอะไรมายุ่มย่ามรบกวน ครางประท้วงไม่เป็นภาษา
ชายหนุ่มชั่งใจอยู่นานว่าจะจับเธอแก้ผ้าแล้วไล่เช็ดทีละส่วน...ทีละส่วนไปเลยดีไหม ทว่าสมองส่วนดีของเขากลับร้องเตือนยับยั้งความคิดบ้าๆ นั่น ก่อนอื่นเขาควรไปล็อกประตูเสียก่อน ไม่ได้คิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายหรอกนะ แค่กันไว้เผื่อมีใครเปิดเข้ามาเห็น แล้วจะเข้าใจผิดเอาได้ ถือว่าเขารอบคอบแล้วกัน
เขาบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรแอบแฝงทั้งนั้น...สาบาน
และนับว่าเขายังพอมีความเป็นสุภาพบุรุษหลงเหลืออยู่บ้าง ถึงจะเหลือน้อยแล้วก็ตามที หากเป็นคนอื่นอาจเลือกใช้ผ้าห่มคลุมกายเธอไว้ แต่เขาไม่ แบบนั้นเขาคงห้ามใจตัวเองไม่ไหว ต้องแอบดูเธอเป็นแน่ กวินภัทรจึงตัดสินใจใช้ผ้าปิดตาตัวเองไว้ ก่อนจะจับหญิงสาวเปลื้องผ้า แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่มือก็ยังสัมผัสได้ เอาวะ! เขาพยายามเลี่ยงสัมผัสจุดเสี่ยงแล้ว ทว่าก็ต้องมีเผลอแตะโดนบ้างละน่า ก็นุ่มนิ่มน่าจับไปทั้งเนื้อทั้งตัวขนาดนี้
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าชายหนุ่มจะสามารถจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวและใส่เสื้อผ้าให้เธอเรียบร้อย ใครว่าง่าย...ไม่ง่ายเลยสักนิด เหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน ไม่ได้เหนื่อยที่ต้องออกแรงหรอกนะ แต่เหนื่อยที่ต้องข่มใจตัวเองต่างหากเล่า ยิ่งนึกถึงความใกล้ชิดลึกซึ้งเมื่อคืนก็ยิ่งพลุ่งพล่าน ยัยแม่มดนี่ร้ายกาจชะมัด!
จากนั้นกวินภัทรจึงลงไปสั่งแม่บ้านให้เตรียมสำรับอาหารและยาให้หญิงสาว ส่วนเขาปลีกตัวไปทำงาน เคลียร์เอกสารที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้าไปหอบหิ้วมาจากบริษัทให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
กวีลดานั่งดูสมุดวาดภาพของคนที่นอนซมอยู่บนเตียงด้วยความเพลิดเพลิน เธอกลับมาในช่วงเย็น และทราบเรื่องจากอารีว่าพี่สาวไม่สบาย จึงเข้ามานั่งเฝ้าระหว่างรอแม่ทำอาหารให้คนป่วยในครัว ปกติแล้วเธอแทบไม่ค่อยได้เข้ามาในห้องส่วนตัวของพี่นัก พอมีโอกาสจึงแอบเดินสำรวจเล่น เห็นสมุดวาดภาพวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือจึงหยิบติดมือมานั่งดู เธอพอรู้ว่าพี่สาววาดรูปเก่ง แต่ไม่เคยได้เห็นผลงานจริงๆ จังๆ สักเท่าไร
พอได้ชมก็เล่นเอาเพลินไปกับลายเส้นที่พี่บรรจงวาด ทำไมเธอไม่เห็นมีความสามารถอะไรแบบนี้บ้างเลย
เมื่อได้ยินเสียงคนป่วยขยับตัว กวีลดาจึงหันไปมอง เห็นว่าพี่สาวลืมตาตื่นและมองกันอยู่แล้ว “ตื่นแล้วเหรอคะ เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหมคะ พี่พราวหลับไปตั้งเกือบวันแน่ะ” เธอรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เข้าไปช่วยประคองคนป่วยให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงได้สะดวก
พาพราวเพียงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเหลือบไปเห็นสมุดเล่มหวงในมือน้อง “เอามาจากไหน”
“วิปเห็นมันวางอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือ เลยหยิบมาดู พี่พราววาดเองหมดเลยเหรอคะ ทำไมมีแต่รูปหม่นๆ ทั้งนั้นเลย”
“เอาคืนพี่มา”
“ขอวิปดูหน่อยน้า...สวยจะตาย” เด็กสาวพูดด้วยแววตาชื่นชม
“เอามานะ!” คนป่วยเอ่ยเสียงเข้มขึ้น พร้อมเอื้อมมือออกไปหมายจะดึงสมุดวาดภาพของตนกลับคืนมา
“ขอวิปดูหน่อยน่า” เธอเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยและยังคงรั้นเปิดดูต่อไปเรื่อยๆ
“บอกให้เอาคืนมาไง! อย่ามายุ่ง!” พาพราวตวาดใส่น้องเสียงแข็ง ยื่นมือไปกระชากสิ่งนั้นจากอีกคนอย่างเร็วแรง ก่อนจะเอามากอดไว้แนบอกราวกับเด็กหวงของ “ออกไป!” เหมือนคนพี่จะยังไม่ได้สติดีว่ากำลังทำอะไร
เธอสับสนและอยากอยู่คนเดียว คงเป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็เลยเปราะบางกว่าปกติ ยิ่งเมื่อครู่เธอฝันร้าย ผสมปนเปกันไปหมดจนวุ่นวายใจ จึงอ่อนไหวจนลืมควบคุมอารมณ์ ทั้งที่ปกติไม่เคยหลุดแสดงกิริยาแบบนี้ออกไป ยิ่งกับกวีลดาด้วยแล้วยิ่งไม่เคย
เด็กหญิงอึ้งงันไปในทันที เธอยอมเดินออกไปแต่โดยดี แต่ยังมิวายหันกลับมามองพี่สาวอย่างหวาดหวั่น เธอไม่เคยเห็นพาพราวเป็นแบบนี้ แววตา สีหน้า และน้ำเสียงดูผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม โดยปกติพี่สาวของเธอมักเก็บอารมณ์เก่ง ไม่ค่อยแสดงออก พูดน้อย แถมยังพร้อมโอนอ่อนผ่อนตามทุกคน เธอขออะไรก็ได้หมด ไม่เคยมีปัญหาหรือต่อรองเรื่องใดเลยด้วยซ้ำ หรือจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ ‘อะไรก็ได้’ ก็คงไม่เกินจริงนัก
ถึงแม้บางครั้งจะดูเย็นชานิดๆ ก็เถอะ แต่ไม่เคยโมโหหรือแสดงออกว่าไม่พอใจในทำนองนี้มาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรก ถึงเธอจะตกใจมาก แต่ก็แอบดีใจนิดๆ ที่พี่มีอารมณ์กับเขาเหมือนกัน
บางครั้งเธอเคยแอบอิจฉาเพื่อนที่โรงเรียนซึ่งมักเล่าเรื่องความสัมพันธ์สนุกๆ แบบพี่สาวน้องสาวให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง เธอเองก็อยากมีความรู้สึกแบบนั้นบ้างเหมือนกัน อยากสนิท อยากมีพี่สาวที่คอยให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง พาไปชอปปิง เที่ยวเล่นสนุกด้วยกันตามประสาผู้หญิง แม้หลายครั้งจะลองพยายามเข้าหาพาพราวแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนพี่มีกำแพงบางอย่างกั้นกลางไว้ ไม่ให้เธอก้าวล้ำเข้าไป กำแพงที่เธอเองก็อยากรู้ว่ามันคืออะไร...
...หรือไม่...บางครั้งเธออาจจะคิดมากไปเองก็ได้
คล้อยหลังกวีลดาออกไปไม่นาน คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นถึงกับเลือดขึ้นหน้า ทำไมคนที่เห็นธาตุแท้ของเธอต้องเป็นเขาทุกทีไป นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องทนมองน้องสาวแท้ๆ โดนเธอทำให้เสียความรู้สึกร่ำไป ทั้งๆ ที่อุตส่าห์มองเธอในแง่ดีขึ้นมาแล้วแท้ๆ แต่ก็เป็นเธอเองที่ฉุดรั้งเขาลงไปในหลุมของความเกลียดชังทุกที
“ถ้าเธอยังไม่ลืมว่าตัวเองเป็นใคร เคยทำอะไรไว้ ก็หัดสำนึกให้มากๆ ว่าไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนั้นกับน้องสาวฉัน”
หญิงสาวที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงหันขวับมามองชายหนุ่มทันที เป็นครั้งแรกที่เธอจ้องเขาโดยไม่หลบสายตา ไม่พยายามจะปกปิดอะไรทั้งนั้น นัยน์ตาแดงก่ำวาวรื้น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะพิษไข้หรือเพราะร่องรอยของความอ่อนแอกันแน่
ในขณะที่เธอพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อหนีจากสิ่งที่เขายัดเยียดให้เป็น แต่เขากลับคอยตอกย้ำให้เธอเห็นว่าเธอไม่ทางหนีเงาของตัวเองพ้น เธอไม่ได้อยากเป็นแบบนี้
“ออกไปนะ!” เสียงหวานสั่นไหวขณะเอ่ยปากไล่เขา หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเอาไว้ คุดคู้ซุกซ่อนอยู่ใต้เงาของผ้าผืนหนานุ่ม หวังให้มันช่วยโอบล้อมรับเอาความอ่อนแอของเธอไว้ เธอไม่ได้อยากร้องไห้ถ้าเพียงแต่มันกลั้นไว้ได้ ยิ่งพยายามเก็บกดก็ยิ่งจุกแน่นในความรู้สึก สิ่งที่เคยคิดว่าลืมมันไปได้แล้วกลับตีวนเข้ามาเป็นฉากๆ สะท้อนกลับไปกลับมาในความคิดไม่หยุดหย่อน มีแรงบีบลึกเจ็บจี๊ดอยู่ในอกข้างซ้าย เจ็บจนต้องยกมือขึ้นกดบริเวณนั้นไว้แน่น ขมับตึงปวดร้าวราวกับจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
กวินภัทรใจกระตุกวูบตอนเห็นสีหน้าและแววตาของหญิงสาว เมื่อครู่เขาพูดเพราะอารมณ์โกรธ และอาจรวมถึงทิฐิเก่าๆ ที่เคยยึดมั่นถือมั่น แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเธอในมุมอ่อนแอเช่นนี้ ใจเขาอ่อนยวบไปในทันทีเมื่อรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ แต่ไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาให้ได้ยิน ไม่มีแม้การสั่นไหวอย่างที่ควรจะเป็น
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเธอร้องไห้
“อ้าววิน อยู่นี่เหรอลูก แม่ทำซุปข้าวโพดมาให้น้อง” ครองขวัญถือถาดอาหารกลิ่นหอมฉุยเดินเข้ามา หยุดยั้งบรรยากาศมาคุก่อนหน้าให้คลาคลายลงชั่วขณะ
“แม่ไม่เห็นต้องลำบากยกขึ้นมาเองเลย ให้เด็กยกมาก็ได้” ชายหนุ่มรีบรับถาดอาหารจากมือแม่ ด้วยรู้ดีว่าการประคองถือขึ้นมายังชั้นสามของบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนวัยนี้
ครองขวัญเพียงยิ้มให้ลูกชาย ก่อนจะปรี่เข้าไปดูคนป่วยที่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง “พราว...ลูก”
เพียงสัมผัสแผ่วเบาจากมือของแม่ แม้จะผ่านเนื้อผ้าผืนหนา แต่เธอก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นชัดเจน เสียงเรียกอย่างอ่อนโยนพาเอาความอบอุ่นพัดเข้ามาปลอบประโลมใจอ่อนแอของเธอให้ชุ่มชื้นขึ้น
นี่อาจเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไป
“แม่...” พาพราวแอบเช็ดน้ำตาแล้วเปิดผ้าออกมามองหน้ากัน เรียกครองขวัญด้วยเสียงแผ่วค่อย มองคนเป็นแม่ด้วยแววตาโหยหา
“ตายจริง! ยังไม่สร่างไข้เหรอลูก ทำไมหน้าแดงแบบนี้ล่ะฮึ” เธอลูบศีรษะลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ปัดผมที่หล่นปรกหน้าให้เข้าที่เข้าทาง ก้มลงใกล้ๆ แล้วกระซิบถามเสียงอ่อนโยน “ปวดมากเหรอลูก ไปหาหมอกันไหมคะ”
พาพราวส่ายหน้าเบาๆ ก่อนน้ำตาหยดหนึ่งจะไหลรินเป็นทางจากหางตาสวย หญิงสาวเม้มปากแน่นขณะมองแม่
“ไม่เอา ไม่ร้องนะเด็กดี” เธอยื่นมือมาเกลี่ยคราบน้ำตาให้ลูกสาวอย่างทะนุถนอม
“...” พาพราวมองนางฟ้าใจดีของเธอไม่วางตา รู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กน้อยของแม่อีกครั้ง นานมาแล้วแม่ใจดีและอยู่ข้างกันเสมอ แม่ปลอบเธอให้ลืมความเจ็บปวดได้ทุกครั้ง
“แม่ทำของโปรดหนูมาให้ ลุกขึ้นมาทานก่อนนะ ไหวไหม เดี๋ยวแม่ป้อน”
“แม่ไปพักเถอะ เดี๋ยววินดูน้องต่อเอง” กวินภัทรขัดขึ้นในจังหวะนั้นหลังจากลอบมองเหตุการณ์อยู่นานสองนาน อะไรบางอย่างชัดเจนขึ้นในความรู้สึกเขา ชายหนุ่มดึงเอาถาดอาหารจากมือแม่ไปวางไว้ที่เดิมอย่างระมัดระวังพร้อมกับรุนหลังให้นางกลับลงไปอย่างไม่ต้องเป็นห่วง แล้วปิดประตูล็อก!
“ลุกขึ้นมา” เขาสั่งเสียงเข้มพร้อมส่งถาดอาหารไปวางบนตักเมื่อเห็นว่าเธอนั่งได้ที่แล้ว “กิน!” เขาสั่ง ชายหนุ่มยืนกอดอกมองคนที่มือสั่นระริกเพราะฝืนเกร็ง จับช้อนตักอาหารเข้าปากอย่างไม่มั่นคงนัก มองดูเธอที่พยายามเข้มแข็งอย่างถึงที่สุด แต่เขารู้ว่าเธอกำลังอ่อนแอ
พาพราวพยายามฝืนตักซุปขึ้นกินอย่างยากลำบาก มือเธอไร้เรี่ยวแรงกำลัง ขณะใจก็อ่อนแอจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เธอเกลียดการถูกบังคับ แต่ก็ยอมโดนบังคับมาสิบกว่าปี ยอมให้ตัวเองโดนใครๆ บงการอย่างไม่คิดจะต้าน ยอมทำตามความต้องการของทุกคนเพื่อแลกกับการได้เป็นคนสำคัญ แต่เธอเหนื่อยแล้ว เธอไม่ไหวแล้ว มือบางสั่นระริกปล่อยช้อนทิ้งลงในชามเบาๆ หลับตาปล่อยให้หยาดน้ำทิ้งตัวลงมาต่อหน้าเขาอย่างสิ้นท่า
ชายหนุ่มยืนมองด้วยใจหนักอึ้ง เขามองเห็นความแตกร้าวบางอย่างฉาบซ่อนอยู่ในตัวเธอ ภาพเด็กหญิงที่มีแววตาตัดพ้อยามมองมาที่เขาซ้อนทับขึ้นมาในความรู้สึก กวินภัทรลูบหน้าแรงๆ ก่อนจะเสยผมขึ้นลวกๆ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ไม่ต้องร้อง” เขาว่าขณะนั่งลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา ตักซุปขึ้นมารอป้อนเธอ
“...” หญิงสาวได้ยินเสียงเตียงยวบยาบ เธอรู้ว่าเขานั่งอยู่ใกล้ๆ กัน และกำลังทำสิ่งใด นั่นยิ่งส่งผลให้เธอเม้มปากแน่น หลับตาก้มหน้าร้องไห้หนักกว่าเดิม คราวนี้เริ่มมีเสียงสะอื้นหลุดออกมาให้ได้ยิน
“ร้องไห้ทำไม” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงเรียบ
“...” เธอสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามคลายสะอื้น ก่อนเงยหน้า ลืมตาขึ้นมองกัน มองเขาด้วยสายตาเจือแววไม่มั่นคง
“อ้าปาก” เขาจ่อช้อนรอป้อนเธออยู่อย่างนั้น
หญิงสาวไม่เอ่ยคำใด เธอยอมทำตามแต่โดยดี เขาคงไม่รู้ว่าเธอแพ้ความอ่อนโยน แพ้การกระทำใดๆ ก็ตามที่แสดงถึงความใส่ใจ ม่านตาใสฉายแววหวาดหวั่นขณะมองเขาอย่างค้นคว้า สับสนระคนตัดพ้อในคราเดียวกัน
“มองอะไร!” กวินภัทรถามเสียงเข้ม เก้อกระดากที่หญิงสาวมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น รู้สึกคล้ายตนกำลังโดนไล่ต้อนแปลกๆ
“เปล่าค่ะ” คนป่วยตอบเสียงค่อยเมื่อจู่ๆ เขาก็ดุกันเสียงดังจนเธองง จับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะอารมณ์ขึ้นลงเดาใจยากของเขา
“รีบๆ กิน ฉันมีงานต้องทำ”
“เดี๋ยวพราวทานเองก็ได้ค่ะ” เสียงหวานจืดเจื่อนขณะเอ่ยบอกเขา เธอพยายามจะแย่งช้อนจากมือชายหนุ่มไปตักกินเอง
“อย่าอวดเก่ง” ชายหนุ่มเบี่ยงมือหนีพลางจ้องเธอเขม็ง ดุเธอผ่านทางสายตา
กวินภัทรป้อนอาหารคนตรงหน้าจนหมดชาม ดูแลจนกระทั่งเธอกินยาเรียบร้อย ประคองคนป่วยให้นอนลงแล้วห่มผ้าให้
หญิงสาวนอนจ้องเขาไม่วางตา สับสนว่าตนเองควรรู้สึกอย่างไร
เมื่อครู่เขาว่ากันให้เจ็บช้ำจนเธอกรุ่นโกรธ พอมาตอนนี้ก็ทำดีจนน่าหวั่นใจ พาพราวมองตามหลังเขาขณะชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมถาดอาหาร คิดวกวนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะผล็อยหลับลงอีกคราเพราะฤทธิ์ยา
ความคิดเห็น |
---|